กลอนธรรมชาติ

ดับลับ

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


รายกำแพงเสมาบุราณคร่ำ
ล้วนงดงามด้วยแสงตะเกียงไต้
พรรณพฤษาลดามาลย์ขรจขจาย
ทั้งเกษแก้วผกากรายดาษดา
เสกาเก่าคราวแม่แผ่กิ่งก้าน
ไทรโบราณระย้าย้อยห้อยสาขา
ดูอึมครึมทรนงทรงผกา
งดงามตาในสวนแก้วอุทยาน
ภัสมธุลีปนเกลือกกราย
แซมหินทรายรายเรียงระเบียงวิหาร
ดอกมะม่วงพลัดกิ่งทิ้งโรยบาน
โรยร่วงรานพรายหล่นปนลงมา
มองแหล่งฟ้าสุดขอบระยิบยับ
ดาราวับวามวาวเคล้าเวหา
ยางยวงเมฆรายห้อยย้อยลงมา
กับดาราราวมณีศรีแผ่นดิน
หลังตำหนักพรายฟ้าว่ายิบยับ
โคมอัจกลับเผยร่างต่างนกผิน
มโหรีหลั่นขนัดด้วยพายท์พิณ
วาทศิลป์พร้องกรับตีขับทรง
อุทยานสวนแก้วทางฟากนั้น
ลดามาลย์เอกผกามหาหงส์
ถัดไปอีกโถงห้องท้องพระโรง
ล้วนตระกานทรนงด้วยทรงไทร
ม่านอดีตปางเก่าเรียงเล่าเรื่อง
ผังแปลงเมืองโถงท้องตำหนักใหญ่
ศักดินาขุนนั่งทั้งนางใน
บัดนี้กลายเป็นซากศิลานั้น
กาลเวลาเลยล่วงไม่หยุดนิ่ง
สรรพสิ่งล้วนแต่เปลี่ยนแปรผัน
ซากศิลารายเกลื่อนเลือนปีวัน
มิแก่นมั่นจารีตอดีตกาล
แม้นวัดวาอารามงดงามแล้ว
ปรับเปลี่ยนแนวโครงสร้างวางรากฐาน
เพียงยืดความตั้งอยู่ให้อยู่นาน
สุดท้ายคลานสู่ดับลาลับไป
เพียงชิวิตมีความไม่แน่นอน
หวังอาวรณ์ยึดมั่นประการไหน
รอเวลาร้างลับดับครรไล
แก่นสารใดจักมั่นในวันลา
ไต้ตะเกียงส่องโรจน์กว่าโชติช่วง
จักค่อยหน่วงเปลวไต้หรี่ไฟหนา
แม้นไม่ต้องสายลมปมวายา
ก็ลับลาร้างลับกับเกลียวกาล
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ

สร้างจิตสำนึก ลดโลกร้อน

เบยองจุน


     ใกล้เมษา หน้าร้อน ร้อนยิ่งนัก
ร้อนจนชัก ตาตั้ง ไปหลายหน
ยิ่งนานปี ก็ยิ่งร้อน ร้อนเพราะคน
ประพฤติตน บ่อนทำลาย ไม่ดูแล
สิ่งแวดล้อม ที่มีตาม ธรรมชาติ
ต่างมุ่งมาด บ่อนทำลาย ไม่แยแส
อากาศร้อน ไม่เป็นไร สั่งติดแอร์
โลกยิ่งแย่ แก้ไม่ไหว ใคร่วิงวอน
หันมาช่วย กันสร้าง จิตสำนึก
ช่วยกันฝึก ลูกหลาน หมั่นสั่งสอน
ไม่กี่ปี ภายหน้า อาจลดทอน
โลกคลายร้อน ก่อนจะสาย ไม่อาจคืน   

บทกวีสีเขียว

เปลวเพลิง


เมื่อรักษ์สัตว์ รักษ์ป่า ชลาสินธุ์
รักษ์แผ่นดินถิ่นหอมหลอมเชื้อสาย
รักษ์ท้องฟ้า  อากาศดีมากมาย
รักษ์ผืนทรายก็ดุจรักษ์ชีพรักเรา
โลกสดสวยรวยรินด้วยสินทรัพย์
ซ่อนอยู่กับความละมุนของขุนเขา
หญ้าระบัดใบระบำกล่อมลำเนา
ภู่ผึ้งเย้าดอกไม้กลางสายลม
หากใครเคยกอดรัดสัมผัสหล้า
ย่อมรู้ว่าคือสวรรค์อันสุขสม
ยามมาเยือนเรือนเหย้าเงาพนม
ความทุกข์ตรม  เร่าร้อนก็ผ่อนคลาย
เมื่อทอดตามองยังฝั่งไพรพฤกษ์
ยิ่งรู้สึกหวานละม่อมกล่อมใจหลาย
พรมเขียวเข้มเขียวอ่อนซ้อนเรียงราย
ช่วยระบายแล้งเข็ญให้เย็นตาดนตรีจากหริ่งหรีดสังคีตสรวง
นกบำบวงห้วงอารมณ์สมปรารถนา
บทกวีเรียงร้อยสร้อยพจนา
มอบแด่ป่า ห้วย เขา ลำเนาไพรเพื่อจรรโลงโลกทัศน์อันสัตย์ซื่อ
มาร่วมมือลบโศกฟื้นโลกใส
ต่างสร้อยศอสื่อสลักรักจากใจ
คล้องโลกไว้คงมั่นนิรันดร

คาลาฮารี

เปลวเพลิง


ทะเลทรายคาลาฮารี
ใต้รังสีศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ฉาน
สามแสนห้าหมื่นตารางไมล์ในประมาณ
ความกันดารคลุมพื้นที่เป็นสีทอง
ทรายร่ายมนต์กล่อมเมฆวิเวกแว่ว
ลมพัดแผ่วข้ามฟ้ามาสนอง
สุดเวิ้งว้างกว้างไกลยามได้มอง
หากคนต้องยาตราฝ่าคงตาย
โอ้แต่ว่าที่นี่มีชีวิต
แฝงวิกฤตทรายแห้งแล้งเหลือหลาย
ไม้หยั่งรากแน่นหนาขึ้นท้าทาย
กระจัดกระจายทั่วแหล่งแล้งกันดาร
หญ้าอันแกร่งแทงยอดขึ้นกอดฟ้า
พุ่มพฤกษาแซมซ่อนความอ่อนหวาน
หลากส่ำสัตว์เลือกเฟ้นเป็นวิมาน
ยึดต่างบ้านซุกชีวามานานปี
ยามอาทิตย์อัสดงลงมืดค่ำ
ดาราย่ำเดือนย่างทางวิถี
สัตว์กลางคืนเริ่มออกมาเผยกายี
หาอาหารในราตรีที่หนาวทรวง
ณ เบื้องบนทะเลดาวแสงพราวพร่าง
ณ เบื้องล่างทรายก็วาวดุจดาวสรวง
คาลาฮารีเนรมิตชีวิตปวง
ภายใต้ดวงสุริยันและจันทรา
หลงใหลมนต์เสน่หาคาลาฮารี
จึงแต้มสีสวยศานต์ผ่านภาษา
หว่านรอยยิ้มแย้มผลิแอฟริกา
ลงหยั่งรากกลางมหาคาลาฮารี
..................................................
ทะเลทรายคาลาฮารี
เป็นทะเลทรายในทวีปแอฟริกาใต้
มีเนื้อที่ 900,000 ตร.กม. (350,000 ตร.ไมล์)
ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศบอตสวานา
และบางส่วนของประเทศแอฟริกาใต้และนามิเบีย
มีปริมาณน้ำฝนน้อยมาก ในฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงมาก
มีปริมาณน้ำฝนราว 3–7.5 นิ้ว (76–190 มม.) ต่อปี
พืชพรรณธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้า
โดยมีไม้พุ่มขึ้นหนาแน่น
ทางด้านตะวันตกและด้านเหนือ
มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก

น้ำตาหิมาลัย

เปลวเพลิง


สูงตระหง่านลิบลิ่วเทียมทิวเมฆ
เหมือนเทพเสกสรรค์สร้างจากกลางหาว
ยอดทอดถึงสถานวิมานดาว
เด่นสกาวภูผาหิมาลัย
เป็นหลังคาของดินแดนชมพูทวีป
หล่อเลี้ยงชีพชาวชนจนเติบใหญ่
รุ่นต่อรุ่นเกินนับอัประไมย
ล้วนอาศัยสุขศานต์เนิ่นนานมา
แล้ววันหนึ่งเหตุร้ายไม่คาดคิด
เข้าประชิดจุดเพลิงถึงเชิงผา
หิมาลัยไขคำร่ำน้ำตา
ช้ำเพราะว่าเป็นผลเพราะคนทำ
“ข้ายืนยงตระหง่านมานานแล้ว
ไร้วี่แววโลกร้อนรอนกระหน่ำ
ครั้นพอมีโรงงานปล่อยม่านดำ
คนเหยียบย่ำธรรมชาติพินาศไป
ข้าก็ยิ่งถอนใจให้รันทด
อนาคตไม่รู้อยู่ที่ไหน
แม้หิมะบนมหาหิมาลัย
หวั่นหวาดภัยละลายหลากมากทุกที
อีกผองภัยธรรมชาติฉกาจกล้า
ยิ่งสำแดงฤทธาบ่อยเหลือที่
ข้าหมายช่วยอย่างไรก็ไม่มี
ทางต่อตีหยุดยั้งกำลังมัน
แม้แต่ว่าหิมาลัยในยามนี้
ภัยเริ่มปรี่รอเวลาจักอาสัญ
เมื่อน้ำตาหิมาลัยไหลนองพลัน
นั่นคือวันล่มสลายหลายล้านคน”
.........................................................
ภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
ส่งผลกระทบต่อภูเขาหิมาลัย
หิมะที่ปกคลุมยอดเขา
เริ่มมีการละลายอย่างรวดเร็ว
และเกิดทะเลสาบ
จำนวนมากมายหลายแห่ง
โดยสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจาก
อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น
เชื่อว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
อาจเกิดผลกระทบต่อทุกชีวิต
ที่ต้องพึ่งพามหาหิมาลัยแห่งนี้
อย่างแน่นอน

เสียงจากสุนัขแก่

เปลวเพลิง


สุนัขแก่ตัวหนึ่งรำพึงคิด
ถึงชีวิตก้าวย่างกลางเมืองหลวง
อันอุดมตึกตระหง่าน ห้าง ร้านรวง
ในทุกช่วงวันวารที่ผ่านพ้น
เช้าเริ่มด้วยเสียงแตรเซ็งแซ่นัก
ฝุ่นควันคือเพื่อนรักชักม่านหม่น
หันทุกทิศพิศเพียงฝูงรถยนต์
จราจรจลาจลก็ทนไป
ครั้นเปลวแดดแผดเปรี้ยงตอนเที่ยงกว่า
ร้อนเหมือนว่าเริ่มโศกโลกยุคใหม่
พื้นสะท้อนไอแดดยิ่งแผดใจ
เมื่อร่มไม้เย็นสะอาดปราศวี่แวว
จากเคยมียางยูงสูงใหญ่มาก
ยืนต้นฝากความร่มเย็นเป็นทิวแถว
มรกตบังใบพร่างพรายแพรว
ดั่งโดมแก้วนพคุณหนุนชีวา
รู้จักไหม? เงียบ? สงัด? แห่งชัฏกว้าง
สัตว์ต่างต่างที่อยู่ตามภูผา
ความร่มรื่นเกินสรรพรรณนา
ที่ร่อยหรอด้วยหัตถาสามัญชน
เดี๋ยวนี้เมืองป่าไม้ไม่มีแล้ว
เพราะถูกแผ้วถูกถางอย่างปี้ป่น
แล้วปลูกตึกระฟ้ายวนตาคน
ทดแทนต้นนี้ โน้น ที่โค่นไป
สัตว์เริ่มหายากยิ่งยวดเหมือนหนวดเต่า
ทั้งบางเผ่าสูญพันธุ์กันยิ่งใหญ่
สัตว์เมืองก็ไม่ต่างกันอย่างไร
แค่อยู่ในป่าคอนกรีตเท่านั้นละ
เดินจนถึงฤกษ์งามสามโมงกว่า
เมียงมองหาร่มรุกข์ทุกขณะ
แต่ยิ่งเดินแรงยิ่งฝ่อใกล้มรณะ
ไม่รู้จะทิ้งซากฝากที่ใด?

การเดินทางยังไม่สิ้นสุด (The Endless Journey)

ลำน้ำน่าน


ฤดูกาลครั้งหนึ่งจึงกลับมา
เคลื่อนชะตาอีกครั้งในรังหนาว
กลางแสงจนหม่นหมองของเรือนดาว
มาฝากข่าวรำไรในสำนึก
ข่าวโพ้นฟ้าอีกฝั่งรั้งใส่ย่าม
เมื่อโมงยามหอบหิ้วพริ้วลมดึก
เร่ลมหนาวพราวฟ้ามารำลึก
ปลุกสำนึกอีกครั้งเมื่อยังเยาว์
สุดยอดภูอยู่เดี่ยวเกลียวหมอกขาว
ลมกรูกราวรับลมจมความเหงา
เสียงสะอื้นครืนแว่วมาแผ่วเบา
ท่ามทึมเทาท้องฟ้าดาราลับ
ใบหูกวางไหวหวิวพริ้วแก่อ่อน
วิถีจรก้องมาคราเดือนดับ
ใบไม้เหลืองพลีกายแล้วหายวับ
ยอดระยับ..ผลิใหม่ในรุ่งวัน
หน้าต่างเก่าแง้มน้อยค่อยเอียงเห็น
ความลำเค็ญหน่วงล้อพอเคลื่อนฝัน
รอเปิดวับรับแสงแห่งตะวัน
จากยอดภูชูชันมาส่องทาง
อีกหนึ่งวันวังวนยังหมุนโลก
ดวงดอกโศกแย้มน้อยทุกรอยถาง
เพลงใบไม้หล่นหายรายริมทาง
กี่ใบร้างร่วงพรูสู่ใจเรา
เคยปีนป่ายไม้ใหญ่ใบเขียวปรก
เด็ดรังนกโยนวางอย่างโง่เขลา
ตัวเด็กแดงนกน้อยค่อยซุกเงา
นานแดดเผาดับวางกลางวังเวง
ก้าวเดินมาตามแรงแห่งชีวิต
พรหมลิขิตขีดวางอย่างคร่ำเคร่ง
ล้านทำนองสร้อยเศร้าร้าวบรรเลง
ขับบทเพลงเคว้งไปไร้สิ้นสุด
เป็นครรลองสายน้ำตามเกรียวคลื่น
ยามต้นคืนเป็นไต้ไฟให้โชนจุด
เปลี่ยนอรุณหมุนนามตามพระพุทธ
เป็นมนุษย์เวียนว่ายทุกข์สายธาร
ความทรงจำแสนนานผ่านทายทัก
ในความรักเพลงร้อยค่อยขับขาน
เพลงดอกไม้โรยร่วงลงห้วงธาร
เพลงฤดูทางกาลยังยลยิน
ตราบระฆังเหง่งหง่างกลางสงัด
วิหคพลัดหลงอยู่พรูผกผิน
สดับค่าโลกหมุนจนคุ้นชิน
หาได้สิ้นหนทางให้ย่างเดิน

ปณิธาน

ศรีสมภพ


รถเราไม่มีควัน
และน้ำมันก็ไม่ใช้
รักษ์ป่าพนาไพร
จึงมาใช้จักรยาน..
เราขอเป็นมิตรกับทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้
..นี่คือปณิธาน !!

คนเมืองกาญจน์

คนบางบอน


บ้านพี่อยู่กาญจนบุรี
น้องยินดีจะไปเที่ยวไหมหนอ
พี่พร้อมที่จะพาไปไม่รีรอ
เพียงร้องขอให้พี่ดู..หนูอยากไป...ที่เมืองกาญจน์บ้านพี่หลากที่เที่ยว
มีน้ำตก ภูเขาเขียว แหล่งเที่ยวใหม่
“สะพานข้ามแม่น้ำแคว”เผยแพร่ไกล
น้ำตกใหญ่”เอราวัณ”รู้กันดีอีกฟากหนึ่ง “ไทรโยค” ไม่โศกเศร้า
ไม่ไร้เงาผู้มาเยือนเหมือนทุกที่
ไกลสุดคือชายแดนดัง..สังขละบุรี..
ประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่ามายาวนานนี่เอ่ยชื่อร้อยเรียงเพียงเล็กน้อย
ยังมีคอยผู้มาเยือนอีกหลายย่าน
พี่ภูมิใจที่เป็นคนเมืองกาญจน์
ที่ใครผ่านมาเยือนเหมือนต้องมนต์ระยะทางไม่ไกลไปสะดวก
พี่มีพวกรองรับไม่สับสน
ยินดีมากหากหวานใจ ไปเยี่ยมยล
จะเป็นคนนำทางสร้างสัมพันธ์
ไปเที่ยวกันไหม...
ไม่พาไป กินตับ สำหรับขวัญ
คนเมืองกาญจน์จริงใจไม่เว้นวัน
ฝากคำมั่นไว้ให้จากใจจริง...

ดอกหญ้าดอกไม้ป่าที่งดงาม

ป๋อง สหายปุถุชน


ดอกไม้ป่าดอกหญ้าที่งดงาม
เกิดก่อตามท้องนาและป่าเขา
ความงดงามแต้มแต่งพื้นดินเรา
แดดลับเงาน้ำค้างลงพร่างพรมยามค่ำคืนต้นยืนรับเดือนฉาย
ช่วยผ่อนคลายดับร้อนฟ้อนสายลม
ความหนาวเย็นต้นใบหมอกคุมห่ม
หนาวระทมค่ำคืนยืนเดียวดายในยามเช้าชูช่อรับตะวัน
น้ำค้างพลันเหือดแห้งแสงส่องฉาย
ผีเสื้อบินโฉบร่อนดูเรียงราย
ในตอนสายอุ่นไอได้คลายหนาวกลีบดอกเก่าร่วงโรยไปตามกาล
ไม่ช้านานดอกใหม่ออกสีขาว
จากดอกตูมแย้มบานงามพริ้มพราว
สุขสกาวงดงามตามดงดอย

ชมธรรมชาติ

พรฟ้า


แดดรอนอรอนอ่อนล้าจนอ่อนใจ            สายลมแผ่วโอนเอียงกิ่งไม้ไหว
เสียงน้ำค้างไหลหยดสะกดใจ                 ลงหินใสรินรินเป็นเสียงเพลง
หญ้าน้อยน้อยพลอยเต้นพริ้วสะบัด         ดอกไม้พัดโบกโยกสลวยแสง

* หอมดินกลิ่นนา *

บนข.


หอมดินกลิ่นนาข้าวกล้าเขียว
ลมพัดกรูเกรียวไล้เรียวข้าว
ท้องฟ้าฉ่ำฝนก็หล่นพราว
ปลอบข้าวปลอบขวัญชาวนา
ดินฉ่ำน้ำชุ่มเพราะอุ้มน้ำ
กสิกรกสิกรรมเพาะชำกล้า
ดินว่างร้างข้าวก็พราวตา
ข้าวกล้างอกงามตามทำนองกล้าน้อยค่อยค่อยแตกกอ
แตกหน่อก่อกล้านาทั้งผอง
ลมร่ายพร่ายริ้วพริ้วมอง
ต้นข้าวทั้งท้องออกรวงงาม
เต็มนาท้องทุ่งยุ้งฟ้า
รวงทองงามตาวาบหวาม
จากกล้าก่อรวงริ้วงาม
นิยามทุกข์ยากชาวนาชาวนาคนจนต้องทนยาก
ทุกข์ทนซ้ำซากเหนื่อยล้า
หยาดเหงื่อแรงงานผ่านมา
มอบเป็นเหรียญตราชาวนาไทยหมดนาหมดหน้าเก็บเกี่ยว
หนี้สินหน่วงเหนี่ยวหวั่นไหว
ยุ้งฉางว่างเปล่าเศร้าใจ
ขายข้าวเลี้ยงใคร...ชาวนาหอมดินกลิ่นจางฟางข้าว
ลมแล้งอบอ้าวผะผ่าวหน้า
ซังข้าวปลิดปลิวละลิ่วฟ้า
คือวิญญาณชาวนาปลิดปลง
ตั้งหน้ารอหวังหน้าฟ้าฝนใหม่
ต่อลมหายใจผุยผง
หว่านกล้าชีพกล้าคืนคง
ต่อหนี้ยืนยง....ชาวนา

อยากให้เธอเข้าใจโลกใบนี้

บุญเพิ่ม


อยากให้เธอเข้าใจโลกใบนี้
อยากให้เธอเข้าใจโลกใบนี้
ว่าก็มีเศร้าหมองและร้องไห้
ปนหัวเราะทั่วถิ่นผืนดินทราย
ล่มสลายหายวับและกลับคืน
เพียงสองมือเธอนั้นที่ปั้นโลก
เพื่อทุกข์โศกอารมณ์เจ็บขมขื่น
หรือพบความสุขล้ำคลายกล้ำกลืน
อยู่ที่ยื่นอะไรมอบให้กัน
เธอก็ช่วยโลกให้สดใสได้
หรือทำลายทุกอย่างที่สร้างสรรค์
แล้วแต่มือเธอโบกฉาบโลกพลัน
เลือกแบ่งปันหรือชอบเพียงกอบโกย!ฯ
อริญชย์
๒๑/๑๒/๒๕๕๕

ร่วมรักษาป่าใหญ่ให้คงอยู่

ป๋อง สหายปุถุชน


<
ต้นไม้ใหญ่กิ่งไกลสูงตระหง่าน
เติบโตนานรากใบแผ่ไกลโข
หลายคนโอบดินดีต้นเติบโต
พุ่งพ้นโผ่รับแสงแห่งตะวันไม้พยุงต้นสักทองของสงวน
มอดรบกวนกัดกินเกือบสูญพันธุ์
อำนาจเงินคนแกร่งแย่งแข่งขัน
ขุดโค้นฟันตัดไม้ให้วอดวายยังมีข่าวจับไม้เถื่อนอยู่เกลื่อนเมือง
พร้อมกับเรื่องไฟป่าไหม้สูญหาย
ฝนฟ้าแล้งเปลี่ยนแปรงสุดบรรยาย
ยังซื้อขายไม้สงวนจวนหมดป่าร่วมรักษาป่าใหญ่ให้คงอยู่
เข้าฤดูแล้งหนาวเฝ้ารักษา
ทั้งไฟป่าคนตัดไม้มีค่า
ช่วยเยียวยาป่าใหญ่ให้ยืนยาว/font>  เป็นอีกหนึ่งแรงนะครับที่ช่วยปลุกจิตสำนึกให้คนรักป่าไม้

มีป่าจึ่งมีซึ่งชีวิต

สุนทรวิทย์


น้ำค้าง  สร่างซา  ฟ้าจรส
บรรพต  งดงาม  ยามอุษา
แดดอ่อน รำไร ไล้เมฆา
ไก่ป่า  ขันขับ  รับอรุณ
พรรณไม้  ลออ  ชูช่อดอก
กระรอก  ลัดเลาะ  เจาะขนุน
เสนาะ  สำเนียง  เสียงสกุนต์
ละมุน  อ่อนหวาน  กังวานไพร
ลมชาย  สายธาร  ม่านน้ำตก
แผ่ปก  นกปลา  พนาศรัย
ธรรมชาติ  มานะ  เจียระไน
ป่าให้  ร่มเย็น  เป็นพิมาน
ดลความ  ชอุ่ม  แหล่งชุ่มชื้น
ดาษดื่น  ชีวา  ผลาหาร
ให้อยู่  ยืนยง  คงกัปกาล
เจือจาน  โลกา  มานานนม
มีป่า  จึ่งมี  ซึ่งชีวิต
สถิต  สงบ  สบสุขสม
สิ้นป่า  สิ้นสินธุ์  คนสิ้นลม
สังคม  ล่มหาย  สลายพลัน

แก๊งใจสัตว์

ศรีสมภพ


ธรรมชาติ.. จัดแจงแบ่งที่อยู่
สัตว์ต่างรู้สัญชาตญานแห่งย่านถิ่น
อยู่โดดเดี่ยวหรือรวมฝูงมุ่งหากิน
ป่าปกดิน ดินสร้างป่ามาช้านาน
ป่าผืนกว้าง..ฝั่งด้านตะวันตก
ผืนป่าปกอันอุดมผสมผสาน
ด้วยเหตุผลเป็นต้นน้ำแหล่งลำธาร
ความหลากหลายในพืชพันธุ์ตระการตา
สัตว์หายากหลากพันธุ์มีนานนม
ความอุดมกลมกลืนทั่วผืนป่า
ธรรมชาติจัดแบ่งเขต นิเวศวิทยา
สัตว์และป่า..จึงอาศัยได้เหมาะควร
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
เป็นหนึ่งบ้านสัตว์ป่าน่าสงวน
อนุรักษ์พืชและสัตว์จัดจำนวน
ชีวมวลล้วนหลากหลายให้ยั่งยืน
ธรรมชาติสัตว์และป่า ..บริสุทธิ์
แต่มนุษย์ ! มิหยุดยั้งยังฝ่าฝืน
เข้ารุกล้ำธรรมชาติสัตว์สะอื้น
วิ่งแตกตื่น.. สาดปืนใส่ไม่นำพา
เขาและเราเหล่ารวมเพื่อนร่วมโลก
ร่วมสุขโศกอกเดียวกันนั่นแหละหนา
ต่างรักตัวกลัวตายวายชีวา
ล้วนมีค่า ทั้งสัตว์คน..ทุกตนตัว !
แก๊งค์เครื่องแบบ..แสบซ่าน่าอนาถ
คนใจสัตว์ อุบติโหดความโฉดชั่ว
ล่วงบาปกรรมเมินกฎหมาย ไม่เกรงกลัว
ยมบาลท่านหมายหัว..ทุกตัวตน !
.........................................................................................................
จับแก๊งค์ พ.ต.ท. ล่าสัตว์สงวนในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จนท.ป่าไม้ลั่น ถ้าคดีล้มจะลาออกยกทีม
จนท.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ร่วมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าฯ ตำรวจ สภ.แก่งกระจาน จับแก๊ง “พันตำรวจโท สว.สส.ปราณบุรี” ยกพวกรวม 9 คนเข้าล่าสัตว์ในเขตอุทยานแห่งชาติแก

๏ ชวนเพื่อนเที่ยวเก็บเกี่ยวภาพมายา

อัลมิตรา


(๑)
๏ เมื่อมีความรู้สึกนึกอยากเที่ยว
ไปคนเดียวก็ได้ไม่เคยหวั่น
แต่ครั้งนี้อยากให้ไปด้วยกัน
จึงนัดวันรวมพล "ชลบุรี"
(๒)
คล้ายเนิ่นนานการพบสบตารัก
ด้วยเพื่อนรักอยู่ไกลหลายถิ่นที่
แต่เพื่อนตอบว่า "ไป" ใจเปรมปรีดิ์
ต้องอย่างนี้น้ำใจไอ้เพื่อนเกลอ
(๓)
เดือนตุลาฯ ครานี้ไม่มีกิจ (จิตอาสา)
อกทำพิษหมอนัดเกรงจัดเก้อ
นับถอยหลังขึ้นเขียงเสี่ยงโรคเจอ
ไม่เยิ่นเย้อเที่ยวก่อนตอนแข็งแรง
(๔)
ด้วยเป็นคนถิ่นกลอนตอนคิดเขียน
อยากปรับเปลี่ยนพิศภาพทาบสีแสง
ภาพมายาน่าฉงนบนปลายแปรง
สื่อแจ่มแจ้งเยี่ยงใดใคร่ติดตาม
(๕)
ภาพภูเขาลำเนาไพรในป่าชัฏ
มวลสิงสาราสัตว์จัดล้นหลาม
ข้ามสะพานม่านน้ำตกวิหคงาม
เวียงอารามซากอิฐประดิษฐ์กอง
(๖)
วิจิตรใต้ธาราปลาใหญ่น้อย
บอลลูนลอยฟ่องฟ้าน่าจับต้อง
เมืองเวนิชสวยล้ำน้ำคูคลอง
ฉากบ้านช่องสวยหรูดูตระการ
(๗)
ภาพโบราณรุ่งเรืองเมืองอียิปต์
เทพเกินสิบเรียงองค์ทรงประสาน
มิติเหมือนผจญภัยในตำนาน
อยากก้าวผ่านไปสัมผัสถนัดตา
(๘)
เผ่าพันธุ์สัตว์ล้านปีมากมีเห็น
ช่างโดดเด่นเกินเกริ่นประเมินค่า
แต่ต่อให้เกรียงไกรใหญ่ศักดา
ถึงเวลาก็ดับดิ้นสูญสิ้นพันธุ์
(๙)
ย้อนเทียบกับตัวเราคงเท่านี้
บาปบุญมีให้สดับยามดับขันธ์
ใครเล่าอยู่ค้ำฟ้ากว่าล้านวัน
สำนึกมั่นความจริง "สิ่งไม่มี"
(๑๐)
รำลึกภาพซาบซึ้งตราตรึงจิต
เขาเนรมิตรปวงเทพเสพย์สุขขี
สรวงสวรรค์อยู่หนใดใครรู้ดี
ฉันอยากมีปีกบินยังดินแดน
(๑๑)
จึงสวมปีกแนบกายใกล้ผ
หน้า / 6  
ทั้งหมด 95 กลอน