กลอนให้ข้อคิด

ขิงกะข่า

ศรีสมภพ


ขิงกะข่า ข้ากะเอ็ง !

คือเรื่องจริงขิงก็รา.. ข่ายังแรง
ต่างตะแบงแย่งยื้อถือตนเหนือ
พริกแกงที่กลมกล่อมพร้อมจะเชื่อ
รสคงเบื่อ เมื่อขิงข่ากล้าหักหาญ
รสขิงแรง ..แข่งกะข่า ข้าต่างแน่ ไม่ยอมแพ้ปล่อยวางรสต่างต้าน แย่งกันแรงแข่งขันกันสะท้าน แย้งขนาน ไม่คลุกเคล้าเข้าเนื้อใน หากขิงข่า..สามัคคี ไม่มีแฝง พร้องสำแดง รสชาติไม่ขาดไข คงถูกปาก ถูกลิ้นคนกินได้ รสชาติใหม่คงปรากฎ..ได้รสแกง ขิงเจ้าข้า ! ข่าเจ้าเอ๋ย เคยเคียงข้าง แกงหลายอย่าง ไม่ห่างกันร่วมปันแบ่ง หากขิงข่าไม่แตกกันตะบันตะแบง คงเป็นแกงอร่อยเลิศประเสริฐศรี.. แกงเขียวหวาน แกงเผ็ดผัด รสจัดจ้าน มีขิงข่า มาเสริมสานผ่านวิถี หากสองฝ่ายไร้คุณค่าสามัคคี แกงรสดี จะมีได้ อย่างไรกัน !! คือเรื่องจริง.. อาจไม่จริงที่นิ่งอยู่ ต่างรวมหมู่ กู่ความชอบก่อม็อบปั่น ขิงไม่ราข่ายังแรงตะแบงตะบัน โศกนิรันดร์ มันยังรอ ..นะพ่อเอย.. ! ขิงกะข่า ข้ากะเอ็ง ..ต่างเร่งรุก ประเทศทุกข์ สนุกกันมันส์จริงเหวย เอาชนะคะคานกันอย่างเคย บทลงเอย..น่าสังเวช ประเทศไทย !!

๏.. ข้าวเต็มนา-ปลาเต็มน้ำ (จริงฤา)..๏

กิ่งโศก


      ๏ ณ.ผืนดินถิ่นนี้ .... ริมหนอง
สายคดเคี้ยวลำคลอง ..".ผ่านคุ้ง
สีงามอร่ามรวงทอง  ....  ทาทาบ ผืนนา
ชุ่มฉ่ำธรรมชาติฟุ้ง   .... อดีตฟื้นในฝัน ๚ะ๛
 ๏ ณ.แผ่นดินถิ่นเก่ายั้งเนาก่อน
เคยชอุ่มชุ่มซ้อนลุ่มดอนสวน-
เทือกนาไร่เบ่งบานกลั่นกระบวน
ต่างผลิช่อ-ออล้วนอวล-อรุณ 
 ๏ ณ.ริมข้างขอบหนองเคียงคลองน้ำ
มัจฉาว่ายหงายคว่ำย่ำธารขุ่น
ได้กินอยู่อุดมยิ่งสมดุล
ไม่แร้นแค้นเสพถุนสมบูรณ์ท้น
 ๏ ณ.รอยไถใต้ก้อนสะท้อนกลบ
ธัญญาหารหว่านหลบแทรกพบหล่น
ค่อยค่อยพรูใบผลิแทงปริพ้น
ชูช่อใบเหยียดต้นยลสุริยา
 ๏ ณ.ดินแดนแคว้นเก่าในเช้านี้
เขียวขจีความจริงบนสิ่งจ้า
เมล็ดข้าวเคลือบพิษปลิดชีวา
เพียงแค่ปลูกเพื่อค้าสิ้นค่าคุณ
 ๏ ณ.หนองนาวันนี้ปลาหนีหน่าย
ยากจะว่ายเวียนออเริงล้ออุ่น
โลกยุคใหม่กลายแท้มองแค่ทุน
ในสายชลก่นขุ่นฝุ่นราคี
 ๏ ณ.วารผ่านกาลเสมือนลับเลื่อนหมด
ข้าวในนาปลาถดลดวิถี
คุณค่าคำน้ำมีปลานาข้าวมี
คงเหลือน้อยถ้อยพจีหริบหรี่จาง ๚ะ๛
          + กิ่งโศก +
     ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖
พระศุกร์  แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปี มะเส็ง
ช่วงนี้ข้าพฯคงป่วยด้วยโรค "หิวข้าว" จึงมีคนให้ยาข้าพฯ เพื่อรักษาโรคนี้ แง๋มๆๆ เพราะเห็นข่าวว่า ใช้สารเคมี รมข้าว อบข้าว ...ทนกินเพราะทุนนิยม ของคนไม่กี่คน นี่แหละน๊าๆๆ

ปั่นพิชิตโลก

ศรีสมภพ


ปั่นพิชิตโรค
 
ปั่น ปั่น
ปั่น ..ปั่นไปในโลกกว้าง
ปั่นเพื่อสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง
ปั่นเพื่อสร้างหัวใจให้แข็งแรง
ปั่นเพื่อแข่งสู้โรคร้ายทั้งหลายแหล่
ปั่น ปั่น ปั่น..ปั่นไปอย่าได้ท้อ อย่ามัวรอผลัดวันไปเอาให้แน่ หนทางรอดรออยู่หน้าอย่าท้อแท้ คงตายแน่หากแพ้ใจ.. ยอมพ่ายมัน สุขภาพดี..อยู่ที่ตนต้องทนทำ ใช่หาซื้อเป็นกอบกำทำขายนั่น แค่หนึ่งใจกับสองขากล้าจะปั่น โรคหลายพลันอันตรธาน..ไม่นานรอ ปั่น ปั่น ปั่น ..ปั่นไปในโลกกว้าง สองข้างทางใช่ร้างไร้ไมตรีหนอ เพื่อนนักปั่นพร้อมร่วมทางไม่รั้งรอ เช่น " เฮียฮ้อ " พิชิตชัยหลายโรคมา นักปั่นนครปฐม.. ชื่นชมท่าน ฝ่าฟันผ่าน 18 โรค โชกโชนกล้า " เฮียฮ้อร้อยโล " โชว์ให้ชมสมฉายา โรคหลากหลายพ่ายเขาหนา.. ยอมปราชัย !!

http://www.youtube.com/watch?v=fwZ7TRq3Xhk

แม่เป็นหลายๆ สิ่งเพื่อเรา

Phatcharapol


          แม่ช่วยสอน การบ้าน งานต่างต่างแม่เคียงข้าง ยามลูกนอน ตอนหลับฝัน
แม่ทำกับข้าว ให้ลูกยิ้ม อิ่มทุกวัน
แม่อดทน อดกลั้น นั้นเพื่อเรา
          แม่ดีใจ เมื่อลูกนี้ มีความสุข
แม่เป็นทุกข์ เมื่อลูกแสน เศร้าโศกเหงา
แม่คอยเป็น แหล่งพัก รักบรรเทา
แม่ของเรา คือรักแท้ แน่นอนใจ          แม่หวังให้ เรานั้นเก่ง กอบการกิจแม่บอกลูก งานสุจริต ชีวิตสดใสแม่รู้ว่า อาจไม่ร่ำ รวยเหมือนใคร
แม่เข้าใจ ในตัวลูก และรู้ดี            
          แม่ประคองมองลูกรัก ด้วยดวงจิต
แม่รักเรา เท่าชีวิต มิหน่ายหนี
แม่ฝากรัก หมดทั้งใจ ให้คนดี
ลูกคนนี้ รักแม่มาก จากใจเอย   

เป็นธรรมดา

เฌอมาลย์


เป็นธรรมดาสามัญทั้งนั้นหนอ
มีเกิดก่อตั้งอยู่เพียงครู่หนึ่ง
ประเดี๋ยวผ่านผันไปให้รำพึง
ก็คงถึงคราวดับลับลาไป
ไม่มีใครหลีกพ้นวังวนชีวิต
กรรมลิขิตขีดค่าอายุขัย
สุดแต่กรรมกำหนดกฎเกณฑ์วัย
แค่เพียงลมหายใจไยหวั่นกลัว
ทำวันนี้ให้ดีที่สุดคือจุดเปลี่ยน
จุดแสงเทียนนำใจไร้สลัว
เตรียมเสบียงสร้างบุญหนุนนำตัว
ละความชั่วน้อมนำธรรมใส่ตน
ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อคนอื่น
จงรู้ตื่นรู้เบิกบานสานกุศล
ความเกิดแก่เจ็บตายว่ายเวียนวน
ยากหลุดพ้นทุกชีวิตอนิจจัง
ความไม่เที่ยงเป็นเช่นนี้นี่แหละหนอ
ดุจวงล้อเวียนวนแต่หนหลัง
ผลัดกันเล่นละครก่อนเอวัง
บนโลกฝังความหมายหลายชีวี
อย่าร้องไห้เสียใจเมื่อใครจาก
เมื่อมีพบย่อมมีพรากยากหลีกหนี
ทำใจพร้อมยอมรับโดยดุษฎี
อีกวิธีเผชิญหน้าความอาลัย
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป 
หลังจากไปทำบุญมาฟังพระท่านเทศน์เรื่อง..เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป

พุทธทาส

ศรีสมภพ


วันนั้น.. ผ่านไปในทรงจำ
วิบากกรรมย้ำเห็นเป็นเช่นนั้น
กระทบมากระแทกไปในเร็วพลัน
สะใจฉัน มั่นในจิต ..อนิฏฐารมณ์

วันนั้น.. ผ่านไป ใช่วิเศษ
สุมกิเลสเวทนา อย่างสาสม ตะเกียกตะกายไปต่อก็จ่อมจม ลุกแล้วล้ม จมอบายอย่างไรแน่ ? วันนั้น.. ยังวาดหวังเห็นฝั่งข้าม ยึดนิยามต้องต่อสู้ รู้ว่าแพ้ เวลาเปลี่ยนเวียนไป ใช่ย่ำแย่ ตัวอาจแพ้ แต่ชนะ.. เลิกสะใจ ! วันนั้น.. ถึงวันนี้ไม่มีเปลี่ยน ทุกข์กับสุข คลุกเคล้าเวียนเปลี่ยนซ้ำๆ เห็นสีขาวก็เพราะมีฉากสีดำ โลกธรรม.. ย้ำเห็นจริงความนิ่งใน ตถตา กถาสุด ..ท่านพุทธทาส แจ้งไว้ชัดในตัว “กู” ผู้ยิ่งใหญ่ หากรักกู หลงกู ไม่รู้ภัย ความปราชัยในธรรม ..ย่อมย่ำเยือน จากวันนั้น จนวันนี้ ..วิถีพุทธ แม้ไม่หลุด ฉุดไม่พ้นความปนเปื้อน ยังดีกว่าเป็นปลาตายที่ไหลเกลื่อน ไม่รู้เดือน รู้ตะวัน ..นิรันดร์กาล ! กูวันนั้น กูวันนี้ ..จึงมีต่าง หลังก้าวย่างบนทางธรรมช่วยนำผ่าน อวิชชา..เริ่มหดหายฉายตระการ นิรพาน..เคยมั่นหมายใช่ไกลตัว ! ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ ตามรอยเมธี 20 ปี มรณกาลพุทธทาสภิกขุ ท่าน “พุทธทาส” ได้ละสังขารอย่างสงบเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2536 วันนี้ผ่านไป 20 ปี แล้ว แต่มรดกธรรม และผลงานอันทรงคุณค่าที่ท่านทิ้งไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง เพื่อสืบสานปณิธานความเป็น “พุทธทาส” หรือ ผู้รับใช้พระศาสดาอย่างสมบูรณ์แบบ ยังคงอยู่ และจะอยู่อย่างไม่มีวันตาย ดังเช่นบทประพันธ์ของท่าน ท

สันดานกา

ศรีสมภพ


“ สันดานกา..”

ห่มผ้าเหลืองเรื่องมากอยากไม่หยุด
จิตไม่หลุดจากกิเลสนั่นเหตุผล
รับการไหว้กราบหรูจากผู้คน
แต่ทำตนทำตัวจนมัวหมอง..
คะนองใจ..ใต้ผ้ากาสาวพัตร์ อวดตัวเก่งเคร่งครัดจัดจนผ่อง ต่อหน้าดีหลังชั่วฉลหลบคนมอง หวังลาภผองมอมเมาคน.. รวยล้นฟ้า ก่อนจะบวชสวดคำขอ ก็ดังชัด จะปฏิบัติหัดจิตไม่ผิดหนา ศีลกี่ข้อ กี่ร้อยพันนั้นรับมา ปรารถนานิพพาน..หรือนับตังค์ ! พฤติกรรมสำส่อนซ่อนลามก สกปรกต่ำช้า ไม่น่าขลัง คฤหัสถ์ศีลห้าแท้แม้ขาดมั่ง ดูแล้วยังดีกว่าพระคฤหาสน์.. โลภโกรธหลง ปลงไม่ได้ใช่ไหมเล่า ? ออกจากวัดกลับบ้านเก่าอย่าเขลาขลาด ยิ่งอยู่นานยิ่งบาปหนักจักพลั้งพลาด ฉุดพระศาสน์ให้ตกต่ำทำจัญไร ? ปลดเปลื้องผ้าเหลืองออก! ขอบอกเจ้า สันดานเก่าเจ้ายังอยู่ ดูไฉน ? เดรัจฉาน “ สันดานกา ” นั้นน่าอาย จงกลับไปยังที่เก่า..เหมือนเจ้ามา !! ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ ภาพภิกษุสันดานกา เป็นผลงานภาพวาดของ อนุพงษ์ จันทร อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาจิตรกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ภาพภิกษุสันดานกา มีปัญหาต่อกลุ่มพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งนำโดย พระมหาโชว์ ทัศนีโย แกนนำสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ ซึ่งกล่าวว่าเป็นการดูหมิ่นสงฆ์ โดยภาพที่แสดงพระภิกษุ 2 รูปหลับตาเอาศีรษะชนกันและมีปากเป็นปากของกา นอกจากนี้ยังมีรอยสักเต็มตัว และแสดงกิริยาแย่งสายสิญจน์กับตะกรุดที่อยู่ในบาตร ส่วนลายสักเป็นรูปกบก

ไม่มีใคร

ศรีสมภพ


ไม่มีใครอีกแล้ว.. ในโลกนี้
จะหวังดีต่อเธอเสมอมั่น
คอยฟูกฟักรักสุดๆ ดุจชีวัน
แต่เธอนั้นหันมามองบ้างไหมเล่า ?

ไม่มีใครอีกแล้ว.. ในโลกนี้
ทุกนาทีคอยห่วงหากว่าตัวเขา ยอมลำบากตรากตรำตัวดำเงา หาเงินตรามาแลกข้าวให้เธอกิน.. ไม่มีใครอีกแล้ว.. ในโลกนี้ จะชื่นชมยินดีปรีดาถวิล แม้เธอเหลิงเริงร่าเป็นอาจิณ ก็ทำใจไม่ได้ยิน ไม่เห็นมัน ไม่มีใครอีกแล้ว.. ในโลกนี้ หวังอยากให้เธอได้ดีมีงานมั่น ทั้งโน้ตบุ๊ค มือถือซื้อประทาน ขอแค่ผ่านการศึกษา.. ปริญญาชน !!

๏..เถรส่องบาตร ..๏ (กลอนห่อโคลงฯ)

กิ่งโศก


 ๏ เห็นเถรท่านส่องบาตรจริยวัตร-บท
ใครไหนนำกำหนดสะกดก่อ-
การเพ่งพิศพินิจละเอียดลออ
หรือเพียงบาตรสะอาดล้อ-ยอตะวัน ๚ะ๛ 
  ๏ เถรท่านส่องบาตรชี้ ..... ปุจฉา
พระใหม่พบสบครา .... ล่วงเช้า
มิตรึกนึกเหตุหา ..... โดยเหตุ แท้เฮย
มองส่องตามพระเจ้า .... เช่นคล้ายได้เห็น
  ๏ เถรท่านมิใช่ชั้น ..... ตาเถน
สื่อพระวินัยเกณฑ์ ..... ปฏิบัติไว้
บาตรแตกแยกโหว่เบน....อาบัติ  
เพียงแค่นิ้วสอดได้.... รั่วด้วยประดัง
  ๏ ฟังรู้หูรับพร้อง .... พึงสดับ
จริยาวัตรรับ .... จึ่งรู้
คลี่กระจ่างความจับ ....ถามเถิด ท่านฮา
ถึงแก่นแกนหลักผู้.... สำเร็จแล้วถึงสถาน
 ๏ อย่าเลียนเยี่ยงอย่างผู้ .... เลียนนำ ตามนา
เลียนอย่างมิรู้สำ- .... เร็จแท้
จงคิดก่อนเถิดทำ .... ประพฤติ ตามนอ
เลียนเช่นริเรียนแล้.... จักรู้ความคราว
 ๏ เราโง่หรือไม่รู้ .... ริถาม 
อย่าอวดโอ่โง่หาม .... แห่ห้อม
เช่นเถรส่องบาตรยาม....พินิจ บาตรแฮ
เถิดเถอะถ้วนสิ่งพร้อม .... บอกด้วยเหตุผล  ๚ะ๛ 
    
        + กิ่งโศก +
    ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖
สดุดคำ เถรส่องพระ เลยอยากรู้...แล้วก็รู้..
เรื่องเถรส่องบาตรนี่ มีนิทานในพระพุทธศาสนาจะเล่าให้ฟังสักนิด ตามธรรมดา เถร มีอยู่ ๒ เถร
เถร แปลว่า ท่านผู้ใหญ่
เถน แปลว่า หัวขโมย
ตามภาษาบาลีแปลไม่เหมือนกัน
สำหรับเรื่องเถรส่องบาตร เป็นเถรผู้ใหญ่ เพราะบาตรท่านแตกอยู่นิดหนึ่ง ตามธรรมดาในพระวินัย ถ้าบาตรแตกพอนิ้วลอดได้ต้องเปลี่ยนบาตรใหม

มิตรภาพ

คอนพูทน


๏ ทุยเอยกับเพื่อนเอี้ยง         เพลินอัน
แลเกาะหลังเดินกัน              ต่างเกื้อ
เธอชวนเที่ยวไหนฉัน            เห็นชอบ
แนบแน่นรักแนบเนื้อ             พี่น้องเกลอสนานฯ
๏ ลานทองงามมิตรแท้          นาไทย
ขยับปีกคลอเพลงไป            สุขเปื้อน
พลางทุยหว่านดำไถ             นาทุ่ง
แดดอ่อนยินครวญเอื้อน         อุ่นนี้เรียงเสนอฯ
 
๏ ฉันเธอบอกไป่ทิ้ง              นาทอง
ทุกเมื่อหากินมอง                 ชื่นแม้
มิตรภาพแห่งพวกผอง           ภาพแห่ง  มิตรเฮย
เกลียวสลักพราวสกาวแล้       เพื่อนล้วนรักหลายฯ
 
๏ ยามสายวันนี้ซึ่ง                สะเทือนทรวง
มองคู่เคยเดินควง                แค่เอี้ยง
แลหาเพื่อนเคยหวง              มาห่าง  หายแฮ
ทุยเล่าเพลินไหนเพี้ยง          อาจพลั้งหลงพงฯ
 
๏ ยังคงคอยค่อยคล้อย          นานครา
ทุยไม่กลับคืนมา                 นึกแม้น
บินหวนเที่ยวโฉบหา             หลายแห่ง
เธออยู่ใดไหนแคว้น              ยิ่งเฝ้าคะนึงขวัญฯ
 
๏ หลายวันนกเอี้ยงวุ่น           พลางวอน
ทุยป่วยนอนโรงนอน             แน่แล้ว
บินลงท่ามเรือนสลอน            ยังแหล่ง พักแล
โออนาถยากคลาดแคล้ว        สลดเคล้าเห็นคราวฯ
 
๏ เขายาวแขวนอยู่เยื้อง         ระเบียงยล
หนังแผ่บานตากบน              ร่มบ้าน
จำครบกระทั่งเศษขน            ของเพื่อน
หนอสะทกมนุษย์โหดสะท้าน  พิฆาตกระทั้งควายไถฯ
 
๏ เหนือใดจอดตั้งเด่น    

แม่ชีสาว

คีตากะ


เธอปลงคิ้วปลงผมห่มกาสามาดหมายมาพึ่งพระธรรมนำมรรคผล
รักษาศีลเคร่งวินัยใฝ่กมล
หวังหลุดพ้นสงสารซมซานมา
วงพักตร์งามเผยเค้าเงาวิตก
ประหนึ่งนกบาดเจ็บเหน็บสังขาร์
เสียงท่องบ่นระคนเศร้าเคล้ามนตรา
คล้ายอุราหวั่นไหวอาลัยอาวรณ์
ร่องรอยแป้ง, ลิปสติกริมฝีปาก
ยังเหลือซากรางเลือนเกลื่อนสลอน
เครื่องสำอางจางจางดั่งทางจร
ล้วนเก็บซ่อนรักษาในท่าที
เธอจะพบพุทธะกระนั้นหรือ ?
ทั้งยังถือแบกโลกใจโศกศรี
เก็บความแค้นโกรธาบรรดามี
ฤาเพียงหนีสังคมความวุ่นวาย
ฤาเพียงหลีกเกมรักเสียหลักล้ม
มาจ่อมจมตรมตรอมจนผอมผ่าย
ฤาเกลียดชังสังคมคนมากมาย
จึงเร้นกายหมายสงบลอบหลบมา
หนี้กรรมเธอชดใช้ไปแล้วหรือ ?
ฤาเพียงยื้อยั้งไว้ไม่อิดหนา
สงบนอกวุ่นในใจโศกา
จะแสวงหาประโยชน์ใดในพระธรรม...

นางฟ้าของซาตาน

din


ฉันเห็นเธอก้าวไปอย่างไร้ทิศ
ใช้ชีวิตแกร่งกร้าวอย่างห้าวหาญ
ไม่กลัวรักจะแยกลงแหลกราน
เรื่่องวันวานผ่านผันไม่หันแล
หัวใจเธอยอมปรับให้จับผิด
จึงชีวิตหมองไหม้ใจมีแผล
ถูกเขาเย้ยหยันย้ำกระหน่ำแด
สิ้นไร้แม้คนหวงเป็นห่วงกัน
ไม่รู้ตัวว่าพญามัจจุราช
หมายพิฆาตเข่นฆ่าให้อาสัญ
ในมุมที่ไม่เห็นเป็นสำคัญ
รักจึงบั่นขาดลงเป็นผงคลี
เธอจึงต้องร้อนรุ่มในมุมอับ
แว่วเสียงขับคร่ำครวญชวนหมองศรี
ว่า "นางฟ้าของซาตาน" รานฤดี
ป่านฉะนี้...เธอหมองหม่้น...อยู่หนใด

เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งควรพึงใจ

jojo24


สุนทรภู่ครูกวีมีคำกล่าว
ถึงเรื่องราวกิริยาอัชฌาสัย
“เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ
ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์”
เป็นครึ่งหญิงครึ่งชายต้องอายหรือ
หากยึดถือสร้างความดีที่เหมาะสม
ใช้ชีวิตอย่างภูมิใจในสังคม
ไม่ต่ำตมชายหญิงครึ่งควรพึงใจ

ร่มไม้เก่าที่เราหลบร้อน

pigstation


แดดถูกบังด้วยใบเบียดร่มละเลียดเงาหม่นมิด
แสงจ้าหรี่ทีละนิด
ใต้ร่มพิชิตร้อนผ่อนคลาย
ปูเสื่อทาบทับใบหล่น
นอนหนุนบนนุ่มสบาย
นึกถึงอดีตเรียงราย
สร้างสายธารวารวันร้อยเรียง
ไม้ใหญ่ไทยโพมโมนกิ่ง
ให้ร่มพิงพักคนรักอักษรเงียง
ทั้งฝันตรงๆฝันเอี่ยงๆ
แฉลบเฉียงฉกาจก็จัดเต็ม.

คิดต่าง

เปลวเพลิง


มันมิได้เป็นเรื่องน่าเคืองนะ
หากเราจะต่างจิตคิดกว้างขวาง
มันมิได้มีกฎกำหนดวาง
วัดทุกอย่างว่า "ใช่" ตามใครติง
ของสำคัญแฝงไว้อยู่ในหัว
และอย่ากลัวถ้าเห็นต่างในบางสิ่ง
ดูนิ้วมือเอาไว้ใช้อ้างอิง
รำพรายพริ้งหรือถ้าล้วนถ้วนเท่ากัน?
เฉกเช่นเดียวยามรวมร่วมคณะ
ต่างคนมีอิสระจะคิดฝัน
มีความเห็นแตกแขนงแบ่งร้อยพัน
ก็มิใช่กีดกั้นกันห่างไกล
จากที่สูงมีรุ้งสายระบายฟ้า
จากที่ราบมีทุ่งหญ้าและป่าใหญ่
จากต่างคนต่างจิตคิดต่างใจ
รับฟังไว้เป็นสำคัญนั่นแหละดี
มันมิได้เป็นเรื่องน่าเคืองนะ
ถ้าเราจะฝึกสมองตรองถ้วนถี่
คิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่ ให้เกิดมี
เพื่อพรุ่งนี้นำเหนือวันเมื่อวาน
ให้เหมือนดั่งนิ้วเพรียว ยาว เรียว ขาว
ยามย่างก้าวเริงระบำรำอ่อนหวาน
โป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย ร้อยวิญญาณ
จึงสร้างงานสวยซึ้งเป็นหนึ่งเดียว..........................................................
แรงบันดาลใจจากประสบการณ์จริง
และบทดอกสร้อย "นิ้วมือ"
ของ อ.ฐะปะนีย์ นาครทรรพ

ยอดหญ้าเบนเอนไหวในความว่าง..

ประภัสสุทธ


๏ สงบเย็นเห็นโลกโบกศานติ
ชั่วขณะสมาธิสติตั้ง
ละเลื่อมเงาเทาแสงแสดงพลัง
ฉายมนต์ขลังหยั่งยอดหญ้าระย้างาม
 
๏ สดใหม่ใสกระจ่างสว่างจิต
ความคิดดิ้นติดกับกับคำถาม
จะหยุดยื้ออย่างไรไว้ในความงาม
ทุกโมงยามยอดหญ้ายังงามอยู่
 
๏ ลองหยุดย้อนความถามตนก่อน
คำสอนเรื่องความงามตามความรู้
ถูกถกความตามสังคมชมเชิดชู
ต่างตีความตาม "ตัวกู" รู้ว่างาม
 
๏ งามงดหมดจดจิตบรรเจิด
พิเลิศเพลิดเพลินเกินมองข้าม
ขาวใสไร้ริ้วรอยพลอยเพ้อตาม
นี่คือความงดงามตาม "จิตกู"
 
๏ ลองหยุดย้อนความถามตนก่อน
กาพย์กลอนสอนใจใยถึงรู้
ดั่งภาษิต " กูคิด จึงมีอยู่ "
จิตจึ่งกระโจนสู่การยึดติด
 
๏ ชั่วขณะถนัดนึกตึกตรองชัด
กระบวนทัศน์สลัดทิ้งพึ่งพิงจิต
ปล่อยปลด ลด ละ วาง สางความคิด
สิ่งใดใดใช่ถูกผิดจิตปล่อยวาง
 
๏ ปล่อยวางว่างห่างจากตัวตน
เลิกหาล่าเหตุผลมาก่นอ้าง
เผชิญพบทบทวนด่วนปล่อยวาง
อย่าเก็บกักถักถ่างทางอารมณ์
 
๏ แล้วโลกจะสงบพบสันติ
ชั่วขณะสมาธิที่เหมาะสม
ผลิโผล่โตเติบจากเปือกตม
จักบานบ่มห่มโลกให้ร่มเย็น
 
๏ ยอดหญ้าอ้าบานเบ่งเร่งเหี่ยวเฉา
สีสันบั่นบรรเทาทุกสายเส้น
แตกตายสลายรวงร่วงกระเด็น
ความงามที่แลเล่นล้วนลวงเรา
 
๏ จึงจับจิตจดจ่อปัจจุบัน
สติสงบมั่นกลั่นความเขลา
สว่างสัจธรรมนำร่มเงา
เปิดม่านบ้านจิตเก่าเกิดสุขเย็น
 
๏ สงบเย็นเห็นโลกโบกศานติ
ชั่วขณะสมาธิจิตชัดเด่น
ละเลื่อมเงาเทาแสงแสดงเล่น
ยอดหญ้าเบนเอนไหวในความว่าง !!!

แสงไต้บ่ใช้น้ำมัน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


แสงไต้บ่ใช้น้ำมัน
ริ้วแสงค่ำถามทางย่างก้าวกลับ
ประคองจบไต้ตะเกียงไฟเอียงไหว
เหนื่อยหรือเปล่าแม่บักน้อย*ยอดกลอยใจ
จูงไอ้ทุยลุยลายในค่ำแลง
สองฝั่งข้างทางเทียวก็เปลี่ยวแล้ว
มีแต่แก้วแมงค่ำร่ำเล่นแสง
กับหรีดหริ่งจักจั่นขานสำแดง
ด้วยเรี่ยวแรงจากน้ำค้างวางยอดใบ
หอมลำด่วนครวญคร่ำจำจากทุ่ง
กดกลิ่งคลุ้งสาบตมโคลนหล่มไหน
หอมเย็นเรื่อยเอื่อยอ้อยลอยรำไร
ปลุกแรงใจให้แกร่งมีแรงเดิน
อ้ายแบกไถเดินตามเจ้างามนัก
สุดที่รักเดินช้าช้าอย่าห่างเหิน
ไม้คานโค้งแอ่นนักคงหนักเกิน
ทุกท่าเดินราวย่องทำนองลำ
ลมหัวนาซาหลังประดังไล่
ลอดโลมไล้ซอกคอยังฉ่อฉ่ำ
หอมกลิ่นไอหมาดฝนปนลำนำ
เริงระบำกับลมที่โถมมา
นี่หากเช้าเนาว์ท้องผองทุ่งไร่
เราคงได้มองเห็นลมเล่นกล้า
ทุกซอกใบสายสั่นทั้งงานนา
เสียงซู่ซ่าคงเสนาะเพราะดังพิณ
"แม่บักหำ*เร่งจ้าวเข้าบ้านสา
ฟังเสียงฟ้าฮ้องขู่บ่ฮู้สิ้น
อีกจักหน่อยเบิ่งถ่อนฝนฮอนฮิน
สิได้กินน้ำเย็นเป็นแซบแฮง
สักหลังฝนคืนนี้ปลาคงขึ้น
มันสิบืนใส่กันมาขันแข่ง
ข่อยสิเอาไฟฉายไปไต้แงง
จับมาแกงสักต้มสู่บักน้อย*"
ความเหนื่อยล้าหักหายไปในค่ำ
ด้วยรักร่ำห่วงหาไม่ล้าถอย
สานสองแรงสองพักจักทยอย
ไม่รั้งคอยวาสนามาคอยชู
ใช่ชาวนาต่ำต้อยด้อยคุณค่า
ตราบใบกล้าอวดขจีสีเขียวอยู่
หนังและขนยังชุ่มขุมอนู
ข้าวก็อยู่เลี้ยงท้องของผู้คน
ลึกลึกแล้วชีวิตของชาวนา
ใช่เติบโตได้มาด้วยหยาดฝน
แต่เติบโตนั่นได้ด้วยเหงือตน
ที่ไหลหล่นรดข้าวเนาว์
หน้า / 16  
ทั้งหมด 262 กลอน