กลอนธรรมะ

คติธรรม วิสาขบูชา

ดาวศรัทธา


สรรพสิ่งจริงในไตรลักษณ์
ประจักษ์แจ้งดังสังสาร
เกิดแก่เจ็บตายวายปราณ
วันวารผ่านผลัดอนัตตา
ก่อกายหมายรู้คุณธรรม
ก่อกรรมกษัตริย์ชาติศาสนา
กตัญญูรู้คุณมารดา
สมค่ารู้คุณแผ่นดิน
ศึกษาซึ้งคติอริยสัจจ์
ชั่วดีชี้ชัดนิจสิน
รู้ระงับดับทุกข์ยลยิน
เจตน์จินต์มุ่งนำสัมมา
ดำรงสติสัมปชัญญ์
มุ่งมั่นหมั่นฝึกศึกษา
ไม่ประมาทขาดสติปัญญา
ยังประโยชน์แก่ประชาไทยเทอญ......

ไตรลักษณ์

คีตากะ


เบื้องขวา "ภุมรี" โสภีพักตร์พิไลลักษณ์เปรียบอย่างนางอัปสร
เชื้อชาติครุฑพาหนะพระสี่กร
ถ้อยสุนทรว่านารายณ์ทรงสุบรรณ
เบื้องซ้าย "มัศยา" นารีลักษณ์
พิลาสพักตร์เทียมอย่างนางสวรรค์
ชาตินาคีคุ้มครองป้องภควันต์
ปางหนึ่งนั้นนามนาคปรกยกพังพาน
เบื้องหน้า "หิมวา" ลักขณานัก
ล้ำเลอลักษณ์พักตร์ใสใจห้าวหาญ
ดุจหิมะสงบเย็นเด่นสะคราญ
เหนือวิมานทวยเทวาหิมาลัย
สามอนงค์สามลักษณ์ยากจักผ่าน
ประหนึ่งปานตรีภพสลบไสล
เพลินรักโลภโกรธหลงคงเกิดภัย
จำต้องใช้ไตรสิกขาตัดอาวรณ์...

ย้อนรอย

din


เมื่อใบไม้ปลิดปลิวละลิ่วหล่นให้เกลื่อนก่นลงดินดังสิ้นค่า
เพียงลมโบกโกรกหวิวพัดพลิ้วมา
ก็ลับตาหายวับกับสายลม
เปรียบดังเช่นสัจจธรรมค้ำุจุนอยู่
เพื่อเรียนรู้ความชื่นความขื่นขม
โลกมีเกิดมีดับสลับปม
มีรื่นรมย์...สุข,เศร้า...เคล้าคละกัน
เคยถูกแดดลูบโลมชะโลมต้อง
อีกละอองฝนสาดจนหวาดขวัญ
ขาดน้ำใจพอเพียงเลี้ยงชีวัน
ใบไม้พลันซวนซบลงกลบดิน
แล้วใบไม้ใบสุดท้ายก็กรายจาก
เหลือเพียงรากหยั่งใจให้ถวิล
เพียงต้นกล้าต้นใหม่ได้ยลยิน
มิรู้สิ้นบรรจบทวนทบรอย

รักหรือ

แมงกุ๊ดจี่


๑.สายฝนโปรยพราวพร่างมิสร่างเหงา
ยิ่งรุมเร้า...หัวใจหวั่นไหวอ่อน
เหลียวรอบกายมองหาใครอาทร
ความรักคลอนวอนฝนดลบันดาล...
กอดตัวเองคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหวัง
เดินลำพัง...เหน็บหนาวข่มร้าวราน
กี่ความทุกข์ข่มเหงในเพรงกาล
หวังข้ามผ่าน...อยากมีวิถีงาม...
๒.พรหมลิขิตทดสอบกรอบชีวิน
ด้วยมลทินน่ารังเกียจคนเยียดหยาม
ได้บทเรียนพลาดผิดพาจิตทราม
เอื่อยไหลตาม  "กิเลิส"  เหตุแห่งกรรม...
๓.น้อมดวงจิตอธิษฐานบันดาลดล
ขอกุศลผลบุญโปรดหนุนนำ
พาพ้นจากกลลวงหลุดบ่วงช้ำ
อย่าถลำ...หลงผิดคิดละอาย...
ซ่อนหน้าผ่านวันคืนอันขืนขม
ทุกข์ระทมชีวินเกือบสิ้นสาย
ถูกพร่าผลาญทุรนทุราย
สิ้นความหมายค่ารักประจักษ์ใจ...
๔.เป็นเพียงการหลอกหลอนที่ซ่อนอยู่
ทั้งที่รู้...เท่าทันกลับหวั่นไหว
ปล่อยให้กรรมลิขิตชีวิตไป
หมดเชื้อไฟ...คงจบมิทบทวน...
ข่มความเจ็บอาวรณ์ซ่อนน้ำตา
เป็นธรรมดาของโลกมิโศกครวญ
รักต้องแคล้วพลัดพลาดมิอาจหวน
ทุกสิ่งล้วน  "กรรม" ลิขิตชีวิตมา...
๕.สองมือน้อยกราบลงหน้าองค์พระ
ตั้งสัจจะ...คิดอาจวอนปรารถนา
ขอปลดบ่วงรอยกรรมโปรดเมตตา
กรุณา...ต่อเวไนยไกลอบาย...
ชะรอยกรรมควรอยู่อย่างผู้แพ้
หยุดอ่อนแอจ่อมจมเลิกงมงาย
แต่นี้ไปคลายเกลียว...แม้เดียวดาย
ปล่อยให้สายสวาทนั้นขาดลง....
ปล.๑ :: กลอนบทนี้ประมาณว่าสองอารมณ์  ตอนฝนตก และตอนดูซีรีย์ Club Friday อินจัดหง่า
ปล.๒ :: ความรักคืออะไรนะ  หรือเป็นความรักที่ "รักตัวเอง" กันนะ
ปล.๓ :: อย่

มีลาภเสื่อมลาภ

บุญพร้อม


    มีลาภ ไม่รู้พอ ก็เสื่อมหมดมียศ     ไม่รู้ยั้ง ก็พังสิ้นยั้งหยุด   ก็สุดทาง ร่างฝังดินจะยิน   อยากได้ ก็ไม่เจอ 
  ยามชีพยัง ดึงยั้ง ระวังไว้ขืนปล่อยใจ ตามหวัง ระวังเก้อมัวทะนง  หลงไหล คงได้เจอ แล้วจะเหม่อ หมองไหม้ ช้ำใจตัว 
  ทางที่ดี ควรยั้ง  ชั่งใจนิดที่ทำไป ถูกผิด คิดให้ทั่วเป็นเพราะเกรง นับถือ หรือว่ากลัวหรือว่ามั่ว เห็นเป็นทรัพย์ นับว่าดี 
  เสื่อมใดใด ไม่ร้าย เท่าใจเสื่อมเป็นทางเชื่อม สู่อบาย ร้ายเหลือที่เป็นที่สุด   แห่งร้าย พึงจะมี จึงควรหนี  ควรหลบ อย่าพบเลย

ให้ทุกข์แก่ท่าน

บุญพร้อม


     ให้ทุกข์ แก่ท่าน นั่นบาปนะมันผิดศีล ผิดธรรมะ พระท่านสอน
ก่ออาฆาต บาดหมาง อย่างถาวร
เกิดเร่าร้อน สุมใจ ไปชั่วกาล

เขียนถึง...

ประภัสสุทธ


๏ เขียนถึงฟากฟ้าทะเลกว้าง
ทุกอย่างกางไกลเหมือนเธอไหม
คลี่คลุมพุ่มตึกลึกถึงไพร
ก้อนกรวดอวดผาใหญ่ ใจมนุษย์
๏ อ้อมโอบอบอวลม้วนละมุน
กลั่นหยดเจือจุนมหาสมุทร
เคลื่อนค่ำต่ำฟ้าดาวเดือนผุด
ยื้อหยุดฉุดใจให้เฝ้ามอง
๏ เขียนถึงแม่น้ำลำธารใส
หล่อเลี้ยงสิ่งใดในบึงหนอง
ห้วยหาดลาดตลิ่งบิ้งลำคลอง
อาบเอ่อทดลองเลี้ยงสิ่งใด
๏ ชุ่มชื่นฉ่ำโชกโศลกเย็น
หลอมเลี้ยงเส้นเอ็นทุกเส้นใย
ดินป่านาเขาลำเนาไพร
วิถีใจ ความคิด จิตวิญญาณ
๏ เขียนถึงธรรมชาติสะอาดสวย
คนจน คนรวย คนกล้าหาญ
สูงต่ำดำขาวสาวแก่ยาน
ทั่วฐานหนทางต่างตรงไหน
๏ ผู้คน เกิด แก่ แลเจ็บ ตาย
ความหมายคลี่คลายสลายไป
นิเวศน์ชีวิตลิขิตไว้
" ธรรมชาติ " ย่อยสลายทุกชีวิต
๏ เขียนถึงมนุษย์ปุถุชน
แหวกว่ายเวียนวนหลงยึดติด
สิ่งใดไขว่นำทำความคิด
บั้นปลายท้ายชีวิตคิดสิ่งใด
๏ หรือหวังตามหวังทั้งสังคม
หรือบ่มสังคมตามหัวใจ
หรือเพียง เลี้ยงหัว ตัวรอดไว้
ตามยุคทุกสมัยของสังคม
๏ ฉันถามเพื่อหวังให้คิดต่อ
หลอกล่อต่อคำร่ำระดม
รึโลกทุกอย่างสร้างเหมาะสม
ปล่อยปละคละเปือกตมชะตากรรม
ประภัสสุทธ
13 มีนาคม 2556

อยากตัดใจ

บุญพร้อม


อยากตัดใจปล่อยวางจากทางโลก
ละสุขโศกที่มีหนีให้พ้น
ความวุ่นวายหลากหลายในสกล
สร้างสับสนเวียนเกล้าไม่เข้าใจ
มีทั้งปราชญ์และครูอยู่ไม่น้อย
ต่างเรียงร้อยถ้อยคำจำไม่ไหว
ขัอปลีกย่อยก็แยกแตกกันไป
เหมือนจะใบ้บอกกันมีฉันเธอ
ฉันต้องดีเลิศเลอกว่าเธอแน่
เธอสิแย่ต่ำต้อยด้อยเสมอ
หากวันใตฉันด้อยน้อยกว่าเธอ
ก็อย่าเผลอให้เหยียบเสียบก็เอา
อยากตัดใจปล่อยวางเอาอย่างพระ
ไม่วายจะข้องจิตผิดหรือเปล่า
เห็นแต่ธรรมองค์สัมพุทธที่หยุดเรา
หลงมัวเมาเนื้อแท้  แค่ แต่งปรุง

เพ็ญมาฆะ บุรณมี

ศรีสมภพ


บรรจบครบกาลผ่านวิถี
๒,๖๐๐ ปี อริยสัจตรัสรู้
ศาสดาสัมมาพุทธสัพพัญญู
ที่ทรงสู้ชนะมารรานสยบ
เพ็ญเดือนสาม.. ยามก่อนย้อนอดีต
สองพันกว่าชีวิต ไม่คิดหมายได้มาพบ
ล้วนอรหันต์มากมี ขีณาสพ
ต่างแจ้งจบนิพพานมั่นจำนง
.
เอหิภิกขุ.. ภิกษุสงฆ์ทรงบวชให้
ก่อนแยกย้ายไปสอนสั่งดังประสงค์
เก้าเดือนหลังตรัสรู้ ยังอยู่คง
ย้อนเดินดงตรงสู่.. หมู่เพื่อนธรรม !
เวฬุวันวรวิหาร..ลานดงไผ่
จันทร์ไสวใสสว่าง ช่างงามล้ำ
ทรงแสดงแห่งโอวาท.. สัจธรรม
ปาฏิโมกข์ ประโยคสามนำใส่ใจ
หนึ่งพึงเห็น เว้นชั่วมั่วในบาป
หยุดจ้วงจาบหยาบต่ำถลำไถล
สองทำดี มีศีลสัตย์ขัดเกลาใจ
สามสัมฤทธิ์ จิตผ่องใสไร้ราคี
ครบองค์ “ จาตุรงคสันนิบาต ”
ร่วมประกาศอัศจรรย์ ในวันนี้
เพ็ญมาฆะ ณ เดือนสาม บุรณมี
เป็นวิถีที่วิสุทธิ์ แห่งพุทธธรรม !
บรรพกาลนานเนิ่น จำเริญยิ่ง
คือความจริง พุทธชยันตีที่เลิศล้ำ
จากเบื้องต้นผ่านท่ามกลาง บนทางธรรม
ยังงดงามผ่องผุด..สุดเบื้องปลาย !

บุญล้างบาป

อรุโณทัย


เพียงทำบุญล้างบาปชำระจิต
เพื่อชีวิตเป็นสุขทุกสถาน
ตั้งสมาธิแน่วแน่อย่างชำนาญ
พร้อมสวดอ่านมนต์พิธีบริกรรม
เพียงตั้งใจสมาทานบริสุทธิ์
เพื่อวิมุตจากบ่วงกรรมที่ล่วงล้ำ
ขอตั้งจิตอธิษฐานเป็นประจำ
พร้อมนำธรรมปฏิบัติขัดจิตใจ
เพียงน้อมนำศีลห้าปฏิบัติ
เพื่อขจัดกิเลสโดยผลักไส
รัก โลภ โกรธ หลง ออกจากใจ
ตระหนักในความจริงที่ไม่แน่นอน
เพียงคิดดี ทำดี อยู่ทุกขณะ
เพื่อชนะความชั่วที่เร่าร้อน
ที่รุกเร้ารุมทรวงให้ม้วยมรณ์
ทุกขั้นตอนของจิตที่ใฝ่ดี
แม้ทำบุญล้างบาปได้นิดหน่อย
ขออย่าปล่อยให้ผ่านตามวิถี
ชำระล้างจิตใจทุกนาที
เพื่อชีวีมีสุขทุกคืนวัน ฯ
อรุโณทัย
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

สักวันหนึ่ง

din


ทางข้างหน้าก้าวไปไม่ยั้งหยุด
ก้าวให้สุดปลายทางที่ฝันใฝ่
บนเส้นทางความหวังซึ่งยังไกล
แม้เส้นชัยไกลลิบสู้ยิบตา
กับรางวัลชีวิตที่คิดหวัง
หากก้าวพลั้งอย่าหวั่นกับปัญหา
เพราะสมองสองมือคือปัญญา
อย่าอ่อนล้าทุกข์ทนจนฟูมฟาย
ทุกฝีเท้าก้าวไปอย่าไหวหวั่น
จงตั้งมั่นให้ถึงซึ่งจุดหมาย
แม้วันเปลี่ยนเวียนลับแล้วกลับกลาย
อย่าแพ้พ่ายต่อโลกโชคชตา
เพราะสมองสองมือคืออาวุธ
อย่ายั้งหยุดมุ่งมาดปรารถนา
หากแม้มีอุปสรรคหนักนานา
ใช้ปัญญาพินิจครุ่นคิดตรอง
จงใคร่ครวญดูเลศของเหตุผล
อย่าหลงกลพาใจให้มัวหมอง
รู้ผิด-ชอบดีงามตามครรลอง
ฟ้าสีทอง...เป็นของเรา...เข้าสักวัน

จุดไต้ต่อไฟ

กวีปกรณ์


จุดไต้ต่อไฟเติมเชื้อเพลิง
เปลวร้อนเร่งระเริงเรืองสว่าง
สะท้อนเงาพาดบนถนนทาง
อย่าหวังเพียงจันทร์กระจ่างร้างอุ่นไอ
แท้ม่านดำดึกดื่นยังหมื่นดาว
ยังพร่างพราวระยับกลับพริบไหว
บ้างบอดลับดับปลงมืดลงไป
ที่ยังเหลืิอบอกใบ้ให้หนทาง
คือคบไฟส่องพื้นกลางคืนค่ำ
กางแผนที่งามล้ำบนฟ้ากว้าง
อาจบางทีจันทร์คล้อยที่ลอยคว้าง
บอกชั่วยามความต่างหว่างเวลา
ดับคบเพลิงก่อไฟในกลางค่ำ
ท้นทบทวนความจำอันล้ำค่า
แต่ละหนึ่งก้าวย่างที่สร้างมา
หลงตนสร้างอัตตาเสียเท่าไร
จันทร์ยังรู้ซ่อนตนให้พ้นเช้า
ประสบการณ์ปลายเท้าทั้งเก่าใหม่
ล้างแล้วล้มตัวนอนท่ามฟอนไฟ
พรุ่งนี้จะอย่างไรตามแต่กรรม
>

จะเป็นหรือไม่เป็น

ดาวศรัทธา


จะเป็นหรือไม่เป็น
คิดประเด็น สลับซ้ำ
ติดกับยางใยย้ำ หลุดพ้นยามใด
โลภโกรธหลงยังรัด
สังสารวัฏฏ์ เช่นนั้น
เป็นไม่เป็นชาติชั้น ดับได้โดยไฉน
สุขทุกข์ผลกรรมตน
เกิดตายวนไป่สิ้น
เวียนเกิดเวียนดับดิ้น ผ่านพ้นทางใด
หวังสุขสมสรวงสวรรค์
กลับผกผันเถื่อนท้อง
กรรมก่อกรรมสนองฟ้อง เลิกสิ้นทำไฉน
ญาติมิตรผูกใจรัก
ลาภยศศักดิ์ถ่วงย้อย
หวงห่วงพันรัดร้อย รักร้ายหรือไร
มรรคแปดเผยแผ่ไว้           พุทธองค์
สติมั่นไตรลักษณ์ตรง         ผ่องแผ้ว
ทำหรือไม่ทำคง                ผลต่าง
ทางล่วงทุกข์พบแล้ว          หลุดพ้นโดยธรรม.......ฯ

แส้เส้นหนึ่ง...

คีตากะ


ด้วยอำนาจอันใดเล่าเฝ้ากระหน่ำ?
คอยเคี่ยวกรำซ้ำโบยเธอโหยหา
รุกเร่งเร้าเช้าค่ำย้ำนานมา
ให้เธอฝ่ามุ่งไปไม่หยุดหย่อน...
ไต่ภูผาป่าไพรธารไหลหลาก
แม้ลำบากเธอบรรลุฝากอนุสรณ์
ทิ้งรอยเท้าเลือนรางบนทางจร
ผ่านหนาวร้อนกี่ฤดูยังสู้ไป
ข้ามฝั่งฟ้ามาบรรจบจนพบฉัน
ในคืนวันเงียบเหงาเฝ้าหวั่นไหว
วันน้ำตาเธอเอ่อท้นล้นทรวงใน
และฉันได้ยินเสียงเพรียกของมัน
เธอเบื่อหน่ายใช่ไหมจึงได้บ่น?
เธอว่ายวนจนครบและพบฉัน
โน่นเห็นไหม! นั่นแสงแห่งพระจันทร์
ความสุขนั้นรอเธอเสมอมา
ทรัพย์ศฤงคารมากมายภายโลกนี้
ฤาจักที่เทียบได้ในคุณค่า
ทรัพย์ภายในแห่งจิตพิจารณา
ชุบชีวาอีกหนพ้นความตาย
หยุดเถอะ! ที่รักฉันจักเอ่ย
เพียงเพื่อเผยสวรรค์อันเฉิดฉาย
โลกแห่งนี้มีเพียงแต่ความตาย
กองกระดูกมากมายสุมก่ายกอง
เดินตามฉันไปสู่...ผู้รู้แจ้ง!
หนทางแห่งอมตะละเศร้าหมอง
เพลิงกำลังเผาโลกเสียงโศกครอง
ร่วมฉลองศักราชแห่งศาสดา
ขบวนแห่แห่งนักบุญยังหนุนเนื่อง
จักเกลื่อนเมืองสุดประมาณผ่านแหล่งหล้า
นำพระพรบุญกุศลล้นคณา
ยกโลกาสู่สวรรค์บันดาลดล
โปรดอย่าช้า! คนดีเดือนปีผ่าน
ปล่อยสังขารล่วงไปไม่เกิดผล
ความตายรอตรงหน้าทุกตัวตน
วันคืนพ้นผันไปไม่แน่นอน....

หยกในหิน

อินทนนท์(คนเชียงใหม่)


หยกในหิน
มีก้อนหยกถือกำเนิดเกิดในหิน
เป็นก้อนดินสิ้นคุณค่าราคาของ
ไม่มีใครเอาใจใส่อยากได้ครอง
เพียงแค่มองของต่ำค่าราคาดิน
เมื่อทุบหินจึงจะเห็นเป็นก้อนหยก
เพราะดินรกปรกคุณค่าราคาหิน
พอหินแตกก็แยกหยกตกลงดิน
จึงเห็นหินกินก้อนหยกที่ตกตาม
ถึงแม้นเห็นว่าเป็นหยกตกตรงหน้า
แต่คุณค่าหาใช่เป็นเช่นคำถาม
หยกที่เปรอะเลอะด้วยดินสิ้นความงาม
ต้องใช้น้ำชำระล้างอีกทางทำ
เปรียบเช่นคน..ตนไหน…ดูคล้ายหิน
คล้ายก้อนดินสิ้นคุณค่าดูน่าขำ
โดนดูถูกว่ารูปชั่วเนื้อตัวดำ
ไม่อาจนำล้ำหน้ากว่าผู้ใด
เมื่อรู้ตนชนชาติปามาตรต่ำ
แต่เฝ้าทำตามจิตนิมิตรหมาย
พัฒนาตัวตนฝึกฝนไป
จึงเปรียบคล้ายสลายหินที่กินตน
ฝึกแค่ตนใช่หลุดหล่นพ้นไปหมด
จะหมดจดต้องฝึกจิตสัมฤทธิ์ผล
มีธรรมะคอยขัดถูคู่ใจตน
สิ้นกังวลว่าตนต่ำอย่างคำใคร
หินก็คล้ายอย่างกายนอกที่บอกเล่า
หยกคือใจข้างในกล่าวว่าเท่าไหน
หากกายนอกเป็นหยกทำตรงข้ามใจ
แต่ข้างในกลายเป็นหินก็สิ้นดี
จึงฝากกลอนก้อนหินที่กินหยก
เพื่อหยิบยกหยกคือใจในวิถี
หินอยู่นอกหยกอยู่ในไร้ราคี
คนจะดีหยกจะเด่นก็เช่นกัน
อินทนนท์
6 กุมภาพันธ์ 2555

รำลึก ๒ ปี หลวงตามหาบัว...

ศรีสมภพ


๓๐ มกราฯ  ๒๕๕๔..
สิ้นวิถี แห่งสังขารนิพพานสุด
ของหนึ่งสงฆ์ ผู้ปลงได้ในมนุษย์
สาวกพุทธ..พิสุทธิ์ใสในประเทศ
ญานสัมปันโน.. พระโพธิสัตว์
มาขจัดปัดเป่า เหง้ากิเลส
ปุถุชนได้พ้นทุกข์ปลุกสังเวช
ชี้เห็นเหตุ กิเลสตัณหา อุปาทาน..
...
คือหลวงตามหาบัว ชั่วดีพ้น
บำเพ็ญตน สมถะละถิ่นฐาน
ออกธุดงค์ ตรงสู่ป่าหาอาจารย์
" หลวงปู่มั่น " กลั่นกรองศิษย์สอนวิชชา
บรรลุกิจสัมฤทธิ์ผลแห่งตนนั้น
ก็ด้นดั้นสู่บ้านตาด สร้างวัดป่า
เพื่อสั่งสอนขัดเกลาชาวประชา
สร้างศรัทธาสาธุชน ..สาธุธรรม
ต้มยำกุ้ง ! ..ถลุงเงินเกินเป่าปัด
ประเทศชาติล่มจมหนี้ถมซ้ำ
ได้ผ้าป่าหลวงตาฝ่าฟันนำ
ศรัทธาธรรมนำชาติพ้น.. คนสามัคคี
ละหลุดพ้นในตนกู ..สู่ปรมัตถ์
ละสมบัติหลายหมื่นล้าน ผ่านวิถี
ละทิ้งหมด ปลดปลงลงตัวดี
ละโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า.. นิพานัง
หลวงตาบัว.. ละสังขารผ่านบรรจบ
๒ ปีครบอริยเจ้า ..เล่าแลหลัง
อยู่ในศีลกินในธรรมตามสอนสั่ง
จะงดงามถึงท่ามกลาง ..ยังเบื้องปลาย !!
*********************************
ร่วมรำลึก.. ครบรอบ ๒ ปี การละสังขารของ..
พระอริยสงฆ์เจ้า ผู้สร้างคุณูปการให้แก่สังคม และประเทศชาติ ..
" หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน "
๓๐ ม.ค.๕๖

จึงโอมอ่าน มนต์ตรา

บุญพร้อม


จึงโอมอ่าน มนต์ตรา มหาเสน่ห์
ขอมนต์เท   ถ่ายใจ    ให้ไหลหลง
อย่ารู้คลาด คลายเคลื่อน จนเลือนลง
สมประสงค์ ดังปอง ร่ำร้องมา
พุทธท่านผูก ธรรมมัด รัดตรึงไว้
กล่อมให้ใจ  เกลียดฝัง ชังน้ำหน้า
จงคลายโกรธ คลายชัง ดังเห็นมา
ให้โหยหา  แต่รัก  พักขุ่นเคือง
ขออำนาจ  แห่งรัก ปักเข้าจิต
ให้เลิกคิด  ฆ่าฟัน  อันต่อเนื่อง
บ้านก็จะ  น่าอยู่  เมืองเป็นเมือง
ความรุ่งเรือง ขจรไกล ไปต่างแดน
ขอมนต์ตรา คาถา มหาระรวย
โปรดจงช่วย คลายชัง คลุ้มคลั่งแค้น
หันหน้ามา   ผูกรัก   สมัครแฟน
ทั่วดินแดน คงเป็นสุข  ทุกข์ไม่มี
หน้า / 6  
ทั้งหมด 93 กลอน