16 มกราคม 2549 08:33 น.

งานวิจารณ์ กวีนิพนธ์ เรื่อง "คำถามแห่งชีวิต" (ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ)

กวีปกรณ์

ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ

วันก่อน งดงามดั่งความฝัน
วันหนึ่ง งงงันกับคำถาม
บางสิ่ง แสวงหาค่านิยาม
บางอย่าง เรามองข้ามผ่านเลยไป

บางวัน เราพอใจในคำตอบ
บางสิ่ง เรามอบความรักให้
บางขณะ สับสนเราจนใจ
เกิดคำถามใหม่ในภวังค์

วันหนึ่ง ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพร่ง
ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้องหลัง
บางคำตอบ ใจสลด หมดพลัง
บางคำถาม ปลุกความหวัง สะพรั่งงาม

                         จากบทกวีข้างต้น เราสามารถวิเคราะห์และวิจารณ์งานชิ้นนี้ได้หลายประเด็น ทั้ง (๑) การใช้คำ, ความหมาย และน้ำเสียง (๒) การลำดับเนื้อความ (๓) การใช้ภาพพจน์ และฉาก ตามลำดับแต่โดยยึดโยงความสัมพันธ์ของแต่ละส่วนเข้าไว้ด้วยกันเพราะไม่ต้องการให้เสียความ ขาดความเข้าใจในแต่ละส่วนของเนื้อหาและความไพเราะไปโดยปริยาย จากการแยกการวิเคราะห์และวิจารณ์บทกวีชิ้นนี้เป็นส่วน ๆ ไป

ประเด็นแรก คำ, ความหมายและน้ำเสียง
 
                         จากการเริ่มต้นอ่าน บทประพันธ์ชิ้นนี้ จะพบว่า มีลักษณะของการใช้คำที่เป็นนามธรรมเสียส่วนใหญ่ ทั้งเรื่อง เวลา ปัญหา คำถาม คำตอบ ความรัก ความพึงใจ ความสมประสงค์และไม่สมประสงค์  ในสองบทแรก ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาต่อผู้อ่านอย่างมากทีเดียวว่า อะไร คือ คำถามแห่งชีวิต นั้น และทำไม เราต้องคิดต้องหาคำตอบให้กับมัน ดังนั้นอารมณ์ของผู้อ่านจึงรู้สึกร่วมไปด้วย จากทุกถ้อยคำที่เรียงร้อยในบทกวีชิ้นนี้และสำคัญที่สุด  คือ  ชื่อของบทกวีชิ้นนี้ ผู้แต่งได้ใช้ชื่อเรื่องในการตีกรอบความคิดของเรื่องไว้และทั้งก่อให้เกิดเป็นคำถามตามมาอีกด้วย ว่าอะไรคือคำถามแห่งชีวิต 	
ดังนั้น ชื่อเรื่องจึง มีส่วนสำคัญที่สุดในการตีกรอบความคิดของผู้อ่านบทกวีชิ้นนี้ ไม่ให้หลงใหลงุนงง อันเกิดจากพื้นฐานทางด้านทักษะการอ่าน หรือความเข้าใจที่ต่างกัน

                         และไม่ใช่จากการที่กวีเลือกใช้คำและความหมายในสองบทแรกซึ่งมีความเป็นนามธรรมส่วนมากแล้ว แต่การสรรคำ อย่างเช่น วันก่อน... วันหนึ่ง... บางสิ่ง... บางอย่าง... นำหน้าในแต่ละบาทของบทแรก บางวัน... บางสิ่ง... บางขณะ... ในสามบาทแรกของบทต่อมา และ วันหนึ่ง... บางคำตอบ... บางคำถาม... นำหน้าในบาทที่ ๑, ๓ และ ๔ ของบทสุดท้าย ดังจะเห็นได้จาก

วันก่อน...
วันหนึ่ง...
บางสิ่ง...
บางอย่าง...

บางวัน...
บางสิ่ง...
บางขณะ...
เกิดคำถามใหม่ในภวังค์

วันหนึ่ง...
ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้อหลัง
บางคำตอบ...
บางคำถาม...                ...


                    จากที่ยกมาจะสังเกตได้สองประเด็นรองลงมาคือ ในบทประพันธ์ชิ้นนี้ กวีมิได้ใช้คำที่แสดงถึงคำถามที่พยายามหาคำตอบ แต่อย่างใด แต่ด้วยคำที่ใช้กลับสร้างคำถามขึ้นมาให้แก่ผู้อ่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ จะเห็นได้จาก คำว่า วันก่อน... วันหนึ่ง... บางขณะ... บางสิ่ง... บางอย่าง... ไม่มีคำใดเลยที่มีนัยแสดงถึงคำถาม แต่กวีกลับสามารถเล่นคำเหล่านี้จนกลายเป็นคำที่มีความหมายออกไปได้ถึงสองนัย คือ 
                     ๑. เพียงคำที่ใช้เพื่อแสดงถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  การที่กวีเลือกใช้คำเหล่านี้เพื่อแสดงนัยของเวลาที่ไม่แน่นอนหรือไม่สามารถกำหนดได้นั้น อาจเกิดด้วยสาเหตุสำคัญสองประการ คือ
- ผู้แต่งต้องการให้ผู้อ่านมีส่วนร่วม อันเนื่องจากเวลาของแต่ละช่วงชีวิตของแต่ละคนนั้นมีไม่เท่ากัน ยาวบ้าง สั้นบ้าง ช่วงเวลาที่พบหรือเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตนั้นไม่ได้ตรงกัน หรือเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน อาจจะเกิดขึ้นไล่เลี่ยกันบ้างแต่ก็ไม่สามารถกำหนดขึ้นได้

                     - ประการที่สอง เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านค้นหา ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากการไม่รู้จบของมิติแห่งเวลา ซึ่งไม่สามารถเจาะจงลงไปได้อย่าง เนื่องจากความเป็นจริง วันหนึ่งในวันนี้ อาจจะไม่ใช่วันนี้เมื่อพรุ่งนี้มาถึง แต่จะเป็นเพียงอดีตไป หรือ บางสิ่ง บางอย่าง อาจจะไม่ใช่เรื่อง ๆ เดียว หรือสิ่ง ๆ เดียวที่จะเป็นตัวกระตุ้นหรือเป็นสิ่งที่ทำให้เราค้นหาคำตอบหรือแม้กระทั่งการตั้งคำถามแห่งชีวิต 
และเป็นการตั้งคำถามให้แก่ผู้อ่านได้อย่างดี ดังจะกล่าวต่อไปในนัยที่สอง

                      และ ๒. เพื่อสื่อให้เข้าใจและค้นหาว่าช่วงเวลานั้น ๆ คือเวลาใด หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น คือ สิ่งใด  ด้วยบริบทที่อยู่รายล้อม กวีใช้เพียงคำว่า คำถาม แสวงหา คำตอบ ค่านิยาม ดังที่ปรากฏในทุก ๆ บทนั้น เป็นการกระตุ้นให้ผู้อ่านได้เกิดความสนใจ รู้สึกร่วม และต้องการที่จะทราบว่า คำถาม และคำตอบ แห่งชีวิตนั้น คืออะไร

                      ทางด้านน้ำเสียงซึ่งปรากฏอยู่ในบทกวีชิ้นนี้ กวีเลือกใช้คำทั้งที่สามารถที่จะสื่อความให้ผู้อ่านได้รับรู้ และสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย ดังจะเห็นได้จาก การทิ้งช่วงจังหวะของคำ ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดที่สุด ในบทที่ ๓ สองบาทสุดท้าย 
คือ 	...
	  ...
                       บางคำตอบ ใจสลด หมดพลัง
                       บางคำถาม ปลุกความหวัง สะพรั่งงาม

                       การทิ้งช่วงจังหวะของคำเป็นการเน้นน้ำหนักของน้ำเสียง และความหมายให้ชัดเจนขึ้น ก่อให้เกิดการสะเทือนอารมณ์ของผู้อ่านให้คล้อยตาม และการใช้คำและความหมายซึ่งสอดคล้องกันและกัน วางเรียงร้อยกรองต่อ ๆ กัน ยิ่งเป็นการเร้าอารมณ์ให้บทกวีชิ้นนี้มีความเด่นชัดทางด้านการสะเทือนอารมณ์ของผู้อ่านได้มากยิ่งขึ้นไป

ประเด็นต่อมา การลำดับความ
	การลำดับความนั้น จึงขอแยกออกเป็นสองประเด็นซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กันเลย คือ 

การลำดับความเป็นนามธรรมและรูปธรรม และการลำดับความหมายของแต่ละบท
	
การลำดับความจากนามธรรมเป็นรูปธรรม
                      ดังที่กล่าวมาในประเด็นแรกคือ คำ, ความหมายและน้ำเสียง ว่า บทกวีชิ้นนี้เป็นการใช้นามธรรมเสียส่วนมาก หากเนื้อหาทั้งหมดนั้นจะกล่าวถึงสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ตลอดเวลา อาจเป็นไปได้ว่า งานชิ้นนี้อาจสร้างความงุนงงให้แก่ผู้อ่านหลายคนเลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นการที่กวีใช้ คำที่เป็นรูปธรรม มาเสริมและสร้างภาพพจน์เปรียบเทียบให้เห็นเป็นภาพขึ้น จึงเป็นการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย 
	
ส่วนประการต่อมาการลำดับความหมายของแต่ละบท
	
                     หากพินิจให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า แต่ละบาทของบทกลอนนั้น ลำดับความขัดแย้งในแต่ละบทไว้ต่างกัน จากบทแรก 

วันก่อน งดงามดั่งความฝัน  
วันหนึ่ง งงงันกับคำถาม
บางสิ่ง แสวงหาค่านิยาม
บางอย่าง เรามองข้ามผ่านเลยไป 

	จะพบว่า บาทที่หนึ่งของบท มีความหมายไปในเชิงบวก หรือแง่ดี ทำให้เห็นถึงภาพของความงดงามแห่งชีวิต ต่อมา บาทที่สอง กลับมาความหมายไปในเชิงลบ ซึ่งขัดแย้งกับบาทแรกของบท และลำดับต่อมาในบาทที่ สามและสี่ ก็มีการลำดับ ความหมายในเชิงบวก ซึ่งก็คือการพยายามค้นหาคำตอบ ความหมายให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิต แต่บาทที่สี่กลับมีความหมายเชิงลบไปซึ่งคือมองข้ามและละเลยหรือละทิ้งความพยายามแสวงหาคำตอบซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งก็ได้
	และในบทที่ สองและสาม กลับมีลักษณะการลำดับความซึ่งแตกต่างออกไปจากบทแรก และบทที่สามซึ่งเป็นบทสุดท้ายกลับพลิกผันแตกต่างไปจากบทที่หนึ่งและสองขึ้นไปอีก ดังนี้

บางวัน เราพอใจในคำตอบ
บางสิ่ง เรามองความรักให้
บางขณะ สับสนเราจนใจ
เกิดคำถามใหม่ในภวังค์ (บทที่สอง)

วันหนึ่ง ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพ่ง
ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้อหลัง
บางคำตอบ ใจสลด หมดพลัง
บางคำถาม ปลุกความหวัง สะพรั่งงาม (บทที่สาม)

	ในบทที่สองนั้นมีการลำดับความซึ่งต่างไปจากบทแรกเพียงเล็กน้อย คือ เป็นการซ้อนความหมายเชิงบวก ซ้ำกันสองครั้ง ในบาทที่ ๑ และ ๒ ของบท และซ้อนความหมายในเชิงลบในบาทที่ ๓ และ ๔  คาดว่าในการลำดับความซึ่งแตกต่างออกไปนั้น สาเหตุเนื่องมาจากการต้องการเน้นย้ำให้บทกวีชิ้นมีน้ำหนักมากขึ้นทั้งด้านการดึงอารมณ์ และการสื่อนัยของความสับสน ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญอันจะก่อให้เกิดคำถามในบทกวี

	ส่วนในบทที่สามบทสุดท้ายนั้น เป็นบทที่กล่าวถึงความเป็นรูปธรรมมากกว่าส่วนอื่น ๆ ได้ ลำดับความไว้เพื่อให้เห็นความสับสน ความสิ้นหวัง อันเป็นเชิงลบให้หนักขึ้นไปอีกถึงสามบาทแรกของบท และกลับปิดท้ายด้วย ความหมายในเชิงบวก ในบาทสุดท้ายของบท ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากความต้องการของกวีที่ไม่ต้องการให้คำถามแห่งชีวิตนั้นกลายเป็นสิ่งที่แย่เสมอไป และอาจเป็นการกระตุ้นให้ผู้อ่านซึ่งกำลังสะเทือนอารมณ์ไปกับสามบาทแรกของวรรคให้กลับมีกำลังใจและต้องการค้นหาคำตอบของคำถามต่อไป 

ประเด็นสำคัญต่อมา การใช้ภาพพจน์
	จากเนื้อความของงานชิ้นนี้ดังที่กล่าวมาแล้วในหลาย ๆ ประเด็นว่า ในสองบทแรกเป็นการใช้นามธรรมเสียส่วนมาก การนำส่วนที่เป็นรูปธรรมมาสร้างภาพและอธิบายความให้เห็นชัดเจนขึ้นจึงถือว่าเป็นส่วนสำคัญต่องานชิ้นนี้พอสมควร เพราะหากขาดบทที่สามไป อาจจะทำให้งานเขียนชิ้นนี้ขาดสีสันไปได้เลยทีเดียว เพราะการใช้ภาพพจน์ในงานเขียนชิ้นนี้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกวีอย่างมากในการเลือกใช้ สัญลักษณ์ การอุปมา และที่สำคัญมีนัยของการใช้  อุปลักษณ์ไว้ด้วย
	ในประเด็นนี้จะกล่าวถึงบทที่สามเป็นหลักซึ่งมีส่วนที่ประกอบไปด้วยสิ่งอันเป็นรูปธรรมเพียงบทเดียว ซึ่งกวีใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้มาอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในบทที่ ๑ และ ๒ 

บทที่ ๓ 	วันหนึ่ง ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพร่ง
    	 ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้อหลัง
                      บางคำตอบ ใจสลด หมดพลัง
                      บางคำถาม ปลุกความหวัง สะพรั่งงาม

                       จากบทที่ ๑ และ ๒ ที่กล่าวถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง, สิ่งใดสิ่งหนึ่ง, คำถาม และคำตอบ สิ่งใดกันเล่าที่กวีใช้เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นเป็นภาพอันจะปรากฏในจินตนาการของผู้อ่าน เมื่อลองพินิจพิเคราะห์ดูให้ดีในบทที่สาม นั้นจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เป็นนามธรรมอันปรากฏในสองบทแรกได้ถูกสร้างเป็นภาพขึ้นมาจาก การเลือกใช้ ภาพพจน์ ของกวี ดังนี้

                      ๑.) วันหนึ่ง ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพร่ง ใครกันที่ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพร่ง ผู้อ่านหลายต่อหลายคนคงจะตอบได้ เพราะเมื่อคิดให้ดีจะพบว่า นี่คือการวรรค และแบ่งช่วงเอาไว้นอกจากจะเพื่อจังหวะแล้ว แต่ยังเป็นเทคนิคของผู้แต่งที่รู้จักเว้นที่ว่างไว้ เพื่อเล่นรูปแบบการประพันธ์และการดึงผู้อ่านให้มีส่วนร่วมได้อย่างแยบยล
ภาพที่ปรากฏในบาทแรกของบทที่สามนี้ คือ ผู้อ่าน ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคซึ่งกวีได้ร้อยกรองลงสู่บทกวีชิ้นนี้ เป็นการใช้อุปลักษณ์ให้เกิดขึ้นในใจของผู้อ่านโดยไม่ทันที่จะคาดคิด

                       ๒.) ...ณ ทางแพร่ง ทางแพร่ง ใช่แล้ว ภาพปรากฏในมโนสำนึกของผู้อ่านนั้น ย่อมเกิดขึ้น ทางแพร่ง ก็คือ ทางแยกธรรมดา แต่โดยนัยของทางแพร่งในบทกวีชิ้นนี้แล้ว ทางแพร่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงทางแยกธรรมดา ๆ แต่ กลับการเป็นสัญลักษณ์ของความจำเป็นที่จะต้องเลือก การค้นหาคำตอบ และคำถามที่เกิดขึ้นเป็นนามธรรมในส่วนต้นของร้อยกรองสองบทแรก เป็นการใช้สัญลักษณ์ที่ครอบคลุมไปในทุก ๆ ส่วน อย่างที่กล่าวไว้ ไม่ว่าจะเป็น คำถาม การแสวงหาคำตอบ 
                      และอีกนัยหนึ่ง การที่กวีเลือกใช้ทางแพร่งนั้น ก็เพื่อพยายามสร้างภาพและอธิบายความว่า ชีวิตคือการเดินทาง ด้วยนัยหนึ่ง และบนเส้นทางที่เรากำลังก้าวเดินนั้นอาจมีหลายสิ่งซึ่งเราจะได้ค้นพบและเจอ อาจเป็นคำตอบให้กับชีวิต หรือก่อให้เกิดคำถามใหม่ ๆ ขึ้นมาเสมอ ก็เป็นได้

                      ๓.) ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้อหลัง ตะวัน จินตนาการที่เกิดขึ้นของผู้อ่านย่อมไม่แตกต่างไปจากกันเท่าไหร่ แต่สำคัญที่ว่าจะเข้าใจแค่ไหนว่า ตะวัน อันปรากฏเป็นสัญลักษณ์ นี้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการเป็นแค่เพียง วัตถุทรงกลมใหญ่ ซึ่งร้อนจัดจนเป็นไอและก๊าซ มีความร้อนและแสงสว่าง เกิดขึ้นภายใน ใจกลางแล้วถ่ายทอดออกมาสู่พื้นผิวและแผ่กระจายออกสู่ที่ว่างโดยรอบ (สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม ๑) หรือเป็น สัญลักษณ์แห่งการมีชีวิต การเริ่มต้น ความสว่างทางปัญญา การแก้ไขและคลี่คลายปัญหา แต่แท้จริงแล้วกวีกลับใช้ตะวันในการสร้างอุปลักษณ์ ขึ้นมา คือ การแทนที่ของ คำว่า บางวัน... บางขณะ... วันหนึ่ง... วันก่อน... เพราะเวลาการโคจรของโลกนั้นทำให้ตะวันเป็นตัวแทนของการอธิบายและสร้างความเป็นรูปธรรมให้กับนามธรรมในเรื่องมิติของเวลาขึ้นมา นอกจากนั้นยังเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงปัญญาอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอีกด้วย
                       
                       ๔.) ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้องหลัง อาจเกิดคำถามว่าทำไมต้องสาดแสงอยู่เบื้องหลัง ในเมื่อสัญลักษณ์แห่งความสว่างทางปัญญา และการคลี่คลายปัญหา ปรากฏอยู่แล้ว นี่คือประเด็นสำคัญและแสดงให้เห็นถึงความสามารถของการเลือกใช้ภาพพจน์อันจะแจ้งให้ผู้อ่านได้เข้าใจทั่วถึง 	เมื่อทำการพินิจให้ถี่ถ้วนจะพบว่า แล้วอะไรคือสิ่งที่จะมาแทนความ สับสน ความไม่รู้ ความมืดบอดทางปัญญา ได้ นามธรรมอย่างหนึ่งที่กวีไม่ได้กล่าวถึง ดังนั้นเมื่อเรา สร้างจินตภาพให้ปรากฏได้แล้ว เมื่อตะวัน ทอแสงขึ้นสู่น่านฟ้าย่อมแสดงว่า ความสว่างกำลังปรากฏขึ้นมาในใจของเราด้วย และในความเป็นจริงความสว่าง ย่อมก่อให้เกิด เงา เมื่อตกกระทบสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่โปร่งใสและโปร่งแสง ดังนั้น คำว่า สาดแสง อยู่เบื้องหลัง จึงเป็นการอธิบายให้ทราบได้ว่า  เงา ของเรานั้น (ซึ่งก็คือ ผู้อ่าน) กำลังปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว เงา อันเป็นอุปลักษณ์ซึ่งแสดงให้เห็นความมืดบอดทางปัญญา การไม่สามารถตีความหรือหาค่านิยามใดให้กับคำถามหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ หรือแม้กระทั่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความสับสนอันจากการที่เราไม่สามารถเลือกทางเดินในทางใดหรือทางหนึ่งได้
	
	ส่วนในด้านแนวคิดสำคัญนั้นกระผมขอไม่กล่าวหรือตีความประการใด แต่ก็แอบหวังไว้ในใจว่าทุกคนจะเข้าใจในบทกวีชิ้นนี้ได้อย่างลึกซึ้ง  จากบทวิจารณ์ชิ้นนี้ซึ่งกระผมได้ตั้งใจและพยายามเรียบเรียงเพื่อให้ทุกคนเข้าใจในทุกส่วนของบทกวีชิ้นนี้  และเห็นคุณค่าของบทกวีชิ้นอย่างถ่องแท้เช่นเดียวกัน

		ขอขอบพระคุณทุกผู้ที่กรุณาอ่านงานวิจารณ์ชิ้นนี้
								กวีปกรณ์  ภัทรปกรณ์				
9 มกราคม 2549 03:56 น.

"ที่เดิม"

กวีปกรณ์


                      เสียงประทัดดังลั่น พลุ ดอกไม้ไฟจุดท้องฟ้าให้สว่างไปทั่วในยามราตรีอันยาวนานบนน่านฟ้าเมืองเชียงใหม่ มันเป็นความแปลกตาที่ผมไม่เคยได้พบเจอที่ไหนมาก่อนเลยในเทศกาลลอยกระทง โคมลอยทั่วท้องฟ้า เมื่อมองจากพื้นดินเช่นนี้ คล้ายว่าดาวที่ความสว่างของแสงเดือนกลบไปนั้น ค่อย ๆ ผุดขึ้นจากพื้นดิน พื้นดินที่เรายืนอยู่คนเดียวลำพัง 
	
                      พยายามมองออกไปให้ยังที่อื่น ๆ เพื่อจะไม่ให้คิดเรื่องของตัวเอง มองใคร ๆ ที่เขากำลังสนุกสนาน บนสะพานนวรัฐ ค่อย ๆ ก้าวผ่านฝูงชนที่เนืองแน่น มองไปยังผืนน้ำแม่ปิงที่ปริ่มด้วยน้ำซึ่งหลากมาจากฤดูฝน ผิวน้ำเต็มไปด้วยกระทงน้อยใหญ่อันประดับประดาไปด้วยดอกไม้ ธูป เทียน สิ่งต่าง ๆ ซึ่งแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน กลับทำให้ผืนน้ำสว่างขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่สะท้อนเงาของโคมดาวอันสกาวทั่วฟ้า แต่คล้ายกลับว่ากระทงซึ่งแต่ละคนพากันมาลอยนั้นเป็นดาวบนผืนน้ำ ทำให้แม่ปิงในคืนนี้สวยงามขึ้นกว่าทุกคืนที่เคยเป็น 
	
                      ใครต่อใครต่างพากันมาเพื่อลอยเคราะห์ ลอยโศกและขอขมาเจ้าแม่คงคา เทวีแห่งชีวิต หรือแม้แต่บางใครที่พากันมาลอยเพื่อความสนุกสนาน พบปะและหวังว่าจะเจอคู่รักโดยบังเอิญ จนลืมจุดประสงค์อันแท้จริงของประเพณีนี้ ไป  
	
                       ในมือผมถือเพียงกระทงเล็ก ๆ ซึ่งประดิษฐ์ด้วยตัวของผมเอง หวังจะมาขอขมาเทวีแห่งสายน้ำและลอยทุกข์โศกให้ผ่านพ้นไปจากช่วงชีวิตอันแสนเศร้านี้เสียที ลอยความทรงจำอันโหดร้ายจากความผิดหวังซึ่งครั้งหนึ่งผมได้เริ่มมันขึ้นจากวันนี้ในปีที่แล้ว  เสียงคนอื่น ๆ ต่างครื้นเครง คงมีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ยังจมอยู่กับกองน้ำตา  ซึ่งยังคงต้องว่ายผ่านฝูงชนให้พ้นไปเพื่อถึงจุดเดิมที่ผมได้พบรักครั้งนั้น สถานที่ทำให้ชีวิตของผมครั้งหนึ่งกลับสวยงามและสดใส คล้ายโคมประทีปซึ่งลอยไปบนแผ่นฟ้าและกระทงที่ผมเคยได้ลอยออกไปบนผืนน้ำคราวก่อนนั้น

                       ใครเลยจะรู้ว่าชีวิตข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร โศกที่ใครต่อใครพากันทิ้งไปนั้นจะพ้นจากเราไปได้สักเท่าไร  ตั้งแต่วันที่เธอจากไป ผมจึงได้รู้ว่าชีวิตเป็นเรื่องที่เราสามารถเข้าใจได้ไม่ยากหากเราพยายามเข้าใจและยอมรับ  โคมที่ลอยออกไปแม้จะปลิวไปไกลตามแรงของลมแต่สุดท้ายมันก็คงต้องตกลงมาสู่พื้นดินเฉกเช่นตอนที่มันกำลังบินขึ้นไปด้วยแรงแห่งไฟ ความเศร้าโศกของแต่ละคนก็คงเช่นกันมันคงไม่ไปไหนไกลนักหรอก มันแค่ห่างออกไปจนเราชื้นใจในบางครั้ง และบางชั่วขณะแห่งชีวิตมันอาจย้อนกลับมาในยามที่เราไม่รู้และไม่ทันตั้งตัวเหมือนทุก ๆ ครั้ง 
                      
                     ใครเลยจะอยู่กับความสุขได้ตลอดเวลา...มีพบก็ต้องมีวันจากไป...สุดท้ายก็จะเหลือเพียงรอยแห่งความทรงจำ...ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวของเราว่า เราจะจดจำหรือขีดเขียนมันให้หนักและกดลึกลงไปบนดวงใจของเราแค่ไหน
	  นี่คือคำพูดของเธอก่อนจะจากไปเพียงสองวันก่อนจะถึงวันนี้  
                        ตลอดสัปดาห์ที่เธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่นานนักเธอจะต้องจากไป ไม่วันนี้ก็วันพรุ่งนี้ แต่อีกไม่กี่วันเท่านั้นก็จะถึงวันครบรอบที่เราได้พบรักกัน ไม่กี่วันเท่านั้นเอง ผมเฝ้าดูแลและทะนุถนอมเธอ พยายามทำทุกทางให้เธอมีชีวิตอยู่ เธอยิ้มให้ผมทุกครั้งที่เฝ้าเธออยู่ข้างเตียง เธอดูมีความสุขมากกว่าผมเสียอีก คล้ายกับว่าเธอทำใจได้มาตั้งแต่เธอนั้นได้สติจากอุบัติเหตุรถชนในวันนั้น  และจนเมื่อวานนี้เธอได้จากไปทั้ง ๆ ที่ได้เตรียมใจและบอกลากับผมด้วยคำพูดประโยคสุดท้ายนั้น ถึงแม้เธอจะไม่บอกผมว่ารัก แต่ผมก็ทราบดีว่าเธอรักผมแค่ไหน คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมคิดได้ และไม่เสียใจมากจนลืมตัวเอง
	อีกไม่ไกลแล้วทั้ง ๆ ที่ นี่ก็เกือบจะตีสองแล้ว ฝูงคนก็ยังดูแออัดอยู่บ้าง แต่ก็น้อยลงไปจากเดิมพอสมควร ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนสุดสะพาน  เสียงประทัดยังคงก้องดังอยู่ทั่วทุกหัวระแหง จะมีมากก็เพียงริมฝั่งแม่ปิงทั้งสองข้างนี่แหละ  ดอกไม้ไฟยังคงบานสว่างท้องฟ้า เสียงคนโห่ร้องไปมา โคมลอยประดับฟ้าดั่งแสงดาว 

	ผมยังคงเดินต่อไป...
ถึงแล้วที่แห่งนี้ที่เราได้พบกัน ถึงแล้ว...ใช่ ! มันแปลกที่เสียงคนที่ดูสนุกสนานรื่นเริงกลับตะโกนโหวกเหวกด้วยความตื่นตะหนกตกใจ  และแล้วเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามา ๆ  จนเกือบจะถึงตัวผม ....เอี๊ยด...ดด....!! ผมได้ยินเสียงของล้อที่เสียดสีบดขยี้กับพื้นถนน เหมือนพยายามจะหยุดแต่กลับต้านความเร็วของตัวรถไว้ไม่ได้
	ใช่...พอคนเริ่มซาลง ถนนจึงโล่งให้รถสัญจรไปมาได้สะดวกขึ้น แต่ก็มีรถคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว พยายามวิ่งฝ่าฝูงชนจนหลาย ๆ คนต้องหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ผมกลับพยายามเร่งฝีท้าวเพื่อจะไปให้ถึงจุดหมายแห่งนั้น โดยไม่ทันคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับผม ร่างผมกระเด็นออกไปด้วยแรงปะทะ ช่างน่าแปลกเหลือเกิน..!! เพราะจุดที่กายอันบอบช้ำของผมนั้นตกลงสู่พื้นบริเวณเดียวกับจุดหมายซึ่งผมกำลังจะไปถึงอีกไม่ไกล 

	เสียงคนกรีดร้องดังไปทั่วด้วยความตกตะลึง จริงอย่างที่เธอเคยบอกกับผมไว้ ใครเลยจะอยู่กับความสุขได้ตลอดเวลา... ผู้คนที่กำลังสนุกสนานกลับหดหู่ใจไปตาม ๆ กัน ร่างของผมนั้นค่อย ๆ หมดสติลงในท่ามกลางความมืดแห่งราตรี น้ำตาของผมไหลออกมา...จนสิ้นลมหายใจ ไม่มีใครรู้หรอกว่ารอยน้ำตานั้นหมายถึงอะไร อาจจะเกิดขึ้นเพราะความเจ็บปวดหรือจากความเศร้าที่มีในใจ แต่ไม่มีใครรู้...ไม่มีใคร...ไม่มีเลย...
				
28 กันยายน 2548 01:51 น.

...คือ คำ "รัก"...

กวีปกรณ์

พระเจ้าสร้างคำว่า "ความรัก" ขึ้นมาเพื่อเธอและฉัน
แต่ไม่เคยบอกความหมายที่แท้จริงของ คำ "รัก" นั้นไว้
เขา คือ ผู้ให้คำจำกัดความตามเหตุการณ์ที่ดำเนินไป
เธอ คือ ผู้ที่ให้ความหมายตามอารมณ์

จนวันที่ฟ้าลากเส้นทางเขามาบรรจบพบกับเธอ
เขาเฝ้าพรั่นพรรณนาถึงความหมายแห่งรักให้กับฉัน
เธอเผ้าบอกความรู้สึกที่ได้พบกับเขาตลอดวัน
และเขากับเธอก็ต่างแลกเปลี่ยนความคิดกัน "ความรัก" คือ อะไร

สายลมจากทะเลสาบพัดผ่านเราทั้งสอง
เขาชี้ให้ฉันมองดวงดาวบนฟ้านั้น
เธอสงสัยใยคืนนี้ฟ้าไร้จันทร์
เขาตอบ "เป็นเพราะวันนี้นั้นมีคุณจันทร์จึงอาย"

เธอก้มมองภาพสะท้อนของดาวบนผืนน้ำ
เขายังคงกลับมองดาวบนฟ้าอยู่อย่างนั้น
เธอลิ้มรสคำหวานตลอดคืนและวัน
เขาหยิบยื่นความสัมพันธ์สัมผัสกาย

เธอคงมองชื่นชมดาวในน้ำ
เขาเหลียวมองกลับย้ำถามความสงสัย
ใย...เธอจึงไม่มองภาพจริงที่อยู่แสนห่างไกล ?
เธอย้อน...ใย...เธอจึงไม่มองดาวบนผืนน้ำไม่มีจริง ?

เขาตอบเพราะคนเรามักไขว่คว้าของเกินเอื้อม
เธอตอบเพราะยามที่น้ำกระเพื่อมฉันจะตื่นจากภวังค์ที่หลับไหล
เขาตอบคนเรามักเห็นคุณค่าในสิ่งที่ห่างไกล
เธอตอบเพราะน้ำทำให้ฉันเข้าใกล้ดาวขึ้นจริง

เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นชูไขว่คว้าดาว
และอีกข้างแอบโอบกอดฉันเอาไว้
เธอเอี้ยวหลบซักนิด...ขยับชิดข้างกาย
แล้วเอ่ยถามความสงสัย..."รักคืออะไร? ในความหมายของคุณ"

เขาตอบ "ความรัก" ของผม คือ "คุณ" 
"คุณคือพลังให้โลกใบเล็กของผมหมุนต่อไปได้"
"คุณคือชีวิตและหัวใจ"
"แม้นใครตีความหลากหลาย  แต่รักของผม คือ คุณ"

เธอเงียบ..อุบ..หยุดนิ่ง...เคอะเขิน
แล้วถามใจที่สั่นสะเทิ้นว่ารักนั้นคือ "ฉันใช่ไหม ?"
ตอบตัวเองจากเสียงของหัวใจ 
แต่สุดท้ายตอบความหมาย รักฉันนั้น คือ "การให้...ให้คุณ"				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกวีปกรณ์