24 กันยายน 2557 05:50 น.

นิทานก่อนนอน : ความฉลาดไม่พอใช้ (A Tale of Unwise Manner)

Prayad

ในกาลครั้งหนึ่งหรือสองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเพราะนานมาแล้ว ยังมีครอบครัวของชาวนาอยู่ครอบครัวหนึ่งซึ่ง
ประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูกสาว ด้วยความที่ไม่ขี้เหล่ของลูกสาว (เธอสวย) จึงมีชายที่ยังไม่แก่คนหนึ่ง (ชาย
หนุ่ม) มาสนใจเธอ และยังไม่ขี้เกียจ (ขยัน) เทียวแวะ มาเที่ยวหาพูดคุย ดื่มน้ำท่าอยู่ที่บ้านของเธอเป็นประจำ 
วันหนึ่งในระหว่างที่ชายหนุ่มแวะมาเยี่ยมตามปกติ ปรากฏว่าน้ำดื่มในตุ่มดินอันใสเย็น มันแห้งขอดลง
พอดี (สาวเจ้าลืมเติมน้ำดื่มใส่ตุ่มเอาไว้) เธอจึงบอกให้ชายหนุ่มรอดื่มน้ำเย็นอยู่ที่บ้าน ส่วนเธอก็ฉวยเอาเชือก
ป่าน และกระออมตักน้ำซึ่งสานด้วยไม้ไผ่และฉาบทาด้วยยางไม้เหนียวจึงใช้ตักน้ำได้โดยไม่รั่ว 
แล้วก็เดินตรงไปยังบ่อน้ำที่อยู่หลังบ้าน เธอผูกเชือกป่านเข้ากับคันไม้ของกระออม แล้วหย่อนลงไปในบ่อ 
ตักเอาน้ำและสาวเชือกป่านดึงกระออมขึ้นมา แต่พอเธอชะโงกหน้าลงไปในบ่อน้ำซึ่งลึกมาก เธอก็เริ่มคิดกับ
ตัวเองขึ้นว่ามันน่าหวาดเสียวและอันตรายจริงๆ 
“นี่สมมุติว่าถ้าเขาและฉันได้แต่งงานกัน แล้วพอพวกเรามีลูกชาย เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาจนเป็นหนุ่ม ก็จะต้อง
มาตักน้ำที่บ่อแห่งนี้เหมือนกัน แล้วถ้าเขาพลาดตกลงไปในบ่อลึก เขาก็จะต้องตายเป็นแน่ โอ ช่างเลวร้ายเหลือ
เกิน!” 
เธอจึงปล่อยมือให้กระออมย้อนกลับลงไปอยู่ในบ่ออีกครั้ง แล้วก็นั่งลงและเริ่มร้องห่มร้องไห้
เวลาผ่านไปนานผิดปกติ คนที่อยู่ทางบ้านไม่เห็นเธอกลับมาสักทีก็สงสัย แม่ของเธอจึงลงจากบ้านและไปตาม
หาเธอที่บ่อน้ำ พอเห็นลูกสาวนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างบ่อน้ำโดยที่เชือกป่านก็ยังพาดคาอยู่ที่ปากบ่อ 
“เป็นอะไรไปล่ะลูก” แม่เธอถาม
“โอ คุณแม่!” เธอพูด 
“แม่ก็มองลงไปในบ่อนั่นสิ มันน่ากลัวและหวาดเสียวขนาดไหน! สมมุติว่าเขาแต่งงานกับฉัน แล้วมีลูกชาย
ด้วยกัน พอเขาโตขึ้นก็ต้องมาตักน้ำที่บ่อแห่งนี้ แล้วถ้าเขาพลาดท่าตกลงไปในบ่อลึกนี้ เขาก็ต้องตายอย่างแน่
นอน โอ ช่างเลวร้ายเหลือเกิน!” 
“โอ ตายแล้ว! มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ ลูกแม่!” แล้วแม่ของเธอก็นั่งลงและเริ่มร้องห่มร้องไห้
อยู่ข้างๆเธอนั่นเอง  ครู่ต่อมาครั้นพ่อไม่เห็นแม่และลูกสาวกลับมาสักที เขาจึงเป็นคนลงจากบ้านออกไปตาม
หาคนทั้งสองที่บ่อน้ำ พอไปถึงเขาก็เห็นแม่และลูกสาวพากันนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างบ่อ
“มันเกิดอะไรขึ้นล่ะนี่”  พ่อเธอถาม
“ทำไมล่ะ” แม่เธอพูด 
“คุณก็ลองชะโงกลงไปในบ่อดูสิ ว่ามันน่ากลัวและหวาดเสียวขนาดไหน นี่ถ้าลูกสาวของเรากับคู่รักของเธอ
แต่งงานกัน แล้วได้ลูกชาย เมื่อเขาโตขึ้นมา ก็ต้องมาตักน้ำที่บ่อแห่งนี้ หากเขาพลาดท่าตกลงไปในบ่อลึก 
เขาก็ต้องตายเป็นแน่ โอ มันช่างเป็นเรื่องเลวร้ายและน่ากลัวจริงๆ!”
“โอ ตายแล้ว! จริงด้วย” พ่อเธอกล่าว แล้วเขาก็นั่งลงข้างๆแม่กับลูกและเริ่มร้องห่มร้องไห้อีกคน
ฝ่ายชายหนุ่มซึ่งนั่งรอดื่มน้ำเย็นจากบ่ออยู่ที่บ้านคนเดียว เมื่อรอนานจนเมื่อยขบ เขาจึงลงจากบ้านและออก
ไปตามหาคนทั้งสามเหล่านั้นที่บ่อน้ำ พอไปถึงเขาก็เห็นคนทั้งสามพากันนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างบ่อ โดยที่
เชือกป่านก็ยังพาดคาอยู่ที่ปากบ่อ เขาจึงตรงไปสาวเชือกป่านและดึงเอากระออมนำน้ำขึ้นมาจนพ้นปากบ่อ 
แล้วก็วางลงข้างๆตัว พลางถามว่า 
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านทั้งสามล่ะนี่ ถึงได้พากันนั่งร้องไห้ แล้วก็ไม่ยอมสาวเชือกดึงกระออมขึ้นมาจากบ่อ
เช่นนี้” 
“โอ!” ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ
“ท่านก็ก้มมองดูลงไปในบ่อลึกนั่นสิ ว่ามันน่ากลัวและหวาดเสียวขนาดไหน! ถ้าท่านและลูกสาวของพวกเรา
แต่งงานกัน แล้วมีลูกชาย พอเขาโตขึ้นมาก็ต้องมาตักน้ำจากบ่อแห่งนี้ หากเขาพลาดท่าตกลงไปในบ่อลึก เขา
ก็ต้องตายเพียงเท่านั้น!” 
พูดเสร็จพวกเขาทั้งสามก็พากันร้องไห้คร่ำครวญหนักยิ่งกว่าเดิม แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับหัวเราะก๊าก พลางยก
กระออมน้ำขึ้นดื่ม เสร็จแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ฉันเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ก็ไม่เคยจะเห็นใครเฉลียวขาดฉลาดน้อยเหมือนกับท่านทั้ง
สามนี้เลย ฉันควรจะออกสัญจรรอนแรมไปอีกสักวาระหนึ่ง ถ้าหากฉันพบเห็นใครก็ตามที่ฉลาดน้อยลงไปกว่า
พวกท่านเสียอีก สักสามราย ฉันก็จะกลับมาแต่งงานอยู่กินกับลูกสาวของท่าน” 
ชายหนุ่มจึงอำลาและอำนวยพรแก่ครอบครัวของคนทั้งสาม แล้วก็ออกเดินทางจากไป คงปล่อยให้พวกเขาพา
กันร้องห่มร้องไห้อีกครั้งเพราะว่าคราวนี้ลูกสาวสูญเสียคนรัก
ชายหนุ่มเดินทางรอนแรมมาไกล จนกระทั่งมาถึงกระท่อมปลายนาของหญิงชราผู้หนึ่ง หลังคากระท่อมถูกปก
คลุมไปด้วยสีเขียวของใบหญ้า ซึ่งแผ่กอต่อยอดขึ้นไปงอกงามอยู่บนหลังคา ในเวลานั้นหญิงชรากำลังพยายาม
ลากจูงควายของแก ให้ไต่บันไดขึ้นไปกินหญ้าบนหลังคา แต่ความพยายามนั้นก็ดูทุลักทุเลและไม่เป็นผล 
ดังนั้นชายหนุ่มจึงถามหญิงชราว่ากำลังทำอะไรกันแน่
“ทำไมล่ะ ก็ดูสิ” หญิงชราตอบ 
“หญ้าเขียวๆทั้งนั้นอยู่บนหลังคา ฉันก็จะจูงควายไต่บันไดขึ้นไปกินหญ้าบนนั้น ไม่น่ามีปัญหาอะไร พอมัน
กำลังกินหญ้าอยู่บนหลังคา ฉันก็โยงเชือกที่สนตะพายมันอยู่นั้นให้ลอดผ่านลงมาทางหน้าต่าง แล้วก็นำมาผูก
ไว้ที่เอวของฉัน ในระหว่างที่ทำงานบ้านไป หากควายมันจะหนีไปจากหลังคาเมื่อใด ฉันก็ย่อมรู้” 
“โอ ทำไมถึงฉลาดน้อยอย่างนี้!” ชายหนุ่มกล่าว
“ท่านควรจะขึ้นไปเกี่ยวเอาหญ้าเสียเอง แล้วก็โยนลงมาให้ควายมันกินอยู่ข้างล่างก็ได้!” 
แต่หญิงชราก็เห็นว่าการนำควายขึ้นไปกินหญ้าอยู่บนหลังคา มันดูง่ายกว่าที่จะขึ้นไปเกี่ยวลงมาให้มันกินอยู่
ข้างล่าง หญิงชราจึงพยายามลากจูงควายอยู่เช่นนั้น นางไต่ขึ้นไปยืนอยู่บนตอนปลายของบันไดใกล้ๆกับหลัง
คา มือก็พยายามชักเชือกลากจูงให้ควายก้าวขาเหยียบขั้นบันไดตามขึ้นไป อาลามตกใจหรือไม่ก็รำคาญหรือ
ทรมานเจ็บปวดจากการถูกบังคับ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เกินกว่าจะคาดคิด ควายจึงสะบัดเขาอันยาวและแข็งแกร่ง
ของมัน เป็นเหตุให้ไปโดนบันไดที่พาดอยู่ไถลลื่นลงมา จนหลุดร่วงออกจากหลังคา หญิงชราจึงร้องเสียงหลง 
แล้วก็ร่วงลงมานอนครางโอยๆอยู่ข้างกระท่อมของนางนั่นเอง ความฉลาดมีไม่พอใช้จริงๆ ชายหนุ่มส่ายหัว
ไปมา
ชายหนุ่มจึงเดินทางต่อไป จนกระทั่งตอนเย็นในวันหนึ่ง เขาจำเป็นต้องเข้าพักนอนในโรงแรมแห่งหนึ่ง 
แต่เผอิญว่าทุกห้องนั้นเต็มหมด จึงจำเป็นต้องเข้าพักร่วมห้องกับผู้เดินทางอีกคนในห้องเตียงคู่ สุภาพบุรุษ
ร่วมห้องของเขา เป็นผู้มีอัธยาศัยไมตรีเป็นอย่างดี แต่พอถึงตอนเช้าหลังจากตื่นนอน ชายหนุ่มก็ต้องประหลาด
ใจ เมื่อเห็นชายคนที่พักร่วมห้องเดียวกัน นำกางเกงขายาวของเขามาห้อยไว้ที่มือจับของลิ้นชัก แล้วก็พยายาม
วิ่งจากด้านหนึ่งของห้อง เพื่อกระโดดลงไปสวมเอากางเกงขายาวนั้น เขาพยายามแล้วพยายามเล่าก็ยังทำไม่
สำเร็จ ชายหนุ่มก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาทำอะไรกันแน่
“โธ่ โว้ย!” ชายคนนั้นพูด 
“ฉันคิดว่าในบรรดาเสื้อผ้าทั้งหมดนี้ กางเกงขายาวออกจะแย่ที่สุดเลยนะ ฉันคิดไม่ออกเหมือนกันว่าใครช่าง
ประดิษฐ์คิดทำเสื้อผ้าอย่างนี้ขึ้นมา กว่าฉันจะสวมใส่ได้แต่ละเช้า ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ เล่นเอาเหงื่อแตกพลั่กๆ!
แล้วท่านล่ะจัดการสวมใส่ของท่านอย่างไร”  
ชายหนุ่มได้ฟังก็อดที่จะปล่อยหัวเราะออกมาไม่ได้ แล้วเขาก็แสดงการสวมใส่กางเกงขายาวให้ชายคนนั้นดูเป็น
ตัวอย่าง ชายคนนั้นจึงได้กล่าวขอบคุณแก่เขาเป็นอย่างมาก เขาบอกว่าเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า มันจะ
สามารถสวมใส่ด้วยวิธีง่ายๆเช่นนั้นได้ ชายหนุ่มจึงส่ายหัวไปมา นับว่าเป็นเรื่องที่ฉลาดไม่พอใช้จริงๆ 
ชายหนุ่มยังเดินทางต่อไปอีก จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสระน้ำอยู่ข้างนอกหมู่บ้าน ในเวลานั้นมีผู้
คนกลุ่มหนึ่งกำลังรุมล้อมอยู่รอบๆสระ ในมือของพวกเขานั้นบ้างก็ถือคราด ไม้สอยมะม่วง ไม้กวาดด้ามยาว 
และไม้ตะขอด้ามยาว ต่างก็กำลังพยายามที่จะเกี่ยวเอาอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในสระ ชายหนุ่มสงสัยจึงได้ไต่
ถามพวกเขา
“ทำไมล่ะ” พวกเขาตอบ 
“เป็นเรื่องนะสิ! ดวงจันทร์ตกลงไปจมอยู่ใต้ก้นสระ พวกเราไม่รู้ว่าจะนำเธอขึ้นมาได้อย่างไร!” 
ชายหนุ่มได้ฟังก็หัวร่องอหงาย พลางก็ชี้ให้พวกเขาแหงนมองขึ้นไปดูบนท้องฟ้า และบอกกับพวกเขาว่าที่เห็น
อยู่ในน้ำนั่นคือเงาของมัน แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อชายหนุ่มคนนั้น มิหนำซ้ำยังพากันเหยียดหยามและด่าทอเขา
ให้ได้รับความอับอาย ชายหนุ่มจึงต้องรีบหนีไปจากพวกเขาโดยไม่ชักช้า
จึงเป็นอันว่าเขาได้พบเห็นคนที่ฉลาดไม่มาก หรือ ฉลาดน้อยเต็มที (โง่) ยิ่งกว่าครอบครัวของชาวนา ดังนั้น
ชายหนุ่มจึงเดินทางกลับไปแต่งงานอยู่กินกับลูกสาวของชาวนา ตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้ แต่ถ้าพวกเขาไม่มี
ความสุขหลังจากการแต่งงาน ทั้งผู้อ่านและผู้เขียนก็ไม่เห็นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขามิใช่หรือ 
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
14 กันยายน 2557 07:57 น.

นิทานก่อนนอน : มอมแมม (The Story Of Cinderella) ตอนจบ

Prayad

ต่อมาในวันที่สาม เมื่อพ่อของเธอ แม่เลี้ยงและพี่สาวต่างก็ออกจากบ้านไปหมดแล้ว  มอมแมมก็ตรงไปยังหลุม
ฝังศพของแม่เธออีกครั้งหนึ่งและเอ่ยขึ้นอีกว่า
“โอ…ต้นไม้น้อย ค่อยไหวใบสั่นซู่
โปรดร่วงพลูเงินทองผุดผ่องใส
ประดับกายเรืองรองผ่องอำไพ
งามวิไลดุจนางฟ้าโสภาพรรณ”
เหตุนั้นนกก็นำเสื้อผ้าอาภรณ์มาส่งให้อีก เป็นชุดที่มีความสวยงาม หรูหรา อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อม
กับรองเท้าทองคำหนึ่งคู่  เมื่อเธอไปถึงในงานด้วยชุดนั้น  ผู้คนทั้งหมดในงานเลี้ยงก็ต้องตกตะลึงกับความสวย
สดงดงามของเธอ  เจ้าชายก็เต้นรำกับเธอแต่เพียงลำพังโดยไม่สนใจหญิงสาวคนอื่นเลย  แม้มีชายหนุ่มมาขอ
เต้นรำกับเธอ  เจ้าชายก็จะตรัสว่า
“เธอเป็นคู่ของฉัน”
ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ  มอมแมมก็จะกลับบ้าน ยังไม่ทันที่เจ้าชายจะตามไปส่ง  เธอก็รีบวิ่งผ่านเลยไปอย่างรวด
เร็วจนเจ้าชายไม่อาจจะติดตามเธอได้ทัน  อย่างไรก็ตามครั้งนี้เจ้าชายได้วางแผนไว้แล้วล่วงหน้าโดยการราด
ยางไม้เหนียวๆไว้ระหว่างทางเดินที่เธอรีบหนีไป  เป็นเหตุให้รองเท้าข้างหนึ่งของเธอหลุดและติดคาอยู่ที่ยาง
ไม้นั้น  เมื่อเจ้าชายมาถึงจึงหยิบรองเท้าข้างนั้นขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นรองเท้าทองคำที่มีรูปทรงเรียวและเล็กมาก
ในเช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าชายจึงเดินทางไปพบพ่อของมอมแมมและบอกกับเขาว่า บัดนี้หาได้มีใครเหมาะสมที่จะเป็น
เจ้าสาวไม่  เว้นแต่หญิงสาวที่มีเท้าสามารถสวมเข้ากับรองเท้าทองคำนี้ได้พอดี   พี่สาวทั้งสองของเธอได้ยิน
เช่นนั้นก็พากันดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าเขาทั้งสองต่างก็มีเท้าที่ดูสวยงาม   พี่สาวคนโตจึงเข้าไปในห้อง
ของเธอแล้วก็ลองสวมใส่รองเท้าทองคำนั้นในขณะที่แม่ของเธอก็ยืนดูอยู่ข้างๆ  แต่เธอก็ไม่สามารถสวมใส่ได้
เพราะนิ้วเท้าของเธอใหญ่เกินกว่าที่จะบังคับให้เข้าไปในรองเท้าเล็กๆได้  แม่ของเธอจึงยื่นมีดให้แล้วบอก
ว่า
“ตัดนิ้วเท้าของเธอออกเสีย เพราะเมื่อได้เป็นพระราชินีแล้วเธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องเดินด้วยเท้า”  
ดังนั้นเธอจึงใช้มีดตัดนิ้วเท้าตัวเองออกเสีย แล้วก็พยายามยัดเยียดให้เท้าเข้าไปในรองเท้าเล็กๆนั่นจนได้  
แม้ว่าจะเจ็บปวดจากบาดแผลเพียงใด เธอก็ฝืนทำใบหน้าให้เป็นปกติ แล้วก็ออกไปพบเจ้าชาย   เหตุนั้นเจ้า
ชายจึงรับเธอขึ้นขี่หลังม้าไปด้วยเพราะถือว่าเป็นเจ้าสาวแล้ว  พร้อมกันนั้นก็ควบม้าเดินทางกลับไปยังปราสาท
ในระหว่างทางก็จะต้องผ่านหลุมฝังศพ  ณ ที่นั่นมีนกพิราบสองตัวจับอยู่บนต้นไม้และพากันร้องทักขึ้นว่า
“นั่นไง!  จะไปกันหมด
เลือดแดงสดรดรองเท้า
เล็กไปไม่ใช่เบา
เจ้าสาวเล่า  ไม่ใช่เลย”
เจ้าชายได้ยินเช่นนั้นก็ก้มลงมอง ที่รองเท้าของเธอ และเห็นเลือดไหลอาบออกมาเป็นทาง จึงรีบควบม้ากลับ 
แล้วนำเธอไปส่งคืนที่บ้านกับทั้งบอกว่าเธอไม่ใช่เจ้าสาวและขอให้น้องสาวของเธอได้ลองสวมรองเท้านั้นดูบ้าง
 พี่สาวของมอมแมมคนที่สองจึงเข้าไปในห้องของเธอและลองสวมรองเท้าดูก็ปรากฏว่า เธอสามารถสอดนิ้ว
เท้าทั้งหมดเข้าไปได้อย่างสบายแต่ส้นเท้าของเธอกลับใหญ่เกินกว่าที่จะสวมมันได้  แม่ของเธอจึงยื่นมีดให้และ
บอกว่า
“ตัดส้นเท้าของเธอบางส่วนออกเสีย  เพราะเมื่อได้เป็นพระราชินีแล้วเธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องเดินด้วย
เท้า”
เธอจึงเฉือนส้นเท้าบางส่วนของตนเองออกเสีย แล้วก็ใช้แรงดันบีบบังคับเท้าให้สวมรองเท้าจนได้  แม้ว่าจะรู้
สึกเจ็บปวดจากบาดแผลเพียงใด แต่ก็ทนฝืนทำใบหน้าเป็นปกติ แล้วเดินออกไปพบเจ้าชาย  และด้วยสำคัญว่า
เป็นเจ้าสาว  เจ้าชายก็รับเธอขึ้นขี่หลังม้าแล้วก็ควบออกไป  ครั้นผ่านมาที่หลุมฝังศพอีกครั้งหนึ่ง นกพิราบสอง
ตัวที่อยู่บนต้นไม้ก็พากันร้องทักอีกว่า
“นั่นไง! จะไปกันหมด
เลือดแดงสดรดรองเท้า
เล็กไปไม่ใช่เบา
เจ้าสาวเล่า  ไม่ใช่เลย”
เจ้าชายได้ยินเช่นนั้น ก็ก้มลงมองที่เท้าของเธอ และเห็นเลือดไหลอาบออกมาจากรองเท้า จนถุงน่องสีขาว
เปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงของเลือด  เจ้าชายจึงชักม้าหวนกลับ แล้วนำเธอมาส่งที่บ้านพร้อมกับตรัสว่า
“คนนี้ก็ไม่ใช่เจ้าสาว”  แล้วเจ้าชายก็ถามต่ออีกว่า
“ท่านไม่มีลูกสาวเหลืออีกแล้วแน่นะ”
“ก็ไม่เชิง” พ่อของเธอกล่าวขึ้น 
“ภรรยาเก่าของฉันผู้ล่วงลับไปแล้ว  คงทิ้งไว้แต่ลูกสาวคนเล็กที่สกปรกมอมแมม จนพวกเราพากันเรียกเธอ
ว่า มอมแมม  เป็นไปไม่ได้แน่ที่เธอจะเป็นเจ้าสาว”  
แต่พระราชโอรสก็ได้ยืนกรานที่จะให้นำมอมแมมออกมาพบ  แม่เลี้ยงของเธอจึงรีบพูดขึ้นว่า
“โอ…ไม่ได้หรอกเพคะ  เธอสกปรกเกินกว่าที่จะให้ใครๆได้พบเห็น”
อย่างไรก็ตามเจ้าชายก็ยังยืนยันในความประสงค์ที่จะให้แม่เลี้ยงไปนำตัวมอมแมมออกมาพบ  จนในที่สุดเธอ
ก็ได้ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าชาย
มอมแมมได้ล้างหน้าล้างตา และชำระมือไม้ให้สะอาดหมดจดเป็นอย่างดี  ก่อนที่เธอจะเข้าไปถวายความเคารพ
ต่อเจ้าชาย  ครั้นเห็นเธอ เจ้าชายก็ยื่นรองเท้าทองคำให้  เธอจึงเดินไปนั่งลงที่ตั่งแล้วก็สอดเท้าเข้าไปสวมใส่
รองเท้าทองคำนั่น  ซึ่งก็ปรากฏว่าเหมาะสมกับเท้าของเธอพอดีอย่างไม่มีที่ติ  พอเธอยืนขึ้น เจ้าชายก็จ้องมอง
ไปที่ใบหน้าของเธอ  พลันเจ้าชายก็จดจำได้ถึงความสวยงามของหญิงสาวผู้เคยเป็นคู่เต้นรำในงานเลี้ยง  จนถึง
กับเอ่ยพระโอษฐ์ว่า
“ใช่แล้ว คนนี้คือเจ้าสาวอันแท้จริง!”
แม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองของเธอต่างก็ประหลาดใจและตกใจแทบช็อค แล้วก็กลับกลายเป็นความรู้สึกโกรธ
อย่างมาก  แต่เจ้าชายก็ได้รับเอามอมแมมขึ้นขี่หลังม้า แล้วพาเธอควบจากไป  ครั้นผ่านมาทางหลุมฝังศพ ซึ่ง
มีนกพิราบสองตัวจับอยู่บนต้นไม้นั้นต่างก็พากันร้องทักอีกว่า
“นั่นไง  จะไปกันหมด
เลือดเพียงหยดไม่เห็นมี
รองเท้าเหมาะสมดี
เธอคนนี้  คือเจ้าสาว”
เมื่อนกสองตัวนั้นร้องทักเสร็จ มันก็พากันบินมาจับอยู่ที่ไหล่ของมอมแมม ตัวหนึ่งจับอยู่ไหล่ซ้ายอีกตัวหนึ่งจับ
อยู่ไหล่ขวาโดยไม่ยอมบินหนีไปไหนเลย
ในที่สุดวันอภิเษกสมรสกับเจ้าชายก็ได้ถูกกำหนดขึ้น  พี่สาวทั้งสองผู้มากด้วยความอิจฉา ริษยาก็มาในงานเช่น
เดียวกัน  ด้วยหวังจะได้แสร้งทำเป็นชื่นชมและมีส่วนร่วมในงานพิธี  ในระหว่างพิธีของคู่บ่าว-สาวที่กำลังดำ
เนินไปภายในโบสถ์ พี่สาวทั้งสองก็เดินประกบข้างไปเป็นเพื่อนเจ้าสาว คนพี่เดินทางขวาและคนน้องเดินทาง
ซ้ายของมอมแมม นกพิราบสองตัวที่จับอยู่บนไหล่ของเธอคนละข้างก็จิกดวงตาข้างหนึ่งของทั้งคนพี่และคนน้อง
พอขาเดินกลับคนพี่เดินประกบอยู่ทางซ้าย คนน้องเดินประกบอยู่ทางขวา  นกพิราบก็จิกดวงตาอีกข้างหนึ่งของ
ทั้งคนพี่และคนน้อง พี่สาวทั้งสองของมอมแมมจึงต้องได้รับผลกรรมกลายเป็นคนตาบอดไปชั่วชีวิตเพราะความ
เป็นผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายและไร้ซึ่งความเมตตาปราณี  เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
15 กันยายน 2557 22:50 น.

นิทานก่อนนอน : มอมแมม (The Story Of Cinderella) ตอนแรก

Prayad

ในกาลครั้งหนึ่งยังมีเศรษฐีคนหนึ่ง ซึ่งมีภรรยากำลังป่วยหนัก ครั้นเธอรู้ตัวดีว่าเวลาสุดท้ายกำลังใกล้เข้ามาถึง
แล้ว เธอจึงเรียกลูกสาวคนเดียวของเธอเข้ามาหาที่ห้องนอนและกล่าวขึ้นว่า
“ลูกสุดที่รักของแม่  จงทำแต่ความดีและเป็นคนดีนะ แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะคุ้มครอง แม่เองก็จะคอยดูแลลูกจาก
เบื้องบนและจะอยู่กับลูก”
แล้วเธอก็หลับตาลงและจากไปอย่างสงบ  ลูกสาวผู้น่าสงสาร ก็จะไปที่หลุมฝังศพของแม่อยู่เป็นประจำทุกวัน 
และได้แต่คร่ำครวญร้องไห้ถึงแม่   กระนั้นเธอก็เพียรตั้งอยู่แต่ในคุณงามความดีและเป็นคนดีมาโดยตลอด
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว หิมะก็ตกปกคลุมหลุมฝังศพดูขาวโพลนไปหมดและเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หิมะก็เริ่ม
ละลายและจางหายไป  พร้อมกับการแต่งงานใหม่ของพ่อหม้ายเศรษฐีคนนั้น
ภรรยาใหม่ของเศรษฐีได้นำบุตรสาวสองคน ที่เกิดกับสามีเก่า เข้ามาอยู่อาศัยด้วยกับเธอ  ดูจากภายนอกแล้ว 
บุตรสาวทั้งสองคนต่างก็มีรูปร่างสวยสดงดงาม แต่หัวใจของเขาทั้งสองกลับดำและอัปลักษณ์  
ในเวลาต่อมาพวกเขาก็เริ่มกระทำแต่ความเลวร้ายต่อลูกเลี้ยงผู้น่าสงสารคนนั้น
“คนโง่ๆอย่างนี้สมควรจะมานั่งร่วมห้องกับพวกเราด้วยเรอะ” พวกเขาพูดขึ้น  
“ใครที่กินข้าวก็จะต้องใช้ค่าข้าว  ไปเป็นคนใช้ในครัวไป๊!”
พวกเขาก็ให้เธอถอดเสื้อผ้าสวยๆออก และเอาไปเสียจากเธอ แล้วให้เสื้อคลุมเก่าๆกับรองเท้าที่ทำด้วยไม้แก่
เธอ แทนของสวยงามเหล่านั้น
“นี่ เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ ดูสิว่าเธอฉลององค์เป็นอย่างไร!”  พวกเขาพูดประชดกับทั้งหัวเราะเยาะและขับไส
ให้เธอไปอยู่ในครัว  เธอถูกบังคับให้ทำงานอย่างหนักตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงค่ำมืดดึกดื่น เธอต้องตื่นนอนแต่
เช้าตรู่เพื่อไปตักน้ำจากบ่อ  แล้วมาก่อไฟ ทำกับข้าว ล้างถ้วยล้างชามและซักเสื้อผ้า  นอกจากนั้น พี่สาวทั้งสอง
ของเธอ ก็มักจะกลั่นแกล้ง ให้ได้รับความยากลำบากอยู่ตลอดเวลา  พวกเขาจะหว่านเมล็ดถั่วจำนวนมากลงไป
ในเถ้าถ่าน แล้วบอกให้เธอคอยตามเก็บกลับมาให้หมด  
ครั้นถึงตอนเย็นหลังจากที่เธอเหน็ดเหนื่อย จากการตรากตรำทำงานมาตลอดทั้งวัน พวกเขาก็ไม่มีที่นอนอัน
อ่อนนุ่มให้  แต่กลับบังคับให้เธอใช้เชิงไฟในครัวเป็นที่พักหลับนอน อยู่ท่ามกลางเถ้าถ่านข้างกองไฟ  ด้วย
เหตุนั้นตามตัวของเธอจึงสกปรกและมอมแมมไปด้วยฝุ่นขี้เถ้าจากครัวไฟ  พวกเขาจึงเรียกเธอว่า มอมแมม
ต่อมาในวันหนึ่ง พ่อของเธอจะเข้าไปเที่ยวงานออกร้านในเมือง จึงถามลูกเลี้ยงทั้งสองว่าอยากได้อะไร พ่อจะ
ซื้อมาฝาก
“อยากได้เสื้อผ้าสวยๆ” คนหนึ่งตอบ
“อยากได้เครื่องประดับที่ทำด้วยไข่มุกและพลอย” อีกคนหนึ่งตอบ
“แล้วเจ้าล่ะ  มอมแมม อยากได้อะไร” พ่อถามเธอ
“คุณพ่อคะ หนูอยากได้แท่งไม้ขนาดพอใช้สำหรับกางหมวกออกไม่ให้ตกมาปิดตา เวลาใส่เดินกลับบ้าน 
แค่นี้ล่ะค่ะ ที่อยากให้คุณพ่อนำมาให้”
ดังนั้นเขาจึงซื้อเสื้อผ้าที่สวยงาม ไข่มุก และพลอย สำหรับลูกเลี้ยงทั้งสอง  แต่ในระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้าน 
เขาต้องเดินลัดเลาะผ่านไปตามป่าละเมาะ บังเอิญกิ่งไม้ข้างทางได้ทิ่มหมวกของเขาเข้าพอดี  เขาจึงดึงมันออก
และหักเก็บใส่กระเป๋านำกลับบ้านมาด้วย  ครั้นถึงบ้าน ลูกเลี้ยงทั้งสองต่างก็ได้รับของที่พวกเธอปรารถนาจาก
พ่อเศรษฐีทุกประการ ขณะเดียวกันเขาก็หยิบแท่งไม้ที่หักมาระหว่างทางให้กับมอมแมม
เธอกล่าวขอบคุณแก่คุณพ่อ แล้วก็นำเอาแท่งไม้ที่ยังเป็นอยู่นั้นไปปลูกลงที่หลุมฝังศพของแม่   เธอได้แต่ร่ำ
ไห้ด้วยความขมขื่น จนน้ำตานองและราดรดไปบนต้นไม้  จึงเป็นเหตุให้ต้นไม้นั้นงอกงาม และผลิใบเติบโตขึ้น
เป็นต้นเล็กๆ  มอมแมมจะออกไปดูต้นไม้ของเธอวันละสามครั้ง  เฝ้าแต่ร่ำไห้และวิงวอนอธิษฐาน 
แต่ละครั้งก็จะมีนกสีขาวมาปรากฏอยู่บนต้นไม้นั้น และหากเธอปรารถนาในสิ่งใดก็ตาม นกตัวนั้นก็จะนำสิ่งที่
เธอปรารถนามาให้ทุกประการ
ในเวลาต่อมาพระราชาได้จัดให้มีงานฉลองเลี้ยง เป็นเวลาสามวันสำหรับหญิงสาวผู้มีความงามจากทั่วราชอา
ณาจักรที่ปรารถนาจะมาร่วมงานเลี้ยง ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดโอกาส ให้พระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงเลือกเป็น
เจ้าสาว และเข้าสู่พิธีอภิเษกสมรสต่อไป  
เมื่อข่าวนี้เป็นที่ทราบถึงลูกเลี้ยงทั้งสอง พวกเธอก็มีความยินดีและปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง  และยังได้เรียกหา
มอมแมมแล้วพูดกับเธอว่า
“เร็วเข้า!  มาหวีผมให้พวกเรา ขัดรองเท้า และปรับสายเข็มขัดให้ด้วย พวกเรากำลังจะไปร่วมงานราตรีราช
สโมสร ยังมหาปราสาทของพระราชา”
ข่าวนี้ทำให้มอมแมมรู้สึกกล้ำกลืนและฝืนทน เธออดที่จะร้องไห้ไม่ได้   ด้วยว่าเธอเองก็ปรารถนา ที่จะได้ไป
ร่วมงานกินเลี้ยงและเต้นรำเป็นอย่างยิ่ง เธอจึงได้เอ่ยปากเพื่อขออนุญาตต่อแม่เลี้ยง
“อะไรกัน  มอมแมม!” นางตวาดขึ้น 
“สารรูปที่สกปรกมอมแมม แถมยังเต็มไปด้วยเถ้าถ่านอย่างนี้นะเร่อ ก็ยังอยากจะไปร่วมงานเลี้ยง! เสื้อผ้าอา
ภรณ์และรองเท้าก็ไม่มี! แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า อยากจะไปร่วมเต้นรำ!”
ครั้นเธอรบเร้าแม่เลี้ยงอย่างไม่ลดละ  นางจึงพูดกับเธอว่า
“เอาล่ะ  บังเอิญฉันทำถ้วยเมล็ดถั่วหกกระจัดกระจาย ลงในกองขี้เถ้า หากเจ้าสามารถเก็บมาคืนใส่ถ้วยไว้
อย่างเดิมให้เสร็จภายในสองชั่วโมง  เจ้าก็อาจจะได้ไปกับพวกเรา”
ด้วยเหตุนั้นมอมแมม แม่ครัวผู้น่าสงสารจึงเดินไปที่ประตูหลังบ้านซึ่งเปิดออกสู่สวนหลังบ้าน  แล้วเธอก็เอ่ย
ขึ้นว่า
“โอ…พิราบ  กระจาบ มวลหมู่นก
โปรดช่วยเก็บถั่วหกตกในเถ้า
เลือกถั่วดีเก็บไว้ใส่ถ้วยเรา
ถั่วเสียเล่าเจ้าอาจเก็บไว้กินเอง”
ครู่ต่อมาก็มีนกพิราบสีขาวสองตัวบินมา ที่หน้าต่างของห้องครัว  ตามด้วยหมู่นกกระจาบ และท้ายที่สุดก็เป็นฝูง
นกจำนวนมหาศาลจากทั่วท้องนภา  บินว่อนจนลานตาไปหมด  แล้วพวกมันก็พากันเรียงรายเข้ามายังกองขี้
เถ้าอย่างเป็นระเบียบ  ต่างก็ช่วยกันจิกเมล็ดถั่วแล้ววาง  จิกแล้ววาง  จิกแล้ววาง เฉพาะเมล็ดที่ดีๆลงในถ้วย  
ยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วโมงก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย  แล้วฝูงนกทั้งหลายเหล่านั้นก็บินจากไป  
มอมแมมจึงนำถ้วยเมล็ดถั่วนั้นไปให้แม่เลี้ยง ในใจก็รู้สึกเบิกบานด้วยคิดว่า คราวนี้เธอคงจะได้ไปร่วมงาน
เลี้ยง  แต่แล้วแม่เลี้ยงก็พูดกับเธอว่า
“เจ้าไปไม่ได้หรอกมอมแมม  เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เหมาะสมเจ้าก็ไม่มี  ซ้ำร้ายเต้นรำเจ้าก็ทำไม่เป็น ผู้คนเขาจะ
ได้หัวเราะเยาะเจ้า!”
มอมแมมจึงได้แต่ร้องห่มร้องไห้ด้วยความผิดหวัง  แม่เลี้ยงของเธอจึงได้พูดอีกครั้งว่า
“เอาล่ะ  ถ้าเจ้าสามารถเก็บเมล็ดถั่วสองถ้วยเต็มๆที่หล่นกระจัดกระจายอยู่ในกองขี้เถ้าขึ้นมาได้หมดอย่าง
เรียบร้อยและสะอาดหมดจด  เจ้าก็อาจจะได้ไปกับพวกเรา”  
ด้วยนางคิดในใจว่าอย่างไรเสียก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน  เพราะนางเป็นคนเทเมล็ดถั่วสองถ้วยเต็มๆกระ
จัดกระจายลงในกองขี้เถ้านั้นด้วยตนเอง    ด้วยเหตุนั้นมอมแมม แม่ครัวผู้น่าสงสารจึงเดินไปที่ประตูหลังบ้าน
ซึ่งเปิดออกสู่สวนหลังบ้าน  แล้วเธอก็เอ่ยขึ้นอีกว่า
“โอ…พิราบ  กระจาบ มวลหมู่นก
โปรดช่วยเก็บถั่วหกตกในเถ้า
เลือกถั่วดีเก็บไว้ใส่ถ้วยเรา
ถั่วเสียเล่าเจ้าอาจเก็บไว้กินเอง”
ครู่ต่อมาก็มีนกพิราบสีขาวสองตัวบินมา ที่หน้าต่างของห้องครัวอีก  ตามด้วยหมู่นกกระจาบ และท้ายที่สุดก็เป็น
ฝูงนกจำนวนมหาศาลจากทั่วท้องนภา  บินว่อนจนลานตาไปหมด  แล้วพวกมันก็พากันเรียงราย เข้ามายังกอง
ขี้เถ้าอย่างเป็นระเบียบ  ต่างก็ช่วยกันจิกเมล็ดถั่วแล้ววาง  จิกแล้ววาง  จิกแล้ววาง เฉพาะเมล็ดที่ดีๆลงในถ้วย  
ยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย  แล้วฝูงนกทั้งหลายเหล่านั้นก็บินจากไป  
มอมแมมจึงนำถ้วยเมล็ดถั่วนั้นไปให้แม่เลี้ยง ในใจก็รู้สึกเบิกบานด้วยคิดว่า คราวนี้เธอคงจะได้ไปร่วมงาน
เลี้ยง  แต่แล้วแม่เลี้ยงก็พูดกับเธอว่า
“เจ้าไม่เหมาะกับงานนี้หรอก  เจ้าไม่ต้องไปกับพวกเรา เพราะเจ้าไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะสม  เต้นรำก็ไม่เป็น 
รังแต่จะทำให้พวกเราได้รับความอับอาย”
จากนั้นนางก็หันหลังให้มอมแมมผู้น่าสงสาร  แล้วกระวีกระวาดจัดแจงรีบพาลูกสาวทั้งสอง ผู้หยิ่งยโสของนาง 
ออกจากบ้านไปทันที
ครั้นไม่มีใครอยู่ที่บ้านแล้ว  มอมแมมจึงไปที่หลุมฝังศพของแม่  ณ ใต้ต้นไม้นั้น เธอได้ร่ำไห้และเอ่ยขึ้นว่า
“โอ…ต้นไม้น้อย ค่อยไหวใบสั่นซู่
โปรดร่วงพรูเงินทองผุดผ่องใส
ประดับกายเรืองรองผ่องอำไพ
งามวิไลดุจนางฟ้าโสภาพรรณ”
ครู่ต่อมาก็มีนกนำเสื้อผ้าอาภรณ์ อันประดับประดาไปด้วยทองคำและเงิน กับทั้งรองเท้าคู่หนึ่งที่ปักร้อยด้วย
ไหมและเงินมาให้แก่เธอ   รวดเร็วปานใจนึก เธอก็รีบจัดแจงแต่งกายด้วยชุดดังกล่าวแล้วรีบเดินทางไปร่วม
งานเลี้ยงทันที  แต่ทั้งแม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสอง ต่างก็จำเธอไม่ได้ พวกเขาพากันคิดว่าเธอเป็นเจ้าหญิงมาจาก
ต่างเมือง เพราะเธอดูสวยสดงดงามมาก เมื่อยามได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์อันเหลืองอร่ามไปด้วยทองคำ   
แน่นอนล่ะพวกเขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นมอมแมมไปได้  เพราะป่านนี้เธอก็คงจะกำลังนั่งเก็บเมล็ดถั่วออกจาก
กองขี้เถ้าอยู่ที่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย  เมื่อพระราชโอรสได้พบเธอเข้าก็ทรงพอพระหฤทัย จึงได้ยื่นพระหัตถ์
ออกไปสัมผัสกับมือเธอแล้วพาออกไปเต้นรำ  ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังปฏิเสธที่จะเต้นรำกับหญิงสาวคนอื่นๆ 
และไม่ยอมปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระเช่นเดียวกัน  แม้มีบางคนมาขอร่วมเต้นรำกับเธอ แต่พระราชโอรสก็
ตรัสตอบไปว่า
“เธอเป็นคู่ของฉัน”
ครั้นได้เวลาพลบค่ำ  เธอก็ต้องการจะกลับบ้านแต่เจ้าชายก็ประสงค์จะเสด็จตามไปส่ง ทั้งนี้เพราะพระองค์อยาก
จะรู้ว่าหญิงสาวผู้เลอโฉมคนนี้พักอาศัยอยู่ที่ใด  แต่แล้วเธอก็หลบหนีเจ้าชายได้ด้วยการกระโดดหายเข้าไปใน
เล้านกพิราบ  เจ้าชายก็เฝ้าคอยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งพ่อของเธอมาพบเข้า  เจ้าชายจึงบอกแก่พ่อของเธอว่า มีแม่
ครัวแปลกๆคนหนึ่งกระโดดหายเข้าไปในเล้านกพิราบนี้  พ่อของเธอก็คิดในใจว่า  
“คงไม่ใช่มอมแมมอย่างแน่นอน”  แล้วเขาก็แอบย่องไปเอาขวานมาจัดการโค่นเล้านกพิราบลงทันที 
แต่ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย เมื่อเจ้าชายและพ่อเขาเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นแต่ มอมแมม สวมเสื้อผ้า
สกปรกๆนั่งอยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้าและมีแสงริบหรี่จากตะเกียงน้ำมัน ที่วางอยู่ใต้ปล่องไฟ คอยส่องสว่างทำลาย
ความมืดสลัวในยามพลบค่ำ  
ทั้งนี้ก็เพราะหลังจากที่เธอกระโดดเข้าไปในเล้านกพิราบแล้ว เธอก็กระโดดออกมาอย่างรวดเร็ว  แล้ววิ่งแจ้น
ไปยังต้นไม้ที่หลุมฝังศพ  จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวยงามนั้นออก และวางไว้ที่หลุมฝังศพแล้วนกก็นำไปเสีย  
ขณะเดียวกันเธอก็กลับมาสวมใส่เสื้อผ้าที่สกปรกผืนเดิมอีกครั้ง ก่อนที่จะรีบวิ่งกลับมานั่งอยู่ในครัวซึ่งแวดล้อม
ไปด้วยขี้เถ้าอย่างที่เจ้าชายและพ่อเธอเห็น
งานเลี้ยงและเต้นรำได้เริ่มอีกครั้งในวันที่สอง  เมื่อพ่อของเธอ แม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองออกจากบ้านไปกัน
หมดแล้ว  มอมแมมก็รีบตรงไปยังต้นไม้นั้นและเอ่ยขึ้นอีกว่า
“โอ…ต้นไม้น้อย ค่อยไหวใบสั่นซู่
โปรดร่วงพลูเงินทองผุดผ่องใส
ประดับกายเรืองรองผ่องอำไพ
งามวิไลดุจนางฟ้าโสภาพรรณ”
เหตุนั้นนกก็ได้นำเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามยิ่งกว่าในวันแรกมาให้แก่มอมแมม  ครั้นเธอไปปรากฏตัวที่งาน
เลี้ยง  ทุกคนที่มาร่วมในงานต่างก็ต้องตกตะลึงในความสวยงามของเธอ  ขณะเดียวกันเจ้าชายก็เฝ้ารอคอยการ
มาถึงของเธออย่างใจจดใจจ่อ  พอเธอมาถึงเจ้าชายก็เข้าไปจูงมือเธอออกไปเต้นรำโดยไม่สนใจที่จะเต้นรำกับ
หญิงสาวคนอื่นเลย  แม้มีชายหนุ่มคนอื่นมาขอเต้นรำกับเธอเจ้าชายก็จะตรัสว่า
“เธอเป็นคู่ของฉัน”
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำเธอก็ต้องการจะกลับบ้าน  เจ้าชายจึงขอติดตามไปส่งเธอเพื่อจะได้รู้ว่าเธอมีบ้านอยู่ที่ไหน  
แต่แล้วเธอก็สามารถหนีเจ้าชายได้อีกครั้งโดยการวิ่งเข้าไปในสวนหลังบ้าน  ณ ที่นั่นมีต้นแพร์ขนาดใหญ่
และมีลูกดกเต็มต้น  เธอรีบป่ายปีนขึ้นไปตามกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่วราวกับกระรอกและหายไปอย่างรวดเร็ว  
เจ้าชายก็ไม่รู้ว่าจะตามหาเธอได้อย่างไร จึงเฝ้าคอยอยู่ ณ ที่นั่นจนกระทั่งพ่อของเธอมาพบเข้า  เจ้าชายจึงบอก
ว่ามีแม่ครัวลึกลับคนหนึ่งรีบร้อนหนีไปจากเขาและคิดว่าเธอคงจะหายเข้าไปในต้นแพร์ใหญ่   พ่อของเธอจึง
คิดว่า
“คงไม่ใช่มอมแมมอย่างแน่นอน” แล้วเขาก็ไปนำเอาขวานมาจัดการโค่นต้นแพร์ลงทันที  แต่แล้วก็ปรา
กฏว่าไม่ได้มีใครสักคนอยู่บนต้นไม้เลย  ครั้นเจ้าชายและพ่อของเธอเข้าไปในครัวก็พบว่ามอมแมมกำลังนั่ง
อยู่ท่ามกลางขี้เถ้าเหมือนอย่างปกติ  ทั้งนี้ก็เพราะเธอลงจากต้นแพร์อีกด้านหนึ่งของต้นไม้และรีบนำเสื้อผ้า
อาภรณ์อันสวยงามนั้น ไปคืนแก่นกยังต้นไม้ที่หลุมฝังศพนั้น แล้วก็กลับมาสวมเสื้อคลุมเก่าๆอีกครั้งหนึ่ง
อย่างที่เห็น
10 กันยายน 2557 23:57 น.

นิทานก่อนนอน : เจ้าหญิงถุงกระดาษ (Princess Paper Bag)

Prayad

ในกาลครั้งหนึ่งมีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งชื่อราณี อาศัยอยู่ในปราสาทอันใหญ่โตและมีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม
และราคาแพงที่สุด  เจ้าหญิงราณีกำลังจะแต่งงานกับเจ้าชายคงคา  แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมังกรไฟ
บุกรุกเข้ามาในปราสาทของเธอ นอกจากมันจะพ่นไฟเผาเสื้อผ้าที่สวยงามจนกลายเป็นเถ้าถ่านหมดแล้ว 
มันยังลักพาเอาตัวเจ้าชายคู่หมั้นของเธอไปด้วย
เจ้าหญิงจึงตัดสินใจที่จะติดตามเจ้ามังกรไฟเพื่อไปช่วยเจ้าชายกลับคืนมา  เธอมองหาอะไรสักอย่างสำหรับสวม
ใส่เพื่อปกปิดร่างกาย  แต่ทุกอย่างถูกไฟของมังกรเผาไหม้จนหมดสิ้น เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ยังไม่ไหม้คือ
ถุงกระดาษ  
เจ้าหญิงราณีจึงไปหยิบเอาถุงกระดาษมาฉีกตรงมุมสองข้างสำหรับแขนและฉีกก้นถุงให้ทะลุสำหรับสวมใส่
เมื่อเสร็จแล้วเธอก็สวมเสื้อถุงกระดาษและออกติดตามเจ้ามังกรไฟ
การติดตามเจ้ามังกรไฟก็เป็นไปอย่างง่ายดายเพราะมันทิ้งร่องรอยไว้คือป่าที่ถูกไฟไหม้เป็นทางและกระดูก
ของม้าที่มันกินเป็นอาหาร
ในที่สุดเจ้าหญิงก็เดินทางมาถึงถ้ำของเจ้ามังกรไฟซึ่งมีบานประตูขนาดใหญ่มหึมาพร้อมที่เคาะประตูอันเบ้อ
เริ่มห้อยอยู่  เธอใช้แรงยกที่เคาะประตูขึ้นแล้วปล่อยให้มันกระทบกับบานประตูอย่างแรงเพื่อเคาะเรียกเจ้า
มังกรที่อยู่ในถ้ำ
เจ้ามังกรไฟได้ยินเสียงเคาะก็โผล่หัวแง้มประตูออกมาดูแล้วก็พูดขึ้นว่า
“อ๋อ! เจ้าหญิงหรอกเรอะ…ข้าชอบกินเจ้าหญิงเป็นอาหารนะ แต่วันนี้ข้าเพิ่งกินคนมาจนหมดเกลี้ยงทั้งปรา
สาท  ท้องข้าไม่มีที่ว่างแล้ว  พรุ่งนี้ค่อยกลับมานะ”   
พูดเสร็จมันก็รีบปิดประตูปังทันทีจนเกือบจะหนีบจมูกเธอ
เจ้าหญิงราณีก็พยายามยกที่เคาะประตูอันเขื่องนั้นขึ้นแล้วปล่อยให้มันกระแทกบานประตูเคาะเรียกเจ้ามังกร
อีกครั้ง
เจ้ามังกรไฟก็ยื่นหัวออกมาอีกพลางก็พูดขึ้นว่า
“ไปเสียให้พ้น ข้าชอบกินเจ้าหญิงเป็นอาหารหรอกนะ แต่วันนี้ข้าเพิ่งกินมาจนหมดเกลี้ยงทั้งปราสาท ท้องข้า
ไม่มีที่ว่างแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกลับมาอีกนะ” 
“เดี๋ยวก่อนสิ”  เจ้าหญิงราณีตะโกน  
“เป็นความจริงหรือที่ว่ามังกรองอาจที่สุดและร้ายกาจที่สุดในโลก”
“ใช่แล้ว” เจ้ามังกรตอบ
“เป็นความจริงหรือ ที่ว่าท่านสามารถเผาผลาญได้ถึงสิบป่าด้วยการพ่นไฟจากปากของท่าน” เจ้าหญิงราณี
ถามขึ้น
“โอ! ใช่แน่นอน”  เจ้ามังกรพูดขึ้นพร้อมกับตะเบ็งลมแล้วพ่นเป็นไฟออกมาเผาผลาญป่าไม้มากถึงห้าสิบ
ป่า
“โอ้โฮ! มหัศจรรย์จริงๆ”  เจ้าหญิงอุทานขึ้น  เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้ามังกรก็ยิ่งตะเบ็งลมแล้วพ่นไฟออกมา
เผาผลาญป่าได้มากขึ้นอีกถึงหนึ่งร้อยป่า
“โอ้โฮ! ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์เหลือเกิน” เจ้าหญิงอุทานอีกครั้ง  เจ้ามังกรก็เพิ่มแรงตะเบ็งลมพ่นออกมาอีกที
แต่คราวนี้ไม่มีไฟเหลือให้แลบออกมาเลย  เจ้ามังกรไฟไม่มีไฟเหลืออยู่ในตัวแม้แต่จะเพียงแค่ย่างปลาหมึก
แห้งก็ไม่พอ
เจ้าหญิงราณีจึงถามต่ออีกว่า 
“ท่านมังกร เป็นความจริงหรือที่ว่าท่านสามารถบินรอบโลกได้ภายในเวลาเพียงแค่สิบวินาที”
“ใช่สิ  ทำไมล่ะ”  เจ้ามังกรรีบตอบพร้อมกับ กระโดดทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วบินรอบโลกเพียงในเวลาสิบ
วินาที    เจ้ามังกรดูอ่อนเพลียเมื่อมันกลับมา  แต่เจ้าหญิงก็ตะโกนขึ้นว่า
“โอ้โฮ! ช่างมหัศจรรย์จริงๆ  ลองทำอีกสักครั้งซิ”
ได้ยินดังนั้นเจ้ามังกรก็กระโดดขึ้นท้องฟ้าแล้วบินรอบโลกอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ใช้เวลานานขึ้นคือยี่สิบวินาที
เมื่อมันกลับมาถึงมันก็เหน็ดเหนื่อยอย่างมากจนพูดไม่ได้ แล้วก็ล้มพับลงนอนและไม่ทันไรมันก็หลับผล็อยไป
เลย
เจ้าหญิงราณีจึงไปกระซิบเบาๆ  
“นี่ๆ  ท่านมังกร”  เจ้ามังกรก็ไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย
เธอจึงจับใบหูของมันกางออกแล้วมุดหัวของเธอเข้าไปข้างในหูของมันแล้วตะโกนจนสุดเสียง
“เฮ้ย! ไอ้มังกร!”   เจ้ามังกรก็ยังไม่กระดุกกระดิกเลยแม้แต่น้อย
เจ้าหญิงราณีจึงเดินผ่านเลยเจ้ามังกรไปแล้วเปิดประตูเข้าไปในถ้ำ
เจ้าชายคงคาอยู่ในนั้น  พอเขาเหลือบเห็นเจ้าหญิง  เจ้าชายก็พูดกับเธอว่า
“นี่ราณี เธอดูยังกับขยะแน่ะ! กลิ่นก็เหม็นเหมือนขี้  ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงแถมยังนุ่งถุงกระดาษเก่าๆที่สกปรกอีก
ด้วย  ไปแต่งชุดเจ้าหญิงอันแท้จริงก่อนแล้วค่อยกลับมาให้ฉันเห็นนะ”
“นี่คงคา” เจ้าหญิงพูดขึ้นบ้าง 
“เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เธอสวมใส่ก็ดูสวยงามจริงๆ ผมเผ้าก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เธอดูราวกับเจ้าชายเลยทีเดียว
แหละ แต่ตัวเธอน่ะกลับเป็นคางคกนะ”
ท้ายที่สุดเขาทั้งสองก็ไม่ได้แต่งงานกัน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPrayad
Lovings  Prayad เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPrayad
Lovings  Prayad เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPrayad
Lovings  Prayad เลิฟ 0 คน
  Prayad
ไม่มีข้อความส่งถึงPrayad