กลอนให้ข้อคิด

โลกกว้างยังรอคอย

เปลวเพลิง


โลกนี้ช่างกว้างใหญ่
รอคอยเธอออกไปเพื่อค้นหา
จรดขอบฟ้ามหาสมุทรสุดสายตา
ยังรอคอยเวลาผู้มาเยือน
ท้องฟ้านี้ยังสีฟ้า
สายลมโชยกระซิบว่า"มาเถิดเพื่อน"
มาปลดทุกข์ที่แบกไว้ให้ลางเลือน
และเยี่ยมเยือนสุขีที่พริ้มพราย
ที่ตรงนี้มีร่มไม้มีสายน้ำ
รอเธอมาดื่มด่ำดับกระหาย
มีโค้งรุ้งงามนักแย้มทักทาย
วาดระบายเป็นสะพานทุกวารวัน
มาเถิด!  เพื่อนมา
มาเปิดหูเปิดตากว้างกว่าฝัน
ออกจากกรอบรอบข้างกีดขวางนั้น
เพื่อพบสิ่งมหัศจรรย์เกินบรรยาย
โลกนี้กว้างกว่ากว้าง
เธอไม่อยากออกไปบ้างหรือสหาย?
ออกจากกองตำราสุมรุมรอบกาย
เสาะหาความผ่อนคลายให้ชีวิต
ปล.อยากให้ทุกๆคนหาเวลาพักผ่อนบ้างนะครับ
โลกยังกว้างใหญ่รอให้เราไปรู้จักอีกมากครับ^^

นิทานเซ็น ตอน พระคุณแม่

กระบี่ใบไม้


พระ “โซจุน” ปฏิบัติธรรมอย่างสิ้นหวัง
ขณะไร้สิ้นกำลังแห่งมรรคผล
คิดกระโดดน้ำตายอย่างมืดมน
เพื่อดับความสับสนในหัวใจ
“...อธิษฐานแห่งหัวใจต่อสายน้ำ
ขอทิ้งร่างนี้ลงตามห้วยน้ำไหล
หากชีพนี้มีความหมายต่อใครใคร
โพธิสัตว์จงช่วยไว้มิให้ตาย
หากชั่วชาติชีวิตนี้ต้องมัวหม่น
จงสูบข้าใต้วังวนสิ้นสลาย...”
ขณะที่สำลักน้ำอย่างงมงาย
จิตประวัตินึกขึ้นได้ถึงมารดา
“เกิดเป็นลูกผู้ชายใดใจท้อแท้
คนที่เจ็บปวดแท้คือแม่ข้า
ร่างนี้ไม่ควรเป็นสิทธิ์ของหมู่ปลา
พระคุณแม่เหนือคงคาและสายธาร”
อาศัย“พระคุณ”ผู้กำเนิดเชิดหน้าสู้
พร้อมดำรงชีวิตอยู่อย่างกล้าหาญ
ก่อเกิดเป็น “พระอิคคิว” ในตำนาน
ย้ำเตือนถึง “พระในบ้าน” รีบแทนคุณ
พระโซจุน เป็นนามเดิมของพระอิคคิว(อิคคิวซัง) ขณะที่บวชที่วัดไซกอนจิ เมื่อครั้งหลวงพ่อเคนโอมรณภาพ ด้วยความกตัญญู โซจุนจึงออกจากวัดไซกอนจิไปพักที่วัดอิชิยามา เพื่ออดอาหารเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้หลวงพ่อเคนโอพระอาจารย์ของตนเองต่อหน้าพระโพธิสัตว์ แต่ก็ยังไม่สามารถคลี่คลายความสับสนในจิตใจได้ จึงบังเกิดความเศร้าหมองและสิ้นหวัง ไม่รู้ว่าจะมีชีวิต ต่อไปอย่างไรและเพื่ออะไร ความสิ้นหวังนี้เกิดขึ้นรุนแรงจนทำให้โซจุนตัดสินใจกระโดดน้ำตายที่แม่น้ำเซตะ ทางตอนใต้ของทะเลสาบบิวาโกะ แต่เพราะคำว่า “แม่”คำเดียวที่ทำให้เขาระลึกขึ้นได้ และตัดสินใจดำเนินชีวิตอยู่อย่างกล้าหาญ โลกจึงได้รู้จักพระอิคคิวได้จนถึงป

ความต่าง - ความสุข

ภัคพล


ต่างความรู้ต่างความคิดต่างความฝัน
ต่างมุ่งมั่นต่างอดทนต่างฝึกฝน
ต่างแข่งขันต่างแกร่งแย่งต่างดิ้นรน
ต่างสับสนต่างครุ่นคิดต่างจิตใจ
มีสมองมีมือมีแข้งขา
มีเวลามีความหวังมีไกลใกล้
มีพลังมีดวงดาวมีทางไป
มีสายใยมีความรักมีผูกพัน
ก้าวต่อก้าวก้าวต่อไปถึงที่สุด
ก้าวเร่งรุดก้าวเร่งรีบก้าวล้มนั่น
ก้าวที่ดีก้าวรอบคอบก้าวฟ่าฟัน
ก้าวที่มั่นก้าวค่อยค่อยก้าวดีดี
พักผ่อนได้พักก่อนเถิดพักสักครู่
พักลองดูพักไตร่ตรองพักทุกที่
พักเก็บแรงพักเติมใจพักสักที
พักวันนี้พักวันไหนพักเพียงพอ
เพียงแค่คิดเพียงแค่ฝันเพียงเพื่อสร้าง
เพียงเดินทางเพียงศึกษาเพียงเติมต่อ
เพียงสามารถเพียงเคียงคู่เพียงอยากรอ
เพียงเกิดก่อเพียงสืบสานเพียงหวังเอง
วันข้างหน้าวันไหนวันนี้หรือ
วันนั้นคือวันสดใสวันเราเก่ง
วันแห่งฝันวันแห่งสุขวันครื้นเครง
วันที่เล็งวันที่ได้วันหมายปอง
สุขทั้งกายสุขทั้งใจสุขล้ำยิ่ง
สุขเสียจริงสุขสันต์สุขฉลอง
สุขเพราะรู้สุขเพราะคิดสุขเรืองรอง
สุขเป็นของสุขตัวเราสุขที่ดี.

กรุงเทพแตกแล้ว .

ทอรักแทนรัก


รัตนโกสินทร์แคว้น
แดนสุธาทิพย์สวรรค์
งามล้ำเกินคำพรร-
ณนาเทียบจะเปรียบเปรย
รัตนโกสินทร์แคว้น
กลายเป็นแดนสูญสังเวย
ก่ายศอก่อเกลือกเสย
เกยเป็นศพเสียดสุเมรุ
อโยธยาแก้ว
สิ้นลงแล้วทรุดลงเลน
แตกสามัคคีเบน-
เบือนเพราะผลประโยชน์ตน
กรุงเทพจะแตกแล้ว
เพราะแตกร้าวน้ำใจคน
ความรักยังขัดสน
สุดจะหามาบรรเทา
ฆ่าฟันกันล้างบาง
หมายวางตีนบนศพเขา
ประกาศชัยบนเลือดเรา
ฉลองเอาบนซากเมือง .

ฉันเป็นประชาชนคนหนึ่ง

เปลวเพลิง


ฉันไม่มีพลังอันศักดิ์สิทธิ์
เนรมิตเมืองนี้อย่างที่หวัง
ฉันไม่มีชีวีอันจีรัง
ที่จะยังคู่ฟ้าอย่างถาวร
ฉันมีเพียงสองมือและสองเท้า
ที่จะก้าวเดินตามคำสั่งสอน
และสร้างสรรค์ศรัทธาเอื้ออาทร
บนผืนดินมารดรนามว่า"ไทย"
ฉันมีเพียงชีวิตหนึ่งซึ่งสั้นนัก
แต่ฉันรักอุดมการณ์ความฝันใฝ่
เทิดชาติ ศาสน์ กษัตรา อ่าอำไพ
เทิดประชาธิปไตยสิทธิ์เสรี
ฉันไม่ใช่นักรบผู้กล้าหาญ
แต่พร้อมสู้ผู้รุกรานผู้กดขี่
เพื่อธำรงธงไทยในธาตรี
ให้คงมีงามสง่าวิลาวัณย์
ฉันเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่ง
ผู้ซึ่งหมายมาดชาติสุขสันต์
เลิกแบ่งแยก,สามัคคีทุกวี่วัน
ด้วยเราล้วนไทยด้วยกันถ้วนทุกคน

นิทานเซ็น ตอน เศรษฐีกับคนตกปลา

กระบี่ใบไม้


เศรษฐีคนหนึ่งถามคนตกปลา
“ทำไมท่านไม่หาเรือมาช่วย
ถ้าคิดอยากจะเป็นคนร่ำรวย
ท่านต้องหาเรือสวยสวยช่วยผ่อนแรง”
คนตกปลา ถาม“ได้เรือมาแล้วเป็นไง”
เศรษฐีตอบ “ออกเรือไปเผื่อขันแข่ง
สู่ทะเลลึกเพื่อหาปลาแพงแพง”
คนตกปลา แย้ง“ถ้าได้ปลาแล้วจะทำไม”
“ท่านก็ต้องเอาปลานั้นไปหาขาย
พอได้เงินมากมายก็เก็บไว้”
“พอท่านร่ำรวยขึ้นแล้วจะทำอะไร”
“ก็มานั่งตกปลาไง...ไร้กังวล...”
คนตกปลา “ขอโทษทีเถอะนะท่าน
สาธยายเสียร้อยพันแบ่งโภคผล
กะแค่เพิ่ม...คนตกปลา...อีกหนึ่งคน
ข้าไม่เห็นต้องดิ้นรน...ก็ตกเป็น”

เสียงจากธรรมชาติ

เปลวเพลิง


ฟังเถิดมนุษยชาติ
ฟังชายหาดคลื่นเห่ทะเลใส
ฟังแผ่นดินท้องฟ้าพนาไพร
สัตว์น้อยใหญ่ขุนเขาที่เฝ้าครวญ
ว่าเหตุใดหนา?
จึงทำร้ายโลกาให้ปั่นป่วน
ธรรมชาติวิปริตผิดกระบวน
ต่างแปรปรวนเช่นนี้ฝีมือใคร?
ป่าคงไม่ปล่อยน้ำดำสนิท
ดินคงไม่พ่นควันพิษฤทธิ์เผาไหม้
สัตว์คงไม่สร้างศาสตรามหาประลัย
เพื่อฟาดฟันผู้ใดให้สิ้นลม
ดูเถิดมนุษยชาติ
ความพินาศย่อยยับคงทับถม
เมื่อโลกร้อนน้ำท่วมฟ้าเป็นอาจม
คงน่าชื่นน่าชมสมดั่งใจ!

พ่อลูกกับแขนงไม้ไผ่

ครูตุ๊


ครอบครัวหนึ่งลูกมักทะเลาะกัน
สารพันมีปัญหาไปทุกเรื่อง
แม้ความเล็กความน้อยก็โกรธเคือง
เถียงต่อเนื่องทะเลาะกันเป็นประจำ
มาวันหนึ่งพ่อคิดจะสอนสั่ง
ให้มานั่งพร้อมหน้าพูดสอนพร่ำ
หยิบแขนงไม้ไผ่มาหนึ่งกำ
เพื่อหวังนำมาสอนลูกทุกคน
แจกแขนงไม้ให้คนละอัน
แทนความพันผูกรักหวังให้ผล
ใช้แขนงไม้นั้นแทนตัวตน
ในกมลแทนความรักมีต่อกัน
พ่อบอกให้ลูกทุกคนหักไม้ไผ่
แล้วก็ได้เห็นแขนงทุกอันนั่น
อย่างง่ายดายไม้หักลงฉับพลัน
เปรียบไม้นั้นเป็นตัวใครตัวมัน
พ่อให้หักอีกครั้งไม้ทั้งกำ
ทุกคนทำไม่ได้อย่างมุ่งมั่น
พ่อบอกว่าอยากให้เปรียบเทียบกัน
เห็นไหมนั่นสามมัคคีแล้วแข็งแรง
แล้วสอนลูกว่าการอยู่ร่วมกัน
จะคงมั่นรวมกันช่วยให้แกร่ง
ต้านศัตรูและผองภัยดั่งกำแพง
ยากจะแบ่งแยกเราแตกกันไป
นิทานนี้ต้องการจะสอนสั่ง
รวมพลังสามัคคีเราอยู่ได้
หากแตกความสามัคคีแล้วไซร้
ชาติไหนไหนอยู่ไม่ได้แม้หนึ่งคน

เปิดภาคเรียน

คนกรุงศรี


เปิดภาคเรียน ครั้งใด ใจก็กลุ้ม
ความเครียดเริ่ม เข้ารุม สุมสมอง
ก็ไอ้เรื่อง จับจ่าย ใช้เงินทอง
ที่จะต้อง เตรียมการ วันเปิดเรียน
ลูกสองคน หวังไว้ ให้ศึกษา
เพราะเห็นว่า สำคัญ เรื่องอ่านเขียน
เขาก็ดี ขยัน หมั่นพากเพียร
เพื่อจะเปลี่ยน วิถี ชีวีเรา
เงินของรัฐ จัดสรร แบ่งปันให้
แต่ต้องเพิ่ม เรื่องจ่าย อีกหลายเท่า
รีบวางแผน จัดการ พลิกผันเอา
อย่างเสื้อผ้า ใช้ของเก่า ก็เบาไป
เงินสะสม เอาไว้ พอไหมหนอ
มิมัวรอ เตรียมการ รีบแก้ไข
ทองสลึง จำนำ ด้วยจำใจ
แม้เพิ่งไถ่ เมื่อเดือนก่อน ตอนพอมี
ถ้าไม่พอ ก็ต้อง ลองไปกู้
หาคุณครู ถามเขา เท่าไรนี่
ขอให้ช่วย ผ่อนผัน กันอีกที
สิ้นเดือนนี้ เบิกนาย ให้หมดเลย
ทำงานหนัก หวังให้ลูก ได้สุขสม
แม้ทุกข์ตรม ลำบาก ยากเหลือเอ่ย
จงตั้งใจ ศึกษา เถอะทรามเชย
ไร้ความรู้ นะลูกเอ๋ย    พ่อเคยมา

ฝนใหม่ฮวยอีสาน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


ปลายฤดูคิมหันต์ตะวันพลบ
จะเข้าหลบหลืบฟ้าเวลาฝน
เร่งควายขึ้นจากน้ำลาลำชล
สู่ฟางป่นคอกเก่าเสาเซเอียง
ลมไล่หลังครางครืนทวงผืนนา
ระหว่างฟ้าเอื้อนคำสำเนียงเสียง
นกถลาจากดินขึ้นบินเรียง
คงอยากเคียงลูกอ่อนก่อนฝนริน
หนอพี่ชายไอ้ตัวเล็กเก็บผ้าอ้อม
เหนือรั้วล้อมราวตากรักเขตถิ่น
ชายคารองรางไม้ไว้ดื่มกิน
เมื่อฝนรินตุ่มงามน้ำเติมเต็ม
เขียวมัดกล้าแต่ละมัดที่หยัดยืน
ต่อคนฝืนทั่งแกร่งเป็นแท่งเข็ม
ทุกปักดำกล้าไหวใบโลมเล็ม
จางเหงื่อเค็มเจือน้ำฉ่ำโคลนตม
เมื่อมวลเมฆอวบน้ำเต็มโอบอุ้ม
เตรียมปิดคลุมถ่านไม้ใช้ผ้าห่ม
หลบละอองฝนใหม่เริงสายลม
หากเปียกพรมถ่านแห้งหมดแรงไฟ
ท้วงทำนองจั๊กจั่นแต่วันวาน
จะขับขานร้องรับกับฝนใหม่
สังกะสีหลับนอนแต่ตอนใด
จะรัวไหวลายบรรเลงเพลงหลังคา
ทุกเรือนชานบ้านไหนในตำบล
คอยรับฝนสู่วันที่ฝันหา
ต้นวสันต์ผ่านร้อนค่อนเวลา
ความเป็นนาแต่หลังก็พรั่งพร้อม
พลิ้วเสียงฝนแรกตกกระทบโสตฯ
รินสะกดลานดินโชยกลิ่นหอม
งามดอกไม้ภูมรินเคยบินตอม
ก็ถูกย้อมน้ำฟ้ามาแต่บน
หอมเอยหอมกรุ่นกลมเมื่อฝนต้อง
ฟ้าร่ำร้องสั่งว่าสู่หน้าฝน
สังกะสีร้องขานบันดาลดล
แล้วเสียงมนต์เพลงสวรรค์ก็บรรเลง
-----------------------------------------------
หวานน้ำรองชายคาแรกหน้าฝน
ดื่มกับมนต์เพลงสวรรค์ที่บรรเลง
“วันฝนแรกแห่งฤดูฝนเดือนหก”
“เบื้องหน้าข้าพเจ้าขณะนี้ลมฝนใหม่
กำลังพัดพลิ้วยอดใบไม้ใบหญ้า
อุ้มไอความเย็นมาจากไหนก็ไม่รู้แสนฉ่ำเย็

เด็กน้อยกับมะม่วง

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


เด็กน้อยกับมะม่วง
มะม่วง มะม่วงมัน มันเต็มต้น
ดกจน เกินใจ ไว้เกินห้าม
หัวโจก นำหน้า พาปีนตาม
แอบยาม ชายชรา หลับตานอน
ปีนปีน แยกย้าย กันไปปีน
เด็ดโยน ลงดิน ตุนไว้ก่อน
ระวังนะ มดกล้า จะมารอน
เนื้ออ่อน เจ็บช้ำ ยามมันกัด
"เบาเบา อย่างดัง ระวังตา..
รีบเก็บ ใส่ผ้า อย่าให้พลาด...
เจ้าของ มะม่วง หวงชะมัด...
กลัวเขา ไล่ฟาด ตีพวกเรา..."
"พูดอะไร ใครหยุด พูดกับข้า?"
หัวโจก มองมา ทำหน้าเขลา
จำเป็น นี่หวา จะพูดเบา
"หูเน่า รึไง ไม่ได้ยิน!"
มดแดง ก็หวง มะม่วงมาก
กัดกระชาก เนื้อหนัง อย่างบ้าบิ่น
อดทน อย่างมาก เพราะอยากกิน
รีบปีน รีบเก็บ โอยเจ็บตัว
แค่จาม เบาเบา เสียงเหล่านั้น
เด็นหนอ ก็สะท้าน กันไปทั่ว
เดี๋ยวเขา จับได้ ใจมันกลัว
ตัวเบา ขั้นเทพ เก็บให้ไว
พอเสร็จ ก็หาร เป็นขั้นตอน
หัวโจก เอาก่อน ค่อยทอนใหม่
คอยแบ่ง คอยหาร อย่างมั่นใจ
ลักมะม่วง ลูกใหญ่ ขอโทษที
เดินไป กินไป มะม่วงมัน
เป็นสุข สนุกสนาน กันเต็มที่
เลาะนา ผ่านนา คันนามี
น้องพี่ เตี๊ยสูง จูงกันมา
เฮ๊ยมา ทางนี้ มีแข่งขัน
วิ่งกัน ฉุกละหุก ไปทุกหน้า
บ้างล้ม คะมำหก ตกคันนา
เพื่อนหัว เราะร่า ว่าโง่จริง
เทียวเล่น ตามนา ประสาเด็ก
ตัวเล็ก ยังนึก รำลึกยิ่ง
ซุกซน ราวค่าง ไม่ต่างลิง
ทุกสิ่ง ล้วนงาม ตามเพื่อนพ้อง
กลับบ้าน ยามค่ำ ตะวันตก
เงื่อยซก ไหลบ่า เสื้อผ้าหมอง
มอมแมม อยู่นา ขอบฟ้าทอง
หิวข้าว เบาท้อง ต้องกลับแล้ว
แม่ไล่ อาบน้ำ แต่ยามค่ำ
บักคำ มากิ

โทษฉัน..วันเธอ(ประเทศไทย)พ่ายแพ้

จะไม่เด็ด.


ความแพ้พ่ายใช่เพิ่งจะเริ่มเกิด
ความเป็นเลิศใช่ว่าอยู่นานโข
ความเป็นไปสภาวะอกาลิโก
ตั้งแต่โบราณมา..ว่าจริงแท้
ความแพ้พ่ายใช่เพิ่งจะประสบ
กลการรบเลิศล้ำยังถลำแพ้
ชัยชนะจากคาวเปื้อนสะเทือนแด
ผ่านพ้นแค่..ประวัติศาสตร์..ที่อาจจะเป็น
อย่าร้อนรนทนท้อต่อการแพ้
รู้เพียงแต่...มีศรัทธาอย่าหลบเร้น
รู้สิ่งใดผิดถูกผูกประเด็น
อย่าว่างเว้นศีลธรรม..โปรดยำเกรง
หากที่สุดความหวังเธอพังพ่าย
อย่ามัวไปโทษฟ้าว่าข่มเหง
ขอโทษนั้นตกอยู่ที่ฉันเอง
เพราะมัวบรรเลงเพลงกวี..เสียดสีกัน
...แบบว่า

...ต่างวิธี...

ครูพิม


หากมุมมองของฉันไม่สรรค์สร้าง
เพราะเป็นทางต่างใจไม่อาจฝืน
แต่ละคนค้นขุดหาจุดยืน
ไม่อาจขืนให้ชื่นชอบตอบกลับมา
เธออาจเห็นว่าดีมีคุณยิ่ง
และเป็นสิ่งสำคัญด้นดั้นหา
เปี่ยมด้วยหวังตั้งมั่นในศรัทธา
แต่หาค่าจากฉันนั้นไม่มี
เธออาจเห็นว่าสวยด้วยสีสัน
หลากหลายพรรณปั้นแต่งแบ่งเส้นสี
จึงงดงามตามใจหมายให้มี
แต่ใจนี้ปรารถนาหาไม่เจอ
ต่างมุมมองของใจที่หมายคว้า
ปรารถนาแห่งใจใคร่เสนอ
ต่างวิธีที่คิดสิทธิ์ของเธอ
แต่พบเจอจุดหมายได้เช่นกัน
สู่จุดหมายปลายทางสร้างชืวิต
จะลิขิตเส้นใดให้ถึงฝัน
อย่าทำลายกรายทางสร้างชีวัน
เหยียบเพื่อนนั้นสู่จุดหมาย..ณ...ปลายทาง…
ครูพิม
๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

บิน

ฤทธิ์ ศรีดวง


จึงจำใจจับปีกบินอีกหน
เพื่อฝ่าฝนไปยังอีกฝั่งฝัน
มีเสบียงเลี้ยงกายได้หลายวัน
วางเดิมพันครั้งนี้ด้วยชีวิต
ข้ามมหาสมุทรครั้งสุดท้าย
เดียวดายอ้างว้างทุกทางทิศ
ขาดแคลนน้ำจืดและมืดมิด
หวั่นปลิดชีพคว้างลงกลางชล
ลมเห่เลโล่งสุดโค้งฟ้า
ทายท้าปีกแกร่งกับแผงขน
นกน้อยกบฏผู้อดทน
ยากใครสักคนจะเข้าใจ
จากรุ่งจวบแลงคอแห้งผาก
ถึงฟากฝั่งฝันจะวันไหน
ฟากฝั่งทั้งรู้ว่าอยู่ไกล
ปีกไหล่อิดโรยยังโบยบิน
ฝั่งโน้นคือฝันอันบรรเจิด
ไปเถิดหนอสัตว์ผู้พลัดถิ่น
ไปหาพืชพงและดงดิน
สูดกลิ่นกรุ่นหอมพยอมไม้
จวนสูรย์สูญแสงฟ้าแดงกล่ำ
ใกล้ค่ำฟ้าเรืองแลเหลืองใส
คลื่นขรมลมขับหนาวจับใจ
แลไฟลอยเรืออยู่เรื่อเรือง
ทะเลข้างหน้าซิข้าหวั่น
พรึงพรั่นอุกาฟ้าเหลือง
หากพายุโหดโกรธเคือง
เปล่าเปลืองแรงเจ้าจะเปล่าดาย
กลับมิวิตกแก่นกกล้า
วันหน้าไม่อาจจะคาดหมาย
ถ้าชะงักงันรอวันตาย
จักอายถ้ารู้ในหมู่นก
เมื่อกล้าก็ขืนไม่คืนกลับ
ขยับปีกแกร่งด้วยแผงอก
เห็นฝั่งรำไรแมกไม้รก
ถึงบกคงฟ้าอุษาจาง
ฉับพลัน!..ฟ้าโกรธและลมกราด
กัมปนาทแผดเสียงเปรี้ยงปร้าง
นกน้อยงุนงงหลงทาง
ปลิวกลางพายุราวธุลี
เรือล่มลมฉีกเป็นซีกชิ้น
กลืนกินอวนปลากลาสี
ขย้ำส่ำสัตว์เป็นบัตรพลี
แหลกในราตรีอันเลวร้าย
.........................................
แล้วแดดเช้าวาววับก็กลับหวน
ปูเสฉวนโผล่ปุ๊ปแล้วผลุบหาย
มีซากเรือเกลื่อนกลาดบนหาดทราย
กับซากนกนอนตายที่ชายเล….
๑ ธันวาคม ๒๕๕๒

เวลา กับ คำขอโทษ

ปุยเมจิกา


+++++++++++++++++++++
เคยถาม ตัวเอง บ้างรึเปล่า
ว่าชีวิต คนเรา จะยืนยาวแค่ไหน
หากเวลา ของวันนี้ หมดลงไป
เช้าวันใหม่ ยังเหลือไหม วันเวลา
เคยทำ อะไร ผิดไว้กับใคร
กล้าขอโทษ เขาไหม หรือไม่กล้า
เก็บคำขอโทษไว้ ผ่านไปกับเวลา
จนวันหนึ่ง คงหมดปัญญา ไปขอโทษใคร
++++++++++++++++++++++

++โอ้!...ชีวิต++

ภัทราภา


อันชีวิตคนเราช่างเศร้านัก
ไม่พร้อมพักความสุขซึ่งทุกข์หนี
ยังเวียนว่ายปะปนความเลวดี
มีราคีหมองมัวให้พัวพัน
มีใครบ้างเพียบพร้อมทั้งชีวิต
บ้างจริตมารยามาห้ำหั่น
มีเงินทองเหลือล้นหมื่นล้านพัน
ที่ทำกันเพียงอ้างความรวยจน
มีความสุขสุขที่ใจใช่สิ่งของ
เพียงเหลียวมองลอบข้างทุกแห่งหน
ตัดปัญหาเนื่องจากความมีจน
อยู่อย่างคนเห็นค่าของตัวเรา
ไม่ต้องเปรียบชีวิตกับคนอื่น
พาขมขื่นไม่มีเหมือนดั่งเขา
จงพอใจในสิ่งที่เป็นเรา
อย่าเอาเงาคนอื่นมาขืนตน
เกิดเป็นคนก็มีเพียงเท่านี้
ยังโชคดีมีสิทธิทำกุศล
มีโอกาสอย่าข้ามความเป็นคน
เร่งรู้ตนรู้อยู่คู่ความดี

ทำร้ายตนเอง

ลุงแทน


ตัดให้ได้ หนีให้ห่าง อย่าข้องจิต
อย่ายึดติด เป็นบ่วงมาร ผลาญสิ้นสูญ
อกุศล กลเล่ห์ร้าย หน่ายอาดูร
เหตุเป็นมูล แห่งอบาย หมายชีวัน
หนึ่งโลภะ สองโทสะ สามโมหะ
เป็นมละ แห่งมลทิน ถิ่นโศกศัลย์
ใครติดบ่วง ห่วงวงล้อ ต้องจาบัลย์
สูญสิ้นพลัน ทางสวรรค์ อันสุขใจ
* อันโลภะ หายนะ คือความโลภ
ต้องเศร้าโศก ความอยากได้ ให้หวั่นใหว
ไม่รู้จัก คำว่าพอ ให้ท้อใจ
มากแค่ใหน ไร้แผ่นดิน ก็สิ้นดี
อยากเป็นใหญ่ พอสมใจ ให้อยากเพิ่ม
ด้วยอยากเสริม บารมี ไม่ขวยเขิลล์
ในที่สุด ความยากมาก มาซ้ำเติม
ความเจริญ เริ่มเสื่อมถอย ต้องระกำ
** ก่อให้เกิด เพิ่มโทสะ ละไม่หยุด
คอยประทุ - ษร้ายใจ ให้เจ็บช้ำ
กลายเป็นโกรธ โทษอบาย กายหมองคล้ำ
เจ็บระยำ ย่ำผูกโกรธ โทษเพิ่มตาม
ก่อให้เกิด เป็นความแค้น แสนสาหัส
คิดกำจัด ตัดเสี้ยมหนาม ให้ย่อยยับ
ความโกรธแค้น ต่อตามเติม เพิ่มระดับ
อาฆาตกลับ สับใจตน ทนหมองใจ
*** เหตุเพราะหลง กลอบาย ให้ใจทุกข์
หลงจนสุด หลุดความดี ชีวีไหม้
ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว ร้ายหทัย
ความสดใส ไม่มีเหลือ เหยื่ออธรรม
เราต้องลด ลงต้องละ แล้วผละเลิก
ก่อให้เกิด เพิ่มความดี ไม่ถล่ำ
เตือนสติ คิดรอบครอบ ประกอบกรรม
กุศลธรรม นำชีวิต ปลิดบ่วงมาร
หน้า / 16  
ทั้งหมด 262 กลอน