6 มีนาคม 2549 19:16 น.

บทวิจารณ์เรื่องสั้น "ลืมแล้วหรือว่าเราคิดถึงกัน" ของคุณปราบดา หยุ่น

กวีปกรณ์

ลืมแล้วหรือว่าเราคิดถึงกัน
 อคติทางชาติพันธุ์ หรือ อุบัติเหตุแห่งการเข้าใจผิด

                    จากชื่อเรื่อง ลืมแล้วหรือว่าเราคิดถึงกัน อาจทำให้เชื่อว่าเป็นเรื่องสั้นเกี่ยวกับความรัก หรือความเสียใจ ผิดหวังในความรักของบุคคลหนึ่ง และย่อมจะทำให้ผู้อ่านคาดเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องรักโรแมนติกที่เจือไปด้วยอารมณ์ของความเศร้า เสียใจ และถวิลหา แต่ความผิดคาดกลับได้เกิดขึ้นเมื่อประเด็นสำคัญที่สอดแทรกปรากฏในเนื้อความของเรื่องสั้น คือ เรื่องการเหยียดผิว (racism) หรือชาติพันธุ์นิยมอย่างสุดโต่งของละครตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นผู้ดำเนินเรื่อง คือ ผม ที่ผู้อ่านสามารถสัมผัสได้จากการบรรยายความคิดและพฤติกรรมของ ผม ตลอดเนื้อเรื่อง เมื่อความคิดนั้นพาดพิงหรือกล่าวถึง ชายคนขับแท็กซี่ผิวดำชาวอัฟริกัน  อเมริกัน อันเป็นสรรพนามที่เป็นการดูถูก คือ ไอ้มืด โดยแต่ละห้วงความคิดที่กำลังบรรยายถึงชายคนดังกล่าวล้วนเป็นคำที่ไม่สุภาพ สร้างความเป็นศัตรู และเจือไปด้วยหวาดระแวงแทรกอยู่ในแทบจะทุกสถานการณ์ดำเนินเรื่อง
	
                       ประเด็นที่โดดออกมาจากเรื่องสั้นเรื่องนี้ คือ การเหยียดผิว หรือชาติพันธุ์ โดยจะขออ้างถึงบทความวิชาการ เรื่อง คนไทยกับ ๓ คำเจ้าปัญหา : เชื้อชาติ-กลุ่มชาติพันธุ์-อัตลักษณ์ ของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่กล่าวถึงคำว่า  เชื้อชาติ ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Race คือ ความคิดที่อยู่เบื้องหลังเป็นคุณสมบัติบางอย่างในทางชีววิทยาที่มีอยู่ติดตัวคนตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง แน่นอนว่านักชีววิทยาในโลกนี้ก็ไม่มีความสามารถค้นให้พบเพราะมันเป็นสิ่งที่คนสมมติขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ว่าคนเชื้อชาตินั้น ๆ จะอพยพไปอยู่ที่ไหนผสมกับเชื้อชาติอื่นขนาดไหนก็ยังคงมีเม็ดเชื้อชาติที่มันซ่อนอยู่ในตัว คุณลักษณะทางชีววิทยาที่ซ่อนอยู่ในตัวที่จะไม่ถูกกระทบ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยนั้น เพราะทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดและเป็นการสร้างแนวคิดที่ผิด
	
                          จากการที่ ฝรั่งผิวขาว มีอิทธิพลแผ่กระจายไปทั่วโลกจนสามารถครอบครองประเทศต่าง ๆ นับร้อยปีจึงเป็นเรื่องปกติที่ ฝรั่งผิวขาว มีความรู้สึกและทัศนคติของความเป็น เจ้าข้าวเจ้าของ ประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม จนคิดไปเลยว่าเป็น ดินแดน-ประเทศ ของตนเอง ทั้งนี้ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรมนุษย์จึงตกเป็นของ ประเทศแม่ ไปโดยปริยาย เพราะฉะนั้นจึงเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่ ฝรั่ง จะคิดว่า เขาอยู่สูงและเหนือกว่า เราชาวผิวเหลือง และ/หรือ เชื้อชาติผิวอื่น ที่มิใช่ผิวขาว ที่มีเชื้อสายคอร์เคเชียน (Caucasian) หรือ ฝรั่งผิวขาว ผมแดง ผมน้ำตาล ผมบรอนซ์ ทั้งหลาย 

                     	นับตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๙ จนแม้กระทั่งศตวรรษที่ ๒๑ ที่เป็นยุคโลกาภิวัตน์แต่ทัศนคติของ ฝรั่งผิวขาว ก็ยังถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่า เขา เหนือกว่าเชื้อชาติอื่น สายพันธุ์อื่นที่มีรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณต่างจากเขาหรือกล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือ การเหยียดผิว-ดูถูกดูแคลน ชนชาติอื่นว่า ต่ำต้อย กว่า ซึ่งปัญหา การเหยียดผิว หรือ RACISM นี้มีมานานโขแล้วและตราบเท่าทุกวันนี้ก็ยังเป็น เส้นแบ่งกั้น ชนชั้นในทุก ๆ สังคมของชาวตะวันตก๑ (ฝรั่งผิวขาว: ใจดำ-ใจแคบ!, แสงแดด) นอกจากนั้นแล้วยังแผ่อิทธิพลไปยังประเทศอื่น ๆ ด้วยไม่น้อยเช่นเดียวกัน ดังจะปรากฏในพฤติกรรมของตัวละครเอก ผม ที่เป็นคนเชื้อชาติไทยซึ่งไม่ได้มีความข้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แห่งการแบ่งแยกชนชั้นของสังคมชาวตะวันตกเลยแม้แต่น้อย และด้วยสถานะที่ปรากฏของ ผม ในเรื่องนี้ก็เป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมแฟนสาวด้วยความคิดถึงเท่านั้นเอง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
๑ แสงแดด, พระอาทิตย์สาดส่อง, บทความเรื่อง ฝรั่งผิวขาว: ใจดำ-ใจแคบ!, ผู้จัดการออนไลน์ (พฤศจิกายน ๒๕๔๕) 

                         ไม่เพียงแต่อาการที่แสดงออกของฝ่ายชาย หรือคำพูดที่กล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม ชายผิวดำผู้แท็กซี่เพียงเท่านั้นที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความต่อต้านที่มีมากของ ผม แต่เนื่องจากในแต่ละคำพูดที่กล่าวออกมาและการบรรยายการนึกคิดที่ล้วนหยาบคายแล้ว ยังแทรกไปด้วยอุปลักษณ์และการใช้โวหารเปรียบเปรยต่าง ๆ ให้เห็นภาพที่ ผม มองชายผิวดำนั้นดูช่างไร้ค่าเสียเหลือเกิน เช่น ไอ้มืด สรรพนามที่ ผม ใช้เวลากล่าวถึงชายผิวดำผู้ขับรถแท็กซี่ 
	ส่วนที่เป็นห้วงความคิดในการบรรยายสีผิวของชายผิวดำขณะที่ ผม ออกมาจากตัวรถเพื่อที่จะพิสูจน์ว่า คนขับแท็กซี่นั้นได้ ซ่อมรถจริงหรือเป็นแผนการร้ายบางอย่าง
	
                     ร่างหลังฝากระโปรงรถกำลังง่วนอยู่กับเครื่องยนต์กลไกที่มีแต่ควันขาวบาง ๆ พุ่งออกมาเป็นหย่อม ๆ มือไม้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันเครื่อง แต่ก็แทบจะแยกไม่ออกระหว่างสีดำของน้ำมันเครื่องกับสีผิวของคน (๗๓)
	
	การพยายามอธิบายสีผิวของชายผิวดำที่ ผม กล่าวออกมาในบทบรรยายข้างต้นแสดงออกได้ถึงความเหยียดหยามในชั้นชั้นของคนผิวดำ ความรังเกียจที่มีอยู่ล้นเหลือในใจที่เต็มไปด้วยอคติ 	และยิ่งกว่านั้นในสถานการณ์ที่ ผม ได้คว้าแท่งเหล็กความยาวฟุตกว่า ๆ ตีกระหน่ำที่ศีรษะของ คนขับรถแท็กซี่ ด้วยความระแวงว่าจะมาทำร้ายตนเองและแฟนสาวนั้น ผม ได้กล่าวตอบไปยัง มูน แฟนสาวที่กำลังกรีดร้อง และบอกให้หยุดเนื่องจากเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของชายผิวดำคนนั้น แต่ ผม กลับ กล่าวออกไปว่าและคำบรรยายความคิดในขณะนั้นของ ผม

ไหนกันล่ะเลือดที่ว่า  สายตาผมกวัดแกว่งหาสีแดงบนเรือนร่างไอ้มืดแต่ไม่พบ (๗๗)
 

                       ไหนกันล่ะเลือดที่ว่า ประโยคที่แสดงให้เห็นถึงความเลือดเย็นของ ผม ที่มองเห็นคนผิวดำนั้นไม่มีแม้ค่า หรือเห็นเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับตัวของเขาเอง ไม่เพียงแต่คำพูดที่หลุดออกจากปากเขาเท่านั้น แต่การบรรยายที่เน้นย้ำความรู้สึกเฉยชาไม่รู้ร้อนหนาวต่อการกระทำอันทารุณนั้นได้บ่งบอกถึงเจตนา และความโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานของ ผม เพราะในความเป็นจริงสัตว์ผู้ล่าย่อมล่าเพื่อประทังชีวิต การตายนั้นย่อมมีค่าสมเหตุสมผล หรือแม้แต่การป้องกันตัวของคนธรรมดาสามัญและสัตว์ทั่วไปก็ล้วนแล้วเกิดด้วยความจำเป็นไม่เจตนาที่จะกระทำการอุกอาจได้ถึงเพียงนั้น

                         นอกจากพฤติกรรมการเป็นผู้เหยียดผิว (racist) ของ ผม แล้วยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นชาตินิยมหรืออนุรักษ์นิยมอยู่ด้วย จะเห็นได้จากการกล่าวถึงเพื่อนชายนาม แจ็คโก้ เมื่อครั้งได้พบปะสนทนากันเมื่อห้าปีที่แล้ว โดยผ่านการเล่าเรื่องในอดีตให้ มูน คนรักของเขาฟังเพื่อเป็นการฆ่าเวลาบนรถแท็กซี่ในระหว่างเกิดเหตุขัดข้องและรอการซ่อมเครื่องยนต์ของ ไอ้มืด คือ การที่แจ็คโก้ ได้บอกให้ ผม ทราบถึงแผนการที่จะสร้างหนังเมื่อเรียนจบโดยเป็นหนังที่เกี่ยวกับ มานีตอนเป็นสาว ด้วยการจะเลือกใช้นักแสดงเป็นลูกครึ่งสาวโดยให้เหตุเพราะความเจ้าชู้ของพ่อของมานีที่มีภรรยาหลายคน แต่สุดท้ายก็กลับเลือกที่จะคบอยู่กับแม่ของมานะอย่างถาวรโดยขอเลี้ยงมานีที่เป็นลูกติดจากภรรยาที่เป็นชาวตะวันตก ดังนั้นมานะและมานีจึงเป็นพี่น้องต่างมารดากัน ทำให้โครงเรื่องของหนังที่จะสร้างเกี่ยวกับการตามหามารดาที่แท้จริงของมานีที่อเมริกา แล้วการเดินทางนั้นได้ทำให้พบกับ เพชร ซึ่งใช้ผู้แสดงเป็นลูกครึ่งเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นได้สร้างความประหลาดใจและการแสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยของ ผม ไว้อย่างชัดเจน จากบทสนทนานี้

                          กูก็ขนลุกเหมือนกันว่ะ กูว่านายทุนมึงก็ต้องขนลุก ขนคนดูมึงแม่งก็ต้องขนลุก แล้วแม่งก็จะพากันลุกทั้งขนทั้งคน ออกจากโรงหนังกันหมด
เฮ้ย ไอ้ปากหมา  กูว่าเวิร์คชัวร์ว่ะ 
	  	แล้วไอ้พระเอกชื่อเพชรนี่เป็นดาราไทยแท้ ๆ
ไม่ ๆ  กูจะใช้ลูกครึ่งเหมือนกัน 
ยังไงวะ แม่งมีพ่อเจ้าชู้อีกคนเหรอ หรือคราวนี้แม่แม่งเจ้าชู้
ไม่ๆก็มันมาเรียนเมืองนอกนานใช่มั้ยหน้าตาแม่งก็เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมได้
 ไอ้เ-หี้-ย (๗๐)

                              นี่เป็นประโยคที่ ผม กล่าว ความรู้สึกที่ไม่เห็นด้วยในการนำนักแสดงที่มีเชื้อสายอเมริกาหรือเชื้อชาติอื่นปะปนมาแสดง และหากพิจารณาถึงบทสนทนาข้างต้นให้ยิ่งเพิ่มน้ำหนักถึงความเป็นชาตินิยมของ ผม มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในบทสนทนานั้นอาจจะเป็นเรื่องที่คุยกันด้วยอารมณ์คึกคะนองสนุกปากของแจ็คโก้ แต่ก็กลับสร้างความไม่พอใจให้กับ ผม ได้มากพอสมควร เพราะเรื่องมานะมานี เป็นทั้งแบบเรียนภาษาไทยในวัยเด็กของ ผม ซึ่งหากจะกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้ว มานะมานี ผม นั้นถือว่าโตมากับเรื่องราวของมานีอันแฝงไว้ด้วยความคาดหวังหรือเป็นแบบอย่างของครอบครัวคนไทยที่สมบูรณ์แบบ แม้จะมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในบ้านนอกหรือชุมชนที่ยึดเกษตรกรรมแต่ก็เป็นการดำรงชีพอย่างพอเพียง เช่นเดียวกับองค์พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการดัดแปลงเรื่องราวที่ ผม ยึดติดและฝังแน่นในความทรงจำวัยเยาว์ของเขานั้นย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมกันได้

                                 หากจะย้อนมองกลับมายังประเด็นของความคิดถึงที่ตัวละครเอกทั้งสอง คือ ผม และ มูน ซึ่งส่วนที่เป็นตัวเรื่องก็ไม่ได้ถูกทิ้งไปจนสิ้น แต่จะค่อย ๆ สร้างปมความขัดแย้งทางความคิดของทั้งสองตัวละครเอก ระหว่าง มูน และ ผม ทีละเล็กละน้อย จนค่อย ๆ เป็นความตึงเครียดและความห่างเหินโกรธเคืองก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น การแทรกอุปลักษณ์เข้ามาในเรื่องดูเหมือนจะเป็นที่สังเกตของผู้อ่านและสร้างดึงอารมณ์ร่วมของผู้อ่านไปได้มากเลยทีเดียว 
                                 โดยหากจะเทียบความรู้สึกของ ผม และ มูน แฟนสาวมาศึกษาต่อที่นิวยอร์กด้วยแล้วกลับสร้างความแตกต่างทางความคิดกันอย่างสิ้นเชิง เพราะถึงแม้ว่า ผม จะกล่าวมาแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยได้มาที่อเมริกาดังจากที่ได้เล่าเรื่องของเพื่อนที่ชื่อ แจ็คโก้ ให้ มูน ได้ฟังข้างต้น แต่ทว่า แอลเอ เป็นรัฐที่มีประชากรไทยอาศัยอยู่โดยจะแบ่งเป็นกลุ่มสังคมเห็นได้อย่างชัดเจนจนผู้แต่งได้เปรียบเปรยว่า แอลเอ  จังหวัดที่เจ็ดสิบเจ็ดของประเทศไทย (๖๙) ไม่เป็นเฉกเช่นเดียวกับนิวยอร์กที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากกว่าและไม่ได้มีลักษณะการแบ่งเขตพื้นที่อาศัยดัง จึงจะสังเกตเห็นได้ว่า ความคิดเรื่องความแตกต่าง หรือการแบ่งแยกสีผิวของมูนนั้นแทบจะไม่มีเลยซึ่งแตกต่างกับ ผม ที่ทุกมโนสำนึกล้วนมีแต่ความระแวง ความเป็นศัตรูและการเหยียดหยามทั้งสิ้น

                                  ส่วนในการการบรรยายฉากล้วนแล้วสนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดและหวาดระแวงให้ผู้อ่านได้สัมผัสร่วมไปกับ ผม ชายหนุ่มผู้มาเยี่ยมแฟนสาวด้วยความรักเสียมาก แต่กลับดูเหมือนจะไม่สร้างอารมณ์เหล่านั้นให้กับ มูน ผู้เป็นแฟนสาวอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นด้วยอารมณ์และพฤติกรรมคำพูดที่แสดงออก ดังจะสังเกตได้จากบทสนทนาเมื่อการเดินทางได้หยุดชะงักในสถานที่ ๆ แปลกตาของบุคคลทั้งสอง
	
                           นี่มันที่ไหน ผมถามมูน แต่สายตาเกาะอยู่กับการ
                            เคลื่อนไหวของไอ้มืด
                            มูนนึกชั่วครู่  ก็คงเป็นระหว่างทางนั่นแหละ ฉันก็ไม่
                           เคยจอดแถวนี้ก่อน
                            น่ากลัวนะ มืด ๆ ร้าง ๆ ไม่มีใครเลย
                            เดี๋ยวเขาก็คงแก้ได้มั๊ง
                            เครื่องเสียจริงหรือเปล่าว่ะ ผมพึมพำ รู้สึกคิ้วตัว
                             เองค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน
                             มูนมองหน้าผม แต่ไม่พูดอะไร
                             กล้ามเนื้อของผมเริ่มสั้นมากกว่าที่มันเคยสั่นเพราะอากาศ (๗๑)

	บทสนทนาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความหวาดระแวงภัย ความเป็นคนช่างสังเกตของ ผม แต่ความรู้สึกของ มูน ที่มีต่อชายคนรักนั้นเริ่มเกิดความรำคาญใจมากกว่าจะเห็นด้วย การสนทนาของทั้งคู่เริ่มเปลี่ยนไป บ่งบอกถึงอารมณ์ที่แตกต่างจากสถานการณ์ที่ผ่านมาในตอนเริ่มเรื่องที่ทั้งสองนั่งเบียดชิดติดกันไม่ใช่เพื่อความอุ่นแต่ด้วยความคิดถึงและอยากชิดใกล้ และการมอบจูบที่แก้มด้วยจะรักจากฝ่ายชาย ดังจะเห็นได้จากประโยคที่บรรยายความรู้สึกของ ผม ในบรรทัดสุดท้าย กล้ามเนื้อของผมเริ่มสั่นมากกว่าที่มันเคยสั่นเพราะอากาศ และอีกนัยหนึ่งได้แฝงความรู้สึกกลัวที่มีมากขึ้นของเขาที่ทวี ๆ มากขึ้นนั่นเอง

	เมื่อการดำเนินเรื่องมาถึงจนเกือบสุดท้าย การบรรยายความรู้สึกของ ผม กลับยิ่งโดดเด่นไปด้วย อุปลักษณ์ ที่ซ่อนความรู้สึกขัดแย้งอันแสดงให้เห็นถึงความโกรธเคืองหรือการที่รู้สึกว่าฝ่ายแฟนสาวนั้นจริง ๆ แล้วไม่คิดอยู่เคียงข้างเขา หรือ ลืม ความคิดถึง ความรัก ความห่วงหาที่มีในตอนต้นเรื่องจนหมดสิ้นและกลับเป็นฝ่ายเดียวกับ ศัตรู นั่นก็คือ ชายผิวดำ ที่นอนจมกองเลือดอยู่

	มูนยืนหันหลังให้แสงส้มจากเสาไฟฟ้า
                     ผมเห็นมือเรียวบางของเธอทั้งสองข้างค่อย ๆ ถูกยกขึ้นเช็ดน้ำตา
                     ผิวของเธอกลายเป็นสีดำสนิท
                     ฉิบหาย  ผมนึกในใจ
                     เหลือกูอยู่คนเดียว ! (๗๗)

	ยิ่งไปกว่านั้น เพียงคำพูดเดียวกันปรากฏขึ้นภายในใจของ ผม นั้น กลับไม่ได้สร้างความเป็นศัตรูให้กับ มูน ซึ่งเป็นแฟนสาวด้วยประโยคที่ว่า ผิวของเธอกลายเป็นสำสนิท หากพิจารณาโดยผิวเผินจะเห็นว่าความเป็นไปได้ของการที่สีผิวของคนจะเปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็วนั้นไม่มีทาง การที่ผู้แต่งได้ใช้อุปลักษณ์ในการอธิบายความรู้สึกของ ผม ที่มีต่อ มูน ในตอนท้ายของเรื่องนี้ เพื่อแสดงถึงความชัดเจนที่ผมไม่อาจจะร่วมอยู่ในแนวคิดเดียวกันได้อีกต่อไปแล้ว และความสำคัญของคำพูดและการบรรยายภาพเหล่านั้นได้สร้างการกำแพงขึ้นแบ่งฝ่ายตรงข้ามให้กับตัวละครอื่น ๆ และรวมไปถึงผู้อ่านที่มีอารมณ์ร่วมเสมือนเป็นบุคคลบุคคลเดียวกับเขา เพราะตลอดเวลาที่ผู้อ่านกำลังอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ ผู้อ่านได้ใช้สายตาหรือมุมมองของเขาในการมองเรื่องราวทั้งหมดอย่างมีส่วนร่วม แต่ด้วยเพียงประโยคสุดท้ายของการบรรยายนั้นกลับสร้างความรู้สึกให้ผู้อ่านปฏิเสธที่จะมองในมุมมองเดิมและกลายเป็นผู้ที่อยู่อีกฝากหนึ่งของกำแพงเช่นเดียวกับ มูน คนที่เคยรักและคิดถึงเขาเสมอมา

                       จุดเด่นนอกจากความอคติทางชาติพันธุ์ที่ปรากฏตั้งแต่เกือบต้นเรื่องไปจนจบนั้น กลวิธีการเล่าเรื่องของผู้แต่งยังมีความแตกต่างออกไปจากเรื่องสั้นอื่น ๆ คือ การแบ่งตอนของเรื่องสั้นออกเป็น ๔ ส่วนสำคัญ การสร้างอุปลักษณ์ในส่วนท้ายของเรื่อง เพื่อการดึงอารมณ์ร่วมของผู้อ่านจนไปถึงการสร้างความต่อต้านอย่างสุดโต่งให้กับผู้อ่านกับตัวเอกของเรื่องในตอนท้าย 
	 การใช้ตัวอักษรหนาเป็นพิเศษ และการแบ่งเนื้อความของเรื่องสั้นที่ปรากฏบนทั้ง ๔ ตอนของการลำดับเรื่อง เป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่าลักษณะการพาดตัวหนาก่อนนำเข้าสู่เนื้อความนั้นมีความจำเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่แล้วเราจะเห็นการพาดตัวอักษรที่ใหญ่และหนาในการนำเข้าสู่เนื้อหาหลักของข่าวที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยาสาร หรือการเขียนนวนิยายขนาดยาวจึงมีความจำเป็นในการแบ่งเนื้อความออกเป็นส่วน ๆ และมีการสรุปใจความสำคัญโดยมีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันตลอดทั้งเรื่อง แต่ในเรื่องสั้นที่มีเนื้อหาสั้นกระชับอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กลวิธีนี้ในการดึงดูดความสนใจของผู้อ่านเลยก็ได้ แต่นี่อาจจะเป็นเทคนิคที่ผู้แต่งพยายามดึงความสนใจผู้อ่าน และเพิ่มความอยากรู้เนื้อความที่จะปรากฏต่อไปว่าจะเป็นดำเนินเรื่องต่อไปอย่างไร

	ลืมแล้วหรือว่าเราคิดถึงกัน จึงเป็นเรื่องสั้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความแปลกของการดำเนินเรื่อง การหยิบยกประเด็นทัศนคติ การเหยียดผิว สอดแทรกเข้าไปในเรื่องรักได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน หรือกล่าวได้ว่าเป็นปมปัญหาที่ผู้แต่งสร้างขึ้นมาได้อย่างคมคาย ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นการเข้าใจผิดเพียงฝ่ายเดียวของ ผม หรือในตอนท้ายจะสร้างคำถามให้กับผู้อ่านว่าเป็นความเจตนาหรือไม่นั้น ผู้แต่งก็ได้ใช้อุปลักษณ์และกลวิธีที่แปลกและน่าสนใจจนทำอ่านติดตามและเฝ้าคิดอยู่เสมอ 
การพลิกผันของตัวละครเอกที่ผู้อ่านกำลังสวมบทบาทและใช้มุมมองในการเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ผู้อ่านเกิดคำถามและผลักตัวเองให้หลุดออกจากแนวคิดของ ผม ออกไป ด้วยวิธีการสร้างให้ตัวเอกของเรื่องร้ายกลายเป็นผู้ร้ายอำมหิตเลือดเย็น ไม่ว่าจะด้วยความระแวงและด้วยความเป็นห่วงตนเองและแฟนสาวสักเพียงไหน สุดท้ายการกระทำนั้นก็ได้ตอบคำถามให้กับ ชื่อเรื่อง ที่เป็นโจทย์แรกให้กับผู้อ่าน แม้คำถามนั้นจะไม่ได้ต้องการคำตอบจากผู้อ่านเลยก็ตาม แต่เนื้อเรื่องนั้นก็ได้สร้างความเข้าใจให้ผู้อ่านแล้วว่า มูน แฟนสาว เหตุใดนั้น เธอจึง ลืม ความคิดถึงของกันและกัน และตัดความสัมพันธ์ที่มีต่อ ผม ตัวเอกของเรื่องได้อย่างไม่ไยดี				
3 มีนาคม 2549 00:07 น.

วันศุกร์เล็ก ๆ

กวีปกรณ์

                     แล้วดวงอาทิตย์ก็จำเป็นจะต้องอำลาหน้าที่แห่งวันไป งานที่แสนหนักทำให้เจ้าอาทิตย์ล้าเหลือทีก่อนจะตกลงมาเป็นละอองฝนเล็กน้อย จ้าวจันทร์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลกได้เดินสวนกับเจ้าอาทิตย์โดยไม่พูดอะไร นอกจากเพียงรอยยิ้มซีดจางเพื่อเป็นการกล่าวลาและรับหน้าที่แห่งค่ำคืนนี้อย่างเกียจคร้าน
                     เหล่าดาวน้อยใหญ่ต่างรู้ดีถึงความหนักหนาของภาระในแต่ละวันที่เจ้าอาทิตย์จำเป็นต้องแบกรับ จึงพยายามกระพริบแสงด้วยแรงเท่าที่ตัวเองมีเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่เจ้าอาทิตย์ จะมีเพียงจ้าวจันทร์นี่แหละที่ยังทำไม่สนใจ คืนนี้อากาศเย็นกว่าทุกวันด้วยฝนที่หลั่งออกมาจากความเหนื่อยเหน็ดของเจ้าอาทิตย์ 
                     เมฆกำลังเดินทางกลับบ้านด้วยรถโดยสาร เขารู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยที่อากาศร้อนอบอ้าวกลับกลายเป็นสายลมเย็น แต่หากต้องเฉอะแฉะยามที่เขาต้องเดินลำพังบนถนนจากปากซอยเข้าสู่บ้านแล้วเขาก็ขอให้เป็นอย่างเก่าดีกว่าด้วย อีกเหตุผลหนึ่งคือละอองฝนชอบแนะนำให้เขาให้รู้จักเชื้อหวัดใหม่ ๆ เสมอโดยที่เขาเองไม่ทันที่จะตั้งตัว  ละอองฝนหลายเม็ดพยายามยึดเกาะหน้าต่างรถประจำทางเท่าที่จะทำได้แต่ในที่สุดแล้วก็ต้องพ่ายแพ้กำลังลมที่คอยพัดเป่าให้ต้องเซซัดออกไปทุกที เมฆจึงยิ้มเยาะในการกระทำของเหล่าเม็ดฝนนั้น เวลานี้ก็ดึกมากแล้วเขารู้ว่าจะต้องรีบกลับบ้านให้ทันอาหารค่ำและอีกไม่กี่ป้ายรถเมล์เท่านั้นเรื่องราวที่เขาได้เรียนรู้ในวันนี้นั้นช่างหนักเหลือเกิน หนักจนล้นมาที่หนังตาของเขาและมันก็เริ่มหนักขึ้นทุกที ๆ สินา ใกล้แล้ว อีกไม่นานก็จะถึงบ้านอย่าหลับสิ ประเดี๋ยวเลยป้ายไปต้องเสียเวลานั่งรถกลับ เขาหาวออกมาอย่างไม่อาจทนกลั้นมันไว้ได้
	
	ตื่นได้แล้วลูกหลับมาตลอดทางเลยนะ ไหนวันนี้ครูสอนอะไรไปบ้างจ้ะถึงดูเหนื่อยเสียขนาดนี้ ลุกขึ้นมากินข้าวกินปลาก่อน แล้วค่อยไปนอนต่อ เสียงของแม่ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์
	ครับ เขาบิดร่างกายเพียงเล็กน้อยเพื่อขับไล่เจ้าตัวขี้เกียจที่แอบมาเกาะเขาเสมอยามเผลอไป 
	แม่ฮ่ะ... นี่ถึงบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วพ่ออุ้มผมลงมาจากรถอีกแล้วใช่ไหมฮ่ะ บอกแล้วว่าผมโตแล้วเดินเองได้แค่เผลอหลับนิดเดียว (แต่ก็นึกขอบคุณพ่อที่อุตส่าห์ไม่ปลุกเรา) แล้วนี่กี่โมงแล้วฮ่ะ (เสียงนกบินออกมาส่งเสียงร้อง 8 ครั้งอย่างรู้หน้าที่ สงสัยจริงเลยว่าใครกันนะใจร้ายจับนกน้อยหน้ารักไปขัน คุ๊กคู บอกเวลาแทนที่จะได้บินอยู่ในอ้อมอกอุ่นของคนในครอบครัวอย่างเรา) เมฆหน้าเสียทันทีเมื่อเขารู้ตัวว่ายังไม่ได้ทำการบ้านและต้องพลาดรายการการ์ตูนทางหน้าจอโทรทัศน์ไปอย่างน่าเสียดาย
	พ่อเดินเข้ามากอดเด็กชายด้วยความรักจนเขาเกือบจะสำลักความรัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบแต่เขารู้สึกว่าเขาโตเกินพอที่จะให้ใคร ๆ กอดแบบเด็กเล็ก ๆ แล้ว ก็ปีนี้เขาอายุ 10 ปีแล้ว รถประจำทางก็นั่งเป็นแล้วแค่ต้องมีแม่หรือพ่อนั่งมาด้วยข้าง ๆ เท่านั้นเอง เขาซ่อนรอยยิ้มเอาไว้แล้วรีบตำหนิพ่อด้วยน้ำเสียงออดอ้อน พ่อไม่ยอมปลุกผม ผมเลยต้องทำการบ้านเสียดึกเลยวันนี้ ยังไม่ทันจบประโยคพ่อก็เอ่ยปากแทรกออกมาอย่างรู้ทัน
                      หรือเพราะไม่ได้ดูการ์ตูนกันแน่ฮึ ! เด็กเจ้าเล่ห์ พรุ่งนี้วันเสาร์เป็นนักเรียนลืมได้ยังไงกัน แล้วพ่อก็อุ้มเมฆขึ้นด้วยอ้างว่าจะทำโทษ
เด็กชายหัวเราะคิกคัก อย่างมีความสุขก่อนจะต้องไปรับประทานอาหาร เพราะน้ำเสียงที่แม่เรียกเขาและผู้เป็นพ่อนั้นเริ่มเข้มขึ้น เข้มขึ้นและเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนครั้ง พ่อและเด็กชายมองหน้ากันและรีบจ้ำอ้าวไปสู่โต๊ะรับประทานอาหารพี่พร้อมแล้ว




                       ผู้เป็นแม่มองนาฬิกา นี่แค่ก็หัวค่ำแต่ทำไมฟ้าจึงมืดเร็วขนาดนี้ หรือเพราะคืนนี้เป็นคืนข้างแรมเธอมองออกไปนอกหน้าต่างรถโดยสารเพื่อสังเกตดวงจันทร์ที่เคยชมกับผู้เป็นสามีเมื่อครั้งเขายังมีชีวิต ขอบตาเธอเริ่มแดงและมีน้ำซึมออกมาบ้างครั้งคราว พรุ่งนี้เป็นวันพ่อสำหรับเธอแล้วคงไม่ใช่วันสำคัญอะไร แต่เด็กชายข้าง ๆ กายเธอตอนนี้สิ เขาคงคิดถึงพ่อของเขาไม่น้อยและคงไม่น้อยไปกว่าเธอเช่นกัน เธอคิด พลางลูบศีรษะของลูกชายอย่างเบามือด้วยกลัวว่าจะตื่น แต่ก็ไม่ไกลแล้วสินะก็จะถึงที่หมายที่เธอและลูกจะต้องลงกันแล้ว ละอองฝันคล้ายว่าจะหยุดลงอย่างรู้หน้าที่ เธอจึงตัดสินใจปลุกเด็กชายด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
                       เมฆ... เมฆคับตื่นได้แล้วลูก เตรียมตัวได้แล้วใกล้จะถึงบ้านเราแล้วหล่ะลูก 
                       ภาพของครอบครัวที่พร้อมไปด้วยพ่อและแม่ค่อย ๆ จางหายไป เด็กชายค่อย ๆ สะลึมสะลือจากความฝันเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข เขายิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไร ปล่อยให้ผู้เป็นแม่เก็บงำความสงสัยเหล่านั้นเอาไว้ เขากอดกระเป๋านักเรียนแน่นขึ้นด้วยคิดถึงพ่อแต่เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับของขวัญก่อนจะถึงวันพ่อ วันสุขเล็ก ๆ ของเด็กชายเมฆ
 				
1 มีนาคม 2549 15:41 น.

(ค่า)...ฆ่า...นิยม

กวีปกรณ์

บ้านใหม่ของเธอเพิ่งสร้างเสร็จ เธอจึงเพิ่งขนย้ายข้าวของเครื่องใช้และเข้าไปอาศัยในบ้านหลังใหม่นั้นได้เพียงไม่นาน การตกแต่งภายในบ้านก็เกือบที่จะสมบูรณ์แล้วขาดก็เพียงแต่ของใช้กระจุกกระจิกและเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่บางชิ้น
		
                     	นิยม สาวร่างใหญ่เจ้าเนื้อกำลังยืนสำรวจบ้านของเธออีกครั้งก่อนที่จะออกไปช้อบ เธอเดินตรวจตราทุกส่วนของบ้านหาสิ่งที่ขาดหายไปของเครื่องใช้ในบ้านที่จำเป็น และเฟอร์นิเจอร์อันจะบอกได้ถึงความมีรสนิยมของเธอ
                     	ช่วงนี้เป็นสัปดาห์แรกของเดือน กระเป๋าสตางค์ของเธอจึงหนักอยู่พอสมควร ความคิดของเธอในตอนนี้จึงมีแต่เรื่องเสียเงินเพื่อบ้านของเธอ เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ที่ใกล้จะถึงนี้เป็นวันนัดเลี้ยงฉลองบ้านใหม่ เรื่องฉลองนี่แหละทำให้เธอต้องออกไปจับจ่าย การเสียหน้า จะต้องไม่เกิดขึ้นในวันนั้น บ้านเธอจะต้องสมบูรณ์พร้อมจนเพื่อน ๆ ต่างพากันอิจฉาพร้อมชื่นชมที่เธอเก็บเงินซื้อบ้านหลังนี้ด้วยน้ำพักน้ำแรงไม่นานเท่าไหร่นัก คนรุ่นใหม่น้อยคนนักจะทำได้อย่างเธอ หากไม่เช่นนั้นแล้วการกู้หนี้ยืมสินย่อมจะเกิดขึ้นเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ แต่เธอไม่ใช่ เธอเริ่มอดออมเสียตั้งแต่ช่วงแรกของการฝึกงานช่วงปีสุดท้ายของการศึกษาในมหาวิทยาลัย และเธอเองก็มีฝีมือพอสมควรจนได้รับโบนัสเงินก้อนโตทุก ๆ สิ้นปี และเพียงอีกไม่กี่เดือนเท่านั้นเธอก็จะได้เงินก้อนโตจากโบนัสอันมาจากความสามารถของเธอ เงินก้อนสุดท้ายนั้นก็จะทำให้เธอเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้โดยสมบูรณ์
	
                     	เอาน่า ! วันนี้คงจะเจอสักบานที่ถูกใจ  เธอกล่าวกับตัวเองในใจ หลังจากเริ่มเหนื่อยล้ากับการซื้อเครื่องใช้ไม้สอยที่ต้องการ และยังไม่ได้กระจกบานใหญ่ไว้ตั้งในห้องนอนเพื่อใช้แต่งตัว
                     	เย็นนี้เธอจึงได้เอาแต่ยืนมองเงาสะท้อนภาพของตนเองผ่านกระจกบานใหญ่บานแล้วบานเล่าในร้านเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่ง จนเป็นพนักงานภายในร้านเริ่มรู้สึกรำคาญเนื่องจากคำแนะนำใดก็ไม่เข้าหูและโน้มน้าวให้เธอตัดสินใจเลือกได้สักที สุดท้ายเธอก็สะดุดตากับกระจกเงาบานหนึ่งซึ่งประดับได้ไม้แกะสลัก ดูจะเป็นการออกแบบเพื่อให้ดูออกมาร่วมสมัยและสร้างคุณค่าให้กับงานชิ้นนี้ไม่น้อย จากลายไม้ที่ทำให้ดูเป็นของเก่าน่าสะสม
                     	เธอยืนส่องกระจกบานนี้อยู่นานกว่าจะรู้สึกตัวก็หลงรักและเทใจตัดสินเลือกมันเข้าเสียแล้ว ไม่ใช่เพราะหลงเสน่ห์มันเพียงอย่างเดียว แต่เธอสัมผัสได้ว่ามันคงจะชอบและหลงเสน่ห์เธอเข้าเหมือนกัน ก็ตลอดเวลาที่เธอยืนอยู่เบื้องหน้ากระจกบานนั้น เธอได้พบว่าเงาสะท้อนของเธอนั้นเหมือนเป็นการตอบคำถามที่คิดในใจ ว่า ดูสิเธอช่างสวยแค่ไหน 

                     หลังจากกลับบ้านพร้อมข้าวของพะรุงพะรังได้ไม่นาน รถส่งของก็นำกระจกเงาบานนั้นมาส่งถึงบ้านเธอตามที่นัดเวลาส่งสินค้าเอาไว้ ความจริงแล้วเธอได้ออกมายืนต้อนรับเจ้ากระจกนั้นก่อนที่รถส่งสินค้านั้นจะมาถึงเสียอีก แม้ว่าการรอคอยนั้นจะกินเวลานานไปมากเท่าไหร่แต่ก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดใจเลย

                     	เมื่อเธอรับประทานอาหารควบคุมน้ำหนัก การหย่อนใจในการชมรายการโทรทัศน์เป็นสิ่งที่เธอตัดสินใจทำต่อหลังจากเสร็จจากอาหารมื้อเย็นนั้น เพื่อพักก่อนที่จะไปจัดข้าวของที่เธอเอาเงินไปถลุงเพื่อหน้าตาของวันฉลองขึ้นบ้านใหม่ 

                     	ปัญหาไขมันส่วนเกินจะไม่เป็นเรื่องกังวลของคุณอีกต่อไป ด้วยอาหารเสริมควบคุมน้ำหนัก shape silver ..... เธอตั้งใจฟังโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้เป็นพิเศษ และพิจารณาตัวเองเสมอจนทำให้เธอรู้สึกกังวล เธอคว้ารีโมทปิดโทรทัศน์ลงทันที เพราะเธอคิดว่าแค่อาหารควบคุมน้ำหนักของเธอทุกมื้อนั้นก็ทรมานความหิวโหยของเธอไปเสียมากแล้ว ถึงแม้ผลของมันจะยังไม่เห็นชัดในตอนนี้ แต่อีกไม่กี่สัปดาห์เธอคงจะเพรียวงามเหมือนนางแบบผอมบางที่ปรากฏในโทรทัศน์  เธอคิด
                     	หลังจากที่เธอง่วนอยู่กับการจัดข้าวของให้เข้าที่จนลืมความกังวลใจเรื่องน้ำหนักไปเสียสิ้น แต่พอนานเข้าแขนขาอันเมื่อยล้าของเธอก็เริ่มขัดขืน และเรียกร้องบอกความต้องการให้เธอพาร่างกายอันแสนจะเหนื่อยล้าของเธอไปพักเสียที
                     	ขณะอาบน้ำเธอเริ่มสนุกคิดกับการฉลองการเริ่มต้นใหม่ในบ้านอันแสนสมบูรณ์ของฉัน และเห็นว่าการจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ภายในบ้านนั้นอยากให้จัดขึ้นเสียพรุ่งนี้เลย 
                     	คืนนั้นเวลาประมาณสามทุ่มกว่า ๆ โทรศัพท์มือถือของเพื่อน ๆ เธอก็เริ่มดังขึ้นไล่เลี่ยกัน โดยแต่ละคนนั้นห่างกันเพียงแค่สายละ 5- 10 นาที เพื่อเลื่อนกำหนดการงานปาร์ตี้ให้เร็วขึ้นอีกหนึ่งสัปดาห์ โดยบรรดาเพื่อน ๆ นั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ตอบรับว่าจะมา เธอจดบันทึกผู้ที่จะมาสนุกกับเธอในวันนั้นก็มีเพียงสามคนที่สนิทที่สุดในบริษัท ส่วนบรรดาคนอื่น ๆ นั้นก็ได้เพียงแต่สัญญาว่าจะโทรศัพท์มาให้คำตอบในตอนสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้น

                     	เสียงนาฬิกาปลุกเธอให้ตื่นจากฝันในตอนสายของวันอาทิตย์ เธอลุกจากที่นอนตรงไปยังห้องน้ำเพื่อทำกิจวัตรประจำวันในตอนเช้า และชั่งน้ำหนักเพื่อดูว่าลดลงไปมากน้อยเท่าไหร่ด้วยวิธีการรับประทานอาหารควบคุมน้ำหนักอันไร้รสชาดแห่งความอร่อย เมื่อทำธุระต่าง ๆ และรับประทานอาหารไดเอ็ตจนเสร็จสิ้น บรรดาเพื่อน ๆ ที่สัญญาว่าจะโทรเข้ามายืนยันคำตอบก็โทรมาบอกว่าไม่สามารถหาเวลามาได้ ซึ่งความจริงแล้วเธอก็รู้คำตอบอยู่แล้วเสียตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วยน้ำเสียงของแต่ละคนนั่นเอง

                       วันทั้งวันนั้นนอกจากเธอจะตกแต่งบ้านให้ดูเยี่ยม และไม่ลืมที่จะยืนพิจารณารูปร่างตัวเองที่ปรากฏในกระจกบานเงาใหม่ เพื่อต้อนรับบรรดาเพื่อน ๆ ของเธอในสัปดาห์ที่จะหน้า	
                       หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เรื่องที่วุ่นวานอยู่ในหัวของเธอก็เห็นจะมีเพียงการตกแต่งบ้านและการกระชับรูปร่างดูแลทรวดทรงของเธอเท่านั้น  เพื่อนทั้งสามต่างก็บอกถึงความพร้อมที่อยากจะเห็นบ้านใหม่ของเธอจนดูออกหน้าออกตาและไปทางประชดประชัน แต่ดูเหมือนว่านิยมจะหลับหูหลับตาไม่สนใจหรือแกล้งโง่ก็ไม่ทราบ ว่าเจตนาของการสนทนาเพื่อนเธอนั้นคือเจตนาร้าย
	
	
วันฉลองบ้านใหม่ของเธอ...
                     	แพร เพื่อนคนแรกที่มาถึง ภายหลังจากการขนย้ายกระจกเงาบานสวยมาตั้งไว้ในห้องนั่งเล่นได้เพียงครู่เท่านั้น เธอเป็นดาวของบริษัทที่บรรดาพนักงานชายและแม้พนักงานสาวบางคนก็จำต้องกล่าวชมเพราะความสวยของเธอนั้น หากจะเปรียบก็คงเทียบได้กับนางแบบบนปกนิตยาสารผู้หญิงยุคใหม่ที่มีรูปร่างได้รูป ผอมเพรียว ผิวขาวอมชมพูและมีหัวคิดทันสมัย
                     	นิยมต้อนรับแพรด้วยรอยยิ้มพร้อมกอดแห่งมิตรภาพ หนึ่งชั่วโมงผ่านไปเธอใช้เวลาหมดไปกับการสนทนากับแพร เพื่อรอเพื่อนอีกสองคนที่กำลังจะมาถึง หลังจากที่เธอทั้งสองกำลังกล่าวนินทาเพื่อน ๆ ซึ่งก็ไม่พลาดที่จะรวมถึงสองคนนั้นด้วย ก็จำเป็นจะต้องหยุดการพูดคุยอย่างสนุกสนานนั่นลง เพราะเสียงกริ่งประตูบ้านได้ร้องบอกให้นิยมและแพรรู้ว่าเพื่อนคนใดคนหนึ่ง หรืออีกทั้งสองคนนั้นมายืนรออยู่หน้าประตูบ้านนิยมแล้วตอนนี้

                     	มด และ หญิง ก้าวเข้ามาภายในบ้านของฉันด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ระหว่างที่บรรดาสาว ๆ ทักทายกันและกัน มดและหญิงก็ยื่นของขวัญให้นิยม และแพรก็ไม่พลาดที่จะนำของขวัญที่ซ่อนไว้มานานยื่นให้เจ้าของบ้านด้วยเช่นกัน นิยมกล่าวขอบคุณ และมีทีท่าว่าจะแกะกล่องของขวัญเหล่านั้นออกดูด้วยความอยากรู้ว่า...มีอะไรอยู่ภายในกล่องปริศนานั้น 
                     	เมื่อเพื่อสาวทั้งสามเห็นอย่างนั้นแล้วจึงรีบกล่าวตัดบทเพื่อเลี่ยงไว้ให้เธอทราบความจริงที่ซ่อนอยู่ภายในกล่องทั้งสามใบนั้น
                     	พวกฉันไม่น่ายื่นของขวัญเซอร์ไพรส์เธอในตอนนี้จริง ๆ เล้ย เห็นไหมหละมันดึงความสนใจจากเธอไปจากพวกฉันจริง มันน่าน้อยใจนัก      มดกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มซึ่งอีกทั้งสองคนก็แสดงสีหน้าสนับสนุนกัน

                      มด สาวผมดำสลวยสุขภาพดี ดังสโลแกนของผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมนวดผมที่ปรากฏอยู่ทางโทรทัศน์ จึงรีบจูงมือเจ้าของบ้านเดินจากกองของขวัญ ไปยังห้องรับประทานอาหารเพื่อเริ่มงานเลี้ยงเสียที ไม่ใช่เพราะใจร้อนของมดเพียงเท่านั้นแต่นั่นบวกด้วยความหิวของเธอจริง ถึงแม้ว่ามดจะเป็นคนที่กินเก่ง แต่เรื่องน้ำหนักก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับเธอเลย เพราะนอกจากเธอจะสนใจสุขภาพผมแล้ว การออกกำลังกายสม่ำเสมอก็เป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญกับร่างกายของเธอด้วย 
                     หญิง เพื่อนที่มีคุณสมบัติความสวยของตามทัศนะคติที่สังคมมีต่อผู้หญิงสมัยนี้ ก็เดินขนานไปกับนิยมที่ถูกแรงดึงของบรรดาเพื่อนทั้งสอง แพรและมด ไปยังห้องรับประทานอาหาร

เสียงดนตรีดังคลอเบา ๆ ...ระหว่างการปาร์ตี้เล็ก ๆ นี้
                     หลังจากสนทนาอาหารมื้อหลัก ในระหว่างการสังสรรค์กันตามประสาสาวโสด ด้วยความสามารถของผู้หญิงแล้ว พวกเธอสามารถที่จะขุดคุ้ยเรื่องรอบตัวมาเป็นประเด็นในการสนทนาได้เสมอ และด้วยแอลกอฮอล์เล็กน้อยที่เป็นเครื่องดื่มประกอบกับอาหารมื้อนี้ ยิ่งทำให้พวกเธอสนุกสนานจนเหมือนความสุขนั้นไม่มีวันสิ้นสุดไปจากวันนี้ 

                     	เสียงของนาฬิกาบอกเวลาสำคัญที่เธอกำหนดไว้ ช่วงเวลาที่จะพาเพื่อน ๆ ทั้งสามคนนี้เดินชมบ้านหลังใหม่ของเธอเสียที และก็เป็นดังที่เธอคิดไว้ คำชม เรื่องการตกแต่งบ้าน ความจริงแล้วแค่เรื่องทำเลที่ตั้งและรูปแบบของการสร้างก็ทำให้เพื่อนทั้งสามของเธอกล่าวชมไม่หยุดตั้งแต่แรกเมื่อมาถึงแล้ว ถึงจะมีคำติ เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่นั่นเมื่อเทียบกับคำชมแล้วก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกเคืองใจแม้แต่น้อย เพียงแต่คิดว่าควรจะปรับปรุงอีกสักนิดดังว่า บ้านของเธอก็จะสวยกว่าใคร ๆ นัก
                     	การเที่ยวชมบ้านของนิยมจบลงที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นจุดเดียวกับจุดเริ่มต้น แต่เธอกลับเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเหล่าเพื่อนสาวทั้งสามซึ่งในขณะนั้นสายตาของทุกคนมองไปยังกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนเงาของนิยมอยู่ในนั้น

                     	หัวเราะอะไรกันจ้ะ นิยมแสร้งถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบรื่นปนด้วยความสุขเล็ก ๆ
                     	เปล่า...ไม่มีอะไร หนึ่งในสามคนพยายามตอบเธอ ด้วยน้ำเสียงคล้ายจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ 
                     	นิยมหันกลับมองไปยังกระจกจึงได้พบคำตอบ ภาพของเธอทั้งสี่ปรากฏอยู่บนกระจกบานนั้น คล้ายเวทีประชันความงาม ภาพบรรยากาศของงานฉลองบ้านใหม่ของนิยมนั้นยังคงสนุกสนานต่อไป แต่มีเพียงนิยมเท่านั้นที่ตกอยู่ในความเงียบและเริ่มเครียด 
                     แม้ว่าความสวยของนิยมกับหญิงจะสูสีกันบ้าง เพราะผิวพรรณของนิยมเองนั้นหากมองข้ามเรื่องน้ำหนักไป เธอก็เป็นสาวที่มีผิวพรรณที่ดูผ่องใส สุขภาพดี ซึ่งเมื่อเปรียบกับหญิงจะออกไปทางผิวคล้ำ แต่เรื่องน้ำหนักของเธอทั้งสองคนนั้นกลับแตกต่างกันอย่างมาก แน่นอนอยู่แล้วเรื่องความสวยความงามนั้นเป็นเรื่องสำคัญสำหรับบรรดาสาว ๆ สมัยนี้ 
                     สุดท้ายกระจกบานโปรดของนิยมเอง ก็กลายเป็นกรรมการจำเป็นที่จะต้องกล่าวคำตัดสินของการประกวดความงามในครั้งนี้ด้วยภาพสะท้อนแห่งความจริง ซึ่งกติกาและกฎเกณฑ์การให้คะแนนนั้นดูเหมือนจะถูกอิงในประเด็นของเรื่องความอ้วน ผู้หญิงที่จะชนะบนเวทีนี้ได้นั้นจึงจำเป็นต้องเป็นสาวสวยซึ่งร่างกายของเธอนั้นจะต้องปราศจากไขมันส่วนเกินเท่านั้น ยิ่งด้วยเรื่องของน้ำหนัก ไขมันส่วนเกินที่ถูกสังคมสร้างทัศนะคติ และมุมมองให้คนยุคนี้เปลี่ยนไป ทำให้สาว ๆ จำต้องรักษารูปร่าง ผิวพรรณ และเส้นผม ให้สวยตามมุมมองของคนในยุคนี้ให้ได้
                     ด้วยความโกรธและน้อยใจ วันรุ่งขึ้นนิยมจึงเงียบไปจนเพื่อน ๆ ร่วมงานสังเกตได้ แม้หลายคนจะพยายามชักชวน หยอกล้อ แม้กระทั่งเล่าเรื่องตลกขำขันให้เธอฟังแล้วก็ตามที แต่ก็ไม่สามารถสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของนิยมได้เลยแม้แต่น้อย จนเพื่อน ๆ ร่วมงานนั้นรู้ว่าควรที่จะอยู่ห่าง ๆ เธอมากกว่าที่จะใกล้ เพราะไม่รู้ว่าเธอจะอารมณ์ร้ายขึ้นมาหรือเปล่า

                     บ่ายวันนั้นนิยมลางาน จนสร้างความไม่สบายใจให้กับเพื่อน ๆ โดยเฉพาะสาวสวยสามคนนั้น แต่ก็อีกนั่นแหละความทุกข์ของคนอื่นจะไปเท่าอะไรกับความทุกข์ของเรา เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเราก็แล้วไป ไม่นานนักบรรดาสาวสวยสามคนนั้นก็กลับไปหัวเราะ พูดคุย และเปิดวงนินทาเหมือนเคย และดูเหมือนว่าเรื่องที่พวกเธอกำลังนินทานั้นจะมีเรื่องที่เพิ่งผ่านมาเมื่อคืนเป็นประเด็นหลักเสียด้วย เพื่อนร่วมงานเมื่อได้ยินเรื่องที่เหล่าสาวสวยสนทนาก็หัวเราะตามเล็กน้อย โดยไม่รู้เสียเลยว่าเรื่องที่พวกเขากำลังหัวเราะอยู่นั้น หนักยิ่งกว่าภูเขาบนอกของนิยมเสียอีก

                      นิยมเดินคอตกไปยังรถยนต์ส่วนตัว ตลอดเส้นทางที่เธอกำลังขับรถ เธอได้พบป้ายโฆษณาที่มีดารา นางแบบอวดโฉมหน้าและหุ่นที่ผอมเพรียวบาง ยืนยิ้มเคียงข้างกับสินค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร ขนมขบเคี้ยว โดยเฉพาะเครื่องประทินผิวต่าง ๆ ยิ่งสร้างความรู้สึกด้อยกับรูปร่างของเธอมากขึ้นหลายเท่า
                      เมื่อกลับถึงบ้าน เธอเดินตรงไปยังกระจกที่ครั้งหนึ่งเธอเคยมองว่าสวยงามนัก และจะสร้างมุมมองให้กับเพื่อน ๆ เธอที่มาเยี่ยมว่าเธอเป็นคนที่มีสไตล์หรือรสนิยมดีเพียงไหน แต่วันนั้นเธอหยุดและยืนนิ่งกับที่หน้าพระจกบานนั้น พร้อมกับจ้องไปที่กระจกนั่น น้ำตาเธอไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอช้า ๆ .....


	ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนไหลย้อนกลับมาอีกครั้งเหมือนเพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เธอกำมือแน่นพร้อมทั้งถามกับตัวเองว่า หากไม่มีสามคนนั้นในคืนที่ผ่านมา ฉันจะมองเห็นภาพตนเองเหมือนเช่นในวันนี้ไหม 
                     	นิยมกำมือทั้งสองแน่นขึ้น ๆ แล้วทุบไปยังกระจกบานนั้นสุดแรงหลายต่อหลายครั้ง จนปรากฏรอยร้าวและรอยเลือดไหลทาบบานกระจกนั้น
                      ตุบ...ตุบ...ตุบ...........
                      เพล้ง !
                      เศษกระจกบาดข้อมือของเธอจนเลือดไหลออกมาไม่หยุด เมื่อได้เห็นเลือดตัวเอง สติเธอจึงกลับมาและปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แก่ตนเองเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะออกโรงพยาบาลหรือคลินิกใกล้บ้านซึ่งไม่ไกลไปจากบ้านของเธอนัก
                     เมื่อสตาร์ทรถเสียงวิทยุที่เธอไม่ได้ปิดก่อนจะดับเครื่องยนต์ ก็ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของเครื่องที่บอกว่าพร้อมที่จะเดินทาง เธอขับเคลื่อนรถออกไปยังไม่ถึงครึ่งของปลายทาง และแล้วเธอก็เปลี่ยนใจ เมื่อได้ยินเสียงสปอตโฆษณาทางคลื่นวิทยุ...

                     	ไขมันส่วนเกินจะไม่ใช่ปัญหาของคุณอีกต่อไป เพียงโทรมาขอคำปรึกษา หรือมาที่เรา พนักงานจะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยความเชี่ยวชาญ และเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพจากประเทศอิตาลี .....

                     	นิยมจดจำหมายเลขโทรศัพท์ของสถานบริการนั้นได้อย่างแม่นยำ เธอจอดรถและเอื้อมมือข้างที่ไม่เจ็บคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วโทรยังหมายเลขนั้นทันที ผู้รับสายปลายทางเป็นผู้หญิงน้ำเสียงไพเราะหวานหูก็ได้นำทางเธอมาจนพบคลินิกนิรนามซึ่งไม่เหมือนภาพที่เธอคิดไว้ แทนที่จะตั้งอยู่บนห้างสรรพสินค้าที่จะสร้างความมีระดับและเป็นสถานบริการที่ดูหรูหรามากกว่าจะเป็นตึกทาวเฮาส์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในหมู่บ้านถัดไปจากหมู่บ้านของเธอเพียงเล็กน้อยแห่งนี้
                     	
                      เธอตัดสินใจก้าวลงจากรถ คราบน้ำตาของเธอยังไม่จางหายไปจากหน้า เธอยกมือขึ้นเช็ดเพียงเล็กน้อยก่อนจะพาตนเองเข้าสู่คลินิกนิรนามนั้น
	สวัสดีค่ะ เป็นเสียงเดียวกับผู้รับสายโทรศัพท์ เธอจำได้
	นิยมพยักหน้าตอบรับและฝืนยิ้มเพียงเล็กน้อย 
	หญิงสาวร่างเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหลังเคาเตอร์บริการส่งเอกสารให้นิยมกรอกข้อมูล และความจำเป็นที่ต้องการใช้บริการ ณ สถานที่แห่งนี้ นิยมกรอกข้อมูลด้วยมือข้างที่ไม่ถนัดนัก และเอ่ยปากถามว่ารับทำแผลที่ข้อมืออีกข้างของเธอได้ด้วยไหม คำตอบที่ได้รับคือรอยยิ้ม นิยมจึงเซ็นเอกสารทั้งหมดเพื่อยินยอมรับการบริการครั้งนี้ เมื่อเธอส่งเอกสารทั้งหมดคืนให้ พนักงานสาวร่างเล็กซึ่งสร้างความอิจฉาให้กับนิยมด้วยนั้น ได้ทบทวนเอกสาร และพยักหน้าอีกครั้ง พร้อมทั้งเอ่ยปากเรียกนิยมให้ก้าวเดินตามเธอขึ้นไปสู่อีกชั้นของอาคาร 
                     	นิยมเดินตามพนักงานหญิงคนนั้นเข้าไปภายในห้องที่ค่อนข้างมืด และคลุ้งไปด้วยกลิ่นของยา เธอบอกให้นิยมนอนลงบนเตียงเพื่อที่จะจัดการทำแผลให้ สายตาของนิยมจึงมองไปยังผ้าผืนบางที่นิยมพันไว้เพื่อห้ามเลือดนั้นกลายเป็นสีแดงต่างไปจากเดิมมาก เมื่อนิยมเห็นดังนั้นจึงใช้มืออีกข้างกดบาดแผลไว้เพื่อห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกมามากกว่านี้ 
                      พนักงานสาวดูเหมือนจะทราบถึงความกลัวและกังวลของนิยม เธอจึงกล่าวคำปลอบและบอกว่าอีกสักครู่คุณก็จะมีเรือนร่างที่สมบูรณ์ พร้อมทั้งชื่นชมผิวพรรณอันผ่องใสของนิยม รวมไปถึงการปฏิบัติตนหลังจากการรับการบริการในวันนี้ สักครู่นิยมนั้นจึงหมดสติไปด้วยฤทธิ์ของยาสลบ


เช้าวันรุ่งขึ้น...
	หัวข้อหลักในบทสนทนาของเพื่อน ๆ ในสำนักงานนั้นเปลี่ยนไปตามหัวข้อของข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งประเด็นที่พาดหัวข้อข่าวใหญ่กินพื้นที่บนหน้าแรกวันนี้ คือ

                     	รีดไขมันเถื่อน ช็อค! คาที่อีกราย

                     ใช่ค่ะ... ทางเดินแคบ ๆ ภายในตึกนั้นพาฉันไปสู่ห้องสุดท้ายแห่งชีวิตของดิฉัน
                      บรรดาเพื่อน ๆ ของฉันต่างสลด เมื่อได้ทราบเนื้อความในหน้าถัดไปในหนังสือพิมพ์วันนี้ โดยเฉพาะใบหน้าของเธอทั้งสามคนนั้น ฉันรู้สึกว่าจะถอดสีในทันทีเมื่อได้พบว่า ชื่อของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น คือ ฉัน				
27 กุมภาพันธ์ 2549 18:43 น.

เจตนาดี…

กวีปกรณ์

สายลมที่พัดมา...
               ...เหมือนจะพัดพาอะไรบางอย่างมาด้วยที่ผมไม่สามารถตอบตัวเองได้ เสียงหวีดหวิวค่อย ๆ ผ่านหูผมไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ  เย็นนี้ผมนั่งอยู่ริมระเบียงห้องพักจิบความนุ่มของฟองเบียร์ที่เย็นเยือก ด้วยหวังว่าไม่นานนักร่างกายของผมจะอุ่นขึ้นมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ 
                
                อากาศเริ่มเย็นขึ้น...ผมลุกขึ้นไปหยิบเสื้อแขนยาวตัวบาง ๆ มาสวมหวังคลายความหนาว ตะวันลับขอบฟ้าไปได้ประมาณชั่วโมงแล้ว พระจันทร์ก็โผล่ขึ้นมาจากท้องฟ้าทางทิศตะวันตกหลังหุบเขาอันไกลลูกนั้น เพลงที่ผมเปิดคลอเบา ๆ เพื่อต่อกรกับความเหงาหยุดลง   ...ใช่ ความเหงานั่นเองที่ลมหนาวนี้พัดมาฝากเสมอ ๆ ผมลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อเปิดเพลงเหล่านั้นอีกครั้ง เพื่อสร้างความอุ่นใจขึ้นมาบ้างเพราะในยามนี้เพียงความอบอุ่นของฟองเบียร์นุ่ม ๆ นั้นไม่อาจต้านความเหงาที่แรงลมหนาวพัดพามาฝากใจอันเปล่ารักของผมได้พอเพียง เพราะคล้ายว่าพลังอำนาจของความเหงาจะเอาชนะทุกอย่างได้เสมอสำหรับผม

               เสียงโปรแกรมสนทนาทางอินเตอร์เน็ตสุดฮิต เอ็มเอสเอ็น ดังแทรกจังหวะท่วงทำนองอันไพเราะของบทเพลง 

               ใครกันนะ  ไม่รู้ว่าจะเข้าสร้างความเปล่าเหงาเพิ่มขึ้นหรือคลายความเดียวดายลงกันแน่ --- ผมคิดในใจ 

                สวัสดีค่ะ สตรีลึกลับส่งข้อความทักทายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
                สายันต์สวัสดิ์ครับ ผมตอบกลับไปตามภาษาที่แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ
                ใครกันครับ กรุณาแนะนำตัวได้ไหม หรือเราเคยรู้จักมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าครับ
                 ค่ะ...ไม่ขอบอกได้ไหมค่ะว่าดิฉันเป็นใคร แต่ที่เข้ามาทักคุณก็เพราะว่าอยากรู้จักไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ --- ผมคิดในใจ มันแน่นอนอยู่แล้วที่เธอคนนั้นอยากจะเข้ามาคุย หรือทำความรู้จัก

                  ครับ คุณได้อีเมล์ผมมาจากที่ไหนหรือครับ ช่วยตอบทีได้ไหมครับ
                  ค่ะ ดิฉันตามอ่านกลอนของคุณมาสักพักนึงแล้ว ค่ะ คุณคงจะได้คำตอบในใจแล้วนะค่ะว่าดิฉันได้อีเมล์คุณมาจากที่ไหน
                   คำตอบของผมผุดขึ้นทันที เพราะมีเพียงไม่กี่เวบไซต์เท่านั้นที่ผมได้ลงบทกวีและเรื่องสั้นเอาไว้ และก็มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ผมได้ลงทะเบียนอีเมล์แอดเดรสเอาไว้ด้วยเช่นกัน

                   ครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านงานเขียนของผม เป็นอย่างไรบ้างครับ ชอบไหม ? ว่าแต่คุณยังไม่ได้แนะนำชื่อให้ผมได้ทราบเลยนะครับ ผมไม่ลืมที่จะถามชื่อของเธออีกครั้ง
                   ค่ะ ขอโทษทีนะค่ะ ถ้าดิฉันจะบอกคุณว่า ดิฉัน คือ นางฟ้า คุณจะเชื่อไหมหละค่ะ 

                    นางฟ้า น่าตลกเสียจัง นางฟ้าไซเบอร์ หรือเธอจะมาเสกความเข้มแข็งให้แก่ใจที่อ่อนแอของผม ผมแอบยิ้มเล็ก ๆ อย่างน้อยคืนนี้ผมก็คลายความเหงาลงไปได้บ้าง ไม่ได้นั่งเพียงลำพังคนเดียวอีกต่อไป

                   ครับนางฟ้า นางฟ้าก็นางฟ้า ผมชักสนุกกับการสนทนาครั้งนี้ 
                   ว่าแต่ที่นางฟ้าแวะเข้ามาทักผมวันนี้ เพราะอะไรหรือคับ
บทกลอนผมไปดูถูกใครสักคนบนฟ้า หรือว่าจันทร์ส่งคุณมาตามที่ผมเคยร้อยกรองไว้ในงานที่ชื่อว่า จันทร์  

                   ผมส่งลิงค์ เพื่อให้เธอคลิ๊กเพื่อไปยังบทกลอนที่ชื่อ จันทร์ ท้ายประโยค
                   " ^_^ " เธอส่ง รูปดวงหน้าคนยิ้ม ตอบกลับมา    

                   ดิฉันตามอ่านงานของคุณมาตลอด ถึงแม้จะไม่ครบทุกงานก็เถอะค่ะ แต่คุณสร้างความเหงาให้ฉันกับหลาย ๆ คนในเวบเหลือเกิน
                   ขอโทษครับ หากผมเป็นสาเหตุนั้น
                   ใช่ว่ามันจะไม่ดีหรอกนะค่ะ เพียงแต่ว่าฉันกำลังสงสัยเหลือเกินว่า คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าค่ะ

                    เธอถามประโยคคำถามเพียงประโยคเดียวในท้ายบรรทัดกลับทำให้ผมสะอึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

                    เราเป็นอะไรไปหรือเปล่า  ความเหงามันครอบครองใจเราตลอดชั่วเวลาอย่างนั้นเชียวหรือ --- ผมถามตัวเองในใจ

                    เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง บทสนทนาเราเดินทางมาได้เพียงเท่านี้ เอาแล้วหละสิ เหมือนกับที่ใจคิดตั้งแต่ทีแรกไม่มีผิด เธอมาตอกย้ำความเปล่าว้างของเราเข้าอย่างจัง 

                    และ...ไม่ทันไรนั้นการสนทนาก็สิ้นสุดลงเมื่อ หน้าต่างสนทนาบอกว่าเธอได้ออฟไลน์ไปเสียแล้ว

                    สุดท้ายก็เหลือเพียงตัวผมกับประโยคคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจ.... 

                    เพลงวนกลับมายังเพลงลำดับแรกตามที่ผมได้ตั้งเอาไว้...เพลง ขอดาว ยิ่งตอกย้ำความเหงาใจลงไปทุกทีจนไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความว้างแห่งใจได้อีกต่อไป 

                    ผมพยายามลืมคำถามที่กวนใจผมในขณะนี้ ด้วยการออกไปยังระเบียงเพื่อเก็บขวดเปล่าและทำความสะอาดรอยคราบเบียร์ที่เลอะออกเสียไปจากโต๊ะนั่งตัวโปรด
                    ลมหนาวแรงขึ้นจนผมไม่อาจทนได้ มืออีกข้างหนึ่งโอบกอดตัวเองเอาไว้ เพื่อคลายความหนาว คราบเบียร์ที่หกเลอะเปรอะโต๊ะไม้นั้นมีเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ที่ผมกำลังเช็คอยู่คือหยดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ความเหงามันกัดกินใจ สร้างรอยแผลใหม่ให้ผมได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ  

ผมเป็นอะไร...
                     ผมพยายามถามใจตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ ตอบไม่ได้เลย 

                     เพลงที่ผมเปิดคลอเอาไว้เพื่อคลายความเหงาหยุดไปอีกครั้ง ความเงียบเข้าครอบคลุม ผมพาตัวเองเลี่ยงความหนาวจากอากาศภายนอกเข้าสู่ภายในห้องอีกครั้ง คราบน้ำตายังคงเปียกชื้นอยู่บนใบหน้า เสียงของนาฬิกาค่อย ๆ เดินช้า ๆ ที่ละวินาที...วินาที... ดังก้องในโสตของผม คล้ายเจ้านาฬิกาตัวน้อยนั้นจะพยายามปลอบใจอันเคว้งนั้นให้สงบลงบ้าง ผมเหลียวหันไปมองมันเพื่อขอบใจและดูเวลา ขณะนี้ก็ล่วงมาจนเที่ยงคืนแล้ว  คล้ายว่าเวลานั้นเดินช้าลงเรื่อย ๆ ยากเหลือเกินที่จะทนอยู่ในห้องอย่างนี้ แต่นี่ก็ดึกมากแล้วที่ไหนกันที่เราจะเอาหัวใจไปฝากไว้ให้เขาดูแลได้...ไม่มีเลย...ไม่มีเลยจริง ๆ





สายที่พัดมา...
	...สร้างบรรยากาศโดยรอบกายของฉันให้ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ฉันต้องลุกขั้นไปหยิบเสื้อแขนยาวตัวโปรดที่ฉันใส่ประจำเพื่อต้อนรับลมหนาวอย่างนี้ ตะวันอันอบอุ่นจากฟากฟ้าไปแล้ว 

                     ฉันยิ้ม...อีกไม่นานดวงจันทร์ก็จะปันแสงแจ้งฟ้าทำหน้าที่แทนตะวันที่เหนื่อยล้า ฉันเดาไม่ออกเลยว่าคืนนี้จันทร์นั้นจะสวยเหมือนคืนก่อนไหม เพราะฉันรู้ว่าพระจันทร์จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ท้าทายความช่างสังเกตของฉัน ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรดวงจันทร์นั้นจึงต้องเปลี่ยนโฉมหน้าไปทุก ๆ วันด้วย หรืออาจจะเป็นเหตุผลของเวลา เวลาเปลี่ยนทุกอย่างไปจริง ๆ หรือ

	หลังจากที่ฉันได้ทักทายกับพระจันทร์แล้ว จึงหลบความหนาวเย็นเข้ามาภายในห้อง เสียงเพลงที่เปิดไว้เป็นเพื่อนหยุดไปนานแล้ว ฉันเพิ่งรู้ตัว... ฉันเดินตรงมายังคอมพิวเตอร์เพื่อคิดที่จะปิดและชมรายการโทรทัศน์ตามปกติ แต่คิด ๆ ดูอีกทีบรรยากาศอย่างนี้อาจจะมีใครสักคนต้องการความอบอุ่นทางใจที่แสงจันทร์นวลเย็นไม่อาจคลายความเหน็บใจนั้นได้ก็เป็นแน่

	ฉันเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของฉันเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะเป็นนางฟ้าใจดีคลายความโศกเศร้าจากความเหงาให้ใครได้ที่ไหน ฉันจึงเข้าไปหาอ่านงานเขียนพวกเรื่องสั้น บทกวี หรือแม้กระทั่งไดอารี่ที่คนสมัยนี้นิยมบันทึกลงในโลกจำลองนี้ คงเพราะพวกเขาอยากมีเตือนตัวเองและคนอื่น ๆ ให้รู้ว่าพวกเขายังมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งในความคิดของฉันแล้ววิธีเหล่านั้นก็คือการคลายเหงาและการเปิดรับคนอื่น ๆ เข้ามาในชีวิตเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของหัวใจที่พยายามวิ่งหนีความเหงาอันกระหน่ำเข้าใส่ชีวิตพวกเขามากกว่า
	ฉันเปิดโปรแกรมสนทนาทางอินเตอร์เน็ตทิ้งไว้ด้วยเผื่อว่า ฉันเองจะเป็นนางฟ้าใจดีไปคลายความเหงา ความเหว่ว้าให้กับเพื่อน ๆ ของฉันเอง หรือคนที่รู้จักและคุ้นเคยจากการสนทนาผ่านโปรแกรมนี้เมื่อครั้งก่อนหน้า
	แต่... ไม่มีใครอยู่ในระบบสนทนาในตอนนี้เลย แล้วหน้าที่ของฉันที่คาดหวังไว้จะสำเร็จไหม ---  ฉันคิดได้อย่างนั้น จึงเริ่มปฏิบัติการค้นหาผู้โชคดีในค่ำคืนนี้ผ่านทางเวบไซต์ต่าง ๆ 
	
แล้ว...
...สายตาของฉันก็สะดุดกับชื่อบทกลอนหนึ่งของชายนิรนาม ฉันกวาดสายตาอ่านเนื้อความที่ปรากฏในบทกลอนแห่งความเหงาในใจ ทว่าอารมณ์ของกลอนนั้นทำให้ฉันต้องอ่านออกเสียงดัง ๆ เพื่อไม่ให้ใจฉันนั้นสะเทือนไปกับความอ่อนไหวของชายคนนั้น

หากหนาวจนใจหม่น... ...ขอทนให้ใจเจ็บ
			
(๑)...
จักไม่เหลือเผื่อใจไว้ให้เจ็บ
หากต้องเก็บซ่อนกมลฝืนทนเหงา
ไม่อาจว้างข้างเคียงแค่เพียงเงา
อยากมีเขาคอยอยู่คู่สรรพางค์

วันคืนผ่านนานเข้าใจเศร้าโศก
ลมหนาวโบกดั่งมีดมากรีดร่าง
เสียงระงมพ่นพล่ามไปตามทาง
ร้องไห้พลางเหลียวลอบคนปลอบทรวง

คงต้องยอมเจ็บบ้างในบางครั้ง
อย่ามัวยั้งรั้งจิตตะขิดตะขวง
ยอมพลาดบ้างมอบใจให้ใครลวง
รักษาดวงแดอุ่นละมุนละไม ฯ

(๒)...
ห่มผ้าอุ่นกลับอุ่นไม่ถึงจิต
คนสนิทเชยชิดจักมีไหม
มาอุ่นทรวงให้ดวงรักพักหทัย
มาจุดไฟคลายหนาวคราวระทม

สักครั้งเถิดเปิดใจให้รักสู่
เฝ้าเรียนรู้ร้อนทุกข์ก่อนสุขสม
ดีกว่าลมหนาวพัดซัดอารมณ์
จนจิตแยกแตกจมตมน้ำตา ฯ


                บทกลอนนั้นทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของความปวดร้าวที่ความเหงานั้นซ่อนพิษร้ายทำลายดวงใจอันบอบบางของเขาได้เป็นอย่างดี ถึงแม้บางใจความของบทกลอนนั้นฉันจะค่อยเห็นด้วยกับความคิดนั้นเถอะ ไม่ทันไรนั้น สายตาของฉันก็พบกับอีเมล์แอดแดรสของชายผู้นั้น --- ได้แล้ว คืนนี้ฉันจะได้เป็นนางฟ้าใจดีมอบความอบอุ่นใจให้เขาเสียที ตามที่หวังไว้ 
                เรื่องสนุก ๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อฉันคิดว่าก่อนจะเข้าไปสนทนากับเขาจริง ๆ ก็น่าจะอ่านบทกลอนที่เขาเขียนไว้ให้หมดก่อน ประเดี๋ยวเราทั้งสองคนจะไม่มีเรื่องจะคุยกัน ฉันจึงเริ่มอ่านบทกลอนที่เขาเขียนไว้ทั้งหมด 
                โห...ท่าทางชายคนนี้จะอ่อนไหวไม่เบาเลยนะ  --- ฉันพูดกับตัวเองก่อนที่จะลองพิมพ์ข้อความส่งไปทักทายชายผู้เปล่าว้างคนนี้

               สวัสดีค่ะ ฉันส่งข้อความทักทายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ตามมรรยาท
               สายันต์สวัสดิ์ครับ 
               ใครกันครับ กรุณาแนะนำตัวได้ไหม หรือเราเคยรู้จักมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าครับ 
                เขาตอบกลับมาด้วยประโยคที่ดูโบร้าณ...โบราณ ดูไปก็เหมาะกับอารมณ์กวีอย่างเขาแล้ว

               ค่ะ...ไม่ขอบอกได้ไหมค่ะว่าดิฉันเป็นใคร แต่ที่เข้ามาทักคุณก็เพราะว่าอยากรู้จักไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ --- ฉันตอบกวน ๆ กลับไปหวังเพิ่มรสชาติในการสนทนามากกว่าพูดคุยเป็นพิธีรีตองจนทำให้หมดสนุก

                ครับ คุณได้อีเมล์ผมมาจากที่ไหนหรือครับ ช่วยตอบทีได้ไหมครับ


                ค่ะ ดิฉันตามอ่านกลอนของคุณมาสักพักนึงแล้ว ค่ะ คุณคงจะได้คำตอบในใจแล้วนะค่ะว่าดิฉันได้อีเมล์คุณมาจากที่ไหน --- ขี้เหงาอย่างนี้ยังจะมาไว้ตัวอีก เด๋วก็ไม่คุยด้วยเสียเลย (ฉันเริ่มฉุน) แต่ก็ตอบคำถามเขากลับไป...           
                 ฉันพิมพ์ตอบกลับไปอย่างโม้ ๆ สักหน่อยและก็หวังเขาคงจะเอากลอนเหงา ๆ อย่างนั้นลงไปทำร้ายใจคนอื่นไม่กี่เวบนะ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงจะจับโกหกฉันได้แน่ ๆ

                ครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านงานเขียนของผม เป็นอย่างไรบ้างครับ ชอบไหม ? ว่าแต่คุณยังไม่ได้แนะนำชื่อให้ผมได้ทราบเลยนะครับ เขาไม่ลืมที่จะตื้อถามชื่อของฉันหรืออยากจะจีบฉันนะ (แอบคิดเข้าข้างตัวเอง)
                
                 ค่ะ ขอโทษทีนะค่ะ ถ้าดิฉันจะบอกคุณว่า ดิฉัน คือ นางฟ้า คุณจะเชื่อไหมหละค่ะ  --- นางฟ้า นางฟ้าไซเบอร์ที่จะคลายความเหงาให้กับคุณบ้างไม่มากก็น้อยนั่นแหละฉันคิด

                 ครับนางฟ้า นางฟ้าก็นางฟ้า ฉันเริ่มเซ็งกับอารมณ์ของชายผู้นี้ 

                 ว่าแต่ที่นางฟ้าแวะเข้ามาทักผมวันนี้ เพราะอะไรหรือคับ บทกลอนผมไปดูถูกใครสักคนบนฟ้า  หรือว่าจันทร์ส่งคุณมาตามที่ผมเคยร้อยกรองไว้ในงานที่ชื่อว่า จันทร์  

                 แหม...ท่าทางจะปากหวานจีบฉันหรือเปล่าเนี่ย แต่ก็ทำให้ฉันหายเคืองเขาไปได้บ้าง แต่ว่าจะให้ฉันอ่านกลอนอีกรอบนะเหรอ ไม่ไหวแล้วหละตาจะแฉะแล้ว ก็ประเดี๋ยวบ่อน้ำตาที่กลั้นเอาไว้และการที่หวังว่าจะคลายเหงาให้เขา กลับกลายเป็นเหงาเสียเอง 
                 
                  " ^_^ " ฉันจึงส่ง รูปดวงหน้าคนยิ้ม ตอบกลับไป
                 ดิฉันตามอ่านงานของคุณมาตลอด ถึงแม้จะไม่ครบทุกงานก็เถอะค่ะ  แต่คุณสร้างความเหงาให้ฉันกับหลาย ๆ คนในเวบเหลือเกิน
                 ขอโทษครับ หากผมเป็นสาเหตุนั้น --- เขาตอบกลับมาอย่างสุภาพบุรุษซะไม่มี ก็น่าสนใจดีนะผู้ชายคนนี้ ชักอยากจะคุยต่อนาน ๆ แล้วสิ ว่าแต่ว่าชั่วโมงอินเตอร์เน็ตของฉันมันกำลังจะหมดแล้วอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

                  ใช่ว่ามันจะไม่ดีหรอกนะค่ะ เพียงแต่ว่าฉันกำลังสงสัยเหลือเกินว่า คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าค่ะ 
                   ฉันถามประโยคคำถามเพียงประโยคเดียวในท้ายบรรทัดที่ออกมาจากความเป็นห่วงในความอ่อนไหวของเขา และเพื่อที่จะทำตามเจตนารมณ์ที่ฉันเข้ามาสนทนากับเขาในครั้งนี้


สัญญาณอินเตอร์เน็ตถูกตัดไปเสียแล้ว...
เขาเป็นอะไรหรือเปล่าน้า... หวังว่าความเหงาที่เขามีจะคลายลงไปได้บ้าง ฉันยิ้มกับตัวเองที่ทำให้ใครสักคนมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง ...ฉันยิ้มอีกครั้ง				
17 มกราคม 2549 03:39 น.

"รักย่า" จากหลานคนโต

กวีปกรณ์

อีกไม่กี่ชั่วโมงโรงเรียนก็จะเลิกแล้ว คาบเรียนช่วงบ่ายทำไมช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อขนาดนี้ ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดึงตัวเองให้ออกไปจากเรื่องเซ็ง ๆ รถวิ่งสัญจรไปมาบ้างแต่ก็ไม่มากนัก ถ้าจะให้พูดจริง ๆ แล้วผมคิดว่าควรจะบอกว่า รถที่สัญจรไปมาน้อยมาก มากกว่า ผมพยายามมองออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะเอาจิตใจเวลานี้ทิ้งไปกับริ้วคลื่นของทะเลบางแสน และคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่ผมและเพื่อน ๆ ได้แอบหนีเรียนเพื่อร่วมเล่นน้ำทะเลด้วยกัน 

                      เฮ้ย..!! มึงนั่งมองอะไรอยู่ว่ะ โทรศัพท์สั่นอยู่นานแล้วไม่รับสายหรอ เพื่อนสนิทซึ่งนั่งข้าง ๆ ผมรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์มือถือจึงกระซิบเรียก และหยิบขึ้นมาส่งให้
                      เออ ขอบใจ ผมตอบไปเพียงสั้น ๆ หลังจากนั้นก็มองหน้าจอดูว่าเจ้าของหมายเลขที่เรียกเข้ามานั้นเป็นใครกัน

                      น่าแปลก...ไม่ใช่เพราะหมายเลขนั้นไม่คุ้นตา หรือมีใครโทรผิดเข้ามา แต่หมายเลขที่แสดงอยู่นั้นกลับเป็นหมายเลขโทรศัพท์บ้านของผมเอง ดังนั้นแล้วจะไม่รับได้อย่างไรเพราะโทรเข้ามาในขณะเรียนอยู่แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญอะไรแน่ ๆ 
                      หรือพ่อกับแม่จะโทรมาบอกว่าจะไม่อยู่บ้านในวันนี้และพรุ่งนี้ ยังไงดูแลน้องแทนพ่อกับแม่ด้วย ผมคิดในใจว่าต้องเป็นคำพูดนี้แน่ ๆ งานของพ่อกับแม่สำคัญเสมอ ผมเจออย่างนี้จนชินแล้วแหละแต่ปีนี้จะงอแงเป็นเด็กบ้างอยากรู้เหลือเกินว่าจะเป็นอย่างไร 

เมื่อผมกดปุ่มรับสาย เสียงของแม่บอกอาการไม่สู้ดีนัก 
มีเรื่องอะไรจะแย่ไปกว่าการลืมวันเกิดของลูกชายอีกหล่ะ-- ผมคิดในใจ
                     ได้ยินไหมลูก เรียนอยู่ใช่ไหม ถ้าแม่จะขอให้กลับมาจากโรงเรียนตอนนี้เลยจะได้ไหม จะกลับมาถึงบ้านเมื่อไหร่ ถ้าขอลาอาจารย์ออกมาตอนนี้ แม่ถามด้วยเสียงสั่นเครือ 
                      มีเรื่องอะไร ทำไมต้องให้กลับด้วย ถ้าออกจากโรงเรียนตอนนี้ก็ถึงบ้านเกือบ ๆ 5 โมง ใครเป็นอะไรหรือเปล่า ผมถามไปด้วยอาการร้อนรนใจ
                      ลูกฟังนะ ย่าเสียแล้ว ตอนนี้อยู่วัดสัตหีบทุก ๆ คนกำลังไป ว่าจะรอให้เรากลับถึงบ้านแต่คงไม่ทัน ยังไงก็นั่งรถตามไปถึงสัตหีบเลยแล้วกัน มากราบย่าก่อน รีบ ๆ นะลูกกลับมาให้ทัน แม่ตอบ
พอสิ้นเสียงของแม่โลกทั้งโลกเหมือนกับมืดไปสนิท รู้สึกชาไปทั่วทั้งหน้า 
                      ครับจะรีบตามไป ผมตอบได้แค่นั้น แล้วแม่ก็วางสายไป

                       เมื่อดำเนินเรื่องขออนุญาตออกจากบริเวณโรงเรียนก่อนกำหนดได้ ผมรีบเดินทางไปวัดอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทันเวลาก่อนที่สับปะเหร่อจะเอาร่างอันไร้วิญญาณของย่าใส่โลง 

                       การเดินทางจากบางแสนถึงสัตหีบก็ใช้เวลานานประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ทำให้ผมได้คิดถึงและทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ทำร่วมกับย่ามากมาย น้ำตาในตอนนั้นไม่แน่ใจเหมือนกันว่าไหลออกมาจากความคิดถึงหรือเสียใจ ผมคิดว่ามันคงปะปนกันไป 

                        ผมจำได้ ย่า เคยพูดและสอนผมในบางเรื่องแม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ก็ผูกพันกันพอสมควร แม้ผมจะจำเรื่องราวของได้ไม่ครบนักหรอก ใช่เรื่องราวที่ผ่านมาหลายวัน หลายเดือน หลายปีจะเหมือนกับเรื่องที่ผ่านไปเมื่อวานนี้ได้อย่างไร 

                        ย่าเป็นคนสนุกร่าเริงและบ้าจี้ด้วย ใคร ๆ ก็ชอบเอานิ้วแหย่เอวของย่าแล้วพูดในสิ่งท่อยากให้ย่าทำหรือพูด เหมือนดังต้องมนต์ เมื่อย่าถูกจี้เอวย่าก็จะทำตามคำพูดเหล่านั้น ย่ารักหลาน ๆ ทุกคน ย่าใจดีมาก ๆ กับหลาน ๆ ย่าชอบเล่นกับหลาน บางเรื่องย่าดูเหมือนจะไม่จริงจังอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนในครอบครัวแล้วย่าจะจริงจังเสมอ ทุก ๆ คนรักย่า 
                        พอผมเริ่มโตขึ้นเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ย่ามักจะพูดและสอนอะไรเสมอ บางทีก็ติดตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ให้เครียด จนผมก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ทุกสิ่งที่ย่าพูดบอกกลับเป็นจริงเสมอ ย่าสอนให้ผมรู้จักชีวิตในมุมมองของย่า ย่าเอ็นดูผมถ้าจะให้บอกว่ามากหรือน้อยคงตอบไม่ได้ ด้วยความที่ผมเป็นพี่คนโตในบรรดาลูกพี่ลูกน้องที่เป็นหลานของย่า ย่าก็จะย้ำและคาดหวังว่าผมจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง ๆ ได้ 

                        ผมเพิ่งจะเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วย่าเป็นผู้หญิงเก่งและจริงจังกับชีวิตมามากเหมือนกัน ก็ตอนที่ย่าป่วยต้องนอนโรงพยาบาล ย่าเหนื่อยและทำงานหนักที่เกาะเสม็ด ย่าเส้นเลือดในสมองแตกเพราะความดันในเลือดสูง หลาน ๆ ทุกคนไปเยี่ยมร่างอันไร้สติของย่า ผมรู้สึกได้ว่าย่าเจ็บ ย่าเจ็บมาก ๆ ผมไม่อยากให้ย่าเป็นอย่างนี้เลย ย่านอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแค่สัปดาห์กว่า ๆ เอง ไม่น่าเลย...

                         ผมแปลกใจกับตัวเองมากทั้ง ๆ ที่ใครต่อใครก็ตายจากไปจากชีวิตของผมก็หลายคนแต่ความรู้สึกกับต่างกัน ผมยอมรับเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่เสียใจกับมันมาก แต่ทำไมผมกลับรู้สึกแย่มากมายขนาดนี้กับเรื่องของย่า ผมตอบตัวเองไม่ได้

                          เสียงของกระเป๋ารถโดยสารบอกว่าใกล้ถึงสัตหีบแล้ว ผมเตรียมตัวเพื่อจะลงรถ พอก้าวลงหน้าวัดสัตหีบ ผมเร่งฝีก้าวให้ไวขึ้นเพื่อไปให้ทันกราบร่างของย่าอันเป็นที่รักของผม ผมคิดในใจแล้วว่าผมเตรียมตัวและทำใจได้พอสมควรแล้วระหว่างการเดินทาง แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น 
เมื่อผมวางกระเป๋าและไหว้บรรดาญาติพี่น้อง ก่อนเข้าไปยังศาลาฌาปนสถาน หัวใจที่คิดว่าพร้อมรับการจากไปของย่ากลับร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้นทนได้ ผมรดน้ำที่มือของย่าให้ช้าและช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือจับมือย่าอย่างถนอมเหมือนไม่ต้องการให้ย่าเจ็บปวดอีก หลังจากนั้นก็ก้มลงกราบแทบเท้าของย่า ผู้มีพระคุณคนนี้ 

                         ในใจเหมือนจะแตกสลาย คิดอย่างเห็นว่าทำไมไม่เป็นคนอื่น ทำไมต้องพรากชีวิตบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของเราจากไปด้วย ผมและบรรดาญาติ ๆ ต่างร้องไห้ระงมดังไปทั่วศาลาแห่งนี้ 
ตอนที่ย่าอยู่ไม่เคยรู้เลยว่ารักย่ามากแค่ไหน ตอนที่ย่าอยู่แทบไม่เคยบอกรักย่าเลย ตอนนี้กลับเพิ่งมารู้ว่าสายก็ต่อเมื่อย่าจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ผมรักย่า ผมรักย่าเหลือเกิน ย่าได้ให้อะไรต่ออะไรกับชีวิตผมมากมาย แม้เป็นเวลาอันสั้นที่เราอยู่ด้วยกันแต่หลาย ๆ เรื่องผมกลับจำฝังไว้จนแน่น แม้ผมจะจำไม่ได้ว่าย่าเคยยิ้มแบบไหน แต่ผมก็ยังพอจะจำอ้อมกอดย่าไว้ได้อย่างไม่มีวันเลือน 

                         จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 5 ปีแล้วแต่พอผมทบทวนเรื่องราวของย่าก็กลับทำให้น้ำตาผมซึมไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะบอกให้พ่อกับแม่พาย่ามาอยู่ด้วยกัน ไม่ให้ย่าทำงานหนัก แต่ยิ่งคิดไปก็ยิ่งเสียใจ เพราะผมก็เพิ่งรู้ตอนที่ย่าเสียเช่นเดียวกันว่า พ่อกับแม่กำลังวางแผนไปรับย่ามาอยู่ด้วยก่อนหน้านั้นเช่นกัน แต่ทุกอย่างก็สายไป ตอนนี้ก็เหลือแต่เพียงอัฐิและรูปของย่าเท่านั้นที่เรานำมาไว้เพื่อระลึกถึง

                        หากย่ายังได้ยินและสัมผัสได้อยู่ไม่ว่า ณ สถานที่ไหน หรือภพใด ผมอยากบอกว่า "ผมรักย่าเสมอ" จากหลานคนโต				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกวีปกรณ์