21 พฤษภาคม 2557 04:29 น.

นางเงือกน้อย (The mermaid) ตอนที่ ๓ อวสาน

Prayad

เมื่อเข้าไปในพระราชวัง เธอก็ได้รับพระราชทานเสื้อผ้าอันสวยหรู ทำด้วยผ้าไหมและมัสลิน เธอมีความสวย
และน่ารักกว่าใครๆที่พำนักอยู่ ณ ที่นั้น แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถพูดหรือร้องเพลงได้   มีนางสนมบางคน
แต่งกายอย่างลวกๆในชุดผ้าไหมปักด้วยทองคำ ได้ออกมาขับร้องต่อหน้าพระพักตร์ของเจ้าชาย ตลอดทั้ง
พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์  หนึ่งในจำนวนนั้นสามารถขับร้องด้วยเสียงหวานอันสดใส 
จนเจ้าชายทรงปรบมือให้แก่เธอ หากแต่นางเงือกน้อยนั้นรู้สึกเศร้าสลดใจมาก เพราะเธอย่อมรู้ดีว่าเธอเคยขับ
ร้องได้ไพเราะยิ่งกว่านางสนมนี้เป็นไหนๆ 
“อนิจจา!” เธอรำพึง
“ถ้าเพียงแต่เจ้าชายรู้ว่าฉันได้เสียสละน้ำเสียงของฉันเพื่อเขา”
เมื่อเหล่านางสนมเริ่มเต้นรำ นางเงือกน้อยผู้น่ารัก ก็ได้ยืนขึ้นแล้วกรีดกรายวาดแขนอันขาวผ่องละเมียดละไม
พร้อมกับออกลีลาการฟ้อนรำไปรอบๆห้อง ทุกท่วงทีที่ออกท่า ล้วนแต่งามสง่าสมส่วนสรีระอย่างไม่มีที่ติ การส่ง
ส่ายชายตาที่เธอแสดงออก ก็สุดแสนจะเป็นที่ต้องจิตและติดใจแก่ผู้เฝ้ายล ยิ่งเสียกว่าการขับร้องของนางสนมเป็น
ไหนๆ ทุกคนต่างตะลึงปานต้องมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าชายหนุ่มถึงกับทรงโปรดเรียกเธอว่า "สาวน้อยพลัด
ถิ่นผู้เป็นที่รักของฉัน" เธอได้พยายามเต้นรำครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้นทุกก้าวย่างของเธอ จะนำมาซึ่งความเจ็บ
ปวดสุดรวดร้าวเหลือคณา ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าชายทรงโปรดให้เธอเป็นผู้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด และทรงโปรดให้
จัดที่นอนซึ่งทำจากผ้าไหมอย่างดี โดยจัดให้เธอพักในห้องตรงกันข้ามกับห้องพักส่วนพระองค์ของเจ้าชาย
เจ้าชายยังทรงโปรดให้ตัดเสื้อผ้าชุดผู้ชาย สำหรับเธอสวมใส่เวลาขี่ม้าตามเสด็จเป็นเพื่อน ในบางคราวเธอเดิน
เท้าโดยเสด็จเพียงลำพังสองคนกับเจ้าชาย ฝ่าดงหนาป่ารกจนปรกไหล่ กลิ่นพฤกษ์ไพรกฤษณาปักษาขาน 
เพียรอดทนด้นดั้นถิ่นกันดาร ทรมานเจ็บกายแทบวายปราณ เธอต้องปีนป่ายตามเสด็จขึ้นสู่ยอดภูเขาสูง 
แม้ว่าเท้าอันบอบบางของเธอจะมีเลือดไหลอาบซิบๆ เธอก็ได้แต่ยิ้มและเดินตามเจ้าชายผู้เป็นที่รักของเธอต่อไป
จนกระทั่งทั้งคู่มาถึงความสูงที่สามารถมองเห็นหมู่เมฆเคลื่อนไหวไหลตามกันอยู่เบื้องล่าง ซึ่งมองดูราวกับฝูง
วิหคย้ายถิ่นบินสู่แดนไกล
ในยามค่ำคืนเมื่อทุกคนในพระราชวังพักผ่อนกันหมด เธอก็มักจะเดินลงไปตามบันไดหินอ่อน เพื่อบรรเทา
ความร้อนรนที่เท้าโดยอาศัยความเย็นของน้ำลึก ซึ่งทำให้เธอหวนคิดถึงครอบครัวที่อยู่เบื้องล่าง  แต่แล้วในคืน
หนึ่ง เหล่าพี่สาวของเธอก็ได้แหวกว่ายเกี่ยวก้อยกันมาและพากันขับขานอยู่ ณ บริเวณนั้นอย่างน่าสมเพช
เวทนา เธอจึงให้สัญญาณแก่พวกเขา พลันพวกเขาก็จำเธอได้และบอกเล่าถึงความโศกาอาลัยอันใหญ่หลวงจาก
พระราชวังของพระบิดาที่มีต่อเธอ หลังจากนั้นเป็นต้นมา พวกพี่สาวก็จะพากันมาเยี่ยมเธอทุกคืน ครั้งหนึ่งพวก
เขาก็ได้พาเสด็จย่าผู้ชราภาพมาด้วย ซึ่งเธอไม่ได้พบเห็นโลกเบื้องบนมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแล้ว นอกจาก
นั้นพวกเขาก็ยังพาพระบิดา ผู้สวมใส่มงกุฎ คือองค์ราชาแห่งเหล่าเงือกมาด้วย แต่ผู้อาวุโสทั้งสองจะกล้าฝ่าผจญ
เข้ามาใกล้ฝั่งพอที่จะสนทนากับเธอได้ก็หาไม่ 
นางเงือกน้อยได้กลายเป็นที่โปรดปรานของเจ้าชายยิ่งขึ้นทุกวันๆ หากแต่เป็นความโปรดปรานเฉกเช่นที่มีต่อ
เด็กผู้น่ารักและอ่อนหวาน ส่วนการอภิเษกสมรสกับเธอเพื่อสถาปนาเป็นพระชายาจะมีในดำริแม้แต่นิดก็หาไม่
ส่วนเธอเล่า การได้มาซึ่งความมีวิญญาณอันเป็นอมตะ จักต้องเป็นพระชายาของเจ้าชายเสียก่อน หาไม่แล้วเธอ
ก็จะกลายเป็นฟองน้ำ ลอยฟ่องไปกับคลื่นน้ำทะเลอยู่เป็นนิตย์ 
“คุณมิได้รักฉันยิ่งกว่าคนอื่นๆหรอกหรือ” ปุจฉาจากสายตาของเธอ ในระหว่างที่เจ้าชายประคองเธอไว้ใน
อ้อมแขนและจุมพิตลงที่หน้าผากอันน่ารัก
“ถูกแล้ว” เจ้าชายอาจหมายวิสัชนา 
“สำหรับฉัน เธอเป็นคนที่น่ารักมากกว่าใครๆ จะหาใครสักคนมีดีเสมอเธอก็เปล่า เธอรักในตัวฉันมาก และเธอ
เองก็ช่างเหมือนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งฉันเคยพบเพียงครั้งเดียวและอาจจะไม่ได้เห็นกันอีกเลย ครั้งหนึ่งเรือของ
ฉันอับปางลงด้วยพายุ ฉันถูกคลื่นซัดลงทะเลบริเวณชายฝั่งใกล้กับวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ หญิงสาวผู้นั้นมาพบเข้าและ
ช่วยชีวิตให้ฉันรอดมาได้ ฉันเห็นเธอเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ภาพพิมพ์แห่งเธอยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ
ของฉันอย่างมีชีวิตชีวา และเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ฉันจะรักได้ แต่ทว่าผู้ที่เป็นเจ้าของแห่งเธอคือวิหารอันศักดิ์
สิทธิ์ ส่วนเธอเองเล่า ผู้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับเธอมาก ก็ยิ่งทำให้ฉันมีความมั่นคงและเข้มแข็งมากขึ้น เราทั้ง
สองจะไม่มีวันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเด็ดขาด!”
“อนิจจา! เขาไม่รู้หรอกว่าผู้ที่ช่วยชีวิตให้เขารอดมาได้คือตัวฉันเอง” นางเงือกน้อยรำพึงและถอนหายใจอย่าง
แรง
“เจ้าชายจะทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาแสนสวยของกษัตริย์จากต่างเมือง” พวกนางสนมพูดกัน 
“เหตุนี้เองที่เจ้าชายทรงโปรดให้ตกแต่งเรืออย่างวิจิตร ทำประหนึ่งว่าจะเสด็จออกประพาส แต่ความจริงแล้วเจ้า
ชายจะเดินทางไปพบเจ้าหญิงนั่นเอง” นางเงือกน้อยก็ได้แต่ยิ้มๆกับคำพูดหรือความคิดเห็นคล้ายๆกันนี้
เพราะเธอล่วงรู้ถึงความประสงค์อันแท้จริงของเจ้าชาย ดีกว่าใครอื่นทั้งมวล
“ฉันจำต้องไป” เจ้าชายตรัสกับเธอ 
“ฉันจะต้องไปพบเจ้าหญิงผู้เลอโฉมตามคำขอร้องของพระราชบิดาและพระราชมารดา แต่ท่านทั้งสองจะบังคับให้
ฉันแต่งงาน และพาเธอกลับมาพระนครเยี่ยงเจ้าสาวก็หาไม่ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะรักเธอ เพราะหน้าตาของ
เธอย่อมไม่เหมือนกับหญิงสาวผู้เลอโฉมจากวิหาร ส่วนเธอเองสิเหมือน หากจะให้ฉันเลือก ฉันควรจะเลือกเธอ
มากกว่า สาวน้อยพลัดถิ่นนัยน์ตาทรงอานุภาพผู้เงียบเสียงของฉัน” กล่าวพลางเจ้าชายก็ประคองเธอไว้ในอ้อม
แขนพร้อมกับบรรจงจูบลงที่ริมฝีปากอันระเรื่อสีชมพูของเธอ ด้วยเหตุนี้ความหวานซึ้งตามวิสัยแห่งมนุษยสุขและ
ทิพยสุขอันเป็นอมตะก็บังเกิดขึ้นในหัวใจของเธอ
“เธอไม่กลัวทะเลหรอกใช่ไหม สาวน้อยเงียบเสียง ผู้เป็นหวานใจของฉัน” เจ้าชายตรัสถามอย่างนุ่มนวล 
ในระหว่างที่ยืนอยู่ด้วยกันบนเรืออันตกแต่งอย่างวิจิตร ซึ่งกำลังนำทั้งสองเดินทางมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรของ
กษัตริย์ต่างเมือง ในระหว่างทางเจ้าชายก็ทรงบอกเล่าแก่เธอถึงพายุที่อาจจะมาปะทะเรือได้ในบางคราว ทรงเล่า
ถึงปลาแปลกๆที่อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลลึก ตลอดจนสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆที่พวกนักประดาน้ำได้พบเห็น ทว่าเธอก็เพียง
แต่ยิ้มๆต่อสิ่งบอกเล่าเหล่านั้น เพราะเธอย่อมรู้ดีกว่า ว่ามีอะไรบ้างอยู่ ณ เบื้องลึกแห่งมหาสมุทร
เมื่อแสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาในยามราตรี และผู้คนบนเรือต่างก็หลับใหลกันหมดแล้ว เธอจึงขึ้นไปนั่งอยู่
บนดาดฟ้าของเรือและจ้องมองลงไปในท้องทะเล พลันก็ดูเหมือนว่าเธอมองเห็นพระราชวังของพระบิดาและมงกุฎ
เงินของเสด็จย่า เธอมองเห็นเหล่าพี่สาวโผล่ขึ้นมาจากห้วงน้ำ พวกเขาดูโศกเศร้าเหงาหงอยและยังยื่นมือมาหา
เธอ  เธอพยักหน้าและยิ้มให้พวกเขา พลางก็หมายจะอธิบายให้พวกเขาฟังว่า ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามความ
ปรารถนาของเธอแล้ว ครู่ต่อมา เด็กประจำห้องบังคับเรือก็เข้ามาใกล้ พวกพี่สาวจึงพากันโผดำดิ่งลงน้ำลึกหายไป
แต่พลันสิ่งที่เด็กห้องเครื่องคิดว่าเห็นลอยอยู่เหนือลูกคลื่นนั้น หาใช่สิ่งอื่นใดไม่ นอกเสียจากฟองน้ำ
         พอรุ่งอรุณ เรือก็เข้าเทียบท่ายังเมืองหลวงอันโอ่อ่าของกษัตริย์ต่างเมือง เสียงระฆังลั่นเหง่งหง่าง เสียงดุริ
ยางค์แตรเป่า แลล้วนเหล่าธงทิว อีกริ้วขบวนองครักษ์ที่พรักพร้อมด้วยศาสตรา คอยท้าแสงอยู่แวววับ และร่วม
สลับสวนสนามแลงดงามไปทั้งเมือง ทุกๆวันก็จะมีมโหรีปี่พาทย์และนาฏศิลป์ชุดใหม่ๆมาแสดงเป็นเครื่องบันเทิง
เริงรมย์ ตลอดจนการจัดงานราตรีราชสโมสรวันแล้ววันเล่า อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงพระองค์นั้น ก็ยังไม่เสด็จกลับ
จากการที่ถูกส่งไปรับการศึกษาอบรมยังสำนักแม่ชี ณ แดนไกล ซึ่งที่นั่นเธอจะได้รับการสอนสั่งถึงขนบธรรม
เนียมและจริยวัตรอันเป็นทศพิธราชธรรมทั้งมวล  และในที่สุดเจ้าหญิงก็ได้เสด็จกลับสู่พระนครในวันหนึ่ง
“เธอจริงๆด้วย!” เจ้าชายทรงอุทาน ทันทีที่เห็นเจ้าหญิง 
“เธอคือคนที่ช่วยชีวิตฉันให้รอดมาได้ เมื่อคราวที่ฉันนอนแน่นิ่งเหมือนคนตายที่ชายฝั่งในครั้งนั้น”แล้วเจ้าชาย
ก็ผวาเข้าสวมกอดเจ้าสาวของตนไว้แนบชิดกับหัวใจที่กำลังสั่นระรัว 
“โอ ฉันมีความสุขอย่างล้นเหลือ!” เจ้าชายตรัสกับสาวน้อยพลัดถิ่นผู้เป็นใบ้ของพระองค์
“ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าความหวังของฉันจะกลายเป็นจริง เธอต้องยินดีอย่างยิ่งกับความสุขของฉัน เพราะเธอ
เป็นคนที่รักฉันมากกว่าใครๆในบรรดาคนที่อยู่แวดล้อมฉัน” นางเงือกน้อยจึงจุมพิตลงที่หัตถ์ของเจ้าชาย 
ทว่าต่อความรู้สึกของเธอมันสุดแสนเจ็บปวดรวดร้าวราวกับหัวใจแยกแตกสลาย 
ครั้นเสียงระฆังของโบสถ์ลั่นขึ้น เจ้าสาวและเจ้าบ่าวก็ผสานมือกันและรับพรจากบาทหลวง ส่วนนางเงือกน้อยซึ่ง
อยู่ในชุดที่ทำจากผ้าไหมและผ้าฝ้ายขลิบทอง ได้ยืนถือส่วนท้ายของชุดวิวาห์อยู่เบื้องหลังของเจ้าสาว สำหรับเธอ
แล้ว หูก็ไม่ได้ยินเสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงประกอบ ตาก็ไม่ได้เห็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้า เธอคำนึงถึงแต่
ความตายของเธอที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะและการสูญเสียของเธอทั้งโลกนี้และโลกหน้า  ในเพลาอัสดงของวัน
เดียวกันนั้น เจ้าสาวและเจ้าบ่าวก็พากันเสด็จขึ้นเรือ เสียงปืนใหญ่ยิงสลุด ธงทิวปลิวสะบัดและพัดโบกจากลมทะเล
 ณ ท่ามกลางของดาดฟ้าเรือคือพลับพลาซึ่งตกแต่งด้วยผ้าสีม่วงขลิบทอง พร้อมทั้งที่นอนอันอ่อนนุ่มและหรูหรา
สำหรับคู่รัชทายาทได้ร่วมอภิรมย์บรรทมสุขยามราตรี พอพระพายพัดพา ลำนาวาก็เคลื่อนคล้อยลอยออกไป ด้วย
ใบโป่งจากแรงลม  ล่องกลมกลืนไปกับน้ำสีฟ้าของมหาสมุทร
       ชั่วเวลาไม่นานความมืดก็มาถึง ตะเกียงส่องสว่างให้สีสันต่างๆจึงถูกจุด และการเต้นรำบนดาดฟ้าของเรือก็
ได้เริ่มขึ้น สิ่งนี้ทำให้นางเงือกน้อยรำลึกถึงครั้งแรกที่เธอโผล่ขึ้นมาเห็นโลกเบื้องบน ซึ่งบัดนี้ความวิจิตรตระการ
ตาเช่นนั้นก็ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว และเธอก็ถูกเชื้อเชิญเข้าร่วมเต้นรำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนต่างตะลึงและชื่น
ชมเธอ เพราะเธอไม่เคยที่จะเต้นรำด้วยลีลาและท่าทีอันแพรวพราวด้วยมนต์เสน่ห์เยี่ยงนี้มาก่อน เท้าอันเล็กบอบ
บางของเธอนั้นได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส แต่เธอก็ไม่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าหัว
ใจของเธอนั้นได้รับความขมขื่นและปวดร้าวยิ่งกว่าเหลือคณนา มันเป็นค่ำคืนสุดท้ายที่เธอจะยังเห็นชายหนุ่ม 
ผู้ซึ่งเธอยอมเสียสละบ้านเกิดเมืองนอนและเหล่าวงศ์วานของเธอมาเพื่อเขา ยอมสูญเสียน้ำเสียงอันแสนจะไพ
เราะอ่อนหวานและยอมทนแบกรับความเจ็บปวดทรมานเหลือที่สุดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นคืนสุดท้ายที่เธอยัง
พอได้ร่วมจดจ้องทะเลลึกสีฟ้า มองดาราร่วมอัมพร และผ่อนลมหายใจร่วมอากาศเดียวกันกับเขา ราตรีชั่วนิรันดร
อันปราศจากซึ่งฝันและจินตนาการ กำลังคอยอยู่ข้างหน้า หัวใจของเธอนั้นระอุไปด้วยดำริแห่งมรณะ แต่เธอก็ยัง
ยิ้มและเต้นรำร่วมกับคนอื่นๆ จวบจนเวลาได้ล่วงเลยเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าชายทรงจุมพิตเจ้าสาว
ผู้น่ารักของพระองค์ ทั้งสองประคองหัตถ์กระหวัดพระวรกายแล้วก็พากันเสด็จย้ายเข้าสู่ห้องบรรทมยังพลับพลาอัน
อลังการ
       ทุกสรรพสิ่งนิ่งงัน มีเพียงแต่นายท้ายเรือเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่พวงมาลัย นางเงือกน้อยเท้าแขนอันขาวผ่องของ
เธอที่ขอบเรือและชะเง้อไปเบื้องบูรพา คอยท่ายามอุษาจะมาเยือน เพราะลำแสงแรกที่พ้นขอบฟ้าย่อมนำมาซึ่ง
ความตายของเธอ พลันเธอก็เห็นเหล่าพี่สาวของเธอโผล่ขึ้นมาจากทะเล แต่ละคนดูขาวซีดสิ้นดี พวกเขากำลังชูไม้
ชูมืออยู่เหนือไหล่ ต่างก็ไม่มีผมอันยาวสลวยเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว มันถูกเกรียนออกไปเสียจนหมดสิ้น
“พวกเรายอมให้ยายแม่มดตัดเอาไป” เหล่าพี่สาวบอกแก่เธอ 
“เพื่อขอให้แกช่วยเธอ ดังนั้นเธอก็จะไม่ตาย มีดเล่มนี้อย่างไรล่ะ ที่แกให้พวกเรามา ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเธอจะ
ต้องปักมันลงไปตรงหัวใจของเจ้าชาย พอโลหิตอุ่นๆของเขาไหลออกมาและตกต้องยังเท้าของเธอ เท้าทั้งสองก็จะ
กลับกลายมาเป็นหางปลาทันที แล้วเธอก็จักคืนร่างมาเป็นนางเงือกอีกครั้งหนึ่ง และมีชีวิตอยู่สืบต่อไปจวบจนอายุ
ครบสามร้อยปีก่อนที่จะตายและกลายไปเป็นฟองน้ำทะเล   แต่จงรีบทำเร็วๆเข้า ถ้าไม่เขาก็เธอจะต้องตายก่อน
พระอาทิตย์ขึ้น!  อีกไม่กี่นาทีพระอาทิตย์ก็จะขึ้นมาแล้วเธอจะต้องตาย” พวกพี่สาวกล่าวเสร็จก็ถอนหายใจอย่าง
แรง ก่อนที่จะพากันดำดิ่งหายลงไปในทะเล
     นางเงือกน้อยค่อยๆเลื่อนม่านสีม่วงซึ่งเป็นพลับพลาของเจ้าชายออกไปช้าๆ แล้วเข้าไปก้มลงประจงจูบที่หน้า
ผากขององค์ชาย เวลาเดียวกันก็เหลือบมองดูท้องนภา เธอเห็นแสงสว่างรำไรกำลังเข้มเจิดจ้าขึ้นทุกขณะ 
ริมฝีพระโอษฐ์ของเจ้าชายก็กำลังพึมพำถึงพระนามของเจ้าสาว เจ้าชายกำลังฝันใฝ่ถึงเจ้าหญิง และเป็นเพียงผู้เดียว
เท่านั้นคือเจ้าหญิง  ในขณะที่มีดก็กระดิกอยู่ในมืออันสั่นเทิ้มของนางเงือกผู้ที่กำลังทุกข์ระทม ทันใดนั้น เธอก็ขว้าง
มันจนสุดไกลและตกลงไปในทะเล ด้วยสายตาที่กำลังพร่ามัว เธอจึงถอยออกมาและกระโจนลงไปในทะเล พร้อมๆ
กับมีความรู้สึกว่าร่างกายของเธอค่อยๆสลายกลายไปเป็นฟองน้ำ
ทินกรขับเคลื่อนขึ้นเยือนฟ้า แต่รังสีอันเจิดจ้ากลับมาเยี่ยมยลเธออย่างละมุนละไม แม้นว่าก่อนหน้านี้ภาวะกำลัง
ใกล้จะตายจะเป็นที่หวาดหวั่นและพรั่นพรึงต่อเธอ ทิพยสถานดูเหมือนว่ากำลังโบยบินอยู่ราวศีรษะของเธอ  
เสียงขับขานก็แสนหวานสุดซึ้ง ส่วนดนตรีก็บรรเลงด้วยบทเพลงปลอบประโลมอันไพเราะยิ่งนัก ซึ่งไม่อาจจะยล
ยินได้ในหมู่มวลมนุษย์ พวกเขาโผผินอยู่รอบๆเธอ และท่องไปในอากาศด้วยความโปร่งเบาสบายด้วยตัวเขาเอง
พลันนางเงือกน้อยก็พบว่าตนเองมีสรีระอันโปร่งใสเช่นเดียวกันกับพวกเขา และเธอกำลังล่องลอยออกจากฟองน้ำ
สูงขึ้นไปอย่างช้าๆ
“พวกท่านกำลังจะพาฉันไปที่ไหนกัน” เธอเอ่ยถาม
“ไปเป็นธิดาแห่งพระพาย” คือคำตอบ 
“ด้วยนางเงือกนั้นไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะ แต่จะสามารถมีได้ก็ต่อเมื่อเธอได้กรำหัวใจอันเปี่ยมรักจากชายหนุ่ม
บุตรหลานของหมู่มนุษย์ ธิดาแห่งพระพายก็ไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะเช่นเดียวกัน แต่จะสามารถมีได้ด้วยการ
สร้างคุณงามความดี พวกเราโบกโบยไปยังประเทศอันร้อนรุ่ม ที่ซึ่งเหล่าเด็กๆจุ่มจมอยู่กับบรรยากาศอันร้อนระอุ
ความสดชื่นและการหายใจรับเอาอากาศอันชุ่มเย็นก็จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตชีวา พวกเรายังผสานตัวเองเข้ากับ
บรรยากาศ เพื่อให้กลิ่นหอมแห่งมวลบุปผชาติได้จรุงฟุ้งขจาย อันนำมาซึ่งความยินดีและผาสุกแผ่ปกคลุมออกไป
ทั่วโลก ด้วยการทำความดีเช่นนี้เป็นเวลาสามร้อยปี พวกเราก็จักได้รับวิญญาณอันเป็นอมตะและสามารถเสพ
ทิพยสุขร่วมกับหมู่มนุษย์ได้  สำหรับเธอ นางเงือกน้อยผู้น่าสงสาร ผู้มีแรงบันดาลใจและได้เพียรพยายามกระ
เสือกกระสนอย่างสุดหัวใจ จนได้รับความทุกข์ทรมานมาเป็นอันมาก เธอจึงถูกยกขึ้นสู่โลกแห่งวิญญาณด้วย
ประการฉะนี้ และด้วยเหตุแห่งการบำเพ็ญคุณงามความดีอย่างมีจิตเมตตาปราณี เป็นระยะเวลาสามร้อยปี เธอก็
อาจจะได้รับวิญญาณอันเป็นอมตะ”
นางเงือกน้อยจึงผายแขนของเธอออกสู่ดวงตะวัน และนับเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ ที่สองนัยนาชุ่มฉ่ำไปด้วย
น้ำตา
ในเวลานี้ทุกคนตื่นนอนหมดแล้วและกำลังสนุกสนานกันอยู่บนเรือ เธอแลเห็นเจ้าชายและเจ้าสาวผู้เลอโฉมของ
เขา ดูทั้งคู่คงจะคิดถึงเธอมาก และพากันเหม่อมองลงไปที่ฟองน้ำทะเลอย่างเศร้าสร้อย เหมือนกับทั้งสองจะล่วงรู้
ว่า เธอได้กระโจนลงไปในนั้น  เธอจึงบรรจงจุมพิตลงที่หน้าผากของเจ้าบ่าวและยิ้มให้เขา แต่โดยที่ไม่มีใครจะ
สามารถมองเห็นเธอได้ จากนั้นเธอพร้อมด้วยหมู่ธิดาแห่งพระพายทั้งหลายก็พากันลอยสูงขึ้นไปๆ จนอยู่เหนือ
หมู่เมฆสีชมพูระเรื่อ ซึ่งกำลังล่องลอยอย่างสงบอยู่เบื้องบนของลำเรือ
“หลังจากสามร้อยปีไปแล้ว พวกเราก็จักโบกโบยสู่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์”
“พวกเราอาจจะไปถึงที่นั่นได้เร็วขึ้น” พวกพี่สาวคนใหม่ของเธอกระซิบ 
“พวกเราโบกโบยไปยังที่อยู่อาศัยของมวลมนุษย์โดยที่ไม่เห็นตัว หากไปพบเด็กดี ผู้ที่ทำให้บิดาและมารดาของ
เขามีความยินดีและประทับใจ อีกทั้งประพฤติตนสมกับเป็นที่รักของคุณพ่อและคุณแม่ ก็จะเป็นเหตุให้สามารถ
หักหนึ่งปีออกจากเวลาสามร้อยปีของพวกเราได้ แต่ถ้าพวกเราไปพบเห็นเด็กที่หยาบคาย ดื้อและซุกซน พวกเรา
ก็จักร้องไห้และหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่น และทุกๆหยดน้ำตาที่พวกเราเช็ด มันก็จะเป็นเหตุให้เพิ่มเวลาแก่พวกเรา
ขึ้นมาอีกหนึ่งวัน”
                                                             อวสาน
19 พฤษภาคม 2557 08:48 น.

นางเงือกน้อย (The mermaid) ตอนที่ ๒

Prayad

ชั่วเวลาไม่นานเธอก็มองเห็นแผ่นดินกับภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มีป่าไม้สีเขียวทอดตัวยาวไปตามชายฝั่ง 
ที่ตรงปลายสุดของป่าไม้ มีโบสถ์หรือไม่ก็สำนักชีตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรกันแน่ 
มีส้มสูกลูกไม้ปลูกอยู่ในสวนรอบๆโบสถ์นั้น มีต้นปาล์มสูงเรียงรายอยู่สองข้างทางที่นำไปสู่ประตูเข้า ทะเล
บริเวณนั้นมีลักษณะเป็นอ่าวเล็กๆที่ราบเรียบแต่มีความลึกมาก บริเวณเบื้องล่างหน้าผานั้นเป็นทรายแน่นและ
แห้ง นางเงือกน้อยจึงนำเจ้าชายว่ายแหวกไปยังที่นั่น เธอวางเขาลงบริเวณทรายอุ่นๆและใส่ใจที่จะพยายามให้
ศีรษะอยู่สูง กับทั้งจัดให้ใบหน้าของเขาบ่ายไปทางดวงอาทิตย์
       ในเวลาต่อมา ระฆังทั้งหมดที่มีในตึกสีขาวหลังใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆนั้น ก็ดังลั่นระงมขึ้น พร้อมกับมีสาว
น้อยจำนวนมากพากันออกมาเดินในสวน นางเงือกจึงว่ายถอยห่างออกมาจากฝั่งเล็กน้อยและก็นำตัวเองไปซ่อน
อยู่ระหว่างโขดหิน ปกคลุมอำพรางศีรษะของเธอด้วยฟองน้ำ ดังนั้นจึงไม่สามารถจะมองเห็นใบหน้าอันเล็กๆ
ของเธอได้ ในขณะที่สายตาของเธอก็คอยจ้องไปที่เจ้าชาย ชั่วเวลามิช้ามินานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งมาพบเจ้าชาย
เข้า หล่อนถึงกับตกใจกลัวเมื่อเห็นเจ้าชายอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่ประเดี๋ยวเดียวหล่อนก็ได้สติแล้วก็รีบวิ่งกลับ
ไปบอกพวกพี่ๆของเธอ นางเงือกน้อยได้เห็นเจ้าชายฟื้นคืนสติอีกครั้ง กับทั้งยังได้เห็น ความปิติยินดี ยิ้มแย้ม
แจ่มใส และเป็นสุขใจจากบรรดาผู้คนทั้งหลายที่อยู่แวดล้อมพระองค์ หากแต่ว่าเจ้าชายมิได้มองหาตัวเธอเลย 
เจ้าชายไม่รู้หรอกว่า เธอคือผู้ให้ความช่วยเหลือจนกระทั่งรอดชีวิตกลับมา      ครั้นพอเจ้าชายถูกเชิญเข้าไปยัง
บ้านพัก เธอจึงรู้สึกเศร้าและเสียใจมาก จนถึงกับกระโจนพรวดลงใต้น้ำโดยทันที และหวนกลับสู่ปราสาทของ
พระบิดา ณ ก้นทะเลลึก
     ถ้าเธอเคยเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยเงียบและสุขุมเยือกเย็นมาก่อน คราวนี้ล่ะอุปนิสัยเช่นนั้นยิ่งจะต้องมีมากขึ้นเป็น
หลายเท่าทวีคูณ ถึงแม้เหล่าพี่สาวจะถามเธอถึงสิ่งที่ได้พบเห็นจากโลกเบื้องบน แต่เธอจะให้คำตอบแก่พวกเขา
ก็หาไม่ สนธยาแล้วสนธยาเล่าที่เธอเฝ้าแหวกว่ายขึ้นไปยังสถานที่ ที่เธอเคยละเจ้าชายเอาไว้ เธอได้เห็นหิมะ
หลอมละลายลงจากภูเขา ส้มสูกลูกไม้เริ่มสุกงอม แต่เธอก็ไม่เคยพบเห็นเจ้าชายอีกเลย เธอจึงหวนคืนกลับมา
บ้านด้วยความระทมขมขื่นอยู่เสมอ มีเพียงสิ่งเดียวที่พอจะเป็นความสุขให้กับเธอได้ สิ่งนั้นก็คือ นั่งในสวนหย่อม
และจ้องดูรูปแกะสลักอันสวยงามซึ่งมีความละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าชายนั่นเอง เธอไม่ได้สนใจใยดีต่อมวลดอกไม้
ของเธออีกต่อไปแล้ว มันจึงเจริญงอกงามออกไปอย่างสะเปะสะปะ ปกคลุมอยู่ตามทางเดินและเกี่ยวกระหวัดไป
ตามกิ่งก้านของต้นไม้จนกระทั่งดูมืดครื้มไปหมด
         ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีก เธอจึงได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่เหล่าพี่สาวฟังจนสิ้น 
ไม่นานนักเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้ไปถึงคนอื่น และหนึ่งในนั้นก็จำเจ้าชายได้เพราะเธอเองก็ได้พบเห็นการจัดงานเลี้ยง
บนเรือในวันนั้น เธอยังรู้ด้วยว่าเจ้าชายมาจากอาณาจักรอะไรและใครเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
“ไปกันเถอะ น้องสาวคนเล็ก” เหล่าเจ้าหญิงผู้พี่เอ่ยขึ้น แล้วพวกเธอทั้งหมดก็พากันเกี่ยวก้อยแหวกว่ายติด
ตามกันไปเป็นแถวยาว ชั่วเวลาไม่นานก็พากันไปโผล่ขึ้น ณ บริเวณด้านหน้าพระราชวังของเจ้าชาย
พระราชวังแห่งนี้สร้างด้วยหินสีเหลืองอร่าม มีขั้นบันไดทำด้วยหินอ่อนสีขาวยื่นออกมาและลดหลั่นลงสู่ทะเล 
ส่วนยอดโดมของพระราชวังและรูปปั้นหินอ่อนล้วนแล้วแต่ฉาบด้วยทองคำ บางครั้งจนเกือบจะเข้าใจผิดว่ารูป
ปั้นที่เรียงรายอยู่ระหว่างเสาพระราชวังนั้นเป็นคนจริงๆ หากใครมองผ่านกระจกใสของหน้าต่าง ก็จะเห็นภาย
ในห้องอันวิจิตรตระการตาด้วยม่านที่ทำจากไหมและมีภาพเขียนอันงามวิจิตร นางเงือกจึงมองผ่านหน้าต่างของ
ห้องที่ใหญ่ที่สุดห้องหนึ่ง เธอได้เห็นธารน้ำพุจำลองอยู่ตรงกลาง มีน้ำพุพุ่งกระเซ็นสูงถึงยอดโดมที่กำลังสะท้อน
แสงอยู่แวววับ ลำแสงของทินกรก็กำลังฟ้อนรำอยู่ในธารา อีกทั้งยังส่งแสงกล้าให้เห็นเหล่าพฤกษาเด่นงาม 
ซึ่งปลูกไว้ตามบริเวณน้ำพุและอยู่โดยรอบขอบชลธาร
      คราวนี้นางเงือกน้อยก็รู้แล้วว่า เจ้าชายผู้เป็นที่รักของเธอ มีที่พำนักอยู่ ณ แห่งใด จากนั้นเป็นต้นมา เธอก็
จะเพียรแหวกว่ายไปที่นั่นเกือบทุกวันในเพลาเย็น บ่อยครั้งที่เธอเข้าไปใกล้ผืนดินและใกล้กว่าที่เหล่าพี่สาวของ
เธอจะกล้าล่วงล้ำเข้าไป เธอเคยว่ายเข้าไปใกล้แม้กระทั่งคลองแคบๆที่ไหลผ่านอยู่เบื้องล่างระเบียงที่ทำด้วยหิน
อ่อน  ณ ที่ตรงนี้เองในราตรีที่สว่างไสวด้วยแสงนวลจันทร์ เธอก็สามารถมองดูเจ้าชายได้ แม้แต่ในยามที่องค์
ชายคิดว่าตนเองอยู่เพียงคนเดียวตามลำพัง ในบางคราวเธอก็เห็นเจ้าชายออกไปแล่นเรือ ด้วยเรือใบที่แต่งแต้ม
สีสันอันงดงาม มีธงทิวหลากสีโบกสะบัดอยู่ตอนบน เธอเองก็จะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ราวป่ากกอันเขียวสดที่ขึ้นอยู่
ตามชายฝั่งและเงี่ยหูคอยฟังสุรเสียงของเจ้าชาย ค่ำคืนแล้วค่ำคืนเล่าที่เธอได้ยินพวกชาวประมงพูดคุยกัน 
ในขณะที่พวกเขาพากันไต้ไฟออกมาทอดแห พวกเขากล่าวชื่นชมและเชิดชูพระเกียรติในสิ่งต่างๆที่เจ้าชายทรง
กระทำ เธอจึงรู้สึกเป็นสุขมากและทำให้หวนคิดถึงคราวที่เธอช่วยเหลือเจ้าชาย ศีรษะที่เคยหนุนพิงอกของเธอ
และจุมพิตที่เธอได้ประจงให้ แต่อนิจจา เจ้าชายก็หาได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ และไม่เคยแม้แต่จะฝันถึงเธอเลย
     ความเป็นมนุษย์ได้กลายเป็นสิ่งอันน่าพิสมัยสำหรับเธอเข้าไปทุกวันๆ จนกระทั่งเธอตั้งความปรารถนาอยาก
เป็นมนุษย์อยู่ร่วมกับหมู่คนเหล่านั้น ในสายตาของเธอโลกของชาวมนุษย์ดูจะกว้างขวางกว่าโลกของชาวเงือก
มาก พวกเขาสามารถแล่นเรือกางใบข้ามมหาสมุทร และปีนป่ายถึงยอดภูเขาที่สูงเหนือกว่าหมู่เมฆได้  ส่วนแนว
ป่าของพวกเขาก็ทอดยาวไกลออกไป จนสุดลูกหูลูกตา และอีกหลายสิ่งหลายประการที่เธออยากจะรู้ แต่เหล่าพี่
สาวทั้งหลายก็ไม่สามารถให้คำตอบอันเป็นที่พึงพอใจแก่เธอได้ ดังนั้นเธอจึงไต่ถามจากเสด็จย่าผู้อาวุโส ผู้ซึ่งมี
ความรู้มากกว่าใครๆเกี่ยวกับโลกเบื้องบน ซึ่งเธอเคยเรียกว่า “อาณาจักรเหนือท้องทะเล”
“ถ้าพวกมนุษย์ไม่ได้จมน้ำตาย พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปใช่ไหม”  เธอถามขึ้นในวันหนึ่ง
“พวกเขาตายไม่เป็น เหมือนกับที่พวกเราตายอยู่เบื้องล่างนี่หรอกหรือ” 
“ตายเป็นสิ” คือคำตอบจากเสด็จย่า
“พวกเขาก็ต้องตายด้วยเหมือนกัน อายุขัยของพวกเขาสั้นกว่าของพวกเรามาก พวกเรามีชีวิตอยู่ได้จนถึงอายุ
สามร้อยปี ครั้นพวกเราตายลงก็จะกลายเป็นฟองน้ำในทะเล จึงไม่ต้องมีสุสานหรือหลุมฝังศพสำหรับคนที่เรารัก
พวกเราไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะ พวกเราจึงไม่สามารถที่จะมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งได้ เฉกเช่นเดียวกันกับต้นหญ้า
เมื่อถอดถอนหรือตัดทิ้งเพียงครั้งเดียว มันก็จะเหี่ยวแห้งไปชั่วนิรันกาล  ซึ่งแตกต่างไปจากพวกมนุษย์ พวกเขา
มีวิญญาณที่จะสืบสานไปสู่การมีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากที่ร่างกายกลายเป็นผุยผง อุปมาเหมือนที่พวกเราขึ้น
จากน้ำที่นี่ไปยังแดนดินถิ่นมนุษย์ วิญญาณของพวกเขาก็จะล่องลอยขึ้นสู่ดินแดนเบื้องสรวงอันวิจิตรในนภากาศ
ซึ่งพวกเราจะไม่เคยได้พบเห็นเลย”
“ทำไมพวกเราถึงไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะบ้างล่ะ” นางเงือกน้อยเอ่ยถามขึ้นบ้าง
“ฉันยินดีที่จะสละความมีอายุสามร้อยปีของฉันเพียงเพื่อความเป็นมนุษย์แค่หนึ่งวัน ถ้าหากฉันจะมีโอกาสได้
เข้าสู่ดินแดนสรวงสวรรค์ ณ เบื้องบน” 
“อย่าไปคิดเช่นนั้นเลย” เสด็จย่าเอ่ยขึ้น
“ที่เป็นอยู่เช่นนี้ ก็ดีกว่ามากแล้ว ที่พวกเรามีชีวิตยาวนานกว่าและมีความสุขมากกว่าพวกมนุษย์”
“นั่นก็หมายความว่า ฉันจำต้องตายไปเป็นฟองน้ำลอยฟ่องในทะเล   จะไม่เคยได้ขึ้นไปมากกว่านี้ จะไม่มี
โอกาสยลยินเสียงเห่กล่อมแห่งมหาสมุทร และจะไม่เคยได้ชื่นชมมวลบุปผชาติอันสวยสดงดงามและความเจิดจ้า
แห่งดวงสุรีย์! ได้โปรดบอกแก่ฉันเถิด เสด็จย่าผู้เป็นที่รัก มันไม่มีหนทางใดๆเลยหรือ ที่ฉันจะสามารถได้มาซึ่ง
วิญญาณอันเป็นอมตะ” 
“ไม่มีเลย” สตรีอาวุโสผู้สูงศักดิ์กล่าว
“แต่เป็นความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า หากมีมนุษย์มารักเธอจนสุดหัวใจของเขา และสัญญาที่จะสัตย์ซื่อต่อเธอ
เมื่อนั้นวิญญาณของเขาก็จะถ่ายเทเข้าสู่ร่างกายของเธอและเธอก็จะสามารถร่วมรับรู้ความสุขตามแบบอย่างของ
มนุษย์ แต่มันก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ ก็ดูอย่างหางของพวกเรานี่สิ แม้พวกเราจะคิดว่ามันเป็นส่วนที่สวยงาม
ที่สุดในร่างกาย แต่ผู้คนบนโลกนั้นเขากลับคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงและไม่อาจจะทนกับมันได้ การปรากฏกาย
อันเป็นที่ต้องใจของพวกเขานั้น คือร่างกายจะต้องมีส่วนค้ำจุนอันเกะกะอยู่สองส่วนซึ่งพวกเขาเรียกกันว่า ขา”
นางเงือกน้อยถอนหายใจแล้วก็มองดูร่างกายของเธอส่วนที่มีเกล็ดอย่างโอดครวญ ซึ่งอันที่จริงมันก็งดงามอย่าง
ประณีตและมีเสน่ห์
“พวกเราก็มีความสุขดี” เสด็จย่ากล่าวสำทับ 
“พวกเราอาจจะกระโดดโลดเล่นและแหวกว่ายไปมาอย่างร่าเริงจนตลอดสามร้อยปี นั่นเป็นระยะเวลาอันยาว
นานทีเดียว และหลังจากนั้นพวกเราก็จะพักอย่างสงบในความตาย   เอาล่ะ ตอนเย็นวันนี้ที่วังมีงานสังสรรค์นะ”
งานวังสังสรรค์ที่สมเด็จย่าทรงเอ่ยถึงนั้น ช่างสุดแสนตระการตายิ่งกว่างานใดๆที่ชาวโลกจะพึงเห็น ผนังของห้อง
โถงจัดงานนั้นเป็นผลึกแก้วอย่างหนา แต่มีความโปร่งใสมาก มีเปลือกหอยขนาดใหญ่จำนวนเป็นร้อยวางเรียง
รายเป็นแนวยาวไปตามผนัง บ้างก็เป็นสีดอกกุหลาบ บ้างก็เป็นสีเขียวของหญ้า ที่สำคัญคือทุกอันล้วนแล้วแต่
สามารถส่งประกายอันเรืองรอง จึงไม่เพียงแต่ทำให้สว่างเรืองรองไปทั่วห้องที่จัดงานเท่านั้น แต่ยังสาดแสงไป
ถึงชั้นกำแพงไม้พันธุ์ต่างๆและย่านน้ำโดยรอบ พวกเขายังได้นำเอาเกล็ดปลาจำนวนนับไม่ถ้วนมาตกแต่ง ขนาด
เล็กบ้างใหญ่บ้าง หลายหลากสี มีทั้งสีม่วง สีทับทิม สีเงิน และสีทอง ทำให้ปรากฏโดดเด่นสดใสกว่าที่เคยเห็น ตรง
กลางห้องจัดงานมีสายธารอันใสแจ๋วไหลผ่านขึ้นมา หมู่ชาวเงือกทั้งหญิงและชายต่างก็พากันออกมาเต้นรำฮัม
เสียงอยู่ล้อมรอบขอบธารไหลนั้นเอง
เจ้าหญิงองค์เล็กทรงขับร้องได้อย่างหวานซึ้งกว่าใครๆทั้งมวล และได้รับการปรบมือจากพวกเขาอย่างล้นหลาม 
จึงเป็นเรื่องที่เธอโปรดเพราะเธอทราบดีว่าทั่วทั้งทะเลและบนโลกไม่มีใครจะมีเสียงไพเราะและหวานซึ้งยิ่งไป
กว่าเธออีกแล้ว  พลันความคิดของเธอก็หวนไปถึงโลกเบื้องบน เธอไม่อาจที่จะลืมเลือนเจ้าชายรูปงามได้ และ
ไม่อาจที่จะระงับยับยั้งความเสียใจด้วยเหตุที่ไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะ เธอจึงแอบหนีออกมาจากพระราชวังของ
พระบิดา ในขณะที่พวกเขาทั้งหมดกำลังเพลิดเพลินกันอยู่ภายใน เธอออกไปนั่งที่สวนหย่อมของเธอซึ่งถูกละเลย
ไปนาน แล้วก็ปล่อยให้ความคิดเตลิดเปิดเปิง ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเป่าแตรดังมาจากเหนือน้ำทะเลที่ไกล
ออกไป เธอจึงรำพึงกับตัวเองว่า 
“เจ้าชายกำลังจะออกไปล่าสัตว์ เขาผู้ซึ่งฉันรักมากกว่าบิดาและมารดา ฉันจะยอมเสี่ยงทุกสิ่งอย่างเพื่อเอาชนะใจ
เขาและให้ได้มาซึ่งวิญญาณอันเป็นอมตะ ในขณะที่พวกพี่สาวกำลังเต้นรำกันอยู่ในพระราชวัง   ฉันจะออกไป
พบยายแม่มดถึงแม้โดยปกติฉันจะกลัวเพียงใดก็ตาม แต่มีเพียงแกคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถให้คำแนะนำและ
ช่วยเหลือฉันได้”
     ดังนั้นนางเงือกน้อยจึงออกจากสวนหย่อมของเธอและมุ่งตรงไปยังวังน้ำวน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของยายแม่มด 
เธอไม่เคยท่องเส้นทางนี้มาก่อน ตลอดเส้นทางไม่มีมวลดอกไม้และพืชพันธุ์ทะเลใดๆเลย เธอจำเป็นต้องเดิน
ทางข้ามพื้นที่ว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ของทรายสีเทาก่อนที่จะไปถึงวังน้ำวน ณ ที่นี้ มีกระแสน้ำหมุนวนราวกับ
กังหันลม มันสามารถที่จะปั่นเอาทุกสิ่งที่เข้าไปใกล้ให้จุ่มจมลงไปในหุบเหวซึ่งอยู่เบื้องล่าง เธอต้องผ่านบริเวณ
ขี้โคลนอันเหนอะหนะและปุ่มปมของอากาศราวกับฟองน้ำเดือด ซึ่งยายแม่มดเรียกว่า นาร้างของแก ส่วนที่พัก
ของแกตั้งอยู่ในราวป่าอันแปลกประหลาดซึ่งอยู่เลยออกไป หมู่ต้นไม้และสุมทุมต่างๆ ล้วนแต่มีปมยื่นออกมา
เหมือนมือ ดูราวกับงูร้อยหัวที่โผล่ออกมาจากพื้นดิน กิ่งก้านยาวๆและเป็นเมือกของลำต้นก็ยังมีตีนของหนอน
ไต่ยั้วเยี้ยอยู่รอบๆเต็มไปหมด ไม่ว่ามันจะเกาะเกี่ยวกิ่งก้านไหน มันก็จะกอดรัดตัวเองติดไว้อย่างเหนี่ยวแน่น
โดยไม่ยอมให้หลุดหรือเคลื่อนคลาย นางเงือกน้อยหยุดยืนนิ่ง มองดูราวป่าอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ครู่ใหญ่ ด้วยหัว
ใจที่เต้นแรงเพราะความหวาดกลัว เธอคงหันหลังกลับอย่างแน่นอนหากไม่ใช่เพราะเรื่องของเจ้าชายและ
วิญญาณอันเป็นอมตะ ความคิดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจทำให้เธอเกิดความกล้า เธอจึงรวบผมอันยาวสลวยเข้าไว้ 
เพื่อป้องกันไม่ให้มือเถาไม้มายุดผมของเธอ สองมือกอดผสานที่หน้าอกแล้วเธอก็พุ่งปราดผ่านไปด้วยความเร็ว
ยิ่งกว่าปลาแหวกน้ำ เธอสามารถเล็ดลอดฝ่าดงต้นไม้อันตรายไปได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งในขณะที่แขนของมันก็
เป็นอันต้องยื่นค้างออกมาอย่างหื่นหิว เธอได้เห็นแล้วว่ามือเถาไม้เกือบทุกอันสามารถจับสิ่งต่างๆให้ติดคาไว้ใน
อุ้งได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพราะว่าในนั้นมันยังมีมือเล็กๆอีกจำนวนนับพัน ซึ่งทำหน้าที่ราวกับเหล็กดัดคุมขัง บริเวณ
นั้นยังเห็นโครงกระดูกมนุษย์ขาวโพลน หมวกเหล็กของนักรบ เสื้อเกราะ โครงกระดูกของสัตว์บกหรือแม้แต่
ของเงือกน้อย ซึ่งแสดงว่าเจ้าของซากคงจะถูกดักจับและติดจองจำคาอยู่ที่นี่จนตาย สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็น
ภาพที่เลวร้ายที่สุดสำหรับวีรสตรีเงือกน้อยผู้น่าสงสารของเรา
ไม่นานเธอก็มาถึงทำเลที่ลุ่มอันกว้างใหญ่ มีพื้นดินอันอ่อนนุ่ม มีหอยล้วนแต่ตัวอ้วนๆคลานอยู่ย่านนั้น บริเวณ
ตรงกลางมีบ้านที่ทำจากโครงกระดูกของหมู่มนุษย์ ผู้ซึ่งโชคร้ายจากเรืออับปาง ณ ที่นี้เอง ยายแม่มดกำลังนั่งลูบ
ไล้คางคกอยู่ ด้วยอากัปกิริยาอย่างเดียวกันกับที่มวลมนุษย์เล่นกับนกที่เป็นสัตว์เลี้ยง แกเรียกหอยอ้วนที่น่า
เกลียดเหล่านั้นว่าฝูงไก่ของแก และปล่อยให้พวกมันไต่ไปทั่วทั้งตัว
“ฉันรู้ทีเดียวล่ะว่าเธอจะมาถามฉันเรื่องอะไร” แกพูดกับนางเงือกน้อย
“ความปรารถนาของเธอนี่ช่างเขลาเสียจริงนะ แต่มันก็อาจจะสมประสงค์ได้ โดยมีข้อแม้ว่ามันจะนำความโชค
ร้ายมาถึงเธออย่างแน่นอน เจ้าหญิงผู้แสนสวยของฉันเอ๋ย เธอมาได้ทันเวลาพอดี” แล้วแกก็พูดต่อ
“ถ้าแม้นเธอมาหลังพระอาทิตย์ตก ฉันก็จะไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้เป็นเวลาต่อไปอีกหนึ่งปี   เอาล่ะ เธอจะ
ต้องแหวกว่ายไปจนถึงบนบกและนั่งลงที่ฝั่ง แล้วจึงค่อยดื่มสิ่งที่ฉันจะเตรียมให้นี้ จากนั้นหางของเธอก็จะหดหาย
กลายเป็นสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกกันว่าขา การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้มันจะนำความเจ็บปวดมาให้เธออย่างมาก
ทีเดียว เธอจะเจ็บปวดราวกับถูกมีดคมๆทิ่มแทงทะลุผ่านร่างกายของเธอเลยล่ะ ทุกคนที่พบเห็นเธอก็จะพูดเป็น
เสียงเดียวกันว่าเธอเป็นเด็กหญิงที่น่ารักที่สุดที่พวกเขาเคยเห็น เธอจะต้องพยายามเคลื่อนไหวอย่างช้าๆและ
ระมัดระวัง ถึงแม้โดยปกติแล้วก็ไม่มีนักเต้นรำคนใดจะเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา แต่อย่าลืมว่าทุกๆก้าวย่างของ
เธอมันจะทำให้เจ็บปวดเกินกว่าจะทนได้ มันจะเจ็บปวดราวกับเธอเดินอยู่บนคมดาบและอาบเลือดนั่นทีเดียว
เธอจะอดทนต่อความทรมานทั้งหมดนี้ได้ไหมล่ะ ถ้าทนได้ฉันก็จะทำให้ตามที่ขอ”
“ฉันอดทนได้” เจ้าหญิงตอบด้วยน้ำเสียงสะดุด เพราะเธอคิดว่าเจ้าชายอันเป็นที่รักและความเป็นอมตะแห่ง
วิญญาณอาจจะเอาชนะได้ด้วยความทนทุกข์ทรมานของเธอ
“จงจำไว้นะ” ยายแม่มดกำชับ 
“ว่าเธอจะไม่สามารถกลับมาเป็นนางเงือกได้อีก ทันทีที่เธอได้กลายร่างเป็นมนุษย์ไปแล้ว เธอจะไม่มีโอกาส
กลับคืนมาหาพวกพี่สาวและพระราชวังของพระบิดาอีกเลย เธอจะไม่มีโอกาสได้รับวิญญาณอันเป็นอมตะที่เธอ
กำลังปรารถนาเลย เว้นเสียแต่ ข้อที่หนึ่งเธอจะเอาชนะหัวใจของเจ้าชายถึงระดับที่เขาละบิดาและมารดามาเพื่อ
เธอ ซึ่งเธอก็จะเป็นส่วนหนึ่งของความคิดและความปรารถนาของเขา และข้อที่สองเธอจะต้องได้รับการผสาน
มือโดยบาทหลวงเพื่อรับรองความเป็นสามีและภรรยาของเขาและเธอ ถ้าแม้นว่าเขาแต่งงานกับหญิงอื่นเมื่อใด 
เธอก็จะต้องตายในวันถัดไป เพราะว่าหัวใจของเธอแหลกสลายด้วยความเสียใจอย่างใหญ่หลวง แล้วร่างกายของ
เธอก็จะแปรเปลี่ยนกลายไปเป็นฟองน้ำลอยฟ่องในทะเล”
“ฉันก็ยังยืนยันว่าจะทำ!” นางเงือกน้อยกล่าว ด้วยอาการสั่นเทิ้ม หน้าซีดราวกับคนกำลังจะตาย
“นอกจากนี้แล้ว ฉันก็จะต้องได้รับการตอบแทน ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยเลยนะที่ฉันขอสำหรับเป็นค่าเหนื่อย
เธอเป็นผู้มีน้ำเสียงอันไพเราะหวานซึ้งที่สุดในบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล และเธอก็คิดว่าจะใช้เป็นเสน่ห์ดึง
ดูดเจ้าชาย ก็คือน้ำเสียงของเธอนี่ล่ะ ที่ฉันอยากได้เป็นรางวัล ฉันต้องการสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอมี เพื่อแลกกับเครื่อง
ดื่มอันวิเศษของฉัน เพราะมันได้มาจากการยอมพลีสังเวยด้วยโลหิตของฉัน เหตุนั้นมันจึงเป็นเครื่องดื่มที่อาจ
จะบาดเสมือนดาบสองคม”
“แต่ถ้าท่านเอาเสียงของฉันไปแล้ว” เจ้าหญิงพูดบ้าง
“ฉันจะมีอะไรเหลือไว้เป็นเสน่ห์เพื่อเจ้าชายล่ะ”
“ก็เรือนร่างอันนวยนาด” ยายแม่มดตอบ 
“การเยื้องกรายและสายตาสื่อความหมายของเธออย่างไรล่ะ ด้วยสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้หัวใจอันว่างเปล่าของพวก
มนุษย์หลงรักได้ง่ายๆ ก็หรือว่าเธอไม่กล้าเสียแล้ว เอาล่ะ แลบลิ้นเล็กๆของเธอออกมา ฉันจะได้ตัดเอาแล้วก็รับ
เครื่องดื่มวิเศษของเธอไป”
“เอาสิ!” เจ้าหญิงตอบ ในขณะที่ยายแม่มดก็เอื้อมมือเอาหม้อโลหะใหญ่มาทำการผสมยา 
“ความสะอาดเป็นสิ่งที่ดี” แกเปรยขึ้นพร้อมกับจัดการขัดหม้อยาด้วยคางคกและหอยเต็มกำมือ จากนั้นแกก็
ทิ่มที่หน้าอกของตัวเองให้เป็นแผล แล้วปล่อยให้เลือดสีดำค่อยๆไหลลงในหม้อ เสร็จแล้วก็โยนส่วนผสมบาง
อย่างใส่ลงไป เกิดเป็นไอควันออกมาจากส่วนผสม ซึ่งอาจหมายถึงปฏิกิริยาแห่งความน่าสะพรึงกลัว ความทุกข์
ทรมานโอดครวญและโหยหวนอยู่ในนั้น พอได้เวลาเครื่องดื่มวิเศษก็กลายเป็นน้ำสะอาดใสแจ๋ว เป็นอันเสร็จ
เรียบร้อย
“นี่ไง รับไปสิ!” ยายแม่มดกล่าวแก่เจ้าหญิง พร้อมกับตัดเอาลิ้นของเธอออกไปโดยฉับพลัน 
นางเงือกน้อยผู้น่าสงสารจึงไม่สามารถพูดหรือร้องเพลงได้อีกต่อไป เพราะกลายเป็นใบ้ไปโดยปริยาย
“ถ้าพวกมือเถาไม้จะพยายามยุดเธอไว้ระหว่างที่เดินทางผ่านสวนน้อยของฉัน” แกกล่าวแสดงความเป็นห่วง
“เธอก็เพียงแต่สะบัดเครื่องดื่มวิเศษนี้ใส่แขนของมัน มันก็จะแตกทำลายกลายเป็นพันๆชิ้น”   
แต่ว่าเจ้าหญิงก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะทันทีที่พวกมันรับรู้ถึงความสว่างของขวดผลึกใส่ยาที่ส่อง
เป็นประกายราวกับดวงดาวอยู่ในมือของเธอ มันก็พากันหดหรือถดถอยกลับไป เธอจึงสามารถเดินทางข้ามพ้น
ป่าอันตราย นาร้าง และธารฟองน้ำ กลับมาได้อย่างปลอดภัย 
           ทินกรยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า เธอก็มาถึงยังพระราชวังของเจ้าชาย ณ บริเวณที่เป็นที่รู้จักกันดี คือบัน
ไดหินอ่อนทางลงทะเล แสงจันทร์ยังสาดส่องจากท้องนภาในเวลาที่เธอดื่มยามหัศจรรย์จากขวดผลึก 
พลันเธอก็รู้สึกเหมือนกับคมมีดทิ่มแทงทะลวงกายจนถึงกับล้มลงสลบไป ครั้นดวงตะวันลอยเคลื่อนมาเยือน
อัมพร เธอจึงฟื้นคืนสติและรู้สึกปวดระบมไปทั่วส่วนล่าง พอลืมตาขึ้นเธอก็เห็นเจ้าชายรูปงามกำลังก้มมองเธอ
อยู่ ความอายบังเกิดขึ้นเต็มกำลัง เธอเหลือบมองหลบลงต่ำ แต่สิ่งที่ปรากฏแทนที่จะเป็นหางปลาอันเรียวยาวของ
เธอ บัดนี้มันคือสิ่งที่เธอต้องทนแบกรับอย่างทรมาน สิ่งนั้นก็คือขาอันเรียวงามสองขาของเธอ แต่ทว่าเธออยู่ใน
สภาพอันเปลือยเปล่า ถึงจะพยายามปกปิดด้วยผมยาวและดกของเธอก็ไร้ผล เจ้าชายทรงถามว่าเธอเป็นใคร มา
ถึงที่นี่ได้อย่างไร แทนคำตอบเธอได้แต่ยิ้มและจ้องมองเจ้าชายด้วยดวงตาสีฟ้าอันสดใสของเธอ อนิจจา! เธอพูด
ไม่ได้ เจ้าชายจึงจูงมือเธอเข้าไปในพระราชวัง ทันทีที่เธอออกก้าวเดิน เธอก็รู้สึกราวกับเหยียบย่ำไปบนคมดาบ
อันแหลมคม แต่เธอก็ทนแบกรับความเจ็บปวดด้วยความยินดี ยามเธอเยื้องย่างไปนั้นก็แสนจะแผ่วเบาดูประ
หนึ่งวาโยโบก ใครๆที่ได้พบเห็น ต่างก็ฉงนต่อการเคลื่อนไหวของเธอ ซึ่งนุ่มนวลราวกับไร้กระดูกเป็นลูกคลื่น...
18 พฤษภาคม 2557 03:20 น.

นางเงือกน้อย (The mermaid) ตอนที่ ๑

Prayad

         ไกลออกไปในท้องทะเลกว้าง ที่นั่นน้ำเป็นสีน้ำเงิน งดงามราวกับดอกข้าวโพดและใสแจ๋วราวกับผลึก
อันบริสุทธิ์ ที่แห่งนั้น      อยู่ลึกลงไปขนาดหลายต่อหลายชั่วความสูงของยอดแหลมหลังคาโบสถ์ ซึ่งเป็นจุดที่ลึก
ที่สุด  ณ ที่นี้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าชาวเงือกมีพระราชวังของราชาแห่งชาวเงือก ตั้งอยู่ห้วงทะเลที่ลึกที่สุด
ผนังกำแพงปราสาท ล้วนทำด้วยปะการัง ถัดขึ้นมาคือส่วนยอดแหลมและหน้าต่างทำด้วยอำพัน ซึ่งคอยแต่พลิ้ว
ไหวปิดๆเปิดๆเมื่อต้องลูกคลื่นของน้ำทะเล สำหรับหลังคาพระราชวังทำจากเปลือกหอยนาๆชนิด เหตุนี้จึงทำให้
ปราสาทดูงดงามตระการตา โดยเฉพาะเหล่าเปลือกหอยที่อุดมไปด้วยไข่มุกอันมากมาย จะสะท้อนแสงอยู่แวววับ
นี่ถ้าหากปรากฏอยู่บนพื้นโลกมนุษย์ ไข่มุกเหล่านี้ก็ย่อมเป็นเครื่องประดับที่ล้ำค่าราคาแพงที่สุด
       ราชาแห่งชาวเงือกในปราสาทแห่งนี้ ทรงดำรงความเป็นพ่อหม้ายมานานหลายปี แต่โชคดีทรงมีพระมารดา
ผู้ชราภาพคอยช่วยเหลือดูแลจัดแจงเรื่องราวต่างๆ ภายในครอบครัวให้กับองค์ราชา พระนางเพียบพร้อมด้วยคุณ
สมบัติของกุลสตรี และในเวลาเดียวกันพระนางก็มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ในชาติกำเนิดและสถานภาพ
ของตน พระนางจึงสวมเครื่องประดับที่หางด้วยหอยนางรมถึงสิบสองตัว ในขณะที่เงือกชั้นเจ้านายอื่นๆจะอนุญาต
ให้ประดับได้เพียงหกตัว พระนางเป็นที่ยกย่องสรรเสริญเกินคณานับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความห่วงใย 
ใส่พระหฤทัยเอ็นดู ที่มีต่อเจ้าหญิงองค์น้อยๆทั้งหกพระองค์ ซึ่งเป็นหลานสาวของพระนางนั่นเอง เจ้าหญิงวัยเยาว์
เหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีรูปร่างสะสวยงดงาม โดยเฉพาะเจ้าหญิงพระองค์เล็ก คนสุดท้องนั้นน่ารักที่สุด 
ผิวพรรณของเธออ่อนนุ่ม ละเมียดละไมราวกับกลีบกุหลาบ ตาของเธอสีฟ้าราวกับห้วงที่ลึกสุดของมหาสมุทร 
อย่างไรก็ตามเธอก็เหมือนกับชาวเงือกทั่วไปคือเธอไม่มีเท้า ร่างกายของเธอสิ้นสุดลงตรงที่เป็นหางปลา
     ตลอดวันอันยาวนานเมื่อครั้งยังเยาว์ เหล่าเจ้าหญิงทั้งหกก็จะละเล่นอยู่ในห้องโถงใหญ่ของปราสาท อันดาร
ดาษไปด้วยมวลบุปผานาๆพันธุ์ที่ขึ้นอยู่โดยห้อมล้อมตามผนังกำแพง ครั้นหน้าต่างอำพันถูกเปิดออก ปลาก็จะ
แหวกว่ายเข้ามาข้างในราวกับนกกระจาบถลาเข้ามาภายในห้องของเราที่บ้าน แต่ที่นี่สิยิ่งกว่าเพราะพวกปลามันจะ
ว่ายตรงไปหาเจ้าหญิงองค์น้อยๆเหล่านั้น เพื่อไปกินอาหารจากมือและยังยินยอมให้เล่นด้วยอย่างคุ้นเคย
บริเวณด้านหน้าของพระราชวัง มีอุทยานขนาดใหญ่ที่อุดมไปด้วยหมู่แมกไม้สีแดงสดและน้ำเงินเข้ม ผลของมัน
ทอประกายราวกับทองคำ ส่วนดอกของมันก็ส่งสีสันอันสดใสดุจเดียวกับแสงเจิดจ้าของดวงตะวัน 
พื้นดินของอุทยานอันเกิดจากทรายละเอียดก็ให้สีน้ำเงินสดใส มีก๊าซบางอย่างพวยพุ่งออกมาราวกับเปลวของ
กำมะถัน ดูน่าแปลก สีน้ำเงินของมันแผ่กระจายปกคลุมไปทั่ว เหตุนี้บางคนอาจจะคิดไปว่า ตนเองอยู่ท่ามกลาง
เมฆหมอกบนท้องนภาแทนที่จะเป็นเบื้องล่างสุดของมหาสมุทร 
     ในยามที่น้ำทะเลสงบนิ่ง หากใครสักคนเหลือบมองขึ้นเบื้องบน ก็จะปรากฏเห็นดวงอาทิตย์เป็นเหมือน
ดอกไม้สีม่วงที่แผ่พะยับรำไรอันเกิดจากลำแสงของมัน
ภายในอุทยานแห่งนี้ เจ้าหญิงองค์น้อยๆแต่ละพระองค์จะมีพื้นที่สวนหย่อมของตนเองสำหรับปลูกต้นไม้
หรือหว่านเมล็ดพันธุ์ต่างๆตามแต่จะทรงโปรด 
พระองค์หนึ่งทรงโปรดทำสวนหย่อมเป็นรูปปลาวาฬ    อีกพระองค์หนึ่งทรงโปรดทำเป็นรูปนางเงือก
ส่วนที่เป็นของเจ้าหญิงพระองค์เล็กสุดค่อนข้างกลมทีเดียวราวกับดวงตะวัน แล้วเธอก็ปลูกดอกไม้
เลือกเอาแต่เฉพาะที่ให้สีสันอันเป็นสีของดวงอาทิตย์นั่นเอง เธอจึงเป็นเด็กที่โดดเดี่ยวโดยแท้
มีอุปนิสัยเงียบและสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
          ครั้งหนึ่งเหล่าพี่สาวของเธอต่างพากันแต่งกายด้วยสิ่งของต่างๆดูชอบกล อันได้มาจากเรือที่อับปาง
ส่วนเธอเองไม่ได้ประสงค์สิ่งใดเลย นอกจากขอเอาหินอ่อนสีขาวที่แกะสลักอันสวยงามเป็นรูปเด็กผู้ชาย
ที่พบตกอยู่ ณ ที่นั้น เธอจึงนำรูปแกะสลักไปวางไว้ในสวนหย่อมของเธอ แล้วก็ปลูกวิลโลพันธุ์สยายกิ่ง 
ต้นสีแดงไว้ข้างๆ ปล่อยให้กิ่งยาวเฟื้อยของมันตกลงมาและทาบเงาสีม่วงเข้มที่โบกไหวอยู่เป็นนิตย์
ลงกับพื้นทรายสีน้ำเงิน      ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าหญิงพระองค์เล็กจะทรงโปรดมากไปกว่า การได้ยินได้ฟัง
เรื่องราวเกี่ยวกับโลกมนุษย์ที่อาศัยอยู่เหนือท้องทะเล เธอจึงมักจะหว่านล้อมให้เสด็จย่าผู้ชราบอกเล่า
ทุกสิ่งอย่างที่พระนางทรงรับรู้เกี่ยวกับ เรือ บ้านเมือง ผู้คน สัตว์บนบก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอจะชื่นชอบมาก
เมื่อได้รับรู้ว่าดอกไม้อันมีอยู่ที่โลกเบื้องบนนั้นมีกลิ่นอันน่าพิสมัย (ทั้งนี้เพราะดอกไม้ทั้งหลายในมหาสมุทรนั้น
หาได้มีกลิ่นไม่) ป่าไม้มีสีเขียวขจี หมู่ปลาที่ซอกซอนอยู่กับกิ่งก้านของแมกไม้ก็มีหลายหลากสีน่าประหลาด 
และยังสามารถร้องเพลงขับขานด้วยเสียงอันดังฟังชัด เสด็จย่าทรงหมายถึงมวลหมู่นก ที่พระนางทรงเรียกว่า
หมู่ปลาก็เพียงแต่เปรียบเทียบให้เหล่าหลานๆพอเข้าใจ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นนกมาก่อน 
หากไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่เข้าใจ
“เมื่อพวกเธออายุครบสิบห้าปี” พระนางตรัส 
“พวกเธอก็จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเที่ยวเล่นยังพื้นผิวน้ำทะเลได้ พวกเธอก็จะมีโอกาสได้ไปนั่งที่ชะง่อนหิน
ท่ามกลางแสงจันทร์ ดูเรือใบแล่นไปมาและเรียนรู้เกี่ยวกับบ้านเมืองและผู้คน อย่างไรล่ะ”
          ในปีถัดมาเจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ก็เจริญชันษาถึงอายุดังกล่าว เธอจึงสัญญาว่าจะบอกเล่าให้แก่น้องๆฟัง
ถึงเรื่องราวต่างๆที่เสด็จย่าทรงไม่เคยเล่ามาก่อน และเป็นเรื่องที่พวกเธออยากได้ยินได้ฟังมาก ในบรรดาพี่น้อง
ด้วยกันไม่มีใครเลยที่จะใจจดจ่อเฝ้ารอคอยวันครบรอบปีเกิดที่สิบห้ามากเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์เล็กสุด
ผู้ซึ่งมีระยะเวลาที่ต้องรอคอยยาวนานที่สุด แต่ก็ด้วยความเงียบและอย่างสุขุม หลายต่อหลายคืนที่เธอเอาแต่เฝ้า
ยืนอยู่ริมหน้าต่างและเหม่อมองผ่านน้ำสีครามอันสดใสขึ้นไปยังเบื้องบน พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ก็เป็นที่
ปรากฏต่อเธอ ในยามที่มีเงาเคลื่อนผ่านไป เธอเองก็รู้ดีว่ามันจะต้องเป็นปลาวาฬหรือไม่ก็เป็นเรือ ที่แล่นไป
พร้อมกับหมู่มนุษย์โดยสารมาเต็มลำ แต่คงไม่มีใครแม้แต่น้อยที่จะคิดว่า ลึกสุดลงไปใต้ท้องเรือของพวกเขา
ยังมีนางเงือกน้อยกำลังยื่นมืออันบอบบางมาทางเรืออย่างถวิลหา
          ครั้นพี่สาวคนใหญ่กลับจากการเยือนดินแดนเบื้องบน เธอก็นำเรื่องราวหลายอันพันประการมาบอกเล่า
ให้ฟัง สิ่งที่เธอชื่นชอบมากที่สุดคือการได้ไปนั่งอยู่ที่หาดทรายท่ามกลางแสงจันทร์ เฝ้าจ้องดูบ้านเมืองอันใหญ่โต
ที่เรียงรายอยู่ตามชายฝั่ง มีแสงสว่างวับแวมราวกับหมู่ดวงดาว และบางคราวก็ได้ยินเสียงดนตรีบรรเลง 
เธอแว่วเสียงผู้คนและล้อเกวียนจากระยะไกล เธอได้ยลหอคอยโบสถ์อันสูงลิบ ได้ยินเสียงระฆังลั่นเหง่งหง่าง 
เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมนต์สะกดเจ้าหญิงพระองค์เล็กสุดให้สดับตรับฟังทุกถ้อยคำที่เธอเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ
 เมื่อเธอไปยืนอยู่ริมหน้าต่างคราวต่อไป และจับตาจ้องมองผ่านน้ำทะเลสีครามออกไปสู่เบื้องบน เธอก็มักจะ
คิดคำนึงอย่างมากถึงบ้านเมืองอันยิ่งใหญ่และอึงอนไปด้วยผู้คน จนทำให้ได้ยินเสียงระฆังลั่นหง่างเหง่ง
ในจินตนาการ
          ในปีถัดมาพี่สาวคนที่สองของเธอก็ได้รับการอนุญาตให้ออกไปแหวกว่ายได้ตามแต่จะทรงโปรด เธอขึ้น
ไปสู่ผิวน้ำทะเลในยามพระอาทิตย์กำลังอัสดง ทัศนียภาพในเวลานี้ช่างสุดแสนเป็นที่ประทับใจเธอมาก เธอยอม
รับว่ามันช่างดูสวยสดงดงาม ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดเหนือท้องทะเลเท่าที่เธอเคยเห็นมา
 “ทั่วท้องนภาราวกับถูกฉาบทาด้วยทองคำ” เธอกล่าว 
“และความงดงามของหมู่เมฆก็เกินกว่าที่ฉันจะให้คำอธิบายได้ เดี๋ยวเป็นสีแดง เดี๋ยวเป็นสีม่วงเข้ม ล่องลอย
อยู่เบื้องบน นอกจากนั้นยังมีฝูงหงส์สีขาวบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือท้องน้ำ บริเวณที่ดวงตะวันกำลังจะจมหายลงไป
ฉันเฝ้าจ้องมองและตามดูพวกมันจนกระทั่งดวงอาทิตย์จมลับหายไปจากสายตา พร้อมๆกับแสงระเรื่อชมพูที่พื้น
ผิวน้ำทะเลและตามขอบของม่านเมฆก็ค่อยๆจางลงและอันตรธานไปในที่สุด”
         พี่สาวคนที่สามดูจะเป็นที่ประทับใจที่สุด เมื่อเวลาแห่งการไปเยือนโลกเบื้องบนของเธอมาถึง เธอเลือกไป
ผจญภัยที่ลำน้ำแห่งหนึ่ง เธอได้เห็นเนินเขาอันปกคลุมไปด้วยป่าไม้ และยังมีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยพร้อมไร่องุ่น
และปราสาทอยู่ท่ามกลางป่าไม้นั้น เธอได้ยินเสียงนกกำลังขับขาน ในขณะที่แสงสุรีย์ก็สุดแสนจะแผดร้อน 
จนเธอต้องคอยกระโจนลงสู่เบื้องลึกเพื่อรักษาความชุ่มเย็นให้กับใบหน้าที่กำลังผ่าวร้อน เธอไปเห็นพวกเด็กๆ
กำลังเล่นกันที่ท่าน้ำเล็กๆแห่งหนึ่ง บ้างก็เล่นอาบน้ำ บ้างก็เล่นกระโดด เธอใคร่ที่จะเข้าไปร่วมเล่นเกมกับพวก
เขา แต่แล้วพวกเขาก็วิ่งหนีขึ้นบนบกด้วยอาการหวาดกลัวอย่างสุดขีด และยังมีสัตว์ตัวเล็กๆสีดำเห่ามาที่เธอด้วย
ท่าทางน่าหวาดกลัวจนเธอต้องล่าถอยแหวกว่ายกลับสู่ท้องทะเล  เธอไม่อาจที่จะลืมเลือนความเขียวชอุ่มพุ่มไสว
ของป่าไม้ เนินเขา และเหล่าเด็กๆที่น่ารัก ที่เคยพากันว่ายเล่น ณ ลำน้ำแห่งนั้น และโดยปราศจากความ
หวาดกลัวถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีหางเหมือนอย่างเธอ
         สำหรับพี่สาวคนที่สี่ไม่สู้จะมีสิ่งประทับใจนัก กล่าวคือเธอไปอยู่ที่ทะเล ครั้นกลับลงมาเธอก็คิดว่าไม่มีสิ่งใด
ที่สวยไปกว่านี้อีกแล้ว สิ่งที่เธอได้พบเห็นในระหว่างนั้นคือ มีเรือแล่นผ่านเธอไป พอห่างไกลออกไปก็ดูราวกับ
นกนางนวล เธอได้เห็นหมู่ปลาโลมากระโดดโลดเล่น ได้เห็นปลาวาฬพ่นน้ำออกทางจมูกของมัน จึงดูราวกับ
มีธารน้ำพุอยู่โดยรอบตัว
        ในวาระครบรอบวันเกิดของพี่สาวคนที่ห้านั้น เป็นห้วงฤดูหนาว ดังนั้นเมื่อเธอขึ้นมาสู่ยังพื้นผิวจึงเห็น
ทะเลเป็นสีเขียว และมีก้อนอันมหึมาของน้ำแข็งลอยล่องอยู่ ที่ผู้คนเรียกกันว่าไอซ์เบิร์กซ์ เธอกล่าวว่ามันดูราว
กับไข่มุกขนาดใหญ่ และดูเหมือนว่ามันจะใหญ่กว่าหอสูงของโบสถ์เสียด้วยซ้ำ เธอนั่งลงบนก้อนน้ำแข็งอันมหึมา
นั่นแล้วก็ปล่อยให้สายลมโกรกเล่นอยู่กับเส้นผมของเธอ ทันทีที่พวกเดินเรือผ่านมาเห็นเธอเข้า ทุกๆลำก็จะหัน
เหเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรืออย่างรวดเร็ว เมื่อเพลาย่างสู่สนธยา พายุใหญ่ก็อุบัติขึ้น ขณะที่ก้อนน้ำแข็งใหญ่ก็
โยกโคลงขึ้นและลงตามคลื่นทะเลพร้อมกับการสะท้อนแสงของประกายไฟจากท้องนภา สายฟ้าแลบพาดผ่าน
ไปยังหมู่เมฆ ตามด้วยเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ระลอกแล้วระลอกเล่า พวกเรือต่างพากันลดใบลงจนสิ้นตามด้วย
ความโกลาหลวุ่นวายอยู่บนเรือ ในขณะที่เจ้าหญิงองค์น้อยๆก็เพียงแต่นั่งอยู่บนก้อนน้ำแข็งอยู่อย่างเงียบๆและ
มองดูสายฟ้าสีน้ำเงินแยกเป็นแฉกพุ่งลงไปในท้องทะเล
       การไปเยือนยังดินแดนโลกเบื้องบนเป็นครั้งแรกของพี่สาวแต่ละองค์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นที่ติดตาตรึงใจไป
กับสิ่งใหม่ๆที่ได้พบเห็นและความสวยสดงดงามของวัตถุเหล่านั้น แต่ความใหม่ที่ว่าพอสักประเดี๋ยวก็ผ่านพ้นไป
คือความใหม่อยู่ได้เพียงไม่นานก่อนที่สภาพตามบ้านเกิดของพวกเธอจะปรากฏขึ้นแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุด
ยิ่งกว่าดินแดนใดๆทั้งมวล เป็นเวลาหลายต่อหลายวันในเวลาเย็น ที่เหล่าพี่สาวทั้งห้ายังคงเกี่ยวก้อยกันแหวก
ว่ายขึ้นมาจากเบื้องลึกของมหาสมุทร น้ำเสียงของพวกเธอนั้นสุดแสนจะหวานล้ำ และไพเราะยิ่งกว่าน้ำเสียงของ
หมู่มนุษย์ทั้งหลาย ในยามที่พายุกำลังจะมาพวกเธอก็จะพากันแหวกว่ายไปยังด้านหน้าของเรือและส่งสำเนียงขับ
ขานพวกเธอช่างขับร้องได้อย่างไพเราะเสนาะเสียงสำเนียงหวานกระไรอย่างนั้น อันเป็นสื่อบ่งบอกถึงความสุข
หฤหรรษ์ของหมู่เหล่าผู้มีถิ่นพำนักอยู่ ณ เบื้องล่างของท้องทะเล และยังเป็นการวิงวอนนักเดินเรือขออย่าได้
มีความหวาดกลัว แต่จงได้โปรดลงมาหาพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกชาวเรือก็หาได้เข้าใจในถ้อยคำเหล่านั้นไม่
และต่างก็คิดไปว่าเสียงเพลงเหล่านั้น มันก็คงเป็นเพียงแค่เสียงกรีดหวีดหวิวของลมทะเลเท่านั้นเอง 
     ในขณะที่เหล่าพี่สาวทั้งห้ากำลังพากันออกไปแหวกว่ายในห้วงเพลาเย็น พระธิดาองค์เล็กสุดก็ยังคงสงบนิ่งอยู่
ในปราสาทของพระบิดา ได้แต่แหงนมองตามหลังพวกพี่สาวไป เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากธรรม
ชาติของนางเงือกไม่สามารถจะหลั่งน้ำตาร้องไห้ได้ และเหตุนี้เองผลตามมาก็คือเมื่อเวลาที่พวกเขาเป็นทุกข์ 
พวกเขาจึงมีความทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดยิ่งเสียกว่าความทุกข์ที่มวลมนุษย์พึงได้รับ
“โอ! นี่ถ้าเพียงแต่ฉันมีอายุครบสิบห้านะ! เธอตัดพ้อ 
“ฉันรู้ว่า ฉันอาจจะรักดินแดนเบื้องบนและผู้คนของที่นั่นมาก”
และแล้วในที่สุด วันที่เธอเฝ้ารอคอยนานแสนนานก็มาถึง
“เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาของเธอแล้ว” เสด็จย่าตรัส 
“มาทางนี้ซิ ย่าจะจัดแจงแต่งกายให้ จะได้เหมือนกับเหล่าพี่สาวของเธอ” 
พระนางจึงนำพวงมาลัยดอกลิลลี่มาพันรอบๆผมของเธอและมีรับสั่งให้นำหอยนางรมขนาดใหญ่แปดตัวมามัด
เข้าประดับหางของเจ้าหญิง อันถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสูงศักดิ์ของเธอ
“แต่มันทำให้ไม่คล่องตัวเลยนะ!” เจ้าหญิงองค์เล็กทักท้วง
“ใครที่ปรารถนาให้ตนเองมองดูดี เขาก็จะไม่กังวลกับความไม่สะดวกสบายเล็กๆน้อยๆ” เสด็จย่าทรงเอ่ยขึ้น
เจ้าหญิงเองนั้นก็ยินดีที่จะถอดมงกุฎอันตระการตานี้ออกเสีย เพื่อเปลี่ยนเป็นแค่ปักแซมผมด้วยดอกไม้สีแดง
จากสวนหย่อมของเธอ แต่ในเวลานี้เธอก็มิบังอาจที่จะทำเช่นนั้น “ฉันไปล่ะนะ” เธอกล่าวอำลาแล้วก็แหวก
ว่ายออกไปอย่างนุ่มนวลราวกับฟองน้ำ
     ในเวลาที่เธอมาถึงยังพื้นผิว ดวงอาทิตย์เพิ่งจะจมลงไปใต้เส้นขอบฟ้า แต่ยังฉาบทาด้วยสีทองและชมพูที่หมู่
เมฆให้ยังพอมองเห็นอยู่รำไร ดวงดาราในเพลาพลบค่ำกำลังส่องประกายแต่เพียงน้อย ท่ามกลางนภาที่ฝ้าขาว
ทางทิศประจิม ขณะที่อากาศก็กำลังพอดีและสดชื่น เวลานั้นมีเรือสามกระโดงขนาดใหญ่ลำหนึ่ง จอดนิ่งอยู่กับพื้น
น้ำทะเลที่เรียบสงบ มีธงทิวจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวสะบัดอยู่ตามเสากระโดงเรือเหล่านั้น แต่มีอยู่เสาหนึ่งที่ไม่ได้
ลดใบลง ถึงกระนั้นก็ไม่มีลมแผ่วพัดผ่านมารบกวนแต่อย่างใด ชาวเรือพากันนั่งเงียบๆที่เสากระโดงเรือและหมู่
เชือกสาย ต่อมาดนตรีและเสียงขับร้องก็แว่วได้ยินมาจากทางดาดฟ้าของเรือ ครั้นความมืดเข้าปกคลุม ตะเกียง
นับร้อยๆดวงก็ถูกจุดขึ้น นำเอาความสว่างไสวเข้ามาแทนที่โดยทันที
      นางเงือกน้อยได้แหวกว่ายเข้าไปใกล้ๆห้องของกัปตัน แล้วมองผ่านเข้าไปทางหมู่หน้าต่างใสๆรูปกระทะ
เธอมองเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์อันหรูหราของบุรุษอยู่ในนั้นมากมาย ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในบรรดาคน
เหล่านั้นได้แก่พระราชโอรสผู้มีดวงเนตรโตและดำขลับ อีกทั้งยังทรงพระเยาว์ พระองค์มีอายุครบสิบหกชันษา 
ซึ่งผู้คนทั้งหมดบนเรือในเวลานี้กำลังจัดงานเลี้ยงอันอลังการเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบวันเกิด
ของพระองค์ พวกลูกเรือทั้งหลายกำลังเต้นรำกันอยู่บนดาดฟ้า ครั้นพอเจ้าชายมาปรากฏตัวต่อบรรดาผู้คนเหล่า
นั้น หมู่พลุ ตะไล บั้งไฟ และดอกไม้เพลิงทั้งหลายจำนวนนับเป็นร้อยๆ ก็ถูกจุดส่งขึ้นสู่นภากาศ เปลี่ยนจากความ
มืดของรัตติกาลเป็นความสว่างของทิวาในบัดดล ในเวลาเดียวกันมันก็สร้างความตื่นกลัวให้กับนางเงือกน้อยเอา
มาก จนนางถึงกับดำดิ่งลึกลงไปใต้น้ำ แต่เวลาไม่นานเธอก็โผล่กลับขึ้นมาอีกครั้ง ในคราวนี้ดูเหมือนว่าดวงดาว
ทั่วทั้งอัมพรกำลังร่วงหล่นลงมายังเธอ นับว่าเป็นครั้งแรกของเธอที่เคยเห็นงานเผาเทียนเล่นไฟ และไม่เคยได้
ยินมาก่อนเลยว่าพวกมนุษย์มีความสามารถและทรงไว้ซึ่งอำนาจอันอัศจรรย์เยี่ยงนี้ ดวงตะวันใหญ่หลายต่อหลาย
ดวงหมุนควงอยู่รอบๆเธอ ปลาที่กำลังคึกคะนองดีดตัวขึ้นมาเหนือน้ำให้เห็น ทุกสิ่งอย่างมองเห็นภาพสะท้อนอัน
บริบูรณ์ด้วยฉากของพื้นผิวน้ำทะเลอันสดใส  
     เนื่องมาแต่แสงสว่างจากเรือนั่นเอง ที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โอ! เจ้าชายช่างเป็น
บุรุษที่หล่อเหลาเกินกว่าจะพรรณนา! พระองค์ทรงสัมผัสมือกับเหล่ากลาสีเรือและทรงพระสรวลขณะที่ตรัส
หยอกล้ออยู่กับพวกเขา ในเวลาเดียวกันท่วงทำนองอันไพเราะหวานแว่วของดนตรีปี่พาทย์ ก็ยังคงบรรเลงไป
อย่างสอดประสานกลมกลืนกับความเงียบสงัดแห่งรัตติกาล
มันสายมากแล้ว แต่นางเงือกน้อยก็ยังไม่สามารถตัดใจตัวเองให้ปลีกหนีไปจากเรือและเจ้าชายหนุ่มรูปงามนั้น
ได้เลย เธอยังคงวนเวียนคอยจ้องมอง ผ่านทางหน้าต่างอยู่ร่ำไป โดยมีระลอกคลื่นซัดเธอกลับไปกลับมาอยู่ ณ ที่
นั่น ฟองน้ำและปุ่มปมของอากาศคล้ายๆกับความเดือดพล่านของน้ำค่อยๆผุดขึ้นมาอย่างช้าๆจากเบื้องล่างส่วนลึก
ลงไป ครู่ต่อมาลูกคลื่นก็สูงขึ้นๆ  ส่วนท้องฟ้าก็มีการก่อตัวของหมู่เมฆที่หนาดำ เสียงฟ้าร้องได้ยินมาแต่ไกล 
พวกเหล่ากลาสีเรือเห็นได้ชัดว่าพายุกำลังจะมา ใบเรือจึงถูกชักลงอีกครั้ง ด้วยแรงลมพายุมหาสมุทรที่กำลังปั่นป่วน
ถึงจะเป็นเรืออันใหญ่โต แต่ก็เห็นเป็นประหนึ่งเรือเล็ก เมื่อเทียบกับลูกคลื่นอันมหึมา ขนาดราวกับภูเขาดำทะมึน
ที่กำลังถั่งโถมเข้ามา เรือจึงดิ่งลงสู่หุบของคลื่นทะเลราวกับหงส์ป่าถลาร่อน แล้วก็ถูกซัดขึ้นสูงอีกระลอกหนึ่ง 
เหตุการณ์นี้ดูจะเป็นที่พึงพอใจแก่นางเงือกน้อย หากแต่ว่าแตกต่างเป็นอย่างมากกับความคิดของพวกลูกเรือ
แผ่นไม้ของเรือแตกร้าว เสากระโดงอันแข็งแกร่งก็หักสะบั้นลง จากความรุนแรงของพายุทะเล น้ำจึงทะลักเข้า
ตามรูรั่ว นางเงือกน้อยเริ่มตระหนักดีว่า ผู้คนบนเรือกำลังตกอยู่ในอันตราย สำหรับตัวเธอเองก็ต้องคอยโผเข้า
เกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่ขาดออกมาจากเรือเพื่อให้ลอยคออยู่เหนือลูกคลื่น 
     ทันใดนั้นเอง มันกลับมืดลงสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย เมื่อแสงสว่างของฟ้าแลบปรากฏขึ้นชั่วขณะในเวลา
ต่อมา ก็ทำให้เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งมวลอย่างชัดเจนราวกับเป็นกลางวัน เธอจดจ้องมองหาเจ้าชายหนุ่มในขณะที่
เรือกำลังแตกและอับปางลง พลันเธอก็มองเห็นเจ้าชายตกลงไปในน้ำและกำลังจะจมลงสู่ท้องทะเล เธอรู้สึกยินดี
และเป็นสุขยิ่ง ด้วยคิดว่าพระองค์คงจะเสด็จลงมายังปราสาทของเธอได้ แต่แล้วเธอก็ฉกคิดขึ้นมาได้ว่า มนุษย์นั้น
ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ในท้องทะเลได้ 
“ไม่ ไม่นะ เขาจะต้องไม่ตาย!”
เธอจึงแหวกว่ายฝ่าซากปรักหักพังของเรือเข้าไป โดยไม่คิดระแวงถึงอันตราย
ใดๆเลยแม้แต่นิด ในที่สุดเธอก็พบเจ้าชาย ซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะทนว่ายต่อไปได้อีกเลย สองพระเนตรนั้น
หลับลงสนิทแล้ว องค์ชายย่อมจะจมน้ำตายเป็นแน่ หากแม้นไม่มีนางเงือกน้อยมาช่วยไว้ทันเวลา เธอเข้าไปคว้า
เอาร่างของเจ้าชายมายุดไว้ให้อยู่เหนือน้ำ และจำต้องยอมให้กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากโอบรัดเขาทั้งสองเข้าไว้
ด้วยกัน พอรุ่งอรุณมาถึง พายุก็เป็นอันผ่านพ้นไป แต่ไม่มีร่องรอยของเรือเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ดวงตะวันสี
แดงโผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ ดูเหมือนว่ารังสีแห่งแสงสุรีย์ได้ช่วยให้ใบหน้าอันซีดขาวของเจ้าชายค่อยมีสีผิวกลับคืน
มาบ้าง แม้ว่าดวงเนตรทั้งสองจะยังคงหลับอยู่ ครั้นนางเงือกเสยเกศาอันเปียกโชกของเจ้าชายจนเห็นดวงพักตร์
อย่างชัดเจน เธอถึงกับรำพึงว่า เขาช่างมีหน้าตาคล้ายคลึงกับรูปแกะสลักในสวนหย่อมของเธอยิ่งนัก เธอบรรจง
จุมพิตเจ้าชายอย่างละมุนละไมและหวังใจไว้ว่าเขาอาจจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป  
8 มกราคม 2557 23:56 น.

โพลสำรวจย้ายเมืองหลวง

Prayad

Professor Bryan Kline หรือ ศาสตราจารย์ ไบรอันไคลน์ เป็นอาจารย์ชาวฝรั่งที่มาฝังตัวอยู่ทำวิจัยในเมืองไทยเป็นเวลาติดต่อกันมานมนานหลายปี ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาอุทกศาสตร์ ซึ่งหมายถึงศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของการพยากรณ์ ถึงสภาวะน้ำท่วม หรือ อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินอันเนื่องมาแต่ การเกิดพายุฝน และน้ำท่วมอย่างใหญ่หลวง กว้างขวางและรุนแรง ซึ่งยากต่อการป้องกันและแก้ไข หรือ ถึงขั้นที่อาจจะไม่สามารถป้องกันและแก้ไขอะไรได้เลย ความเชื่อมั่นในข้อมูลและหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ท่านศาสตราจารย์ ไบรอัน ไคลน์ ยึดมั่นมาโดยตลอดนั้น ทำให้ท่านกลายเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพห้าวหาญ กล้าพูดและกล้าทำในสิ่งที่ท่านคิดว่าถูกต้องตามหลักการและสอดคล้องตามข้อมูลที่ท่านมี ดังนั้นหลังจากที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาทำงานเป็นผู้ช่วยในโครงการวิจัยของท่านได้ระยะหนึ่ง บุคลิกดังกล่าวจึงถูกข้าพเจ้าแอบตั้งสมญานามให้ท่านใหม่ (แต่เพียงในใจ) เป็นแบบไทยๆว่า “ศ. บ่ยั่น ใคร” ท่านมีผลงานวิจัยย้อนยุคที่เล่าเรื่องอย่างละเอียดยิบชนิดนาทีต่อนาทีในเหตุการณ์น้ำท่วมโลกอันลือลั่นที่มีหลักฐานพาดพิงถึง ดังที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล คือการต่อเรือโนอาร์ตามคำแนะนำของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง นอกจากนั้นท่านก็ยังมีผลงานการสืบค้นประวัติศาสตร์แห่งการถล่มจมหายล่มสลายของทวีปแอตแลนติก ที่เชื่อกันว่าชีวิตและบ้านเมืองของผู้คนทั้งทวีปถูกทะเลกลืนเอาไปลงสู่ใต้ท้องมหาสมุทรอันสุดลึก จนไม่มีหลงเหลือเลยแม้แต่เกาะแก่งเดียว

                “ยู รวบรวมแบบสอบถามที่ส่งออกไปสำรวจความคิดเห็นของผู้คน ได้เท่าไหร่แล้ว” ศาสตราจารย์เอ่ยถามข้าพเจ้า

                “คงสัก ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เห็นจะได้ครับท่าน”

                “ยู รู้ไหม ประเทศไทยของยู ไม่ได้มีการวางแผนในเรื่องนี้กันเลย จำเป็นจะต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนคนไทยอย่างรีบด่วน และนำแผนการอพยพครั้งยิ่งใหญ่เสนอเข้าสู่สภาฯเพื่อพิจารณาขอรับการจัดสรรงบประมาณกันต่อไป และจะต้องเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย” ศาสตราจารย์สำทับ

                “อะไรจะด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า อย่างนั้นล่ะครับท่าน” ข้าพเจ้าย้อนถามท่านบ้าง

                “จุ๊ๆ อย่าเพิ่งเอ็ดไป ที่ไหนเขาก็มีแผนสำหรับเรื่องนี้กันทั้งนั้นแหละ ประเทศต่างๆทั่วโลกที่มีเมืองหลวงอยู่ทางตอนล่างของประเทศ ต่างก็เตรียมแผนโยกย้ายนครหลวงขึ้นไปตั้งอยู่ทางตอนเหนือกันหมดแล้ว อย่างลอนดอน ก็คงจะถูกย้ายขึ้นดอนจริงๆคราวนี้ล่ะ เข้าใจว่าคงจะย้ายขึ้นไปอยู่ดอนแถวๆสะก๊อตแลนด์ ส่วนโยฮันเนสเบิร์กของอัฟริกาใต้จะต้องขยับสูงขึ้นไปอีก คงจะไปตั้งอยู่ในซิมบับเว ในขณะที่ญี่ปุ่นเตรียมสละเกาะที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนเองทุกเกาะแก่งแล้ว ขณะเดียวกันก็เร่งเจริญสัมพันธไมตรีเป็นอย่างดียิ่งกับชาติมองโกเลีย เพราะเขามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลและห่างไกลจากอุทกภัยล้างโลก เข้าใจว่าคงจะมีแผนผนวกเป็นประเทศเดียวกัน อาจจะเรียกว่า มองโก-เจแปนนิส หรือ ญี่ปุ่นมองโกลเลี่ยน ดังนั้นในอนาคตประเทศไทยของยูอาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นชาว ญี่มอง (ญี่ปุ่น-มองโกเลีย) เกาจีน (เกาหลี-จีน) อินม่า (อินเดีย-พม่า) มลาลาว (มาเลเซีย-ลาว) และชาวสิงห์กัมเวียด (สิงคโปร์-กัมพูชา-เวียดนาม)” ศาสตราจารย์หยุดชั่วขณะ

                “ถึงขนาดต้องรวมประเทศเข้าด้วยกันอย่างนั้นเลยหรือครับ” ข้าพเจ้าได้โอกาสขัดจังหวะ

                “ถ้ายูไม่ยอมไปรวมกับเขา ยูก็จมน้ำตายเท่านั้นเอง ยูจะไม่มีแผ่นดินหลงเหลือไว้สำหรับเดินอีกต่อไปแล้ว แม้แต่อเมริกาเองยังได้บรรจุเรื่องสันทนาการใต้น้ำไว้ในแผนระยะยาวของรัฐบาลเขาเลย”

                “มีสันทนาการใต้น้ำด้วย น่าสนใจนะ พวกเขาจะเล่นอะไรกันในอนาคตเหรอครับ” ข้าพเจ้าอดถามไม่ได้

                “ดำน้ำชมเทพีสันติภาพอดีตมหานครนิวยอร์ก” ศาสตราจารย์เอ่ยอย่างเคร่งขรึมเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องจริงๆจังๆ             

                “เอาล่ะ ลองนำข้อมูลเท่าที่ยูรวบรวมได้มาเสนอให้ฟังซิ” ศาสตราจารย์ เดินนำเข้าไปในห้องประชุมย่อย

ข้าพเจ้าจัดการต่อสายไฟกับเครื่องแล็พท็อป แล้วก็ฉายข้อมูลขึ้นสู่จอพร้อมกับรายงานความคืบหน้าให้กับหัวหน้าโครงการฟังตามลำดับโดยไม่ชักช้า

                “ข้อมูลนี้ได้จากการสำรวจความคิดเห็นจากประชากรทั่วราชอาณาจักรไทย อายุตั้งแต่ ๑๘ ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น ๖๙ ล้านคน จากประชากรทั้งหมดของประเทศ ๙๖ ล้านคน

ต่อคำถามที่ว่าท่านกลัวน้ำจะท่วมกรุงเทพฯอย่างขนานใหญ่หรือไม่ พบว่า

กลัว : ๒๐ %

ไม่กลัว : ๓๐ %

เฉยๆ : ๕๐ %

ต่อคำถามที่ว่าท่านกลัวอะไรมากที่สุดในชีวิต

พบว่า กลัวตกงานและบ้านถูกยึด ซึ่งเป็นเหตุผลของเพศชายถึง ๙๐ %

           กลัวการหย่าร้างและขาดความมั่นคงในครอบครัว และเป็นเหตุผลของเพศหญิงถึง ๙๐ %

ต่อคำถามที่ว่าเหตุผลใดที่มีความจำเป็นต่อการย้ายเมืองหลวง

พบว่า การจราจรติดขัด : ๕ %

       น้ำท่วมขัง : ๕ %

       สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ : ๕ %

       การเมืองเป็นพิษ : ๘๕ %

ต่อคำถามที่ว่าภูมิภาคใดที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงในอนาคตหากเกิดภาวะน้ำท่วมโลก

พบว่า ภาคเหนือ : ๔๐ %

       ภาคอีสาน : ๓๐ %

       ภาคกลาง : ๒๐ %

       ภาคใต้ : ๑๐ %

จากการทำประชาพิจารณ์โดยจำแนกตามแวดวงของวิชาชีพต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้

นักวิชาการ: ส่วนใหญ่มีความเห็นคล้อยตามข้อมูลที่มีการรณรงค์เผยแพร่โดยศาสตราจารย์ ไบรอัน ไคลน์ ในหมู่นักวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ต่างก็มีความเชื่อมั่นว่าในเวลาอันใกล้นี้ประเทศไทยจะต้องได้รับผลกระทบกระเทือนจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ทั่วโลก กรุงเทพฯอาจจะตกอยู่ในสภาพจมจ่อมอยู่ใต้น้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นแผนการย้ายเมืองหลวงจึงจำเป็นจะต้องบรรจุไว้ในแผนแม่บท และกำหนดงบประมาณเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

นักการเมือง : ส่วนใหญ่ยังไม่มีความมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับ บางส่วนเชื่อว่าเป็นโครงการผลาญเงินงบประมาณของชาติอย่างมโหฬาร ซึ่งเกิดจากการรวมหัวกันของนักวิชาการ นักผังเมือง นักสิ่งแวดล้อมและผู้รับเหมาก่อสร้าง เพื่อสร้างงานและหาเงินเข้ากระเป๋าโดยอ้างเอาความเชื่อจากคัมภีร์เรื่องน้ำท่วมโลกมาปั่นกระแสให้ผู้คนเชื่อถือในทฤษฎีนี้เท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นนักการเมืองบางกลุ่มยังเป็นห่วงฐานคะแนนของตนจะหดหายหากหันไปให้การสนับสนุนการย้ายเมืองหลวง เพราะมันหมายถึงการสูญเสียผลประโยชน์อันมหาศาลของพ่อค้า นักธุรกิจอีกจำนวนมากราย อย่างไรก็ตามก็ยังมีนักการเมืองส่วนหนึ่งที่เล็งเห็นความจำเป็นในการย้ายเมืองหลวง ทว่านักการเมืองกลุ่มนี้ก็ถูกโจมตีว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ อาทิ มีการกว้านซื้อที่ดินไว้ล่วงหน้า เข้าครอบครองศูนย์การค้า และเขตพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอยู่ใกล้ชิดติดกับที่ดินสาธารณะ และหากถูกเลือกเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงแห่งใหม่ ที่ดินบริเวณดังกล่าวก็จะกลายเป็นที่ก่อสร้างศูนย์ราชการต่างๆในอนาคตนั่นเอง

นักการทหาร : ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามไม่ค่อยจะสมบูรณ์นัก เนื่องจากทหารส่วนใหญ่ขอสงวนตัวโดยไม่ขอออกความคิดเห็น แต่ก็มีบางส่วนที่เสนอแนะแนวคิดเอาไว้ คือ ทหารพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามหากปัญหาการย้ายเมืองหลวงไม่สามารถจะตกลงกันได้ ทหารก็คงจะถ่ายเทงบประมาณไปเพิ่มเติมให้กับกองทัพเรือ หรือ พูดง่ายๆก็คือกองทัพเรือจะเข้ามาทำหน้าที่หลักและเล่นบทบาทแทนกองทัพบกในการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ ซึ่งเข้าใจว่าในเวลานั้น สภาพทั่วไปของกรุงเทพฯก็จะเป็นมากกว่าเวนิชตะวันออก แต่ผู้คนก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะย้ายเมืองหลวงกันดีหรือไม่ และจะย้ายไปตั้ง ณ ที่แห่งหนตำบลใด บางท่านยังแนะนำว่าควรจะจัดตั้งหน่วยซิล หรือ หน่วยแมวน้ำ ให้มากขึ้นถึงระดับกองพลหรือกองทัพ เพราะชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านจะไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน เนื่องจากน้ำจืดและน้ำทะเลได้ผสมกลมกลืนไหลบ่าจนท่วมไปหมดทั้งชายแดนฝ่ายเราและฝ่ายเขาไม่ว่าจะเป็นฝั่งทางอินม่า มลาลาว หรือ ชาวสิงห์กัมเวียต ดังนั้นโอกาสที่จะถูกแทรกซึมหรือการถูกรุกล้ำอธิปไตยทางน้ำจึงมีสูงมาก

นักวิทยาศาสตร์ : จากแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะในแขนง นิเวศวิทยา ชีววิทยาทางทะเล สมุทรศาสตร์ และวิศวพันธุกรรม ได้เสนอทางเลือกใหม่ของมนุษย์ อันที่จริงก็ไม่ใช่ทางเลือกใหม่เสียเลยทีเดียว กล่าวคือแรกเริ่มเดิมทีย้อนยุคไปหลายร้อยล้านปีก่อน สิ่งมีชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในทะเลหรือมหาสมุทร จากนั้นได้วิวัฒนาการ กลายเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบ้าง เป็นสัตว์บกบ้าง หรือ แม้แต่เป็นสัตว์ปีก ซึ่งตามทฤษฏีของชาร์ลส์ ดาวิน นักธรรมชาติวิทยา ชาวอังกฤษ ได้เสนอว่า มนุษย์เรานี้ได้วิวัฒนาการมาจากต้นตระกูลเดียวกันกับญาติหนุมานหรือสัตว์จำพวกลิงนั่นเอง ดังนั้นเมื่อมนุษย์เรามีวิวัฒนาการมาตามขั้นตอนตามที่เชื่อกันในทฤษฏีดังกล่าว มนุษย์เราก็ย่อมจะสามารถย้อนวิวัฒนาการกลับ หรือ re-evolution ด้วยการย้อนกลับของวิวัฒนาการดังกล่าว มนุษย์ก็จะกลับไปมีสภาพที่สามารถดำรงชีพอยู่ใต้น้ำได้อีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน นอกจากจะเป็นการช่วยธำรงสภาพสิ่งแวดล้อมทางทะเลให้สมบูรณ์แล้วยังเป็นการปรับตัวเข้าสู่ระบบนิเวศวิทยาทางน้ำของมนุษย์อีกด้วย ซึ่งถือเป็นพัฒนาการก้าวหน้าของศาสตร์ทางระบบนิเวศเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นนักสมุทรศาสตร์ก็จะได้นำเอาความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางทะเลมาพยากรณ์สภาพแวดล้อมประจำวัน เพื่อให้การดำรงชีวิตใต้ท้องทะเลเป็นไปด้วยความราบรื่น เฉกเช่นกรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์สภาพอากาศให้พวกเราได้รับทราบเป็นประจำวันบนแผ่นดินโลกนั่นเอง ที่สำคัญเวลานี้ ผลงานการตัดต่อยีนหรือพันธุกรรมที่เป็นอวัยวะช่วยหายใจใต้น้ำหรือที่เป็นส่วนเหงือกของสัตว์จำพวกปลา สามารถนำมาประกอบเข้ากับยีนของมนุษย์ได้เป็นผลสำเร็จแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเร็วๆนี้เอง ทารกทดลองซึ่งมีเหงือกเหมือนปลาตรงใต้คาง ก็เพิ่งจะคลอดออกมาและกำลังอยู่ภายใต้การอภิบาลของทางโรงพยาบาลมัจฉารักษ์แห่งสยามชาติ และสิ่งที่น่าทึ่งก็คือ ทารกน้อยคน(หรือตัวหรือตน...ก็ไม่ค่อยจะแน่ใจในสรรพนามใหม่ที่ควรจะใช้เรียก)นั้น สามารถสงบนิ่งอยู่ใต้น้ำภายหลังจากที่คลอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับลูกอ๊อดลูกปลา โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะจมน้ำหรือสำลักน้ำตาย แม้แต่น้อย...”

“เดี๋ยว...ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อน” ศาสตราจารย์ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“มีอะไรผิดไปรึครับ” ข้าพเจ้ายังงงๆ

“ยู ไม่มีอะไรผิดหรอก แต่ผมคาดคะเนจากรายงานของยูเพียงแค่นี้ก็พอจะสรุปได้สองหรือสามประเด็นคือ          

๑. การย้ายเมืองหลวงคงเป็นไปได้ยากมากหรือแทบไม่ได้เอาเสียเลย เพราะติดปัญหาเรื่องการเมือง และผู้คนยังไม่พร้อม

๒. วิวัฒนาการย้อนศร หรือ re-evolution ทำท่าจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้ว

๓. เป็นความหนักใจอย่างยิ่งที่ผมจะต้องหารือกับทางสำนักราชบัณฑิตยสถานเป็นการด่วน”

“ท่าน ศ. มีอะไรหนักใจหรือครับ” ข้าพเจ้าเรียกชื่อท่านแต่เพียงย่อๆเพื่อลดความเป็นทางการลงเสียบ้าง

“ยู ยังมองไม่เห็นความสับสนหลังจากนั้นเหรอ ก็เวลานี้พวกนักการเมืองและสื่อมวลชนต่างๆก็พากันอ้างว่าตนเองทำงานเพื่อ กู้ชาติ ในขณะที่ยังมีผืนแผ่นดินให้เดินอยู่ แต่ต่อไปในอนาคตเมื่อผืนแผ่นดินต้องจมจ่อมอยู่ใต้น้ำ และผู้คนต้องแหวกว่ายอยู่ไปมาไม่แตกต่างจากฝูงปลา การทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองจะเรียกว่าอะไรกันล่ะ ยู อย่าบอกนะว่าพวกนักการเมืองและสื่อมวลชนบางกลุ่มจะต้องอ้างว่าพวกตนทำงานเพื่อ จมชาติ

“แหม...ท่าน ศ. ก้อ ถ้าถึงขั้นนั้น หากไม่สามารถจะย้ายเมืองหลวงขึ้นไปอยู่บนบกได้จริงๆ เราก็เปลี่ยนชื่อเมืองหลวงเสียใหม่ไปซะเลยก็...ด๊าย” ข้าพเจ้าพลอยผสมโรง

“ยู ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไอ จะนำชื่อใหม่นี้ไปเรียนเสนอท่านเลขาสำนักราชบัณฑิตยสถานเพื่อรับไว้พิจารณา” พูดพลางท่านศาสตราจารย์ก็นำแผ่นใส ที่มีลายมือหงิกๆงอๆเพราะเป็นความพยายามของคนต่างชาติที่จะเขียนตัวหนังสือไทย วางทาบลงไปบนโอเวอร์เฮดแล้วก็สับสวิทช์ฉายขึ้นสู่จอ พลางท่านก็หันมายิ้มให้กับข้าพเจ้าเหมือนกับเป็นการแสดงความภาคภูมิใจ ที่ได้มีส่วนเสนอแนะชื่อใหม่ของเมืองหลวงในอนาคต ซึ่งดูจะเหมาะสมกับภูมิทัศน์และปัจจัยแวดล้อมของหมู่ชนคนไทยไปในภายภาคหน้า

นครเทพมัจฉา อมราวดีศรีคงคา มิ่งนคราบาดาลพิภพ นพรัตน์ธานี วารีนคเรศ สยามประเทศชลธาร บริบาลสินสมุทร ปริสุทธ์หยาดพิรุณ นพคุณมไหศวรรย์ ชาละวันอารักขา โลมามิ่งมิตร ฉลามประชิดทุกทิศา ปวงประชามนุษย์กบ  ...ฮา (ไม่ออก เพราะดันท่วมจริงๆ นะสิ เมื่อปี ๒๕๕๔)

....................................................

(เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2008/๒๕๕๑)

23 ธันวาคม 2556 23:48 น.

Mad media : สื่อชอบกล

Prayad

Mad Media: สื่อชอบกล

 

                จ่าหัวเรื่องไว้อย่างนี้แล้วก็ใช่ว่าผมจะเป็นคนคล่ำหวอดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของสื่อสารมวลชนหรือเป็นคนหากินอยู่กับคอลัมน์ของสำนักพิมพ์ใดๆหรือเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องของการเมืองการชนบทอะไรต่างๆเหล่านั้นหรอก เปล่า...ผมเป็นเพียงคนธรรมดาที่ลิ้นค่อนข้างจะอ่อนภาษาประกิตเลยออกเสียงแมสเป็นแมดก็เท่านั้นล่ะ นั่นก็แสดงว่าภาษาแม่ (Mother tongue) ของผมหาได้เป็นอังกฤษแต่อย่างใดไม่ แล้วไปอวดอ้างเอาเศษเสี้ยวแห่งวิชาชีพสื่อสารมวลชน (Mass Media) ผู้กำลังมีอิทธิพลและบทบาทครอบงำความรู้สึกนึกคิดของเหล่าปัญญาชนคนชั้นผู้คงแก่เรียน เขียนและอ่านทั้งหลายเหล่านั้น มันมิเป็นการดูแคลนหรือละลาบละล้วงและละเมิดสิทธิ์ของผู้คนในวงการของเขาเหล่านั้นเอาดอกหรือ เอ...นั่นนะสิ ถ้าไม่จัดว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของแมสมีเดีย ก็จัดไว้ในกลุ่มแมดมีเดีย ผมก็ไม่ได้ว่ากระไรหรอกนะเผื่อจะได้ลดทอนความรู้สึกว่าผิดลงได้บ้าง

                “ไม่...ไม่ผิดคุณหรอก” เสียงชายสูงอายุทักมาแต่ไกล เขายิ้มให้ผมอย่างผู้ใหญ่อารมณ์ดี

                “หือ...” (เขาพูดไม่ถูกหรือหูผมได้ยินผิดเพี้ยนไปเอง ไม่...คุณไม่ผิดหรอก รึเปล่า) ผมจ้องเขม็งไปที่เขาเพราะรู้สึกแปลกใจมาก แกคงทักสุ่มๆมายังงั้นแหละ มันคงเป็นเรื่องของความบังเอิญมากกว่า คิดพลางผมก็วางหนังสือพิมพ์ของเช้านั้นลงกับโต๊ะกาแฟ

                “เออ...เชิญลุงนั่งดื่มกาแฟร้อนๆด้วยกันสิครับ ผมเลี้ยงเองนะครับ ไม่ได้รีบร้อนไปไหน ไม่ใช่เหรอ” ผมรีบกุลีกุจอลากเก้าอี้มาให้ลุงแกนั่งลงข้างๆ

                “ใจขอบนะ แต่ลุงเป็นไม่ดื่ม” (ขอบใจนะ แต่ลุงดื่มไม่เป็น) ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงสุดแสนจะแปลกประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมถึงได้แน่ใจทันทีว่าประโยคแรกที่แกพูดมานั้นหูผมฟังไม่ผิดจริงๆ

                “ไม่เป็นไรครับลุง ก่อนหน้านี้ผมก็ดื่มไม่ค่อยจะเป็นหรอก แต่ลองไปลองมาก็เลยติดใจ เออ...ได้ยินลุงบอกว่าผมไม่ผิด แล้วไม่ผิดเรื่องอะไรกันนะลุง” ผมอยากจะย้ำเพื่อเช็คดูว่าลุงแกกำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่

                “ก็คุณกำลังเรื่องอะไร คิดอยู่” (ก็คุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่) เขาพูดในขณะที่ประกายตาฉายวาบขึ้นมาสบตากับผมพอดี ถึงแม้นการลำดับคำในประโยคที่ลุงแกพูดจะฟังดูพิกล แต่ในความเข้าใจที่ผมรับได้นั้นมันเข้าใจได้เลยว่าลุงกำลังหมายถึงอะไร

                “อ๋อ...เรื่องของพวกสื่อสารมวลชนนะเหรอ เวลานี้กำลังตกเป็นเครื่องมือสำหรับการเอาชนะคะคานกันทางการเมือง โดยคอย ยุแหย่ ต่างๆนา ๆเรียกว่าข่าวต่างๆจะต้องผ่านกระบวนการ สืบ เสริม สร้าง เส และเสนอสู่ผู้บริโภค” ผมออกจะอดไม่ได้ที่จะอวดภูมิให้กับลุงผู้ดูเหมือนจะตกข่าวไปตามอายุที่กำลังร่วงโรย

                “ดีๆ...ลุงกำลังหาคนช่วยสื่อจัดการกับ” (...ลุงกำลังหาคนช่วยจัดการกับสื่อ) ลุงเอ่ยขึ้นขณะผงกหัวเหมือนได้เพื่อนร่วมแนวทาง

                “ครับผมเองนี่แหละจะเป็นคนจัดการกับสื่อ ที่ไม่มีจรรยาบรรณ ดูสิสื่อพากันปั่นหัวให้คนคลุ้มคลั่งทางการเมืองจนเป็นเหตุให้ บางคนต้องทำอัตวินิบาตกรรมเพื่อเป็นการประท้วง โต้เถียงและฆ่ากันตายในวงสนทนาเพราะเรื่องการเมือง ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดมีการระแวงสงสัยกันในหมู่ผู้บริหารชั้นสูงของประเทศจนเกิดเป็นการปฏิวัติ รัฐประหาร เป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของชาติ แต่สื่อยังขายดิบขายดี บางทีทำยอดขายได้มากกว่าเดิมเสียอีกเพราะทำให้กลุ่มคน ซึ่งแต่ก่อนไม่ค่อยสนใจข่าวสารบ้านเมืองเริ่มหันมาติดตามข่าวคราวมากขึ้น แต่ถ้าสื่อสร้างสรรค์ คือปราศจากการ เสริมแต่งข่าว สร้างข่าว และเสแสร้งบิดเบือนข่าวก่อนที่จะนำเสนอสู่ประชาชนอย่างซื่อสัตย์ ก็จะทำให้ประชาชนมีความรักใคร่ปรองดองสามัคคีกัน บ้านเมืองก็จะมีแต่ความสงบสุข แล้วก็...”  ผมต้องหยุดกึกลงทันทีเพราะลุงแกโบกไม้โบกมือเหมือนอยากจะสอดแทรกอะไรสักอย่าง

                “พวกจรรยาบรรณต่างๆเขารู้สื่อดี แต่ใครใส่ใจไม่มี เพราะเขามองยอดหลักเป็นขาย ลุงเองก็มีอยากจะฟ้องร้องเรื่องใจไม่สบาย” ลุงแกก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าผมจะช่วยอะไรแกได้ (...พวกสื่อต่างๆเขารู้จรรยาบรรณดี แต่ไม่มีใครใส่ใจ เพราะเขามองยอดขายเป็นหลัก ลุงเองก็มีเรื่องไม่สบายใจอยากจะฟ้องร้อง...)

                “ครับ...ลุงมีเรื่องไม่สบายใจอะไร พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหม ผมสามารถที่จะหามือกฎหมายดีๆมาช่วยได้นะ หากมีความจำเป็น” ผมเอ่ยกับลุงอย่างหนักแน่น

                “พวกสื่อจัดการกับกฎหมายในโลกนี้ไม่ได้หรอก เพราะสาเหตุของจิตใจคือรากเหง้า เพราะโลกนี้สอนให้ละโลภ โกรธ และหลง แต่ผู้คนต่างก็ชอบของฟรี” ถึงน้ำเสียงและสำเนียงของลุงแกจะยังฟังดูแปร่งๆ แต่เนื้อหาสาระทำให้น่าติดตาม (...กฎหมายในโลกนี้จัดการกับพวกสื่อไม่ได้หรอก เพราะจิตใจคือรากเหง้าของสาเหตุ เพราะผู้คนต่างก็ชอบของฟรี แต่โลกนี้สอนให้ละโลภ โกรธ และหลง...)

                “ผมยังตามลุงไม่ทันครับ ช่วยขยายความสักนิดทีซิ ว่าการละซึ่งโลภ โกรธ และหลง มันเกี่ยวอะไรกันกับการที่คนชอบของฟรี คือยอมรับว่าผมคนหนึ่งล่ะที่ชอบของฟรี” ผมรีบถามแทรกขึ้นทันที

                “คือความโลภ โกรธ และหลงที่ละไว้นั้น ของฟรี ผู้คนต่างก็ไปถือเอา หากจิตสำนึกไม่มีสื่อที่ดี ก็เสมือนเอาแต่คนในครอบครัวทะเลาะกัน ในที่สุดบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นประเทศก็ประเทศแยก แตกเป็นรัฐอิสระ เป็นโลกก็สงครามโลก เป็นจักรวาลก็เป็นสตาร์วอร์สงครามระหว่างดวงดาวชาวเอเลี่ยน กลายเป็นเสี้ยนหนามต่างเผ่าพันธุ์ หามีวันจบสิ้นลงไม่ ที่ลุงต้องตกมาอยู่แสนไกลนี่ก็เพราะสงคราม” (...ผู้คนต่างก็ไปถือเอาของฟรีคือความโลภ โกรธ และหลงที่ละไว้นั้น หากสื่อไม่มีจิตสำนึกที่ดี ก็เสมือนคนในครอบครัวเอาแต่ทะเลาะกัน ในที่สุดบ้านแตกสาแหรกขาด ฯ...)

                “แหม...คงไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นหรอกมั้งลุง มันคงเป็นเรื่องของสงครามจิตวิทยามากกว่าครับ คงไม่ถึงกับเอาชีวิตกันให้ตายไปทีละจำนวนมากๆเหมือนในสงครามจริงๆหรอกมั้ง” ผมพยายามจะดึงให้เรื่องมันไม่น่ากลัวเหมือนที่ลุงแกกำลังเข้าใจ

                “คุณพูดเองว่าคนทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตายสื่อทำให้ นั่นเพราะมีต่อมดำแห่งความชั่วร้ายอยู่ในสื่อแฝง ลุงจึงอยากจะฟ้องร้องให้มีการกำจัดสื่อออกไปจากต่อมดำแห่งความชั่วร้าย และแผ่ขยายต่อมขาวแห่งคุณงามความดีเข้าสื่อใจผู้คนบนโลกนี้” ลุงแกพูดได้ดีขึ้นถึงแม้จะกลับหัวกลับหางกันอยู่บ้างในบางประโยค (...คุณพูดเองว่าสื่อทำให้คนทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตาย นั่นเพราะมีต่อมดำแห่งความชั่วร้ายแฝงอยู่ในสื่อ ลุงจึงอยากจะฟ้องร้องให้มีการกำจัดต่อมดำแห่งความชั่วร้ายออกไปจากสื่อ ฯ...)

                “สื่อแห่งคุณงามความดีนั่นน่าฟังนะครับลุง แต่สำหรับผู้คนที่ยังมืดมนด้วยกิเลสหนาตัณหาหยาบนี่นะ คงจะรับไม่ได้ง่ายๆนักหรอกครับ” พูดพลางผมจิ้บแกฟา เฮ้ย...กาแฟ เกือบจะเผลอไปใช้ภาษาแบบลุงแกเข้าอีกคนแล้วล่ะซิ

                “นั่นล่ะปัญหาแห่งต้นเหตุ อุปมาเหมือนจูนคลื่นรับวิทยุ ถึงจะมีสื่อที่แสนดีเพียงใดหากจิตใจไม่มีการจูนที่ดีพอ ก็รับกันไม่ได้ มนุษย์โลกนี้ยกตัวว่าเป็นผู้มีใจสูง แต่ไม่สามารถยกใจจูนหาสื่อดีๆมาขัดเกลาจิตใจของตนเองได้ ลุงมาเยี่ยมทีไรจะสื่อใจกับใครบนโลกนี้ได้ก็ไม่สามารถ ผู้คนล้มตายจากสงครามย่อยและสงครามโลกจำนวนมหาศาล แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนต่อมดำให้เป็นต่อมขาวของชาวโลกได้ สื่อใดบ้างจะกล้าเปลี่ยนแปลงต่อมดำอำมหิตในจิตใจของมนุษย์ได้...ไม่มี นอกจากถากถาง หยามเหยียด เสียดสี และ ดูไม่ผิด (ดูถูก)ลุงแกหยุดชะงักและจ้องมาที่ผม เหมือนกำลังจะรอดูว่าผมเห็นด้วยหรือไม่ที่แกพูดมาทั้งหมดนี่ (...นั่นล่ะต้นเหตุแห่งปัญหา อุปมาเหมือนจูนคลื่นรับวิทยุ ฯ...ลุงมาเยี่ยมทีไรก็ไม่สามารถจะสื่อใจกับใครบนโลกนี้ได้ ฯ...)

                “ผมว่าพวกเรากำลังจะถกกันเรื่องจรรยาบรรณของสื่อหรือปรัชญาแห่งความเป็นสื่อที่ดี หรือว่าเรื่องอะไรกันแน่ครับลุง บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องพายเรือในอ่างนะครับคือมันวกไปวนมา แล้วก็หาข้อยุติไม่ได้ ตกลงลุงอยากจะสื่ออะไรกับผมอย่างนั้นหรือครับ” ผมเริ่มงงกับการสนทนาที่ผ่านมา

                “พายอ่างในเรือ (พายเรือในอ่าง) ก็ย่อมได้ข้อสรุปว่า มันวกไปวนมา ส่วนข้อยุติก็คือมันอยู่ที่เดิม ลุงออกจะไม่ภาษาสันทัด (ไม่สันทัดภาษา) แต่การกลับไปกลับมาก็ย่อมทำให้ได้ความคล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ ท่านผู้มีใจสูงยกได้ทั้งหลายท่านสามารถเปลี่ยนต่อมดำเป็นต่อมขาวก็เพราะการกลับไปกลับมา นี่ล่ะที่ลุงอยากจะสื่อให้กับคุณได้นำไปบอกแก่คนทั้งหลายทั่วแผ่นดิน ลุงไม่อยากจะกลับมาเตือนอีก เพราะ...

                “โทษทีครับลุงที่ขัดจังหวะ ตกลงบ้านลุงอยู่ที่ไหนนะ” ผมรู้สึกประหลาดใจที่ลุงแกบอกว่าไม่อยากกลับมาเตือนอีก

                “ถึงบอกลุงก็ไม่เชื่อคุณหรอก อย่าไปอยากรู้เลย  (ถึงลุงบอก คุณก็ไม่เชื่อหรอกฯ...)

                “เฮ่อน่า...ผมเชื่อลุงอยู่แล้ว อยู่บ้านไหนลุง ไกลมากเลยเหรอ” ผมคะยั้นคะยออยากจะรู้

                “ลุงมาจากบ้านสุดแสงปลายหลายปี บ้านไม่มีอายุขัย บ้านหฤทัยเบิกบาน บ้านหฤหรรษ์อนันตกาล บ้านในวิมานจักรวาลลี้ลับ

                “หึๆๆๆ...เหอะๆๆ อะ อะ อ๊าก...อ๊ะๆ” ผมกลั้นหัวเราะจนแทบน้ำตาร่วง

                “นั่นไงล่ะก็เตือนแล้ว ว่าถึงลุงเชื่อคุณก็จะไม่บอก(...ฯ ว่าถึงลุงบอก คุณก็จะไม่เชื่อ)ลุงแกจ้องมาที่ผมเหมือนทวงสัญญา

                “ผะผม...อยากจะเชื่อเหมือนกันครับลุง หากลุงพาไปเยี่ยมบ้านที่ว่า...บ้านสุดแสงปลายอะไรของลุงน่ะ ไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านอะไรที่ยาวเหยียดอย่างนี้มาก่อนเลย หึๆ...” ผมปาดน้ำตาออกเพราะกลั้นหัวเราะในความมีอารมณ์ขันของลุงแก ระหว่างที่ผมพยายามพูดผสมโรง

                “ลุงอำนาจไม่มีจะพาบ้านลุงไปเยี่ยมคุณได้หรอก” (ลุงไม่มีอำนาจจะพาคุณไปเยี่ยมบ้านลุงได้หรอก) ลุงแกตอบตรงๆ

                “อ้าว! ผมต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่บ้านก่อนรึอย่างไร ทำไมจะไปเยี่ยมกันแค่นี้ต้องให้ผู้มีอำนาจอนุญาตเสียก่อนเชียวเหรอ” ผมชักหงุดหงิด

                “ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสื่อคุณยังไม่มีต่างหากล่ะ เมื่อไหร่ที่สื่อจูนตรงกัน และคุณไม่มีต่อมดำ เมื่อนั้นบ้านลุงมาเยี่ยมคุณก็มีสิทธิ์” (...ฯ เมื่อนั้นคุณก็มีสิทธิ์มาเยี่ยมบ้านลุง) นัยน์ตาของลุงแกดูแวววาวราวกับคนหนุ่มคนสาว

                “แหม...ฟังดูราวกับเป็นหมู่บ้านลับแลหรือแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองในอุดมคติอะไรอย่างนั้นเลยนะลุงนะ แล้วลุงอาศัยอยู่หมู่บ้านนั้นมานานรึยัง” ผมยกแก้วกาแฟที่จวนจะหมดขึ้นดื่ม

หากเป็นเวลาของลุงก็ไม่นาน แต่หากเทียบกาลของโลกมนุษย์นี้แล้วก็หลายศตวรรษน้ำเสียงของลุงแกราบเรียบราวกับมุกของตลกหน้าตาย

                “หลายศตวรรษ!!! ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกแล้วล่ะลุง งั้นผมต้องขอตัวนะครับ คุณน้า...ช่วยเก็บตังค่ากาแฟด้วยครับ รวมสองแก้วของคุณลุงนั้นด้วย” ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองควรจะอ่านหนังสือพิมพ์มากกว่าที่จะไปเสียเวลาสนทนาวิสาสะกับคนวิกลจริต คือแมดจริงๆ ดูสารรูปแล้วก็ไม่ต่างไปจากคนจรจัดหรือเพิ่งพลัดพรากจากสถานบำบัดโรคทางจิต ดีแต่ว่ายังไม่ติดแสตมป์มากับหน้าผากเท่านั้นเอง

                ก็นั่นสิ ไหนว่าฟ้องสื่อคุณจะช่วย (ไหนว่าคุณจะช่วยฟ้องสื่อ) อย่าได้สำคัญแต่เพียงคนเดียวว่าตนฉลาด (อย่าได้สำคัญตนว่าฉลาดแต่เพียงคนเดียว) อย่าได้ปรามาสสติปัญญาคนอื่นเขา และอย่าลืมต่อมให้ขาวนะตั้งใจฟอก (อย่าลืมตั้งใจฟอกต่อมให้ขาวนะ) หากอยากมาเยี่ยมลุง แล้วก็ขอบใจนะที่ซื้อกาแฟให้ ก็บอกแล้วว่าลุงเป็นไม่ดื่ม(...ฯ ลุงดื่มไม่เป็น)พูดเสร็จลุงแกก็ขยับและลุกเดินไปทางด้านหลังของตลาดสดทันที นั่นสิ ตอนแรกเราคิดว่าจะช่วยแก ไหนกลับเปลี่ยนใจ ไม่มีความเป็นธรรมกับแกเอาซะดื้อๆอย่างนี้ล่ะ พอผมฉุกคิดได้จึงรีบเดินตามหลังแกไปจนเข้าใกล้ในระยะพอพูดกันได้ยิน

                “โทษทีครับลุง เออ...คือผมลืมไป...ที่บอกว่าลุงอยากจะฟ้องร้องสื่อน่ะ ลุงพอมีหลักฐานอะไรที่ผมพอจะใช้ได้บ้างรึเปล่าครับ”

          “อ๋อ...คุณคงจะไม่สนใจแล้วลุงนึกว่า (ลุงนึกว่าคุณคงจะไม่สนใจแล้ว) เลยถังขยะเทศบาลไปแล้วโยนมันลง”(...เลยโยนมันลงถังขยะเทศบาลไปแล้ว) พูดพลางแกก็ชี้มือไปที่ถังขยะซึ่งแกเพิ่งเดินผ่านไป และมันก็ตั้งอยู่ข้างๆทางเดินของผมนี่เอง

                ผมเหลียวซ้ายแลขวาก่อนที่จะมุดหัวลงไปในถังขยะใบนั้น เพราะเกรงว่านายเทศกิจจะมาจับและปรับไหมเอา ข้อหาคุ้ยเขี่ยขยะนอกเขตจากที่ทางการอนุญาต ดีแต่ว่าภายในถังขยะส่วนใหญ่นั้นเป็นเศษอาหารการกิน มันจึงไม่ยากที่จะแยกแยะออกจากหลักฐานที่ผมกำลังคุ้ยเขี่ยหา

                “นี่ไง...เจอจนได้” ผมพึมพำกับตนเอง พลางก็หยิบเอาเศษกระดาษที่ถูกกำเป็นก้อนก่อนจะโยนลงไปในถัง            พอผมคลี่ออกเท่านั้นล่ะสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในแผ่นกระดาษใบนั้น ทำให้ผมแทบสะดุ้งโหยง ผมจึงรีบวิ่งตามลุงแกไปติดๆ       ปัดโธ่...โว้ย แกหายไปทางไหนของแกไวนักหนาวะเนี่ย ก็เพิ่งเห็นกันอยู่หยกๆ ผมวิ่งพล่านกลับไปกลับมา เพื่อดักทางลุงแก แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แวว ผมจึงเดินย้อนกลับมาที่ร้านกาแฟอีกครั้ง

                “น้าครับ...น้าเคยเห็นลุง คนที่ผมเพิ่งนั่งคุยอยู่กับแกเมื่อสักครู่นี้มาก่อนรึเปล่าครับ” ผมอดใจไม่ได้ที่จะถามแม่ค้าขายกาแฟ

                “ลุง...ลุงคนไหนกันจ้ะ...ก็เห็นคุณสั่งกาแฟมาสองแก้ว นั่งบ่นพึมพำอยู่คนเดียว นึกว่าจะทานแก้วที่สอง แต่พอหมดแก้วแรกแล้ว คุณก็จ่ายตังค์แล้วก็ลุกไปเลยนี่ ไม่เห็นจะมีลุงมีป้าที่ไหนกันซักคน”

                “หา!...ไม่มีลุงแก่ๆแต่งกายซอมซ่อนั่งอยู่กับผมแน่นะ” ผมย้ำถามแกอีกครั้งแทบจะเป็นเสียงตะโกน

                “ไม่มี! ไม่มีใครเลย เป็นอะไรไปวันนี้ ท่าจะเพี้ยนไปใหญ่แล้ว” เสียงคุณน้าคนขายกาแฟแกบ่นไปอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก

            ผมมีหลักฐาน ผมได้หลักฐาน ผมเป็นพยานได้ในเหตุการณ์ แต่จะมีศาลที่ไหนจะรับฟ้องคดีแบบนี้ได้ ด้วยความอัดอั้นตันใจ ผมจึงคลี่แผ่นกระดาษที่ยับยู่ยี่ของลุงแกนั้นกางออก แล้วนำไปปิดไว้ที่ฝาผนังของร้านกาแฟ ตรงมุมที่ผมมานั่งดื่มและอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เป็นประจำ ผมยังได้ให้คนที่มีความรู้ภาษาประกิตช่วยถอดความแปลไว้ในนั้นอีกด้วย เวลาที่ผมมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์แต่ละเช้า มันก็จะได้ช่วยย้ำเตือนให้ผมได้ตระหนักอยู่เสมอว่า Mass กับ Mad Media นี่มันแทบจะแยกกันไม่ออก บุคคลที่ถูกพาดพิงหรือถูกกล่าวถึงมักจะไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลย โดยเฉพาะหากเป็นไปในทำนองใส่ร้ายป้ายสี หรือดูถูกเหยียดหยามภูมิปัญญากัน ใช่ล่ะ...มันฟ้องร้องใครไม่ได้เลยจริงๆ เพราะกฎหมายย่อมมิให้เอาโทษกับคนวิกลจริต (Mad) นอกเสียจากจะฟ้องร้องต่อจิตใต้สำนึกแห่งความมีคุณธรรมที่พอจะมีในหัวใจของมวลมนุษยชาติอยู่บ้าง จะว่าไปศาลโลกเขาก็มีแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการจัดตั้งศาลสถิตยุติธรรมแห่งคอสมอสจักรวาลหรืออย่างไร ลุงแกผู้ปรากฏให้เห็นแต่เฉพาะบุคคลราวกับผีหลอก ถึงได้มานั่งบ่นให้อย่างผมฟังคนปัญญานิ่ม (คนปัญญานิ่มอย่างผมฟัง)...หึๆ

Space is full of aliens, warns Hawking. But they aren't too bright.
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
                        """ ฯลฯ"""
ศาสตราจารย์ฮอว์คิงเตือนว่าอาวกาศเต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาว แต่พวกเขาก็ไม่ได้เลิศปัญญาอะไรหรอก
(Daily Mail, UK., Wednesday April 23, 2008)
นี่คือเศษกระดาษหลักฐานที่ลุงแกเก็บมาต่อว่าต่อขานชาวโลกที่ลงข่าวดูถูกภูมิปัญญาผู้อื่น
                                       ..............................................
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPrayad
Lovings  Prayad เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPrayad
Lovings  Prayad เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPrayad
Lovings  Prayad เลิฟ 0 คน
  Prayad
ไม่มีข้อความส่งถึงPrayad