กลอนเสียใจ

โยนมันทิ้งไป

มะปรางจี๊ด


โอ้ชีวิตที่ผ่านแสนเศร้านัก
แม้มีรักก็ต้องพรากห่างไกลแสน
พรากจากเธอที่ฉันรักดั่งดวงแดน
แลหวงแหเธอยิ่งกว่าชีวีตน
คนเขาว่าละครเน่ากว่าชีวิต
คนเขาคิดละครเวอร์ชวนสับสน
แต่ละครก็เลียนจากชีวิตคน
ที่เล่นกลจนทำเราเสียน้ำตา
ใครจะรู้ว่าฉันต้องพรากจากรัก
ต้องอกหักเพราะปัจจัยอย่างที่ห้า
ต้องยอมพ่ายสิ่งที่เรียกว่าเงินตรา
ต้องจากลาเธอที่ฉันรักหมดใจ
ช่วงเวลาสามปีที่พ้นผ่าน
ฉันเฝ้าสานต่อความรักจนสดใส
แต่วันนี้เธอต้องพรากจากกันไกล
เธอรู้ไหมฉันทั้งเจ็บและทรมาน
ทำให้เกิดเป็นรอยแผลแสนสาหัส
มันถูกกัดกร่อนจนเกินจะผสาน
เป็นแผลเป็นในดวงใจที่ร้าวราน
เกินประมาณความเจ็บปวดที่ฉันมี
ยิ่งเธอบอกไม่ต้องรอหรอกที่รัก
ยิ่งช้ำหนักจนตัวฉันอยากจะหนี
ไปให้ไกลที่ที่ผู้คนไม่มี
ไปรักษาดวงฤดีก่อนกลับมา
แต่อย่างไรชีวิตนี้ต้องเดินต่อ
ไม่ย้อท้อแม้เจ็บปวดเกินรักษา
ขอบคุณเธอกับทุกสิ่งที่ให้มา
ขอบคุณฟ้าที่ให้เราได้รักกัน
ขอให้เขารักเธอกว่าที่ฉันรัก
ให้ทอถักดูแลเธออย่างสุขสันต์
เอาใจใส่ปกป้องเธอทุกคืนวัน
ให้รักกันเนิ่นนานกว่าที่เคยมา
ส่วนชีวิตของฉันต่อจากนี้
ขอแค่มีคนที่ดีเข้ามาหา
คนจริงใจที่มาช่วยฉันเยียวยา
ช่วยรักษาใจที่เจ็บให้หายพลัน
เราต่างต้องเดินหน้าไปกับชีวิต
อย่ายึดติดสิ่งที่ทำให้โศกศัลย์
ขออวยพรให้เธอสุขทุกคืนวัน
ขอให้ฉันพ้นความเจ็บทุกวันคืน

ไม่อาจรั้งเธอให้กลับมา

ก้าวที่...กล้า


ยามหัวใจร่ำไห้ .............. ครวญหา
มีแต่ความปรารถนา ....... แนบน้อม
ด้วยรักมั่นตรึงตา ........... ต่อพี่ เอยพี่
มันเจ็บปวดรุมล้อม ......... รัดให้ใจสลาย
เพราะนัยน์ตาคู่นี้ ............ เนิ่นนาน
จะกัปกัลป์ล่วงกาล .......... กี่ร้อย
เพาะรักจากดวงมาน ....... จรดจ่อ พี่เอย
จะกี่วันผ่านคล้อย ............ เคลื่อนได้เพียงวัน
.
.
ฉันมีเธอคนเดียวที่เหลียวหา
ในทุกความปรารถนาจึงกล้าเอ่ย
แม้ในฝันโหยหาอุราเอ๋ย
มันชิดเชยแนบสนิทในจิตใจ
จึงปวดร้าวข้างในดวงใจนัก
ยากหยุดยั้งห้ามหักในรักได้
ปล่อยน้ำตาท่วมท้นล้นอาลัย
แม้รักมากเพียงใดไม่อาจรั้ง
.
.
ฉันขอโทษ
ฉันขอโทษ
.
รักเธอคนเดียว
.

เหนือกาลเวลา

จ้อง - เจรียงคำ


จำได้ไหมวันแรกที่ฉันทัก
คือวันรักแรกพบ...อยากคบหา
จำได้ไหมแววแรก..สบสายตา
คือแววเปี่ยมปรารถนา..ที่อาทร
เธออาจเห็นฉันเป็นคนแปลกหน้า
เป็นคนกล้าพิกลคนกะล่อน
เป็นคนชอบพูดมากคนปากบอน
จนลืมสิ่งที่ซ่อน..ลึกข้างใน
ฉันภูมิใจที่ฉันกล้าไปทัก
ได้รู้จักต้นเหตุให้หวั่นไหว
เป็นก้าวที่เปลี่ยนฉันให้เปลี่ยนไป
เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
ถ้าเสี้ยวตัดสินใจในวันนั้น
เมินสัมพันธ์คงนึกรู้สึกผิด
คงพลาดแก้วมณีมาแนบชิด
สูญเสียสิทธิ์ประจักษ์ถ่องรักแท้
คนพูดมากปากบอนตอนแรกพบ
เธอเลี่ยงหลบ..ลึกลึก..รู้สึกแย่
เพราะมั่นจึงแวะเวียนมิเปลี่ยนแปร
จนเธอเผลอพ่ายแพ้ความตั้งใจ
เมื่อประตูสู่ใจเธอไม่ปิด
จึงโอกาสหัวจิตเปิดชิดใกล้
คนที่ไม่เข้าท่ามากกว่าใคร
เธอเห็นแล้วใช่ไหมความทุ่มเท
แม้ผ่านมาแสนนาน...ไม่ผ่านพ้น
ตรึงเต็มห้วงกมลมากล้นเล่ห์
และตราบชั่วชีวาตม์คาดคะเน
ใจสดับรักเห่..เหนือเวลา
จำได้ไหมวันแรก..ที่ฉันทัก
คือวันรักแรกพบ..อยากคบหา
และจำไว้..ทุกวารที่ผ่านมา
ฉันยังคงรักษา..สัญญารัก
จากวันนั้นจนถึงซึ่งวันนี้
ความรู้สึกแสนดียังแน่นหนัก
แม้มิอาจคำรบย้อนสบพักตร์
แม้เราจักจากพ้น..คนละทาง
เธอคิดถึงเหมือนฉันคิดถึงไหม
จะเพราะด้วยสิ่งไหนทำไกลห่าง
เยื่อใยความผูกพันอันเบาบาง
ไม่มีวันเลือนราง....แม้ต่างภพ
ครบรอบวันพรากกายเธอวายวาง
ประทับร่าง............สู่สุคติภพ
~ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๔ ~

..กลอนบทนี้ที่!หวั่นไหว..

พิมญดา


หากไม่รัก.อย่าทักอีกอันขาด
เพราะฉันอาจ..น้อยใจไปกว่านี้
ผิดมากเลยใช่ไหม..ไม่รักดี
หรือเพราะมี..ความต่างทางที่เป็น
ฉันมันแค่..คนหนึ่งซึ่งถูกวาง
ตามรายทางของรัก..มักไม่เห็น
ความสำคัญของฉันมันยากเย็น
เพราะฉันเป็น..แค่ลมที่พรมใจ
จึงไม่ใช่..คนดีที่ถาวร
ดั่งบทกลอน..บทนี้ที่หวั่นไหว
บันทึกถ้อยร้อยความตามทรวงใน
นึกน้อยใจ..รักหนอ พอสักครา
เมื่อต้องมนต์คำสาปจากเบื้องบน
คงต้องทนต่อไป..ใครห่วงหา
ผิดใช่ไหมให้เรา.เศร้าอุรา
ฤา!เพราะว่ากรรมเก่า..เราแต่กาล
หากไม่ดี..หนีไปก็ไม่โทษ
จะไม่โกรธเคืองใด.ให้หักหาญ
ขอยอมรับผลกรรมตามบันดาล
ปิดตำนาน..หัวใจ..ไร้รักเอย

วันวานยังหวานอยู่

บนข.


วันวานยังหวานอยู่
แต่วันนี้กลับหดหู่รับปีใหม่
หรือเกิดเหตุอาเภทใด
โน่นปีเก่าผ่านไปปีใหม่มา
แว่วเสียงเพลงบันเทิงเถลิงศก
แต่เรากลับตระหนกได้ไงหว่า
กี่ปีผ่านเราก็ผ่านกาลเวลา
แห้งโรยราย่อยยับไปกับวัน
วันวานยังหวานอยู่
แต่วันนี้กลับหดหู่ไม่สุขสันต์
แม้นฤกษ์งามยามดีปีใหม่วัน
ดูซิฉันกลับผ่านโดนผลาญวัย
จะปีใหม่วันใหม่ช่างใครเถอะ
ฉันไม่เซอะว่างามตามเงื่อนไข
เก็บวันวานหวานกรุ่นพออุ่นใจ
ยิ้มละไมกับกาลที่ผ่านมา
วันวานยังหวานอยู่
แต่วันนี้กลับหดหู่ไม่เข้าท่า
ว่าจะยิ้มสักนิด...อนิจจา
รอยตีนกากลับเด่นเห็นเป็นรอย
จึงจำใจกล้ำกลืนฝืนยิ้มแหย
โบกมือรับความแก่อยู่เหงาหงอย
โอ้ความหนุ่มยากยื้อยุดมันหลุดลอย
เหลือเพียงน้อยนับสั้นทุกวันคืน
วันวานยังหวานอยู่
แต่วันนี้แม้นหดหู่จะขัดขืน
จะเรียกวันหวานๆในวานซืน
มาหยิบยื่นความหวานในวันนี้
ฉันจะยิ้มรับขวัญวันปีใหม่
ฉลองวันฉลองวัยให้สุขี
ให้ทุกวันเป็นวันหวานซ่านฤดี
ตีนกามี...ผมสี(ขาว)บ้าง...ช่างหัวมัน

กลอน-เก่า-เก็บ

-ดิสยเมธา-


เคยจับเจ่าหลาบจำกับความเจ็บ
เขียนมันเก็บเป็นกลอนตอนสิบหก
คงเหลือเพียงรอยจางดูร้างรก
ฝุ่นเปื้อนเปรอะสกปรกแปดศกปี
ชักลิ้นชักอย่างละมุนยังฝุ่นคลุ้ง
มีฝูงยุงพุ่งออกมาพากันหนี
โอ้เจ้ายุงอย่าถือโกรษขอโทษที
ที่รุกรานสถานที่ที่เจ้าครอง
เศษกระดาษ-กระจัดกระจายมิได้จัด
จับยัดยัดสุมสุมเอาพร้อมข้าวของ
กองกระดาษขาดฉีกอีกหนึ่งกอง
คือสุดท้ายอันหมายปองขอมองชม
เพลินรอยทดบทกวีทีละหน้า
ล้วนขีด 'ฆ่า' ด้วยจิตข้ามันขื่นขม
เปลี่ยนสำนวนปรวนแปรแล้วแต่ลม
เหมือนอารมณ์แปรปรวนล้วนแต่เลว
บ้างร้อยเรียงไพเราะเพราะคัดใหม่
หากเขียนได้มินานนมก็ล้มเหลว
คนอย่างข้าจับจดโทษข้าเลว
จึงแหลกเหลวดั่งโคลนเลนเช่นชีวิต
เพียงบทเดียวบาทเดียวรวดเดียวจบ
สมบูรณ์ครบคล้องจองครรลองจิต
บรรทัดเดียวสองวรรคจากชีวิต
ขึ้นต้น'ดิส...' ชื่อเจ้าตามด้วยนามสกุล
นามเจ้าเพราะกว่ากวีแห่งสวรรค์
แม้นออกเสียงเพียงโลกันตร์ก็พลันหมุน
เปี่ยมสัมผัสนอกในอันหวานละมุน
ทั้งทารุณ-การุญข้ามานานปี
กลอนเก่าเก็บบทนี้แปดปีกว่า
เขียนขึ้นมาไว้ประจักษ์เป็นสักขี
เพียงบทเดียวรักเดียวคือเจ้านี้
ผู้เป็นอนุสาวรีย์แห่งหัวใจ

เสียงสะท้อนจากสายลม

กระบี่ใบไม้


วันเวลาช่างแสนสั้นในวันนี้
สะท้อนทุกความ...รู้สึกดี...รู้สึกได้
จำทุกความห่วงหวงเคยห่วงใย
แหลกสลายหมด...สิ้นไป...กับสายลม
ช่วงเวลาช่างแสนสั้น...หนอวันนี้
ไม่มีแม้เสี้ยวนาทีที่เหมาะสม
ความห่วงใยกลับคลับคล้ายของแหลมคม
กรีดจม ลึกล้ำ ไร้คำลา
อาจไม่มี “ถ้อยคำขอโทษ”
ตอบอารมณ์รู้สึกโกรธที่ทายท้า
มีแค่เพียงความอ่อนไหวในสายตา
บอกกับเธอเสมอมาไม่เปลี่ยนแปลง
รอคอยเธออยู่
ณ อีกฟากหนึ่งของประตูที่อับแสง
ยังคงผูกพัน...ต่อให้อีกฟากนั้นคือกำแพง
หนาวเหน็บอาจดูรุนแรง...แต่ที่ทิ่มแทงปวดร้าวกว่า...คือรอคอย

กล่อมพี่......

โอ้ละหนอ


ทิพย์คนธรรพ์บรรเลงเพลงปี่พาทย์......
พริ้วระนาดขยับกรับสดับเสียง
ทิพยสรรพสิ่งยินสำเนียง
ร้อยจำเรียงเห่กล่อมเพรียงพร้อมกัน..............
กล่อมพี่ยาหลับสนิทนิทราพี่...........
หลับฝันดีพี่จ๋าอย่าโศกศัลย์
จงเป็นสุขในโลกอันเป็นนิรันดร์
สู่สวรรค์ชั้นฟ้าอย่าอาดูร.............
ทิพย์บรรเลงเพลงหวานแว่วผะแผ่วพริ้ว
พี่ละลิ่วสู่สวรรค์ชั้นไอศูรย์
ละทุกสิ่งทิ้งไว้ในกองกูณฑ์
สู่แสงสูรย์ไอศวรรย์วิมานแมน..............

ขอโทษ

สายลม ของความคิดถึง


อยากย้อนคืนเวลาผ่านมากลับ
ไม่อยากนับวันคืนขมขื่นหมอง
คืนสองเรามายังนั่งปรองดอง
หยุดความหมองแล้วหันหน้ามารักกัน
หยุดเวลาไว้ตรงนี้ตรงที่รัก
แล้วจะปักใจแน่ไม่แปรผัน
ขอย้อนกลับเหมือนเอ่ยเคยผูกพัน
หนึ่งร้อยพันขอโทษอย่าโกรธเลย
ขออภัยคนไม่ดีทำทำผิด
ไม่ได้คิดจงใจใคร่เฉลย
แค่อยากหยอกคนดีเหมือนที่เคย
ไม่คิดเลยหรอกว่ามาโกรธกัน
ยามฝนตกกลางดึกระทึกจิต
เฝ้าครุ่นคิดถึงวันวานที่ผ่านผัน
วันเศร้าเศร้าเริ่มเข้ามาหาทุกวัน
ใจหวาดหวั่นถึงวันเหงาเศร้าจังเลย

ซ่อนรักซ้อน

แมงกุ๊ดจี่


ก้าวข้ามผ่ามศีลธรรมกระทำผิด
นำชีวิตติดบ่วงสู่ห้วงเหว
ถูกประณามกล่าวขานสันดานเลว
ชีพแหลกเหลวมีบาปตราบวันวาย...
เมื่อมาพบคนที่ใช่ในวันผิด
ผูกดวงจิตเคียงกันในวันสาย
เมื่อพี่นั้น...มีเขาเป็นเงากาย
มิอาจหมายอยากครองเจ้าของมี
ไม่อาจทนยอมรับร้าวสับสน
ทุกข์หมองหม่นด้วยรักในศักดิ์ศรี
ยิ่งนับวันผูกพันเสริมเพิ่มทวี
ทางที่ดีควรจบเลือนลบรอย...
อยู่ในห้วงรักซ้อนมาย้อนผลาญ
เจ็บร้าวรานรักสะดุดเกินสุดสอย
เมื่อคนนั้นอีกคนเขายังคอย
น้องบุญน้อยขอพรากเดินจากไป
ชาตินี้น้องกระทำผิดชีวิตหม่น
ขอมุ่งตนสู่ทางธรรมน้อมนำใจ
อธิษฐานพบทางสว่างใส
ขอหลีกไกลจากบาปตราบสิ้นลม...

น้ำตาแกล้มเหล้า

ขุนพ่ายสุรา


ยิ้มรับโสด กับน้ำตา ผสมเหล้า
มันช่างเข้า กลมกล่อม หอมหวาน
รินใส่ปาก ฝากน้ำใจ ให้วันวาน
ที่เนิ่นนาน ต้องล้ม เพราะลมคน
ฉลองความโสด อย่างชื่นสม
นั่งภิรมย์กับรสเหล้า อย่างสับสน
เพราะภาพเก่ามันเศร้า เข้าเยือนยล
จนตาจน โทรมร่าง ทรมาร
ฝืนหัวเราะ ยิ้มเย้ย เลย ร้องไห้
ถามหัวใจ ไยเศร้า ไม่อาจหาญ
ทั้งที่รู้ ว่ารักนี้ ที่ทรมาร
ยังอาจหาญ ไปเลยเส้น เป็นรักกัน
รักด้านมืด ในมุมอับ จับต้องยาก
เพียงรักฝาก เพียงลม มาห่มฝัน
เพียงชั่วครู่ ชั่วครั้ง ที่รักกัน
ไม่มีวัน จะชื่น ได้รื่นรมย์
นำน้ำเหล้า เคล้าน้ำตา มาไล่รัก
ที่โซมนัก เพราะไข้ใจ ให้ขื่นขม
รักเอ่ย  จงถอนพิษเจ้าไปให้นานนม
ฝากรักขม กับน้ำเหล้า เคล้าน้ำใจ
ฯขุนพ่ายสุรา

YYYY อโหสิ YYYY

Boomerang


ในเมื่อเราอโหสิ..ดำหริชอบ
จะครบรอบวานวันคนพันหน้า
การผิดกฏข้อดีอย่าลีลา
ถูกตีตราประทับคำรับรอง
ตั้งสติให้เหมาะเฉพาะหน้า
ยังเต้นแร้งเส้นกามาฉลอง
อโหสิต่อกันฉันเป็นรอง
เพราะยังนองน้ำตาแสนอาลัย
คำเหน็บแหนมแถมมาภาษาวัด
พอฟุดฟัดหุนหันก็หมั้นไส้
เราต่างยื้อถือโกรธโจทย์เป็นใคร?
จำเลยใจ...ซึมเซาคือเราครวญ
อโหสิ...ทุกอย่างต่างความคิด
อยากถามเธอสักนิดคิดให้ถ้วน
ที่ห่างเหินเพลินไปใครเรรวน
ที่อบอวนอุ่นไอคือใครกัน?
วันนั้นเธอจากไปมีใหม่ชื่น
เคยระรื่นกลับล้าดูน่าขัน
เมื่อเธอพบคนดีร่วมชีวัน
หัวใจมันก็หมดสิทธิ์จะบิดเบือน
ในเมื่อเรา"อโหสิ"ดำหริชอบ
จะลับลอบดีกันฝันเถอะเพื่อน
ชีวิตคู่เป็นคี่...ไม่กี่เดือน
จะให้เหมือนเดิมนั้น..ฉันไม่เอา

รำลึกถึงคุณสืบ นาคะเสถียร

Boomerang


อยากกราบลงตรงตักมัวชักช้า
ได้แต่มา..กราบเตียง..เพียงก่อนค่ำ
ทุกผลงานคือแม่บทให้จดจำ
ทั้งถ้อยคำความคิดยากบิดเบือน
หัวใจท่านมั่นคงใส่ลงจิต
ให้สัตว์สิทธิ์เสมอกันเรียกมันเพื่อน
เคยเพลิดเพลินเดินป่าท่านมาเตือน
ไม่กี่เดือนกลับพิสูจน์..ที่พูดกัน
ม้วนถ่ายทำหยิบดูวันอยู่ป่า
เป็นกาลลา(น้ำตาหล่น)หรือหนนั้น?
สมองหมุนวุ่นวน..ทนทั้งวัน
ท่านแลกมันด้วยชีวิตถูกริดรอน
ยี่สิบปี..อำลา..ห้วยขาแข้ง
ผู้ยื้อแย่งผืนป่า..หน้าสลอน
การอุ้มชูอนุรักษ์ถูกพักตอน
คนใจบอน..มันฆ่าสัตว์..ตัดไม้งาม
สิ้นคุณสืบ นาคะเสถียร พร่ำเพียรบอก
คิดไม่ออกใช่ไหม?ไร้คนห้าม
จนภัยแล้งน้ำป่าไหลบ่าตาม
คิดถึงนาม..ไร้มโน..โชว์หัวควาย
แล่กวางหมีขี่หนัง..นั่งแทนเสื่อ
เอาหัวเสือแขวนข้างฝา..บ้าชิบ---
บ้านไม้สักพักบนเขื่อนเพื่อนมากมาย
ขอให้ตายเป็นสัตว์ป่าล่ากันเอง
หมดภาระจะต่อสู้...อยู่ก็ยาก
ท่านคิดมากทั้งเจ้านายหมายข่มเหง
แค่หนึ่งเปรี้ยงเสียงดัง..คืนวังเวง
คือบทเพลง..คาราบาว..อันยาวนาน
(แล้วจะให้เหลือแค่บทเพลงเป็นตำนานแค่นั้นหรือ?)
.........ด้วยความระลึกถึงคุณสืบ นาคะเสถียร...........
(ที่ครบรอบ 20ปี การจากไปของท่าน)
http://songforlife.exteen.com/20090328/entry-17

**สืบ...ตำนาน**

คนกุลา


๐ เสียงปืนปังดังลั่นสนั่นป่า
เลือดแดงทาคราซบลงทบฝัน
หากเป็นใครไม่กล้าเกินจาบัลย์
ปลิดชีพนั้นพลันดับกับมือตน
๐ หวังใดซึ่งจึงกล้ามาลาโลก
ปลิดดอกโศกเศร้าล้ำมานำหน
เพื่อหวังสื่อสารนำย้ำผู้คน
พลีค่าล้นตนมีชีวีเดียว
๐ เคยคิดกันบ้างไหมให้ใครคิด
คนทำผิดชนิดไหนใครเฉลียว
“สืบ”ทอดร่างวางวายเพียงดายเดียว
ให้ธารเชี่ยวอนุรักษ์ได้ถักทอ
๐ ครบวาระจะวนจนบรรจบ
เวียนมาครบคราใหม่มีไหมหนอ
จะสืบสานงานอย่าง “สืบ”ถางรอ
หรือเพียงต่อตำนานพอผ่านไป
๐ เสียงปืนปังดังลั่นสนั่นป่า
มีใครกล้าองอาจประกาศไหม
แต่วันนี้สู่ฝันอันแสนไกล
กล้าพลีใจดวงหวัง ดังสืบทำ
คนกุลา
ในวสันต์
เขียนเพื่อค้นหาสำนึกอนุรักษ์แห่งตน
เป็นอนุสติเพื่อระลึก ในโอกาสครบรอบยี่สิบปี
ถึงการจากไปของ สืบ นาคะเสถียร

..รอยกรรม..ช้ำจนตาย..

พิมญดา


เคยคาดหวังมากมายที่รายล้อม
แต่ต้องยอมแพ้พ่ายความผิดหวัง
จะไขว่คว้าอันใดไม่จีรัง
สุดจะหยั่งยากถึงจึงต้องตรม
ห้วงคำนึงโดดเดี่ยวเหนี่ยวโน้มจิต
เหมือนลิขิตชีวิตให้ขื่นขม
ปราถนาสิ่งใดไม่ภิรมย์
มันถาโถมย่อยยับจับทั้งใจ
เรียกตัวช่วยที่ไหนไว้ปรึกษา
เห็นมีแต่น้ำตาที่รินไหล
จะกู่ก้องร้องเรียกกับผู้ใด
นอกจากใจตัวเอง.เพียงเดียวดาย
ดูเหมือนว่าครายิ้มทิ่มหัวอก
น้ำตาตกข้างในใจสลาย
หากวันนี้พรุ่งนี้คือวันตาย
ยอมแพ้พ่ายลับลา. ..พาลบเลือน
กอดตัวเองเอาไว้ให้แน่นหนัก
หากความรัก-ความจริงไม่แม้นเหมือน
ทุกสิ่งอย่างนำพามาบิดเบือน
แล้วซ่อนเงื่อนรอยกรรม..ช้ำชีวี

ยามชัง

วิหก หลงลม


เมื่อยามรักหวานซึ้งตราตรึงจิคร
หนักเบานิดยังอภัยให้เสมอ
ทุกค่ำคืนหลับฝันพลันละเมอ
โทรหาเธออยากฟังคำจำนันจา
ก่อนเคยโทรบอกมาว่าคิดถึง
คำซึ้งซึ้งยังจำครวญคร่ำหา
ส่งข้อความถามสุขทุกเวลา
อยากเห็นหน้าทุกนาพี่ได้ยิน
มาครานี้โทรไปไม่ค่อยรับ
ไม่โทรกลับเหมือนเก่าเล่าโฉมฉิน
หรือปิดเสียงเกรงใครจะได้ยิน
หรือกลัวใครติฉินพานินทา
สุดระทมขมขื่นไม่ชื่นจตร
รักเป็นพิษคนใจดำทำเสียหน้า
ไม่บอกกล่าวเล่าแถลงชี้แจงมา
เจ็บอุราเพราะเหตุอาเพศใจ
พี่บอกรักก่อนหน้าว่าปากหวาน
มารำคาญตอนนี้มีที่ไหน
ใยไม่เอ่ยขุ่นเคืองเรื่องความใน
เปิดเผยใจให้รู้ดูคนดี
พี่ผิดไรหรือใจน้องแปลเปลี่ยน
ชายอื่นเวียนจีบสาวเล่าโฉมศรี
จึงตัดรักตัดใยตัดไมตรี
ตั้งหลายปีปลูกรักบ่มพลันล้มคลืน

จากห้องนอนถึงห้องน้ำ

บนข.


๑ รำพัน
เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วฟังแว่วหู
ไก่มันรู้เวลาลุกจึงปลุกขัน
คนฟังเสียงไกอยู่ก็รู้พลัน
ว่าใกล้วันรุ่งแสงสุริยา
จะได้เตรียมรับขวัญตะวันใหม่
เตรียมกายใจสู้งานกันถ้วนหน้า
อย่ามัวหลับพับหงอรอเวลา
ขืนเนิ่นช้าตะวันกลายจะสายไป
อนิจจาใครหนอจะลึกซึ้ง
รำลึกถึงบุญคุณของเจ้าไก่
อุตสาห์ขันเจื้อยแจ้วแล้วเป็นไง
เขากลับใส่โมโหทำโกรธา
คนจะนอนหนอยแน่มาแส่ขัน
แต่ดึกยันรุ่งสางสว่างฟ้า
รำคาญหู รำคาญใจ ไม่เข้ายา
เดี๋ยวจับปิ้งแกล้มสุราจะว่าไง
นี่แหละหนาชีวิตไก่ใครปกป้อง
ส่งเสียงก้องปลุกคนพ้นหลับใหล
ทองหลังพระงามล้นใครสนใจ
ก็เหมือนไก่ขันก้องร้องปลุกคน
ฉันนอนฟังเสียงไก่ใจเป็นสุข
ไข่ขันปลุกฟังเพราะเสนาะล้น
มิได้คิดเคืองไก่ในใจตน
คิดแยบยลสุขเพียงสำเนียงมัน
แหงนมองดูนาฬิกาข้างฝาห้อย
เข็มเคลื่อนคล้อยบอกยามตีสามนั่น
ติ๊กต๊อกติ๊ก ติ๊กต๊อก บอกคืนวัน
ทุกคืนวันแว่วเสียงสำเนียงมา
อนิจจานาฬิกาไม่มีเท้า
แต่ใยเล่าจึงไปเดินอยู่ข้าฝา
แม้นว่าเป็นจิ้งจกไซร้ไม่สงกา
มันมีขาไต่เดินได้เพลินใจ
บางคนเห่อเย่อหยิ่งยิ่งขำขัน
เขาแข่งกันหาฬิกามาสวมใส่
ดูยี่ห้อหลากหลายวุ่นวายไป
แพงบรรลัยสุดแสนแขวนเวลา
ใช้ของแพงแล้วไหงเป็นไรหรือ
เข็มวิ่งปรื๋อเดินไวหรือหรือไรหว่า
หรือชั่วโมงนาทีทวีมา
มีมากกว่านาฬิกาข้างฝาใคร
มองเวลาแล้วเราเศร้าใจหลาย
วันคืนหายลับกาลที่ผ่านไหว
จะเรียกกลับคืนวันนั้นอย่างไร
สุดหัวใจจะฝืนเรียกคืนมา
หากเห็นเท้านาฬิกาที่
หน้า / 17  
ทั้งหมด 281 กลอน