กลอนให้ข้อคิด

โคลงโลกกะติ๊ด ๒๘ เกรียนเห็นกวีด่าท้าประสาเกรียน

เชษฐภัทร วิสัยจร


เกรียนเห็นกวีด่าท้า........ประสาเกรียนมั่วซั่วยกเพือนเลียน.........ด่าล้อ
กูนี่สุดยอดเซียน..............ขุดโคตร ท่านนา
เป้นปราชญ์ก็ช่างจ้อ..............จัดถ้อยสถุลทำ
Trolls rebuke a poet for.............his art,
calling friends to start................attacking.
They think they are smart.........and cool,
With vulgar words, they bring...........the poet down.

โคลงโลกกะติ๊ด ๒๗ รักกันอยู่ขอบฟ้าหญิงชาย

เชษฐภัทร วิสัยจร


รักกันอยู่ขอบฟ้า.......หญิงชาย
เปิดเน็ตบวกแชตไลน์........หยอกล้อ
เกลียดกันอยู่ข้างกาย.......กูอยาก ถีบนา
บ้างเฟสบุคจีบจ้อ........กับชู้กูจะหนี Long distance love is.........well managed. Line-chat and the internet............lovers use. Short distance hatred................is hard. Via Facebook husbands could...........look for new wives.

เตรียมพร้อม กับยอมรับ

คนกรุงศรี


เปลวสุรีย์ ที่ส่อง ต้องผืนหล้า
ดูทีท่า ว่าปอง จ้องเผาผลาญ
ทั้งพืชสัตว์ ให้พลัน บรรลัยราญ
อวสาน โลกา คงมายล
ความร้อนแดด แผดจ้า ผืนหล้าแห้ง
ผิวดินแยก แตกระแหง ทุกแห่งหน
ลมสะบัด พัดฝุ่น หมุนเวียนวน
น้ำขุ่นข้น ขอดหนอง ทั้งคลองคู
พอลมโบก โยกไผ่ ให้ไหวพลิ้ว
ใบก็ปลิว ร่วงกราว คราวลมลู่
กิ้งก่าแย้ เขียดกบ หลบลงรู
แต่ปลาปู ติดตม จมก้นคลอง
ใต้สะเดา เงาร่ม แต่ลมร้อน
ผิวอ่อนอ่อน เกรียมดำ ดูคล้ำหมอง
ตะวันรอน ตอนบ่าย ปรายตามอง
เขม็งจ้อง จะเผา ให้เราวาย
เพราะแมกไม้ ไพรพนา ผืนป่ากว้าง
ก่อนเคยรก วันนี้ร้าง ต่างหดหาย
เพียงตอเห็น เป็นฟืน ยืนต้นตาย
ผู้ทำลายนั้นหรือ ก็คือใคร
จงเตรียมพร้อม ยอมรับ กับวิบัติ
เริ่มเห็นชัด ทุกวัน รู้กันไหม
ธรรมชาติ เหี้ยมโหด โทษสิ่งใด
จงเตรียมใจ ให้พร้อม ยอมรับกรรม

โคลงโลกกะติ๊ด ๒๔ : คล้ายสาวแม้นเพรียบพร้อมฐาน

เชษฐภัทร วิสัยจร


คล้ายสาวแม้นเพียบพร้อม...........ฐานะ
พบบุรุษปราชญ์หรือจะ............ทราบได้
ฟังโคลงกาพย์ย่อมขยะ.............แขยงเนอ
เปรียบนิสิตอักษรฯไร้.............จริตรู้รสกวี    
Though a girl from a rich.............family,
Often, a poet she...........................talks to,
Might the poet -- a sage -- be.............ignored,
 It's the Arts student who...............hates poems so much.

โคลงโลกกะติ๊ด ๒๓ ศิลปินผมยุ่งแกล้งเป็นกระเซิง

เชษฐภัทร วิสัยจร


ศิลปินผมยุ่งแกล้ง...............เป็นกระเซิง
สู้โลกมีชั้นเชิง.................เชี่ยวกล้า
หยินหยางปราชญ์ย่อมเถลิง.............แถลงแก่น เปลือกเนอ
ศิลป์ศาสตร์เขาย่อมท้า..............ทิ่มทึ้งแทงอธรรม     ๒๓
An artist with the cur-..............ly hair,
Fights the world affairs.................wisely.
Yin-yang essence cares...............he the most.
Arts and science uses he.............to fight the devils.

โคลงโลกกะติ๊ด ๒๒ ตุลาการท่านเด่นพริ้งแพรพรรณ

เชษฐภัทร วิสัยจร


ตุลาการท่านเด่นพริ้ง............แพรพรรณ
จบนอกสองใบกัน..............เก่งแท้
ยึดวัตถุนิยมบัน-…………ดาลเปลือก ฉะนี้นา
ตราชั่งอาจเอียงแพ้................พ่ายด้วยกระแสเงิน
Rich and pretty judges...................look cool.
Two degrees are they schooled................from abroad
If materiality fools...........................their visions,
Unfair are they because.....................money is proposed.

อาลัย พี่โต รองผู้ว่า จังหวัดยะลา

ไหมแก้วสีฟ้าคราม


แด่... พี่โต(อิศรา ทองธวัช)
สดุดี วีรชน
คนแผ่นดิน
สละสิ้น วิญญาณ อย่างหาญกล้า
จากน้ำมือ โจรบาป
ใจหยาบช้า
ไร้จรรยา ลอบฆ่า หน้าไม่อาย
พี่น้องเพื่อน ม.เชียงใหม่
อาลัยท่าน
ครูอาจารย์ ยินข่าว เศร้าใจหาย
โศกสลด คลุมครอบ
รายรอบกาย
ท่านวางวาย สมชายพลี วีรชน
...
ดวงวิญญาณท่าน จงสู่สุคติภพ บรรจบสวรรค์
เทพไกวัล เกื้อกูล
บุญกุศล
พบพระศรีอารย์ ดวงไตร ในเบื้องบน
บันดาลดล เทวา ดุสิตาลัย.
จาก
น้องจีออ มช.

รักแท้ไม่มีช้ำ

กันนาเทวี



รักตนอย่าจนใจ
อย่ารักใครอย่างทุ่มเท
สักวันเขาหันเห
จะเจ็บร้าวราวชีพวาย
เรื่องรักมักแปรเปลี่ยน ใจคนเวียนน่าเบื่อหน่าย รักแล้วก็กลับกลาย ผลสุดท้ายอาจชิงชัง หวังรักจะสดใส คงนับได้อย่าพึงหวัง สำรวมใจระวัง อาจภินท์พังไมแน่นอน ใครใคร่รักก็รักเถิด ให้ดีเลิศสโมสร เห็นค่าตนไว้ก่อน ไม่รุ่มร้อนตอนจากลา รักดีนั้นมีแน่ ก็พ่อแม่รักลูกยา รักยิ่งกว่าแก้วตา เกินสรรหามาเปรียบเปรย รักกันต้องเข้าใจ คือการให้ไม่ละเลย สุขทุกข์ไม่เชือนเฉย ฝึกให้เคยไม่ช้ำใน...อิอิ ช้ำในก็ใบบัวบกเน้อ .....

ดับลับ

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


รายกำแพงเสมาบุราณคร่ำ
ล้วนงดงามด้วยแสงตะเกียงไต้
พรรณพฤษาลดามาลย์ขรจขจาย
ทั้งเกษแก้วผกากรายดาษดา
เสกาเก่าคราวแม่แผ่กิ่งก้าน
ไทรโบราณระย้าย้อยห้อยสาขา
ดูอึมครึมทรนงทรงผกา
งดงามตาในสวนแก้วอุทยาน
ภัสมธุลีปนเกลือกกราย
แซมหินทรายรายเรียงระเบียงวิหาร
ดอกมะม่วงพลัดกิ่งทิ้งโรยบาน
โรยร่วงรานพรายหล่นปนลงมา
มองแหล่งฟ้าสุดขอบระยิบยับ
ดาราวับวามวาวเคล้าเวหา
ยางยวงเมฆรายห้อยย้อยลงมา
กับดาราราวมณีศรีแผ่นดิน
หลังตำหนักพรายฟ้าว่ายิบยับ
โคมอัจกลับเผยร่างต่างนกผิน
มโหรีหลั่นขนัดด้วยพายท์พิณ
วาทศิลป์พร้องกรับตีขับทรง
อุทยานสวนแก้วทางฟากนั้น
ลดามาลย์เอกผกามหาหงส์
ถัดไปอีกโถงห้องท้องพระโรง
ล้วนตระกานทรนงด้วยทรงไทร
ม่านอดีตปางเก่าเรียงเล่าเรื่อง
ผังแปลงเมืองโถงท้องตำหนักใหญ่
ศักดินาขุนนั่งทั้งนางใน
บัดนี้กลายเป็นซากศิลานั้น
กาลเวลาเลยล่วงไม่หยุดนิ่ง
สรรพสิ่งล้วนแต่เปลี่ยนแปรผัน
ซากศิลารายเกลื่อนเลือนปีวัน
มิแก่นมั่นจารีตอดีตกาล
แม้นวัดวาอารามงดงามแล้ว
ปรับเปลี่ยนแนวโครงสร้างวางรากฐาน
เพียงยืดความตั้งอยู่ให้อยู่นาน
สุดท้ายคลานสู่ดับลาลับไป
เพียงชิวิตมีความไม่แน่นอน
หวังอาวรณ์ยึดมั่นประการไหน
รอเวลาร้างลับดับครรไล
แก่นสารใดจักมั่นในวันลา
ไต้ตะเกียงส่องโรจน์กว่าโชติช่วง
จักค่อยหน่วงเปลวไต้หรี่ไฟหนา
แม้นไม่ต้องสายลมปมวายา
ก็ลับลาร้างลับกับเกลียวกาล
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ

สร้างจิตสำนึก ลดโลกร้อน

เบยองจุน


     ใกล้เมษา หน้าร้อน ร้อนยิ่งนัก
ร้อนจนชัก ตาตั้ง ไปหลายหน
ยิ่งนานปี ก็ยิ่งร้อน ร้อนเพราะคน
ประพฤติตน บ่อนทำลาย ไม่ดูแล
สิ่งแวดล้อม ที่มีตาม ธรรมชาติ
ต่างมุ่งมาด บ่อนทำลาย ไม่แยแส
อากาศร้อน ไม่เป็นไร สั่งติดแอร์
โลกยิ่งแย่ แก้ไม่ไหว ใคร่วิงวอน
หันมาช่วย กันสร้าง จิตสำนึก
ช่วยกันฝึก ลูกหลาน หมั่นสั่งสอน
ไม่กี่ปี ภายหน้า อาจลดทอน
โลกคลายร้อน ก่อนจะสาย ไม่อาจคืน   

๏..ยามจาก..๏ (กล: กินนรเก็บบัว)

กิ่งโศก


    ๏ พบแล้วพรากแล้วพล่าน     ผลาญอกถ้อยเอ่ยยากเอ่ยยก                 หยิบอ้างคงภาพเก่าภาพตก                  เก็บตรึก ตรองนอหวาดจิตหวาดใจว้าง               หวาดเรื้อหวาดหลอน  ๏ ถอยห่างถอนห่างให้        เกินหวนจรหลีกจำหลีกจวน                จอดเร้นรอยก่อนผลิก่อนยวน             ยั่วจิตกระทบกระทุ้งเต้น                กระตุ้นกระโตน ๏ โชนลุกหาลุกถ้วม           เทินหัว ใจแฮตรองแค่ตรึกแค่ถัว              คิดถ้วนใจหนออย่าหนอกลัว            เกินเหตุหัดนิ่งหัดแน่นล้วน              หัดโน้มหัดหนี    ๏ ใยปลุกยิ่งปลุกสู้         ยิ่งสลายความล่วงนานล่วงสาย         สุดชี้ปล่อยผ่านละผ่านหาย         แห้งเหือด สิ้นนาก่อใหม่ก่อการกี้                ก่อต้นก่อตอ     ๏ รอดุจรั้งดุจต้อง       ต่างเรียงพิศชิดพอชิดเคียง            พินิจน้อมอ้าเสี่ยงโอ่เสี่ยงเสียง         พร่าสั่นฝ่อจิตฝ่อใจย้อม            ฝ่อย้ำฝ่อหยัน    ๏ พรากเอ่ยพ่ายเอ่ยโอ้    จำพรากจำย่อมจบย่อมจาก          จวบเพี้ยง       เจ็บยิ่งปวดยิ่งยาก           แจงปลดสงบสงัดเกลี้ยง              สรี้สลาง ๚ะ๛              + กิ่งโศก+             ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖

เขียนถึง...

ประภัสสุทธ


๏ เขียนถึงฟากฟ้าทะเลกว้าง
ทุกอย่างกางไกลเหมือนเธอไหม
คลี่คลุมพุ่มตึกลึกถึงไพร
ก้อนกรวดอวดผาใหญ่ ใจมนุษย์
๏ อ้อมโอบอบอวลม้วนละมุน
กลั่นหยดเจือจุนมหาสมุทร
เคลื่อนค่ำต่ำฟ้าดาวเดือนผุด
ยื้อหยุดฉุดใจให้เฝ้ามอง
๏ เขียนถึงแม่น้ำลำธารใส
หล่อเลี้ยงสิ่งใดในบึงหนอง
ห้วยหาดลาดตลิ่งบิ้งลำคลอง
อาบเอ่อทดลองเลี้ยงสิ่งใด
๏ ชุ่มชื่นฉ่ำโชกโศลกเย็น
หลอมเลี้ยงเส้นเอ็นทุกเส้นใย
ดินป่านาเขาลำเนาไพร
วิถีใจ ความคิด จิตวิญญาณ
๏ เขียนถึงธรรมชาติสะอาดสวย
คนจน คนรวย คนกล้าหาญ
สูงต่ำดำขาวสาวแก่ยาน
ทั่วฐานหนทางต่างตรงไหน
๏ ผู้คน เกิด แก่ แลเจ็บ ตาย
ความหมายคลี่คลายสลายไป
นิเวศน์ชีวิตลิขิตไว้
" ธรรมชาติ " ย่อยสลายทุกชีวิต
๏ เขียนถึงมนุษย์ปุถุชน
แหวกว่ายเวียนวนหลงยึดติด
สิ่งใดไขว่นำทำความคิด
บั้นปลายท้ายชีวิตคิดสิ่งใด
๏ หรือหวังตามหวังทั้งสังคม
หรือบ่มสังคมตามหัวใจ
หรือเพียง เลี้ยงหัว ตัวรอดไว้
ตามยุคทุกสมัยของสังคม
๏ ฉันถามเพื่อหวังให้คิดต่อ
หลอกล่อต่อคำร่ำระดม
รึโลกทุกอย่างสร้างเหมาะสม
ปล่อยปละคละเปือกตมชะตากรรม
ประภัสสุทธ
13 มีนาคม 2556

ท่ามกลางป่าหนังสือ

ประภัสสุทธ


๏ ร่อนเร่ท่ามกลางป่าหนังสือ
กำแพงภายในคือรั้วขอบ
ร่ำเรียนแล้วก็เรียน แล้วสอบ
ชีวิตเวียนวนรอบสี่ปี
๏ หนังสือคือบทเพลง ผูกมัด
เกียรติบัตรคัดพวกมี ภาษี
เพื่อขันแข่งแย่งตำแหน่ง ดีดี
สู่วิถีฤดีกาล (ร) ศึกษา
๏ สีเหลืองเจ้าคือ นกขมิ้น
เจ้าบินแล้วก็บิน เกลื่อนฟ้า
ไร้หวังที่จะคอย พึ่งพา
เพราะไม่ลงถลา เหยียบดิน
๏ " ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ตะลึงถึงสีสัน ทั้งสิ้น
ในนั้นมีความฝัน มันลิ้น
ทั้งเสียง สี กลิ่น ตรึงฉัน "
๏ บัดนี้อุดมการณ์ เจ้าเลือน
โบราณเจ้าเสมือน เพื่อนฝัน
คอยขับกล่อมบทเพลง โรมรัน
ต่อสู้ความคับขัน สังคม
๏ " ฉันเหนื่อยเพราะเรียนหนัก มานาน "
สำนึกไม่เบ่งบาน เหมาะสม
อุดมการณ์สานฝันอันนิยม
อย่ายกย่องชื่นชมบ่มเรื่องราว "
๏ กี่ปีเจ้าถึงจะกลับมา
ร่อนลงจากฟากฟ้า สีขาว
ขับเพลงแห่งเสรี ยาว ยาว
สี่ปีจะคอยข่าว เจ้าคืน
ประภัสสุทธ
28 ตุลา 49 ถึง 14 มีนา 56

เสียงจากสุนัขแก่

เปลวเพลิง


สุนัขแก่ตัวหนึ่งรำพึงคิด
ถึงชีวิตก้าวย่างกลางเมืองหลวง
อันอุดมตึกตระหง่าน ห้าง ร้านรวง
ในทุกช่วงวันวารที่ผ่านพ้น
เช้าเริ่มด้วยเสียงแตรเซ็งแซ่นัก
ฝุ่นควันคือเพื่อนรักชักม่านหม่น
หันทุกทิศพิศเพียงฝูงรถยนต์
จราจรจลาจลก็ทนไป
ครั้นเปลวแดดแผดเปรี้ยงตอนเที่ยงกว่า
ร้อนเหมือนว่าเริ่มโศกโลกยุคใหม่
พื้นสะท้อนไอแดดยิ่งแผดใจ
เมื่อร่มไม้เย็นสะอาดปราศวี่แวว
จากเคยมียางยูงสูงใหญ่มาก
ยืนต้นฝากความร่มเย็นเป็นทิวแถว
มรกตบังใบพร่างพรายแพรว
ดั่งโดมแก้วนพคุณหนุนชีวา
รู้จักไหม? เงียบ? สงัด? แห่งชัฏกว้าง
สัตว์ต่างต่างที่อยู่ตามภูผา
ความร่มรื่นเกินสรรพรรณนา
ที่ร่อยหรอด้วยหัตถาสามัญชน
เดี๋ยวนี้เมืองป่าไม้ไม่มีแล้ว
เพราะถูกแผ้วถูกถางอย่างปี้ป่น
แล้วปลูกตึกระฟ้ายวนตาคน
ทดแทนต้นนี้ โน้น ที่โค่นไป
สัตว์เริ่มหายากยิ่งยวดเหมือนหนวดเต่า
ทั้งบางเผ่าสูญพันธุ์กันยิ่งใหญ่
สัตว์เมืองก็ไม่ต่างกันอย่างไร
แค่อยู่ในป่าคอนกรีตเท่านั้นละ
เดินจนถึงฤกษ์งามสามโมงกว่า
เมียงมองหาร่มรุกข์ทุกขณะ
แต่ยิ่งเดินแรงยิ่งฝ่อใกล้มรณะ
ไม่รู้จะทิ้งซากฝากที่ใด?

วาง

ส่องหล้า


สองปีกว่าจากไกลไปแนวหน้า
หว่านเม็ดพืชนานาในทุ่งท้น
เก็บเกี่ยวกลืนฝืนฝาดกาจผจญ
ประจักษ์จริงขุ่นข้นคละคลุ้งคาว….
วิถีทุ่งวิถีนาวิถีมนุษย์
วิถีทางสิ้นสุดลงดับด้าว
ภูเขาสูงผาชันกลั่นเรื่องราว
จะโดดดิ่งดุ่มก้าวหรือถอยไกล
มองเบื้องหลังล้วนหน้าปัจจามิตร
คอยทิ่มแทงหวังปลิดชีวิตไหม้
กระหน่ำแทงสับฉึกทะลวงใน
ควานลึกล้วงบั่นใส้ชอนไชจินต์
โลหิตแดงพร่างพรายกระจายเกลื่อน
ในสำนึกย้ำเตือนไม่สร่างสิ้น
เมื่อขาก้าวเท้ากล้าฝ่าชีวิน
โสตสดับมิยลยินทุกย้ำเตือน
แม้ถาโถมพัวพันกระชั้นสู้
ยิ่งหนักหน่วงพันตูเข้าเชือดเฉือน
ถีบโถมแรงยิ่งสะท้อนย้อนสะเทือน
ตาต่อตาก็ดูเหมือนเข้าทางมัน
ณ. ยอดผาปลายภูของรู้สึก
มิลดละสำนึกในทางฝัน
มายืนหยัดตั้งอยู่บนผาชัน
วางความอยากแล้วกลับหันสู่ความจริง
จึ่งเห็นโลกวิมุติพิสุทธิ์สว่าง
ความอยากหยาบละวางสลัดทิ้ง
สงบจิตตั้งมั่นไม่ไหวติง
บนยอดภูสงบนิ่งวิมุติ...กรรม

ขอแค่ยังไม่ตาย

เชษฐภัทร วิสัยจร


ความล้มเหลวคิดให้ดีมีแต่ได้
เหมือนเถลไถลหลงทางอยู่กลางป่า
ยิ่งเจ็บใจยิ่งจดจำเป็นธรรมดา
ยิ่งรู้ค่าทางที่หลงเคยงงกัน
ให้เปรียบเทียบทางที่ถูกผูกความคิด
ให้ตั้งจิตปรับมุมมองต้องมุ่งมั่น
สิ่งที่ฆ่าเราไม่ตายจงใช้มัน
มาสร้างสรรค์ชีวิตไว้ให้เติบโต
ผิดร้อยครั้งพันครั้งยิ่งสั่งสม
ยิ่งถูกข่มถูกด่า ถูกฮาโห่
ยิ่งกลบความไม่ดีขี้คุยโว
ความยโสไม่รุกล้ำมากล้ำกราย
ที่เราถูกเพราะเคยผิดคิดเสียก่อน
คำนวณย้อนประสบการณ์การแพ้พ่าย
เอาตัวรอดเอาไว้แค่ไม่ตาย
ยังไม่สายโอกาสหน้าฟ้าใหม่มี

ถึงวัน...ก็จะกลับ

อรุโณทัย


ดั่งนกน้อยจากรังยังอ่อนหัด
โผบินลัดท้องทุ่งมุ่งตามฝัน
ท่องเที่ยวไปในป่าพนาวัน
ด้วยมุ่งมั่นเสาะหาประสบการณ์
เที่ยวโผนผกหกเหินห่างจากถิ่น
เพียงโบยบินลัดเลาะอย่างอาจหาญ
อุปสรรคน้อยใหญ่ที่พบพาน
ก็เผาผลาญด้วยจิตที่มั่นคง
ดุจนกน้อยจากรังเพียงครั้งหนึ่ง
ครวญรำพึงถึงถิ่นมิลืมหลง
ยังคิดถึงที่เก่าทั้งเผ่าพงศ์
สักวันคงโบยบินสู่ถิ่นเอย
อรุโณทัย
๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
หน้า / 16  
ทั้งหมด 262 กลอน