กลอนข้อคิด

จำได้ไหม ?

Soidow


     จำได้ไหม ? ..ทำร้ายใจ ใครกี่ครั้ง จำได้ไหม ?.. เผลอพลั้งไป กับใครกี่หน
 จำได้ไหม ?..เคยขอโอกาส กับใครหนึ่งคน
 จำได้ไหม ?..สักกี่หน คนนั้นอภัย
     จะร่วมเรียง เคียงข้าง ทุกย่างก้าว
เจ็บปวดร้าว ทุกข์ทน แห่งหนไหน
จะเคียงคู่ สู้ฝ่าฟัน ไม่หวั่นสิ่งใด
จะไม่ไหว โอนเอน เช่นผ่านมา
     จะสัตย์ซื่่อ ถือมั่น ตั้งคำสัตย์
จะคุ้มครอง ป้องปัด พิทักษา
จะถนอมน้ำใจ ให้สัญญา
ตราบชั่วสิ้น..ดินฟ้า.. จำ.ได้ไหม?

แม่ ในความทรงจำ

ฤกษ์ ชัยพฤกษ์


เจ้าพุ่มพวงร้องดังไปแปดบ้าน
ญาติเผ่าพงษ์วงศ์วานนั่งห้อมล้อม
มีของกินกล้วยอ้อยหลายชะลอม
มารับขวัญเห่กล่อมโกนผมไฟ
ผู้เฒ่าแก่ทำนายและทายทัก
เจ้าหลานรักภายหน้าจะยิ่งใหญ่
ทำการงานจะสำเร็จโดยเร็วไว
มีโชคชัยเป็นเจ้าเป็นนายคน
โอ้ลูกจ๋าแม่ถนอมเฝ้ากล่อมเกลี้ยง
หวังแค่เพียงแก่เฒ่าพึ่งสักหน
มุ่งอบรมสอนสั่งอย่างอดทน
การศึกษาเสาะค้นให้อย่างดี
หวังให้ลูกเติบใหญ่ไปภาคหน้า
ได้เก่งกล้าเป็นหลักมีศักดิ์ศรี
เพราะกำลังแม่ทำได้แค่นี้
อนาคตอยู่ที่ตัวลูกแล้ว...

สิ่งสดใส

แก้วประเสริฐ


           สิ่งสดใส
 เปรียบความรักมักบางอย่างแก้วใส
แม้นดวงใจไม่เปลี่ยนเวียนแปรผัน
ทนุถนอมเอาใจใส่ทุกวี่วัน
แก้วใสนั้นจะงดงามอร่ามตา
 สิ่งตรงข้ามความรักมักเจ้าเล่ห์
ล้วนเสเพลมัวเมาเฝ้าตัณหา
มักไม่แน่เปลี่ยนได้คล้ายเวลา
วนเวียนมาหวังได้ใคร่ชมเชย
 อันแรกรักมักสะอาดปราศมลทิน
หอมโชยกลิ่นอวลฟุ้งล้วนปรุงเผย
เปรียบรสทิพย์หวานล้ำพร่ำภิเปรย
ครั้นยามเอ่ยเย็นฉ่ำเลิศย้ำทรวง
 หากมาดแม้นชายหญิงต่างอิงไว้
เหมือนดั่งได้แก้วงามยามจรดสรวง
สร้างสิ่งสุขเคียงไว้ในทั้งปวง
ปราศจากห้วงทุกข์เข็ญลำเค็ญเลย
 ถ้าปล่อยไว้ให้เป็นเช่นธรรมชาติ
ก็จะปราศความหวานอันเปิดเผย
เปรียบดังโคลนโดนน้ำแล้วย่ำเชย
หวานที่เคยแรกรักจะหักพลัน
 จงใคร่ครวญก่อนให้ในความรัก
ควรประจักษ์เวลามาสร้างสรร
หมั่นตรวจสอบสิ่งรักจักรู้ทัน
คอยรอวันหวานฉ่ำไร้ระกำใจ
 ดุจนกน้อยลอยล่องท้องฟากฟ้า
เพื่อจะหาอิสระภาพตราบสดใส
ครั้นผ่านคู่กาลเล่าเฝ้าเปลี่ยนไป
หวังจะได้ท่องเที่ยวเหนี่ยวใจปอง
 หากมาดแม้นเปลี่ยวเอกาหาคู่คิด
หมั่นตรวจจิตและกายในทั้งสอง
อย่าลืมตัวโดดเด่นเน้นหมายครอง
ควรตรึกตรองผ่านใจให้หลายปี
 หวานสิ่งรักเปรียบได้คล้ายน้ำค้าง
แวววาววางสีสรรอันหลากสี
ย่อมงดงามชวนชื่นระรื่นชีวี
ย่อมเป็นที่หมายปองจ้องจับตา
  วันเวลาย่อมเปลี่ยนได้ในทุกสิ่ง
ควรระวิงสุกงอมย่อมปราถนา
เหมือนรวงข้าวยังคอยสิ่งย้อยมา
เหลืองนำพาเก็บเกี่ยวเหนี่ยวใจชน
 แม้นจะมอบความรักประจักษ

หวังของแม่

บุญพร้อม


ขณะเรา   ร้องไห้   ใครโอ๋อุ้ม
ยามร้อนรุ่ม ใครจัด  พัดวีให้
มีใครบ้าง  สรรสร้าง อย่างห่วงใย
ทุ่มเทใจ   ฟูมฟัก  ให้ตักนอน
   โอ้ละเห่  โอละหึก  จนดึกดื่น
รอวันคืน   หวังไว้     ได้พักผ่อน
เจ้าเติบใหญ่  พอได้ อาศัยนอน
ก่อนต้องจร  จากกัน  วันสิ้นใจ
   
   ถึงวันนั้น  คงเข้าใจ ในหน้าที่
เป็นแม่นี้    ลำบาก ยากแค่ไหน
เว้นแต่เจ้า  ใจดำ   จึงทำไป
ผิดวิสัย  แม่ลูก  ไม่ถูกเลย

ตัวของตน

**.. เช่นรวีโชติ..**


::: ตัวของตน :::
๑. ฉันขอเป็นเช่นนี้ดีใจแล้ว
ไม่เพริศแพร้วแววล้ำหยอดคำหวาน
ไม่ปลิ้นปล้อนผกผันเป็นสันดาน
ไม่ปั่นงานเอาหน้าเลียขานาย
๒. เลิกฝืนตนยิ้มให้ทั้งใจเกลียด
เลิกเคร่งเครียดกับใครที่ใจง่าย
เลิกนับถือคนเดิมเดิมเริ่มออกลาย
เลิกนิยายโลกสวยด้วยความจริง
๓. แม้ที่ว่างของคนตรงคงหายาก
จงตรำตรากอุปสรรคดักทุกสิ่ง
กำลังใจชูช่อขอแอบอิง
เมื่อแพ้ยิ่งก็จักเห็นทางเส้นชัย
๔. อุดมการณ์กินไม่ได้ใช่ปัญหา
มันเยียวยาความเป็นคนสู้คนได้
เทียนเล่มหนึ่งอาจละลายสลายไป
แต่เทียนใหม่วาววับจุดนับพัน
๕. ฉันขอเป็นเช่นนี้ดีใจแล้ว
ไม่วาวแววแก้วระยับประดับสวรรค์
ถือความตรงคงความสัตย์ปัจจุบัน
ปลุกโลกอัน "รู้ตื่น"
กลับคืนมา
ด้วยความหวังดี
เกรียงไกร รอบรู้
(เช่นรวีโชติ ; ก.ประแสร์
ศิษยาพร)
โครงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
"อย่าโลกสวย"_By ... Gu Kong_8 ส.ค. 2556

๏ ผู้รอคอย ๚ะ๛

บินเดี่ยวหมื่นลี้


๏ ตาฝ้าฟางย่างย่ำก็ลำบาก
คราเจ้าจากเรือนเหย้าแม่เฝ้าหวัง
สักวันหนึ่งเจ้าย้อนมานอนรัง
สู้หน้าตั้งตาคอยเกินร้อยวาร
เจ้าเติบโตเติบใหญ่ในหน้าที่
เกียรติศักดิ์ศรีมากล้นหลากคนขาน
ห้อมล้อมด้วยเสพสิ่งศฤงคาร
บริวารคัดสรรให้บัญชา
ปฏิทินขีดฆ่าคราวันลับ
เฝ้านั่งนับเพ็ญแรมแกมเวหา
ไตรจีวรลริขารปีผ่านมา
ล่วงพรรษาอีกหนแม่ทนรอ
ไม้ไกล้ฝั่งจักยืนกี่หมื่นหน
ก้าวย่างบนวงกรรมซ้ำซ้ำหนอ
มีสิ่งเดียวน้อยหนึ่งก็พึงพอ
แม่เพียงขอเห็นสีชายจีวร
มิได้ทวงบุญคุณให้ขุ่นจิต
ก่อนชีวิตหยุดนิ่งท่ามสิงขร
เหลือซากเถ้าผุพังยังกองฟอน
แม่ขอวอนลูกคืนได้ชื่นชม
ทรัพย์สมบัติมรดกแม่ยกให้
ขอน้ำใจมิมากหากเหมาะสม
บวชแทนคุณมารดาค่าน้ำนม
ก่อนแม่ล้มร่างลับมิกลับมา
หากมิทันดูใจด้วยไกลห่าง
ยามซากร่างแม่รั้งเพียงมังสา
หมดสิ้นปราณลงโลงโยงศาลา
ขอสักครา...บทสวด.." บวชหน้าไฟ " ๚ะ๛

ของเหม็นแมลงชอบตอม

บุญพร้อม


ลมชวยระ รวยริน กลิ่นตุตุ
เหมือนจะยุ ให้กาย  คายของเก่า
ใครหนอสรร  มาฝาก  ก็ยากเดา
กลิ่นนั้นเร้า  จนแมลง  แย่งกันดม
   มีมนุษย์   คนใด   ที่ไหนหนอ
จะมาขอ    ปันกลิ่น  ประทินโฉม
แค่ได้กลิ่น ก็เห็น  จะเป็นลม
คิดจะชม เขาก็หน่าย  ย้ายก้นไป
   มนุษย์ชอบ  ของหอม  ตามตอมตื้อ
แล้วร่ำลือ ถือมั่น    เชียร์กันใหญ่
ต่อเมื่อกลิ่น  นั้นคลาย   ละลายไป
ก็เปลี่ยนใจ  เป็นอื่น    ไม่คืนคง
   ดังเขาว่า  เอาอะไร  กับใจคน
เช้านั่งบ่น   เย็นมา  ข้าเสริมส่ง
ปราชญ์จึงสอน เอาไว้ ให้เราปลง
สรรพสิ่ง ล้วนมิคง ตรงใจใคร

เราเรียนไปเพื่ออะไรใครบอกที ?

ประภัสสุทธ


๏ ฉันเป็นนักศึกษาปัญญาชน
ท่ามกลางทางสับสนคนแบ่งสี
หลอมหล่อและล่อหลอกหลายคัมภีร์
ถูกบ่มในเบ้านี้ "มหาลัย"
 
๏ "มหาลัย มหาหลอก" กลอกกลับคำ
จับจองจำกับตำราน่าสงสัย
ครุ่นคำถามนิยามตามจิตใจ
"
เราเรียนไปเพื่ออะไรใครบอกที ? "
 
๏ เพื่อก้าวผ่านประสบการณ์กร้านความคิด
เพื่อพ้นพรากจากชีวิตโง่งมนี้
เป็นนักปราชญ์ปราดเปรื่องปัญญาดี
แหละกดขี่คนโง่โตต่อไป
 
๏ เพื่อสำเร็จเสร็จได้ใบกระดาษ
ประกาศโชว์โอ่สังคมนิยมใหญ่
สมัครงานผ่านสบายหมายมั่นใจ
มีรายได้ใช้จ่ายถ่ายชีวิต
 
๏ เพื่อประโยชน์โพดโผยผลผู้เกื้อ
เพื่อเป็นเนื้อเชื้อเพลิงผู้ผลิต
เป็นแถวทาสนายทุนตุ๋นความคิด
สู่สายพานการผลิตติดกับดัก
 
๏  เพื่อรับใช้ไฟฝันฝั่งมวลชน
สละตนติดดินสิ้นยศศักดิ์
สานฝันอุดมการณ์ด้วยความรัก
ยืนปักหลักชัยใน
"หมู่บ้าน"
 
๏ หรือเรียนเพียรเขียนอ่านตามระบอบ
ท่องตำราบ้าสอบตอบโวหาร
จดบันทึกทุกคำจำหลักการ
จมปลักดักดานอ่านหนังสือ
 
๏ คำตอบมอบให้เธอบำเรอคิด
ค้นหาทั้งชีวิตที่เธอถือ
อีกทางคือวางปล่อยลอยตามสื่อ
"
คำตอบฉันชอบคือ จุด จุด จุด "
 
                                                      4
สิงหาคม 2556

ขิงกะข่า

ศรีสมภพ


ขิงกะข่า ข้ากะเอ็ง !

คือเรื่องจริงขิงก็รา.. ข่ายังแรง
ต่างตะแบงแย่งยื้อถือตนเหนือ
พริกแกงที่กลมกล่อมพร้อมจะเชื่อ
รสคงเบื่อ เมื่อขิงข่ากล้าหักหาญ
รสขิงแรง ..แข่งกะข่า ข้าต่างแน่ ไม่ยอมแพ้ปล่อยวางรสต่างต้าน แย่งกันแรงแข่งขันกันสะท้าน แย้งขนาน ไม่คลุกเคล้าเข้าเนื้อใน หากขิงข่า..สามัคคี ไม่มีแฝง พร้องสำแดง รสชาติไม่ขาดไข คงถูกปาก ถูกลิ้นคนกินได้ รสชาติใหม่คงปรากฎ..ได้รสแกง ขิงเจ้าข้า ! ข่าเจ้าเอ๋ย เคยเคียงข้าง แกงหลายอย่าง ไม่ห่างกันร่วมปันแบ่ง หากขิงข่าไม่แตกกันตะบันตะแบง คงเป็นแกงอร่อยเลิศประเสริฐศรี.. แกงเขียวหวาน แกงเผ็ดผัด รสจัดจ้าน มีขิงข่า มาเสริมสานผ่านวิถี หากสองฝ่ายไร้คุณค่าสามัคคี แกงรสดี จะมีได้ อย่างไรกัน !! คือเรื่องจริง.. อาจไม่จริงที่นิ่งอยู่ ต่างรวมหมู่ กู่ความชอบก่อม็อบปั่น ขิงไม่ราข่ายังแรงตะแบงตะบัน โศกนิรันดร์ มันยังรอ ..นะพ่อเอย.. ! ขิงกะข่า ข้ากะเอ็ง ..ต่างเร่งรุก ประเทศทุกข์ สนุกกันมันส์จริงเหวย เอาชนะคะคานกันอย่างเคย บทลงเอย..น่าสังเวช ประเทศไทย !!

๏.. ข้าวเต็มนา-ปลาเต็มน้ำ (จริงฤา)..๏

กิ่งโศก


      ๏ ณ.ผืนดินถิ่นนี้ .... ริมหนอง
สายคดเคี้ยวลำคลอง ..".ผ่านคุ้ง
สีงามอร่ามรวงทอง  ....  ทาทาบ ผืนนา
ชุ่มฉ่ำธรรมชาติฟุ้ง   .... อดีตฟื้นในฝัน ๚ะ๛
 ๏ ณ.แผ่นดินถิ่นเก่ายั้งเนาก่อน
เคยชอุ่มชุ่มซ้อนลุ่มดอนสวน-
เทือกนาไร่เบ่งบานกลั่นกระบวน
ต่างผลิช่อ-ออล้วนอวล-อรุณ 
 ๏ ณ.ริมข้างขอบหนองเคียงคลองน้ำ
มัจฉาว่ายหงายคว่ำย่ำธารขุ่น
ได้กินอยู่อุดมยิ่งสมดุล
ไม่แร้นแค้นเสพถุนสมบูรณ์ท้น
 ๏ ณ.รอยไถใต้ก้อนสะท้อนกลบ
ธัญญาหารหว่านหลบแทรกพบหล่น
ค่อยค่อยพรูใบผลิแทงปริพ้น
ชูช่อใบเหยียดต้นยลสุริยา
 ๏ ณ.ดินแดนแคว้นเก่าในเช้านี้
เขียวขจีความจริงบนสิ่งจ้า
เมล็ดข้าวเคลือบพิษปลิดชีวา
เพียงแค่ปลูกเพื่อค้าสิ้นค่าคุณ
 ๏ ณ.หนองนาวันนี้ปลาหนีหน่าย
ยากจะว่ายเวียนออเริงล้ออุ่น
โลกยุคใหม่กลายแท้มองแค่ทุน
ในสายชลก่นขุ่นฝุ่นราคี
 ๏ ณ.วารผ่านกาลเสมือนลับเลื่อนหมด
ข้าวในนาปลาถดลดวิถี
คุณค่าคำน้ำมีปลานาข้าวมี
คงเหลือน้อยถ้อยพจีหริบหรี่จาง ๚ะ๛
          + กิ่งโศก +
     ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖
พระศุกร์  แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปี มะเส็ง
ช่วงนี้ข้าพฯคงป่วยด้วยโรค "หิวข้าว" จึงมีคนให้ยาข้าพฯ เพื่อรักษาโรคนี้ แง๋มๆๆ เพราะเห็นข่าวว่า ใช้สารเคมี รมข้าว อบข้าว ...ทนกินเพราะทุนนิยม ของคนไม่กี่คน นี่แหละน๊าๆๆ

เป็นธรรมดา

เฌอมาลย์


เป็นธรรมดาสามัญทั้งนั้นหนอ
มีเกิดก่อตั้งอยู่เพียงครู่หนึ่ง
ประเดี๋ยวผ่านผันไปให้รำพึง
ก็คงถึงคราวดับลับลาไป
ไม่มีใครหลีกพ้นวังวนชีวิต
กรรมลิขิตขีดค่าอายุขัย
สุดแต่กรรมกำหนดกฎเกณฑ์วัย
แค่เพียงลมหายใจไยหวั่นกลัว
ทำวันนี้ให้ดีที่สุดคือจุดเปลี่ยน
จุดแสงเทียนนำใจไร้สลัว
เตรียมเสบียงสร้างบุญหนุนนำตัว
ละความชั่วน้อมนำธรรมใส่ตน
ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อคนอื่น
จงรู้ตื่นรู้เบิกบานสานกุศล
ความเกิดแก่เจ็บตายว่ายเวียนวน
ยากหลุดพ้นทุกชีวิตอนิจจัง
ความไม่เที่ยงเป็นเช่นนี้นี่แหละหนอ
ดุจวงล้อเวียนวนแต่หนหลัง
ผลัดกันเล่นละครก่อนเอวัง
บนโลกฝังความหมายหลายชีวี
อย่าร้องไห้เสียใจเมื่อใครจาก
เมื่อมีพบย่อมมีพรากยากหลีกหนี
ทำใจพร้อมยอมรับโดยดุษฎี
อีกวิธีเผชิญหน้าความอาลัย
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป 
หลังจากไปทำบุญมาฟังพระท่านเทศน์เรื่อง..เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป

พุทธทาส

ศรีสมภพ


วันนั้น.. ผ่านไปในทรงจำ
วิบากกรรมย้ำเห็นเป็นเช่นนั้น
กระทบมากระแทกไปในเร็วพลัน
สะใจฉัน มั่นในจิต ..อนิฏฐารมณ์

วันนั้น.. ผ่านไป ใช่วิเศษ
สุมกิเลสเวทนา อย่างสาสม ตะเกียกตะกายไปต่อก็จ่อมจม ลุกแล้วล้ม จมอบายอย่างไรแน่ ? วันนั้น.. ยังวาดหวังเห็นฝั่งข้าม ยึดนิยามต้องต่อสู้ รู้ว่าแพ้ เวลาเปลี่ยนเวียนไป ใช่ย่ำแย่ ตัวอาจแพ้ แต่ชนะ.. เลิกสะใจ ! วันนั้น.. ถึงวันนี้ไม่มีเปลี่ยน ทุกข์กับสุข คลุกเคล้าเวียนเปลี่ยนซ้ำๆ เห็นสีขาวก็เพราะมีฉากสีดำ โลกธรรม.. ย้ำเห็นจริงความนิ่งใน ตถตา กถาสุด ..ท่านพุทธทาส แจ้งไว้ชัดในตัว “กู” ผู้ยิ่งใหญ่ หากรักกู หลงกู ไม่รู้ภัย ความปราชัยในธรรม ..ย่อมย่ำเยือน จากวันนั้น จนวันนี้ ..วิถีพุทธ แม้ไม่หลุด ฉุดไม่พ้นความปนเปื้อน ยังดีกว่าเป็นปลาตายที่ไหลเกลื่อน ไม่รู้เดือน รู้ตะวัน ..นิรันดร์กาล ! กูวันนั้น กูวันนี้ ..จึงมีต่าง หลังก้าวย่างบนทางธรรมช่วยนำผ่าน อวิชชา..เริ่มหดหายฉายตระการ นิรพาน..เคยมั่นหมายใช่ไกลตัว ! ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ ตามรอยเมธี 20 ปี มรณกาลพุทธทาสภิกขุ ท่าน “พุทธทาส” ได้ละสังขารอย่างสงบเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2536 วันนี้ผ่านไป 20 ปี แล้ว แต่มรดกธรรม และผลงานอันทรงคุณค่าที่ท่านทิ้งไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง เพื่อสืบสานปณิธานความเป็น “พุทธทาส” หรือ ผู้รับใช้พระศาสดาอย่างสมบูรณ์แบบ ยังคงอยู่ และจะอยู่อย่างไม่มีวันตาย ดังเช่นบทประพันธ์ของท่าน ท

ไม่มีใคร

ศรีสมภพ


ไม่มีใครอีกแล้ว.. ในโลกนี้
จะหวังดีต่อเธอเสมอมั่น
คอยฟูกฟักรักสุดๆ ดุจชีวัน
แต่เธอนั้นหันมามองบ้างไหมเล่า ?

ไม่มีใครอีกแล้ว.. ในโลกนี้
ทุกนาทีคอยห่วงหากว่าตัวเขา ยอมลำบากตรากตรำตัวดำเงา หาเงินตรามาแลกข้าวให้เธอกิน.. ไม่มีใครอีกแล้ว.. ในโลกนี้ จะชื่นชมยินดีปรีดาถวิล แม้เธอเหลิงเริงร่าเป็นอาจิณ ก็ทำใจไม่ได้ยิน ไม่เห็นมัน ไม่มีใครอีกแล้ว.. ในโลกนี้ หวังอยากให้เธอได้ดีมีงานมั่น ทั้งโน้ตบุ๊ค มือถือซื้อประทาน ขอแค่ผ่านการศึกษา.. ปริญญาชน !!

หยาดน้ำค้าง

แก้วประเสริฐ


         หยาดน้ำค้าง
 รุ่งทิวาฟ้าสางสร้างสิ่งเหงา
หยาดน้ำเฝ้าแระเล็มเต็มใบหญ้า
แสงสีสรรกระจ่างสว่างนัยน์ตา
เหมือนบอกว่าใกล้แล้วแนวหนทาง
  มองตะวันกลมแดงแฝงใสสว่าง
งามกระจ่างแต่ใจใยหม่นหมาง
อกเอ๋ยอกประดุจหยุดต้องวาง
สิ่งที่สร้างใกล้แล้วแผ่วหัวใจ
  โอ้หยาดน้ำค้างล่วงลับกับใบไม้
แสงสีไล้แวววาวพราวสดใส
หลากความงามต้องหายให้หวั่นไป
หวานสดใสเคยกระจ่างสว่างอารมณ์
  น้ำเจ้าเอยเหมือนใจในห้วงอก
หวั่นวิตกมากมายใยมาประสม
ทั้งนอกในไหวหวั่นพรั่นภิรมย์
กลับตรอมตรมเสียแล้วแผ่วดวงจินต์
  แสงแดดเริ่มร้อนรุ่มเหมือนสุมข้า
บอกเวลาใกล้แล้วแนวทั้งสิ้น
ฝากแต่ใจมอบไว้ในทางดิน
ดุจดั่งกวินเวียนวนปะปนครอง
  ยืนซึมเศร้าเฝ้าปลงตรงร่างน้อย
ที่จะลอยละล่องท้องฟ้าสนอง
แสงสว่างเรืองรองหมองสิ่งปอง
ดุจละอองหยาดน้ำเลิศล้ำกราย
  อันชีวิตของคนปนเปนัก
วุ่นวายจักยึดมั่นนั้นก็สาย
ผ่านกาลห้วงล่วงย้ำเหมือนน้ำพราย
ต้องละลายยามอาทิตย์ทรวงจิตใน
  หยาดน้ำค้างแสนสวยช่วยสร้างโลก
ให้บริโภคความสุขปลุกสิ่งใส
แต่ใยข้าละเหี่ยเพลียหัวใจ
ต้องลอยไปไกลเพื่อนหยาดเปื้อนตรม.
            แก้วประเสริฐ.

ดอกไม้แห่งความรัก

แก้วประภัสสร


เป็นดอกไม้..สายสวาทมิขาดสิ้นแม้จะบิ่นไปบ้างบางดอกหนอ
หากแลดูรู้ค่ามาเป็นกอ
ก็ยังพอมองเห็นเช่นไม้งาม
เห็นสองนิ้วชูไว้คือใบ้หวย...อะจื๋ย...บ่แม่น...แต่งใหม่ๆ...555
 เห็นสองนิ้วชูไว้คือใบ้บอก
รักจะพอกพูนเพิ่มเสริมหลากหลาม
เป็นน้ำเลี้ยงจรรโลงทุกโมงยาม
คือความงามพร้อมพรักประจักษ์ใจ 
อะจร้า้...ตามนี้ค่ะ เชื่อหัวไอ้เรืองเต๊อะ...ฮ่า..
ถึงอ่อนด้อยเชิงรักหักสวาท
หากอย่าขาดศีลธรรมนำนิสัย
เป็นเหมือนโล่ปกป้องคุ้มครองใจ
แม้ผู้ใดพบเห็นเป็นยินดี
ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่
ควรสดใสขาวผ่องอย่าหมองสี
ทั้งเจ็ดวันเจ็ดสีสิยิ่งดี
จะเกิดศรีสวัสดิ์ขจัดจน
อิอิ...
เหมือนแม่แก้วแววหวานน้ำตาลรั่ว
ไม่ต้องจั่วต้องจับรับเห็นผล
เมื่อวันก่อนนอนตื่นชื่นกมล
เห็นหน้าตนใสผ่องต้องตะลึง
ชมตัวเอง....55555
อันทีจริงเขียนเล่นเป็นสนุก
อย่าไปทุกข์หลากเรื่องเฟื้องสลึง
เป็นยาจกไม่ท้อก็พอพึง
ขอก้นบึ้งจิตใจให้งดงาม
-------สุขสวัสดิ์วันหยุดกันทุกท่านค่ะ...................
         @ แก้วประัภัสสร @
            14 กรกฏาคม 2556

๏..เถรส่องบาตร ..๏ (กลอนห่อโคลงฯ)

กิ่งโศก


 ๏ เห็นเถรท่านส่องบาตรจริยวัตร-บท
ใครไหนนำกำหนดสะกดก่อ-
การเพ่งพิศพินิจละเอียดลออ
หรือเพียงบาตรสะอาดล้อ-ยอตะวัน ๚ะ๛ 
  ๏ เถรท่านส่องบาตรชี้ ..... ปุจฉา
พระใหม่พบสบครา .... ล่วงเช้า
มิตรึกนึกเหตุหา ..... โดยเหตุ แท้เฮย
มองส่องตามพระเจ้า .... เช่นคล้ายได้เห็น
  ๏ เถรท่านมิใช่ชั้น ..... ตาเถน
สื่อพระวินัยเกณฑ์ ..... ปฏิบัติไว้
บาตรแตกแยกโหว่เบน....อาบัติ  
เพียงแค่นิ้วสอดได้.... รั่วด้วยประดัง
  ๏ ฟังรู้หูรับพร้อง .... พึงสดับ
จริยาวัตรรับ .... จึ่งรู้
คลี่กระจ่างความจับ ....ถามเถิด ท่านฮา
ถึงแก่นแกนหลักผู้.... สำเร็จแล้วถึงสถาน
 ๏ อย่าเลียนเยี่ยงอย่างผู้ .... เลียนนำ ตามนา
เลียนอย่างมิรู้สำ- .... เร็จแท้
จงคิดก่อนเถิดทำ .... ประพฤติ ตามนอ
เลียนเช่นริเรียนแล้.... จักรู้ความคราว
 ๏ เราโง่หรือไม่รู้ .... ริถาม 
อย่าอวดโอ่โง่หาม .... แห่ห้อม
เช่นเถรส่องบาตรยาม....พินิจ บาตรแฮ
เถิดเถอะถ้วนสิ่งพร้อม .... บอกด้วยเหตุผล  ๚ะ๛ 
    
        + กิ่งโศก +
    ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖
สดุดคำ เถรส่องพระ เลยอยากรู้...แล้วก็รู้..
เรื่องเถรส่องบาตรนี่ มีนิทานในพระพุทธศาสนาจะเล่าให้ฟังสักนิด ตามธรรมดา เถร มีอยู่ ๒ เถร
เถร แปลว่า ท่านผู้ใหญ่
เถน แปลว่า หัวขโมย
ตามภาษาบาลีแปลไม่เหมือนกัน
สำหรับเรื่องเถรส่องบาตร เป็นเถรผู้ใหญ่ เพราะบาตรท่านแตกอยู่นิดหนึ่ง ตามธรรมดาในพระวินัย ถ้าบาตรแตกพอนิ้วลอดได้ต้องเปลี่ยนบาตรใหม

ชีวิตคือการเดินทาง

สายรุ้ง


การเดินทางอันยาวไกลในชีวิต
เริ่มเข้าชิดเส้นชัยในไม่ช้า
เพราะชีวิตของเราเดินทางมา
ห้าสิบปีกว่ากว่าน่าภูมิใจ
ชีวิตเราเมื่อเข้าเลขที่ห้า
การมองหาที่พักพิงสิ่งอาศัย
ในปัจจุบันและอนาคตที่ต้องไป
เพราะชีวิตต้องโยคย้ายกันสักวัน
การโยคย้ายชีวิตต้องคิดหนัก
เพราะต้องฝากไว้กับกรรมบนสวรรค์
ทั้งที่เป็นอดีตและปัจจุบัน
 จะส่งเราให้สุขสันต์หรือทุกข์ตรม
 เพราะฉะนั้นปัจจุบันควรทำถูก
ทางสายทุกข์อย่าไปเดินให้ขื่นขม
แล้วชีวิตของเราไม่ตรอมตรม
เพราะสร้างสมกรรมดีทั้งกายใจ
 
 
หน้า / 28  
ทั้งหมด 467 กลอน