30 กรกฎาคม 2547 10:41 น.

วรรณคดีที่ประทับใจ

สุชาดา โมรา

ท่านสุนทรภู่เกิดเมื่อวันจันทร์ที่  ๒๖  มิถุนายน  ๒๓๒๙  ท่านประพันธ์เรื่องนี้ขึ้นมาในสมัยที่รับราชการในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  โดยแต่งเป็นตอน ๆ และมาแต่งจบในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  วัตถุประสงค์ในการแต่งเรื่องนี้คือสมัยนั้นท่านต้องโทษถูกจองจำในคุกหลวงก็เลยต้องขายผลงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
                 เนื้อเรื่องกล่าวถึงการผจญภัยแต่ใช้ตัวละครคือพระอภัยมณีและศรีสุวรรณ ซึ่งถูกพระราชบิดาไล่ออกจากเมืองรัตนา  เพราะไปเรียนวิชาที่ไม่เกี่ยวกับการปกครองเมืองหรือวิชาความรู้ของกษัตริย์  จากนั้นก็เป็นการเริ่มต้นของการผจญภัยเมื่อได้เดินทางต่อมาก็ไปเจอพราหมณ์ทั้งสาม  มีวิเชียร  โมรา  สานนท์  และถูกนางผีเสื้อสมุทรจับไปเป็นพระสวามี  มีลูกด้วยกันชื่อสินสมุทร  ต่อมาเมื่อเจอนางเงือกก็วางแผนหนี  และทำสำเร็จได้ไปอยู่เกาะแก้วพิสดารตอนนี้พระอภัยมณีได้เป่าปี่ทำให้นางยักษ์ตาย  จากนั้นก็ได้กับนางเงือกมีลูกชื่อสุดสาครแต่พระอภัยมณีไม่รู้เพราะได้เดินทางจากนางเงือกออกมาแล้ว  ส่วนศรีสุวรรณนั้นหลังจากที่ออกตามหาพระอภัยมณีจึงได้พบกับนางเกษราที่เมืองรมจักร  ได้ไปช่วยรบทำให้ได้อภิเษกกับนางและเดินทางออกตามหาพระอภัยมณีจนมาอยู่ที่เมืองผลึก  ซึ่งเมืองนี้ท้าวสิลราชครองเมืองอยู่มีธิดาชื่อนางสุวรรณมาลีได้หมั้นหมายกับอุศเรนโอรสเจ้าเมืองลังกาซึ่งมีน้องชื่อนางระเวงวันฬา  ตอนนั้นท้าวสิลราชออกไปเที่ยวทะเลกับธิดา  ถูกพายุพัดไปถึงเกาะแก้วพิสดารพระฤาษีได้ฝากพระอภัยมณีให้เดินทางมาด้วย  นางสุวรรณมาลีกับพระอภัยมณีจึงได้พบกันและเกิดเป็นความรัก ต่อมาเรือที่ออกมาจากเกาะแก้วพิสดารนั้นถูกนางยักษ์รังควานจนเรือแตก  พระอภัยมณีต้องสวดมนต์ป้องกันตัวและเป่าปี่จนทำให้นางยักษ์ตาย ต่อมาสินสมุทรก็ได้สู้รบกับอุศเรนจนอุศเรนแพ้  นางระเวงวันฬาจึงมาแก้แค้นโดยการทำเสน่ห์จนพระอภัยมณีคลุ้มคลั่งและกักตัวไว้  และในที่สุดสุดสาครก็ตามมาช่วยแก้ปมปัญหาที่มีอยู่  พระอภัยมณี  นางสุวรรณมาลี  และนางระเวงวันฬาจึงออกบวชไปถือศีลอยู่ที่เขาสิงคุตร
                      ลักษณะคำประพันธ์ในเรื่องนี้แต่งเป็นนิทานคำกลอนแปดหรือกลอนสุภาพ  มีสัมผัสในสัมผัสนอกที่ทำให้บทกลอนมีความไพเราะ  การใช้ภาษานั้นเป็นภาษาที่ง่าย ๆ ซึ่งชาวบ้านอ่านได้โดยที่ไม่ต้องมาตีความมากนักและส่วนใหญ่ท่านจะใช้คำแผลงเพื่อหาสัมผัส  การดำเนินเรื่องนั้นท่านใช้วิธีการผูกเรื่องเพื่อให้เรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ ทำให้เรื่องนั้นมีความสมจริงโดยเฉพาะการยกสถานที่จริงขึ้นมาทำให้บางคนคิดว่าเกาะแก้วพิศดารหรือเกาะเสม็ดนั้นมีนางเงือกจริง ๆ 
                    ในการนำเสนอของท่านนั้นเป็นการนำเสนอที่แปลก  กล่าวคือ  ท่านมีแนวคิดใหม่ ๆ หลายด้าน  มีแนวจินตนาการที่ล้ำยุคล้ำสมัย  เช่น  การเทิดทูนวิชาความรู้และศิลปะเป็นสำคัญ  พราหมณ์พี่เลี้ยงมีความรู้ความชำนาญในด้านวิชาการต่าง ๆ ตลอดจนนางสุวรรณมาลีนั้นก็เรียนรู้เรื่องวิธีทำสงคราม  นางวาลีรอบรู้เรื่องตำราพิชัยสงคราม  และนางละเวงวันฬาเรียนรู้เรื่องการปกครองและกลอุบายต่าง ๆ นับเป็นความคิดที่ก้าวหน้ายิ่งในสมัยนั้น  โดยเฉพาะการแต่งให้ตัวละครที่เป็นสตรีมีความเก่งกาจ  มีความรู้ความสามารถอันเป็นการยกย่องเพศหญิงให้เทียบเท่ากับเพศชาย  ซึ่งยังไม่เคยมีปรากฏในวรรณคดีเรื่องใดมาก่อนในสมัยนั้น  นอกจากนี้ท่านยังมีแนวคิดที่ก้าวหน้าเหมือนกับการคาดเอาอนาคตว่าจะต้องเป็นเช่นนี้  เช่นเรือของอุศเรนซึ่งสมัยนั้นผู้คนก็อาจจะว่า  ว่าสุนทรภู่บ้ามีเรือที่ไหนจะบรรจุคนได้เป็นร้อยและมีหลากหลายห้อง  ทำให้ชนรุ่นใหม่เกิดความคิดทำเรือที่ใหญ่บรรจุคนได้มากและอาจจะมากกว่าที่ท่านสุนทรภู่คิดไว้เสียอีก
                     คุณค่าที่ได้รับจากเรื่องนี้คือ  พระอภัยมณีเป็นวรรณคดีที่ท่านสุนทรภู่ใช้จินตนาการสูงในการแต่ง  ทั้งการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่มองเห็นได้เด่นชัด  ลึกซึ้งกินใจ  มีความไพเราะ  ทำให้เกิดจินตนาการคล้อยตาม   การใช้ถ้อยคำและภาษาที่อ่านง่ายเข้าใจง่าย  การเล่นคำที่สละสลวยใช้โวหารมาแต่งทำให้มีรสแห่งคำประพันธ์มากยิ่งขึ้น  จึงทำให้เรื่องนี้ประทับใจแก่ผู้คนทุกยุกทุกสมัย นอกจากนี้ท่านยังได้แทรกข้อคิดและคติธรรมที่มาพร้อมกับความสนุกสนานไว้ด้วยดังนี้  
	แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์		
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด			
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน			
บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน				
เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ			
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา				
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
                    บทกลอนตอนนี้หยิบยกมาจากตอน  ฤาษีมาช่วยสุดสาครขึ้นจากเหวหลังจากที่ถูกชีเปลือยหลอกและผลักตกเหวหมายจะให้ตายเพื่อชิงไม้เท้าและม้านิลมังกร  ซึ่งเป็นคติและข้อคิดที่ท่านสุนทรภู่ได้แทรกไว้เกี่ยวกับการสอนใจคนว่าคนเรานั้นรู้หน้าไม่รู้ใจ  ไม่มีใครรักเราได้เท่ากับพ่อแม่ของเราหรอก  และยังสอนให้รู้จักเอาตัวรอด  รวมทั้งการศึกษาด้วยเพราะถึงแม้ว่าเราจะรู้มากเพียงไรแต่ก็ไม่เท่ากับการศึกษาเล่าเรียน  จึงจะอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข				
30 กรกฎาคม 2547 09:57 น.

สายเกิน...ให้อภัย (ตอนที่ 4 เสนอเป็นตอนสุดท้ายค่ะ )

สุชาดา โมรา

เรากลับบ้านกันแล้วก็ถูกพ่อทำโทษ  พ่อรู้เรื่องที่เราทะเลาะวิวาทกันที่โรงเรียน  ผมโดนแค่ถูกทำทันบนที่บ้าน  แต่ก็ดีกว่าตำรวจจับผมเรื่องที่ผมร่วมกันฆ่าคนตาย  ปมนี้เป็นเรื่องที่คนในกลุ่มผมรู้กันเท่านั้น...และมันก็เป็นตราบาปแก่ผมไปตลอดชีวิต  ทำให้ไม่เป็นอันเรียนพอนั่งเรียนก็เห็นแต่ภาพคน 7 คนนั้นทำให้ผมรู้ตัวว่าผมไม่มีความสุขเลย  ยามผมนั่งคุยกับแฟนผมก็เห็นเป็นหน้าน้องแนน  ผมไม่รู้จะทำยังไงดี  ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว...  และช่วงนี้ตำรวจก็ตามตัวฆาตกรเผาย่าง 7 ศพด้วย  เวลาตำรวจมาทีไรผมงี้ผวาทุกที...ผมเกือบจะหลุดออกมาแล้ว  ไม่งั้นตำรวจคงจะจับได้ว่าใครเป็นฆาตรกรตัวจริง...
	"จ้อย  วันนี้กลับด้วยคนนะคือแม่เราไม่มารับ  เธอไปส่งเราที่บ้านหน่อยนะ"
	"ครับ ๆ"
	"เฮ้ย...จ้อยอย่าพาจิ๊กไปแวะข้างทางนะเว้ย...วูหู้!!!"
	พวกนั้นแซวกันใหญ่
	"ปากดีนะพวกมึง...เดี๋ยวศพไม่สวยหรอก"
	ผมขับรถไปจนใกล้จะถึงบ้านเธอ  ช่วงนั้นมันเป็นป่ารกทึบ  ไม่มีแสงไฟตามถนน  ผมขับรถมาเรื่อย ๆ จนผมต้องเบรกรถกระทันหันเมื่อมีคนกระโดดออกมากลางถนน
	"เฮ้ย...แฟนมึงสวยดีนี่หว่า...กูขอได้ไหมวะ"
	"พวกแกเป็นใคร"
	"กูก็คนคุมซอยนี้ไงวะ  มึงไม่รู้จักเหรอกูเด็กผู้ใหญ่หินว่ะไอ้โง่"
	"จ้อยอย่ามีเรื่องเลย  กลับเถอะ"
	ถึงเธอจะห้ามยังไงมันก็สายไปแล้วละเพราะพวกนี้มันเข้ามาล้อมผมแล้ว
	"หนีไป  หนีไป....จิ๊ก...หนีไป..."
	ผมตะโกนสุดเสียง  จิ๊กวิ่งไปจนลับสายตาผม  พวกนั้นมันซ้อมผมแทบปางตายแล้วก็ลากผมขึ้นรถกระบะไป  จากนั้นก็มีคนหนึ่งที่ฉุดเธอมาได้แล้วก็พาผม  จิ๊กพร้อมกับรถไปที่ในป่าลึกแล้วพวกนั้นก็ลุมโทรมเธอ  วินาทีนั้นผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับเธอเลย  ผมรู้สึกได้ว่าเวรกรรมมันมาแล้ว...มันมาแล้ว  ผมจะทำอย่างไรดี  มันให้ผมดูในสิ่งที่ผมไม่อยากดู...ผมรู้สึกทั้งแค้นมันและแค้นตัวเองที่ไม่อาจช่วยเธอได้  มันทรมานเธอจนตาย  แล้วมันก็ให้ผมดูศพเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะเอาเชือกมัดผมตรึงไว้กับรถของผมและขับลากไปเรื่อย ๆ เหมือนว่าผมไม่ใช่คนจนกระทั่งผมสลบไป
	"อื้อ...อื้อ"
	"ฟื้นแล้ว  นี่พ่อไอ้จ้อยฟื้นแล้ว"
	ผมเห็นพ่อและแม่อยู่ตรงหน้าผม  ทีแรกผมคิดว่าผมตายไปแล้วซะอีก  แต่ทำไมผมถึงมาอยู่โรงพยาบาลได้  ตำรวจสอบปากคำผมจนสเก็ดหน้าคนร้ายได้และจับตัวพวกมันได้หมด  แต่เป็นโชคดีของมันที่พ่อมันเป็นผู้มีอิทธิพลมันจึงรอดไปได้  ผมนะเจ็บใจสุด ๆ ทีเดียว
	ผมมารู้ข่าวดีอีกเรื่องก็คือจิ๊กไม่ตายแต่จิ๊กก็ไม่ยอมพูดกับใครเลย  ไม่กินไม่นอน  มีอาการหวาดกลัวผู้ชาย  ผมว่าเธอน่าจะตายไปเลยซะดีกว่าเธอมาอยู่ให้ทรมาน  แต่ยังไง ๆ ผมก็รักเธอ  ผมสัญญากับแม่เธอว่าผมจะดูแลเธอ  และดูท่าทางแม่เธอก็ไม่ได้ดูดำดูดีเธอเลย  พอผมมารู้ภายหลังผมก็ทราบว่าแม่ที่เธออยู่ด้วยเป็นแม่เลี้ยง  ผมจึงรับเธอมาอยู่ที่บ้านและดูแลเธอเป็นอย่างดี  ผมรู้สึกว่าผมสร้างภาระให้พ่ออีกแล้ว...
	ผมดูแลเธอจนเธอหายเป็นปกติ  ผมเรียนจะจบแล้ว  วันนี้สอบเป็นวันสุดท้ายผมจึงพาจิ๊กและเพื่อนไปฉลองกัน  เรากินเหล้าและเฮกันมาก  ขากลับผมแทบขับรถไม่ไหวจิ๊กก็เลยขับรถพาผมกลับบ้าน  แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบที่คิดน่ะสิ
	"เฮ้ย...!!!พวกมันอยู่นั่น  เอาเลยพวกลุยมันเลย"
	พวกเด็กผู้ใหญ่หินขับรถกระบะเข้าเบียดรถมอเตอร์ไซค์ที่พวกผมขับกันมา  จิ๊กซิ่งสุดชีวิต  ผมหันกลับไปหาเพื่อนอีก 4 คน ผมเห็นพวกนั้นน็อกกันหมดแล้ว  ไม่รู้ว่าโดนอะไร  แต่ผมรู้ว่ามีเสียงเปรี้ยง ๆ อยู่หลายครั้งราวกับเสียงปืนทีเดียว
	เปรี้ยง  เปรี้ยง  เปรี้ยง...
	ผมรู้สึกตัวลอยเหมือนกับนุ่นทีเดียว  รถล้มลงกับพื้นแล้วจากนั้นผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ผมได้มายืนอยู่ข้าง ๆ จิ๊ก  ผมเห็นจิ๊กเข้าไปหาพ่อของเธอ  ผมเห็นเพื่อน ๆ ผมเข้าไปนั่งอยู่กับแม่ของเขา  ผมจึงเข้าไปปลอบแม่กับพ่อ  แต่ว่าพ่อกับแม่ไม่ตอบผมเลย  และก็ดูท่าทางจะไม่ยอมหยุดร้องไห้เสียด้วย  ผมจึงมานั่งที่ศาลาวัด  เพื่อน ๆ  และจิ๊กมานั่งใกล้ ๆ ผม ผมมองเห็นทุกคนในวัดเศร้าสร้อยกันมาก  บ้างก็ร้องไห้บ้างก็เงียบไม่พูดอะไร  ผมเห็นโลงศพทั้งหมด 6 โลงตั้งเรียงกันอยู่เมื่อผมและทุกคนเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ โลง  ผมก็รู้สึกใจหวิว ๆ ทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งมีชายชุดดำและชายชุดขาวเดินมาหาพวกเราทุกคน
	"ไปกันได้แล้วหละ  ถึงเวลาของเจ้าแล้ว...ส่วนเจ้าไปกับเทพ...และพวกเจ้ามากับข้า"
	ชายชุดดำใส่โซ่ตรวนที่ข้อมือและขาของผมและเพื่อน  ส่วนจิ๊กเธอเดินอย่างสบายเดินไปกับเทพชุดขาวและก็ลอยหายไป...ผมก็เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายตรงนี้แหละแล้วผมก็ต้องไป...ไปไกลมาก  ผมไม่รู้ว่าต่อไปชีวิตผมจะเป็นอย่างไร  แต่ผมก็รู้แล้วละว่าที่ที่ผมจะไปมันคือที่ไหน  เพราะผมทำบาปไว้มากเหลือเกิน...				
30 กรกฎาคม 2547 09:56 น.

สายเกิน...ให้อภัย (ตอนที่ 3 )

สุชาดา โมรา

ตึก  ตึก  ตึก...ไอ้ด้วงเดินเข้าไปหาไอ้รบแล้วก็กระชากผมให้มันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับแกะผ้ามัดปากออก
	"กูให้โอกาสมึงนะว่ามึงจะเอาไง...ระหว่างผู้หญิงกับตัวมึง"
	"ถุย...ไอ้***"
	ไอ้รบมันถุยน้ำลายใส่พร้อมกับด่าคำหยาบคายขึ้นมาทำให้ไอ้ด้วงไม่พอใจ
	"มึงเก่งนักไง๊...หา....จะตายอยู่แล้วยังจะมาทำเก่ง...ถุย..."
	ไอ้ด้วงถุยน้ำลายคืนแล้วก็หันหลังให้มันเหมือนกับว่าจะพอใจแค่นั้น  แต่ก็เปล่าเลยมันหันกลับไปกระโดดถีบและซ้อมไอ้รบซะกระอักกระอ่วม
	"เมื่อคราวที่แล้วกูยังไม่ได้เอาคืนเลย  ที่มึงกับพวกข่มขืนแฟนกู...วันนี้กูเอาคืนมั่งหละ"
	ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าไอ้ด้วงเพื่อนที่เงียบที่สุดในกลุ่มจะมีแฟน  และไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันกับไอ้รบจะเคยมีเรื่องกันมาก่อน...ผมคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ...
	"มึงมันเด็กผู้ใหญ่หิน  แต่กูมันเด็กกำนันโป้งโว้ย...55555....มึงเสร็จแน่ไอ้รบ"
	"มึงนี่เองนี่เป็นแฟนอีจูน  อีอวบนั่น...กูสมเพชมึงจริง ๆ เลยที่มึงยังไม่เคยฟันอีนั่น  แหมคิดแล้วมันสะใจจริง ๆ เลยโว้ย...55555......หัวเราะทีหลังดังกว่าโว้ย...."
	"มึง...มึง...ยังมาทำปากดีอีกนะมึง...ไอ้***...กูดูสิว่ามึงจะปากดีอีกไหม...มึงหล่อนักนี่ไอ้รบ...แต่มึงมันก็เลวไม่แตกต่างจากกูหรอก...ไอ้ระยำ...นี่เธอดูหน้าหล่อ ๆ ของแฟนเธอไว้  แล้วก็จำใส่กระโหลกไว้ซะว่าไอ้นี่มันก็ไอ้เลวคนนึงที่หาแฟนไม่ได้แล้วก็มาย่ำยีคนอื่น...เธอคงเสร็จมันไปแล้วสิ"
	"จริงเหรอ...หา..."
	พอผมได้ฟังไอ้ด้วงพูดผมก็ฉุนทันทีเลย  ผมก็เลยเขย่าตัวเธอและก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อเธอออกแล้วก็รวนรามเธอทันที
	"เฮ้ย...อย่านะเว้ย...มึงอย่า...."
	"มึงรักนังแนนด้วยเหรอวะ  หน้าอย่างมึงมันรักใครไม่เป็นหรอกโว้ย...55555....กูสะใจจริง ๆ เลยว่ะ"
	"ถุย...ไอ้เลว...มึงทำได้กับผู้หญิงเหรอ..."
	"แล้วมึงล่ะไอ้กรวก...มึงดีนักนี่ที่ทำกับแฟนกู...เอ...ที่มึงหวงนี่กูถามจริง ๆ เหอะมึงนอนกับอีนี่หรือยังวะ"
	"ยังโว้ย..."
	"งั้นก็ดี...กูจะได้ทำให้มึงเห็นว่าการเจ็บปวดมันเป็นยังไง"
	แล้วไอ้ด้วงก็ถอดเสื้อผ้าของไอ้รบออกแล้วก็เอาน้ำมาสาดตัวไอ้รบให้เปียก  จากนั้นก็ลากเอาไอ้รบไปพร้อมกับเก้าอี้ให้เข้ามาใกล้ ๆ ผมกับน้องแนนแล้วก็ดูราเสพสมกัน  ส่วนพวกมันที่เหลือเมื่อเห็นผมทำมันก็ทำตาม  วันนั้นพวกเราไม่ได้กลับบ้านกัน  พวกเราทั้งกินเหล้าทั้งเสพสมเวียนคนแล้วคนเล่าจนผมก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าน้องแนนเป็นของใครไปบ้างและผมก็ได้ไปแล้วกับใครกี่รอบ...จนในที่สุดพวกเราหมดแรงและก็หลับไปจนกระทั่งเช้า
	"เฮ้ย...ตื่น ๆๆๆ  ตื่นได้แล้วว่ะเช้าแล้วเว้ยเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน"
	"มึงยังอยากจะเข้าเรียนอยู่อีกเหรอไอ้จ้อย  ป่านนี้สารวัตรนักเรียนก็ยืนเต็มไปหมดแล้ว...ก็รอจับพวกเราไงหรือว่ามึงอยากโดนจับ...ทำหน้าเป็นควายบ้านทุ่งไปได้"
	วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราโดดเรียนกัน  ผมไม่มีเงินสักบาทแต่ไอ้ด้วงมันมี  มันซื้อของมาให้กินเพราะบ้านมันค่อนข้างฐานะดี...พวกเรากินกันและแบ่งให้น้อง ๆ กันบ้างแต่เราไม่ได้แบ่งให้ไอ้รบมันเลย
	"มึงอยากินไง๊...อ่ะ"
	ไอ้ด้วงส่งข้าวกล่องให้ไอ้รบ  ผมเห็นมันทำท่าอยากกินจนใจแทบขาดแต่ไอ้ด้วงสิมันกลับเอาข้าวยีหน้าไอ้รบและหัวเราะชอบใจ  ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลยวันนี้เหมือนมีลางสังหรอะไรสักอย่าง
เมื่อผมปวดฉี่ผมก็ออกไปฉี่  ผมเห็นน้องกุ้งวิ่งกระโดด  ๆ ออกมาจาด้านหลังของโกดังผมจึงจับตัวไว้และลากเข้าไปในโกดังจากนั้นก็ปิดโกดังสนิทและผมก็ซ้อมน้องกุ้งจนอ่วม...ผมไม่คิดหรอกว่าผมทำอะไรลงไป  ผมรู้แต่ว่าผมกำลังหวาดกลัว  กลัวว่าใครจะมาเห็น
	"มึงซ้อมน้องเขาทำไมวะ"
	"ก็อีนี่สิมันจะหนี"
	"สภาพอย่างนี้เนี่ยนะ  มึงจะบ้าเหรอเปลือยขนาดนี้"
	"เออ...มึงไม่เชื่อก็ตามใจมึง"
	ผมเดินไปรอบ ๆ ตัวน้อง ๆ ทั้ง 6 คน  น้องคนหนึ่งชื่อน้องเปิ้ลขาดใจตายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  ส่วนที่เหลือก็หมดสภาพ  พวกเราไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดีก็เลยมานั่งคิดเรื่องเลว ๆ ต่อ  แล้วพวกเราก็หาเรื่องสนุกกันอีกจนได้  พวกเราบังคับให้น้อง ๆ ใส่ชุดนักเรียนแล้วก็มานั่งข้าง ๆ ไอ้รบ  จากนั้นผมก็มัดพวกเขาไว้รวมกัน  ผมเห็นสีหน้าพวกนี้แล้วก็รู้สึกสำนึกขึ้นมาทันที  ผมทำอะไรลงไปเนี่ย  ถ้าถูกตำรวจจับได้ต้องยุ่งแน่ ๆ เลย  แต่เมื่อเพื่อนมันทำแล้วเป็นไงเป็นกันวะเพราะเราก็ร่วมอยู่กับเขาคนหนึ่งแหละ
	"มึงจะทำอะไรต่อไปดีวะ  แล้วศพน้องเปิ้ลล่ะ"
	"ก็มัดมันรวมกันที่นี่แหละแล้วก็จะได้ส่งวิญญาณมันพร้อม ๆ กัน"
	"เฮ้ย...!!!!"
	พวกเราถึงกับร้องพร้อมกันทีเดียว
	"หรือว่ามึงอยากถูกตำรวจจับวะ...ถ้าใครคนใดคนหนึ่งหลุดออกไปมึงว่ามึงจะรอดเหรอวะ...หรือว่ามึงมีทางอื่นอีก"
	พวกเราเห็นพ้องต้องกันไอ้ด้วงมันใจหินที่สุดมันก็เลยเอาน้ำมันมาราดทุกคนแล้วก็เตรียมจุดไฟเผา  แต่มันพลาดยังไงไม่รู้ถูกไอ้รบมันสกัดขาล้มตัวมันเลยโดนเผาไปด้วย  พวกผมเอาน้ำมาราดยังไงมันก็ไม่ดับ  กลับยิ่งรามเข้าไปใหญ่  อาจจะเป็นเพราะกรรมก็ได้  พวกเราที่เหลืออีก 5 คนจึงวิ่งไปปิดประตูโกดังแล้วก็หนีไปไม่กลับมาที่โกดังนี้อีกเลย...				
30 กรกฎาคม 2547 09:53 น.

สายเกิน...ให้อภัย (ตอนที่ 2 )

สุชาดา โมรา

วันนี้ผมเห็นเธออีกครั้ง  แต่เธอเดินมากับใครบางคน  ผู้ชายคนนั้นท่าทางดูดีน่าจะเก่งเรียน  แต่ดู ๆ บางทีก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
	"เฮ้ย...!!!พวกมึงรู้ไหมว่าน้องแนนเดินมากับใคร"
	"เฮ้ย...มึงอย่ายุ่งเชียวนะไอ้จ้อยนั่นมันเด็กผู้ใหญ่หินนะเว้ย...!!!"
	"เออใช่ว่ะ...ถ้ามึงยุ่งนะกูว่าเกิดเรื่องแน่ ๆ แหละ  ดีไม่ดีบ้านมึงอาจเหลือแต่ตอก็ได้นะ...เฮ้ย...กูว่าอย่าเชียวนะที่จริงมึงมีแฟนแล้วทำไมมึงต้องไปจีบน้องแนนด้วยวะกูไม่เข้าใจเลยว่ะ"
	"กูไม่สนหรอกไอ้ชิด  ไอ้ตั้มถ้ากูรักใครแล้วกูต้องไม่แพ้เว้ย...!!!!...อีกอย่างกูชอบจับปลาหลาย ๆ มือเฟ้ยมันเร้าใจดี"
	ผมจึงเดินเข้าไปหาเธอ  และก็จ้องมองไอ้หมอนั่น
	"มาอีกแล้วเหรอ...หน้าหนาจริง ๆ เลยนะ"
	"ทำไมเหรอ...โรงเรียนเป็นของเธอคนเดียงไง๊!...เราถึงเดินไม่ได้"
	"เฮ้ย...!!!พูดกับผู้หญิงน่ะพูดมันดี ๆ หน่อยโว้ย..."
	"ทำไมมึงยุ่งไรด้วย...ไอ้กรวก!!!!"
	พอผมพูดคำนี้จบหมอนี่ก็ซัดผมลงไปกองกับพื้นทีเดียว  ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย  จนเพื่อน ๆ วิ่งมาช่วยผม  สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่แทบจะมองไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร  พวกเราซัดกันอย่างเมามันมาก  เมื่อผมได้ทีก็ซัดใส่หมอนี่ทันที
	"มึงเก่งนักใช่ไหม...ทำตัวเป็นฮีโร่...นึกว่าจะแน่...โถ่ไอ้กรวกเอ๊ย...!!"
	"แน่ะเพื่อนกูว่ามึงยังมามองอีก  เอาไงวะ...เดี๋ยวปั๊ด..."
	"พอ ๆ เถอะมึงกูว่าเป็นเรื่องแน่ ๆ เลยว่ะสารวัตรนักเรียนมานู่นแล้ว..."
	ผมกับพวกคิดอะไรไม่ออกก็เลย  ผมจึงคว้ารถได้ก็ฉุดเธอนั่งซ้อนท้ายไปเลย  ส่วนไอ้หมอนี่ผมก็เอาไปด้วยโดยมันซ้อนท้ายเพื่อนผมไป  เมื่อมาถึงโกดังที่พวกเราซ่องสุมกันบ่อย ๆ ผมก็จับไอ้หมอนี่มัดไว้กับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วพวกผมก็เดินวนไปวนมารอบ ๆ ตัวมัน  ผมรู้สึกว่าผมเท่มาก ๆ ทีเดียว
	"อย่า...อย่าทำพี่รบนะ  บอกว่าอย่ายังไงเล่า"
	"ถ้ายอมเป็นแฟนพี่แล้วพี่จะปล่อยมันไป...ว่าไง..."
	"ไอ้...ไอ้เลว  พวกแกนี่มันเลวจริง ๆเลย  ไม่มีปัญญาหาแฟนรึไงทำไมต้องมาทำร้ายกันแบบนี้  ถ้าฉันหลุดไปได้นะ...ฉันจะ...อื้อ...อื้อ...อื้อ"
	เพื่อนผมเอามืออุดปากเธอเอาไว้  ผมจึงเอาเชือกมามัดแขนและขาเธอยึดติดกับเสาที่กลางโกดัง
	"เฮ้ย!...กูว่ากูคิดอะไรออกแล้วว่ะ  รับรองเธอสนุกแน่ ๆ นะจ๊ะสาวน้อย"
	ผมพูดกับเพื่อนแล้วก็หันไปพูดกับเธอ  แต่ผมก็รู้สึกว่าใจมันสั่นเหลือเกินเมื่อเห็นเธอจ้องตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผม
	"อ่ะให้โอกาสพูดนะจ๊ะคนดี...อยากจะโทรหาใครก่อนจ๊ะ"
	ไอ้ชิดเพื่อนของผมพูดขึ้นแล้วก็หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมากดโทรหาเพื่อนของเธอคนหนึ่งที่ชื่อกุ้ง
	"ฮัลโหลกุ้งหรือเปล่าครับ  เอ่อแนนไม่สบายมากเลยเธอช่วยมารับเพื่อนของเธอไปส่งที่โรงพยาบาลที  ตอนนี้อยู่ที่ท่ารถเมย์ตรงหน้าตลาดนะ"
	ติ๊ด...เมื่อวางหูเสร็จเพื่อนผมก็ยิ้มเยาะชอบใจใหญ่
	"เฮ้ยมึงไปรับน้องกุ้งมาที่โกดังหน่อย"
	"ที่ไหนวะไอ้ชิด"
	"ไอ้ด้วงมึงไม่ได้ฟังกูพูดโทรศัพท์เลยเหรอวะ...เดี๊ยสวยหรอก"
	"เออ ๆ กูรู้แล้ว  หน้าตลาดใช่ปะ"
	เมื่อไอ้ด้วงขับรถออกไปได้พักหนึ่งก็กลับมาพร้อมน้องกุ้งและเพื่อนอีก 2 คน
	"นี่ไงน้องแนนนอนสลบอยู่ที่นี่ไงตามมาสิ  มาหลาย ๆ คนก็ดีจะได้ช่วย ๆ กันพยุง"
	ครืด...เสียงประตูโกดังเปิดขึ้นเพื่อน ๆ ที่แอบอยู่ข้าง ๆ ประตูก็วิ่งไปข้างหลังผู้หญิง 2 คนและอุดปากทันที  ส่วนไอ้ด้วงก็ปิดประตูตามเดิม
	"อื้อ...อื้อ...อื้อ"
	"อย่าดิ้นสิจ๊ะน้องกุ้ง...เฮ้ยไอ้รัตน์เอาเชือกมามันน้อง ๆ หน่อยเร้ว...วันนี้สนุกแน่ ๆ ว่ะ...55555"
	ไอ้ชิดหัวเราะชอบใจใหญ่แล้วก็มัดน้องกุ้งและเพื่อนไว้กับมุมห้อง
	"เฮ้ย...มึงไอ้จ้อยมึงเอาเด็กมึงไป  กูเอาน้องกุ้งน่ารักดี  มึงไอ้ด้วงมึงเอาน้องคนนี้ไปนะเพราะมึงไปพาน้องเขามา..."
	"อ้าวแล้วพวกกู 2 คนล่ะวะ"
	"มึงก็ไปหามาสิไอ้รัตน์  ไอ้ตั้ม"
	ไอ้ตั้มมันทำหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรแต่มันก็เดินเข้าไปหาน้องกุ้งทำท่าราวกับจะเอาเรื่อง
	"เฮ้ย...มึงทำอะไรกับเด็กกูวะ"
	"กูไม่ทำอะไรหรอกเพียงแต่กูจะเอาโทรศัพท์มากดหาเบอร์เพื่อนน้องเขาหน่อยว่ะ"
	แล้วไอ้ตั้มก็กดเบอร์หาน้องคนนึงแล้วก็กดอีกเบอร์นึง  สักพักไอ้ตั้มกับไอ้รัตน์ก็ออกไปข้างนอกและกลับมาพร้อมกับผู้หญิงอีก 3 คน  พวกมันมัดมือมัดเท้าผู้หญิงแล้วก็เอามานั่งรวมกันที่มุมโกดัง...				
30 กรกฎาคม 2547 09:50 น.

สายเกิน...ให้อภัย (ตอนที่ 1 )

สุชาดา โมรา

ผมกำลังยืนอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งกับผู้หญิงที่ผมรักที่สุด  ผมมองไปรอบ ๆ ตัว  ผมเห็นมีแต่คนร้องไห้  ทำไมพวกเขาจึงเศร้าได้ขนาดนี้ล่ะ  ผมทักใครสะกิดใครก็ไม่มีใครคุยกับผม  จนกระทั่งผมเดินมายืนหยุดตรงหน้าพ่อ-แม่ผม  ผมเห็นท่านร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง
	"คุณแม่ครับ  คุณพ่อครับ....ร้องไห้ทำไมครับ  ผมอยู่ตรงนี้แล้วอย่าร้องนะครับ"
	ผมปลอบใจท่านเท่าไรแต่ท่านก็ยังไม่หยุดร้องไห้เสียทีผมไม่รู้จะทำอย่างไรผมจึงเดินออกมานั่งที่ศาลาวัดและก็นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม...  ผมนั่งคิดและพูดกับตัวเองราวกับคนบ้า...ผมรู้สึกว่าที่นี่ไม่มีใครสนใจผมเลย
	ชีวิตของผมอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  ผมไม่เคยรู้ว่าต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไร  ผมเคยฝันอยากจะเป็นนั่นอยากจะเป็นนี่  แต่ตัวผมเองกลับทำอะไรไม่ได้สักนิด  ผมทั้งโดดเรียน  กินเหล้า  เฮตามเพื่อนมาโดยตลอด  ไม่ว่าเพื่อนจะไปทางไหนก็จะมีผมอยู่ด้วยเสมอ  แม้แต่เรื่องเรียนก็ตามผมยังเรียนตามเพื่อนเลย  ทั้ง ๆ ที่ผมก็รู้ว่าผมไม่ถนัดเลยไอ้เรื่องไฟฟ้าเนี่ย  เพราะมันต้องคำนวณ...ถึงเรียนก็ต้องตกก็ต้องซ่อม  ยิ่งกฎของโอมนะผมยิ่งเกลียดมาก ๆ เลย  ให้ท่องอะไรนักหนาก็ไม่รู้  สูตรบ้าบออะไรก็เยอะแยะ  เฮ้อ...
	ผมรู้ตัวว่าผมไม่เคยทำอะไรดีเลยสักอย่าง  ผมทำให้พ่อ-แม่ต้องทุกข์ใจทั้ง ๆ ที่ผมก็เป็นเพียงความหวังเดียวของครอบครัว  ผมจำได้ว่าเมื่อตอนผมยังเล็ก  ผมทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่  ขยันเรียนได้เกรดดีมาตลอด  เป็นผู้นำของห้องเรียน  เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่  ครูอาจารย์  และเพื่อนฝูง  พอโรงเรียนเลิกผมก็มักจะไปรับจ้างล้างจานอยู่ที่ร้านอาหารข้างบ้านผม  ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องมาทุกข์ใจกับเรื่องค่าขนมของผม...เพราะว่าฐานะบ้านเราไม่ค่อยดีนัก
	พ่อผมทำงานอยู่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิพุทธสมาคมฯ    ส่วนแม่ผมไม่ได้ทำอะไรหรอกวัน ๆ ก็เอาแต่เล่นไพ่  สร้างหนี้สินไม่รู้จักหยุดหย่อน  เช้าขึ้นมาผมก็เห็นพ่อกับแม่กินโอวันตีนใส่หน้าแข้งทุกวัน...พอเย็นก็เป็นแบบนี้เช่นกัน  ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่มีความสุขสำหรับผมเลยสักนิด
	ชีวิตที่ไม่เอาถ่านของผัวเมียที่มีแต่หนี้และไม่ค่อยเอาใจใส่ครอบครัว  ทำให้ผมเบื่อหน่ายและอยากจะหนีไปให้ไกล ๆ  ผมเคยคิดอยากจะลองยาแต่ว่าใจยังไม่ถึง  อีกอย่างผมก็ไม่มีปัญญาที่จะซื้อมันกินด้วย
	ตอนนั้นผมจบ ม.3 มาหมาด ๆ ได้เข้าเรียนวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  แต่ผมไม่สามารถที่จะลงทะเบียนเรียนได้เพราะไม่มีเงิน  แม่ของผมเที่ยวหยิบยืมเงินใครก็ไม่มีใครเขาให้ยืมเพราะแม่เป็นคนเหนียวหนี้  พอมีเงินก็ไม่ไปจ่ายให้เขา  เอามาเล่นไพ่จนหมดเนื้อหมดตัว...  ผมจึงไม่ได้ลงทะเบียนเรียน  ผมจำได้ว่าวันนั้นผมนั่งร้องไห้จนตาบวมไปหมด  จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าผม...
	"เป็นอะไรล่ะ...จ้อย"
	"ผมไม่มีเงินไปลงทะเบียนเรียนครับปู่"
	"แม่เอ็งล่ะ..."
	"เล่นไพ่อยู่บ้านยายปิ๋มครับ"
	"แม่มึงนี่ใช้ไม่ได้เลย  วัน ๆ เอาแต่เล่นไพ่ถึงว่าลูกทำไมไม่มีเงินเรียน...เฮ้อ!...มา ๆ เข้าบ้านเดี๋ยวกินข้าวซะนะปู่ซื้อมาฝาก"
	"แล้วปู่มายังไงครับ"
	"ก็พ่อเอ็งเขาโทรไปบอกปู่ว่าเขาจะไปธุระที่กรุงเทพฯกับนายเขา  พ่อเอ็งเขาเป็นห่วงนะเขารู้ว่าแม่เอ็งต้องไม่อยู่ดูแลลูกจึงให้ปู่มาดูแล"
	ผมส่งน้ำให้ปู่  หาจานมาใส่กับข้าวแล้วจึงเดินไปอาบน้ำ...ผมรู้สึกว่าตัวเองหดหู่เหลือเกิน  ทำไมชีวิตครอบครัวของผมถึงไม่เหมือนคนอื่น ๆ แบบนี้
	"จ้อย...ไม่มีเงินลงทะเบียนก็มาเอากับปู่นี่เดี๋ยวพรุ่งนี้ปู่พาไปมอบตัวที่โรงเรียนเอง"
	ผมรู้สึกว่าเหมือนฟ้ามาโปรดผมเลย  ผมได้เข้าเรียน  มีเพื่อนมากมาย  รวมทั้งเพื่อนเก่าที่ผมตามกันมาด้วย...  ตอนแรกผมก็วางตัวดี  ตั้งใจเรียน  แต่ผมก็เรียนไม่ได้ดีนักเพราะผมไม่เก่งคำนวณ  ผมรู้สึกว่าช่างไฟฟ้านี่ไม่เหมาะกับผมเลย...  เมื่อผมเรียนไม่รู้เรื่องผมก็เลยเฮตามเพื่อน  เวลาเพื่อนไปไหนต้องมีผมอยู่ที่นั่น  จนไม่ได้เข้าเรียน  อาจารย์ก็มีหนังสือเรียกผู้ปกครองอยู่บ่อย ๆ แต่ก็เป็นโชคของผมทุกทีเพราะผมมักจะมาทันตอนไปรษณีย์ส่งจดหมายพอดี  ผมก็เลยเอาจดหมายไปซ่อน  พ่อผมจึงไม่มีโอกาสไปโรงเรียนกับผมสักที
	"จ้อยเอ้ย...จ้อย...หยิบซองเอกสารเล็ก ๆ ในห้องให้พ่อหน่อยเร็ว..."
	พ่อเรียกให้ผมไปหยิบอะไรมาให้ก็ไม่รู้  แต่ผมรู้สึกว่าซองนั้นมันค่อนข้างหนาเป็นพิเศษ...เมื่อผมส่งให้พ่อ  พ่อก็หยิบของในนั้นออกมาผมถึงกับตาโตทีเดียว...
	"นี่มันเงินทั้งนั้นเลยนี่...พ่อเอามาจากไหนกัน"
	"พ่อถอนออกมาจาธนาคารเพื่อเอามาใช้หนี้ให้แม่แกเขา  แล้วก็จะเอาไปคืนปู่แกเขา  แม่แกนี่ใช้ไม่ได้เลยนะจ้อย..."
	พ่อพูดเหมือนไม่พอใจ  แต่ผมก็รู้สึกว่าดีนะที่บ้านเราจะหมดหนี้  แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าเดี๋ยวแม่ก็สร้างหนี้อีก...เฮ้อ...คิดแล้วก็กลุ้มใจเมื่อไรครอบครัวเราจะมีความสุขสักทีนะ
	"จ้อยอยากได้รถไว้ขับไปโรงเรียนไหม"
	ผมรู้สึกใจหวิวตัวลอยเชียวละ  ผมว่าพ่อต้องซื้อรถให้ผมแน่ ๆ เลย  ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขที่สุดเมื่อได้ยินพ่อพูดคำนี้...แต่เอ...พ่อจะเอาเงินมาจากไหนนักหนากัน
	"แล้วพ่อมีเงินเหรอ"
	"ไม่มีก็กู้เอาสิ...เพื่อลูกแล้วพ่อทำได้ทุกอย่างละ...แล้วจะไปเลือกรถกันวันไหนล่ะ"
	............
	วันแรกที่มีรถขับผมรู้สึกว่ามันโก้จริง ๆ ผมขับร่อนไปร่อนมาในโรงเรียนจนยามต้องเรียกไปเตือนบ่อย ๆ เพื่อน ๆ ก็เฮกันเพราะผมได้รถใหม่  เราก็เลยมาตั้งแก๊งขับ  รีด  ป่วนกัน  วัน ๆ ก็ไถเงินคนนั้นทีคนนี้ที  ขับรถร่อนไปร่อนมากวนชาวบ้านในโรงเรียน  ยามเรียกก็ไม่สนใจ  พวกผมรู้สึกว่ามันเท่มากเลยที่ทำแบบนี้...  รู้สึกสะใจ  ยิ่งเมื่อผมขับรถยกหน้าได้นะโอ้โห...ราวกับเป็นฮีโร่ของกลุ่มเลยละ  ผมมีความสุขมากทีเดียว
	แอ๋น...แอ้นแอ๋นแอ๋แอ๋...........น
	เสียงรถขับป่วนในโรงเรียนยกหน้าบ้าง  ขี่วนเป็นวงกลมบ้างดูมันเท่มาก ๆ เลย  จนกระทั่งผมขับรถแหกโค้งไปล้มตรงหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง  ทางด้านหน้าของตึกคอมพิวเตอร์  เธอน่ารักมาก ๆ ดูเธอตกใจมากทีเดียว  หนังสือเกลื่อนกลาดอยู่กลางถนน  เธอนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงพื้น  เมื่อผมประคองรถขึ้นได้ผมก็ไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น  ช่วยเธอเก็บหนังสือแต่เธอก็ไม่พูดกับผมสักนิด  เพื่อน ๆ ผมขับรถมาหาก็แซวผมจนเธออายเดินหนีไป
	"เฮ้ย!...เป็นไงบ้างวะ  อุบัติเหตุรักไง๊"
	ผมเห็นเธอเดินหนีผมก็รู้สึกใจคอไม่ดีเลย  ผมรู้สึกว่าผมหวั่นไหวเพราะเธอคนนี้  หรือว่าผมชอบเธอเข้าให้แล้ว  เมื่อผมรู้ตัวว่าผมชอบเธอผมจึงตามตื้อเธออยู่เรื่อย ๆ จนเธอรำคาญ
	"ไปให้พ้นนะไอ้พวกบ้า...!!!!"
	ผมรู้สึกใจคอไม่ดี  ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สนใจผม  ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอย่างไรดีเธอถึงจะมารักผม  เพื่อน ๆ ก็แซวทุกวันจนผมรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว...  ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว...  แต่อย่างว่าแหละไม่มีใครที่ไหนหรอกจะชอบผู้ชายที่เกะกะเกเร  พวกป่วนเมืองอย่างผม  นึกแล้วก็กลุ้มใจจริง ๆ นะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา