**กาพย์เห่เรือ**

คนกุลา

กาพย์เห่เรือ เป็นคำประพันธ์ประเภทหนึ่งของไทย แต่งไว้สำหรับขับ
ร้องเห่ในกระบวนเรือ โดยมีทำนอง เห่ที่สอดคล้องกับจังหวะการพาย
ของฝีพาย ว่าช้า หรือเร็ว มักจะมีพนักงานขับเห่หนึ่งคนเป็นต้นเสียง 
และฝีพายคอยร้องขับตามจังหวะ พร้อมกับการให้จังหวะจากพนักงาน
ประจำเรือแต่ละลำ
กาพย์เห่เรือนั้น ใช้คำประพันธ์ 2 ชนิดด้วยกัน นั่นคือ กาพย์ยานี 11 
และโคลงสี่สุภาพ เรียงร้อยกันในลักษณะที่เรียกว่า กาพย์ห่อโคลง โดย
มักขึ้นต้นด้วยโคลง 1 บท แล้วตามด้วยกาพย์ยานี เรื่อยไป จนจบ
ตอนหนึ่งๆ ในบางกรณี อาจจะจบลงด้วยโคลงอีกหนึ่งบทก็ได้ แต่ไม่
ค่อยเห็นบ่อยนัก เมื่อจะขึ้นตอนใหม่ ก็จะยกโคลงสี่สุภาพมาอีกหนึ่งบท
แล้วตามด้วยกาพย์จนจบตอน เช่นนี้สลับกันไป 
กาพย์เห่เรือที่เก่าแก่ที่สุด ที่พบในเวลานี้ คือ กาพย์เห่เรือในเจ้าฟ้าธรรม
ธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยอยุธยา
ตอนปลาย ทรงแต่งไว้ 2 เรื่อง คือบทเห่ชมเรือ ชมปลา ชมไม้ และ
ชมนก มีลักษณะเป็นเหมือนนิราศ กับอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องกากี
สันนิษฐานกันว่ากาพย์เห่เรือ เดิมคงจะแต่งเพื่อขับเห่กันเมื่อเดินทางไกล
ในแม่น้ำลำคลอง แต่ในภายหลังคงมีแต่งใช้แต่เจ้านายหรือพระ
ราชวงศ์ชั้นสูง และสุดท้ายมีใช้แต่ในกระบวนเรือของพระเจ้าแผ่นดิน
เท่านั้น
กาพย์เห่เรือไม่สู้จะนิยมประพันธ์กันมากนัก เนื่องจากถือเป็นคำ
ประพันธ์สำหรับใช้ในพิธีการ คือ ในกระบวนเรือหลวง หรือกระบวน
พยุหยาตราชลมารค ไม่นิยมใช้ในพิธีหรือสถานการณ์อื่นใด การแต่ง
กาพย์เห่เรือจึงมักแต่งขึ้นสำหรับที่จะใช้เห่เรือจริงๆ ซึ่งในแต่ละรัชกาล 
มีการเห่เรือเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
กาพย์เห่เรือที่ปรากฏเป็นที่แพร่หลายจนถึงปัจจุบัน
กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ ในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ นิยมใช้เห่ในกระบวน
เรือหลวงจนถึงปัจจุบัน 
กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 
(ชมเครื่องคาวหวาน และผลไม้) 
กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
(ชมสวน ชมนก ชมไม้ และชมโฉม) 
กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรม
พระยานริศรานุวัดติวงศ์ (ชมเรือ) 
กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
(ชมเรือ ชมพระนคร ชมปลา เห่ครวญ เป็นต้น) 
กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ ในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ 
(ทรงพระนิพนธ์ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระ
ราชพิธีทรงเปิดสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์) 
กาพย์เห่เรือ นิพนธ์ โดย นายฉันท์ ขำวิไล ในวาระฉลอง 25 พุทธ
ศตวรรษ 
กาพย์เห่เรือ นิพนธ์ โดย นายหรีด เรืองฤทธิ์ ในวาระฉลอง 25 พุทธ
ศตวรรษ 
กาพย์เห่เรือ ประพันธ์โดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย กระบวนพยุห
ยาตราทางชลมารค ในงานเอเปค ๒๕๔๖  
 
    ๑. ขอโหมโรงด้วยการอัญเชิญ กาพย์เห่เรือ เห่ชมเครื่องคาวหวาน
ซึ่งป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 
(รัชกาลที่ ๒)
เห่ชมเครื่องคาว
โคลง
๏ แกงไก่มัสมั่นเนื้อ        นพคุณ พี่เอย 
หอมยี่หร่ารสฉุน            เฉียบร้อน 
ชายใดบริโภคภุญช์        พิศวาส หวังนา 
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน     อกให้หวนแสวง ๚
กาพย์
๏ มัสมั่นแกงแก้วตา        หอมยี่หร่ารสร้อนแรง 
ชายใดได้กลืนแกง          แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา 
๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด        วางจานจัดหลายเหลือตรา 
รสดีด้วยน้ำปลา             ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ 
๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม  เจือน้ำสมโรยพริกไทย 
โอชาจะหาไหน             ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง 
๏ หมูแนมแหลมเลิศรส   พร้อมพริกสดใบทองหลาง 
พิศห่อเห็นรางชาง          ห่างหอหวนป่วยใจโหย 
๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น      วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย 
รสทิพย์หยิบมาโปรย      ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ 
๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง        เป็นมันย่องล่องลอยมัน 
น่าซดรสครามครัน        ของสวรรค์เสวยรมย์ 
๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า   ทำน้ำยาอย่างแกงขม 
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม  ชมไม่วายคลับคล้ายเห็น 
๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ     รสพิเศษใส่ลูกเอ็น 
ใครหุงปรุงไม่เป็น          เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ 
๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม          แกงคั่วส้มใส่ระกำ 
รอยแจ้งแห่งความขำ      ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม 
๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด        ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม 
คิดความยามถนอม        สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์ 
๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง     นอนเตียงทองทำเมืองบน 
ลดหลั่นชั้นชอบกล         ยลอยากนิทรคิดแนบนอน 
๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน 
เจ็บไกลใจอาวรณ์         ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง 
๏ รังนกนึ่งน่าซด          โอชารสกว่าทั้งปวง 
นกพรากจากรังรวง       เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน 
๏ ไตปลาเสแสร้งว่า       ดุจวาจากระบิดกระบวน 
ใบโศกบอกโศรกครวญ ให้พี่เศร้าเจ้าดวงใจ 
๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน 
ผักหวานซ่านทรวงใน    ใคร่ครวญรักผักหวานนางฯ 
       ...........
 
     ๒. กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร
 
เห่ชมเรือกระบวน
โคลง
๏ ปางเสด็จประเวศด้าว          ชลาลัย 
ทรงรัตนพิมานชัย                 กิ่งแก้ว 
พรั่งพร้อมพวกพลไกร            แหนแห่ 
เรือกระบวนต้นแพร้ว             เพริศพริ้งพายทอง 
กาพย์
        พระเสด็จโดยแดนชล      ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย 
กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย          พายอ่อนหยับจับงามงอน 
        นาวาแน่นเป็นขนัด        ล้วนรูปสัตว์แสนยากร 
เรือริ้วทิวธงสลอน                  สาครลั่นครั่นครื้นฟอง 
        เรือครุฑยุดนาคหิ้ว        ลิ่วลอยมาพาผันผยอง 
พลพายกรายพายทอง             ร้องโห่เห่โอ้เห่มา 
        สรมุขมุขสี่ด้าน             เพียงพิมานผ่านเมฆา 
ม่านกรองทองรจนา               หลังคาแดงแย่งมังกร 
        สมรรถชัยไกรกาบแก้ว   แสงแวววับจับสาคร 
เรียบเรียงเคียงคู่จร                 ดั่งร่อนฟ้ามาแดนดิน 
        สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย    งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ 
เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์          ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม 
        เรือชัยไวว่องวิ่ง              รวดเร็วจริงยิ่งอย่างลม 
เสียงเส้าเร้าระดม                    ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน 
        คชสีห์ทีผาดเผ่น             ดูดังเป็นเห็นขบขัน 
ราชสีห์ที่ยืนยัน                      คั่นสองคู่ดูยิ่งยง 
        เรือม้าหน้ามุ่งน้ำ            แล่นเฉื่อยฉ่ำลำระหง 
เพียงม้าอาชาทรง                   องค์พระพายผายผันผยอง 
        เรือสิงห์วิ่งเผ่นโผน         โจนตามคลื่นฝืนฝ่าฟอง 
ดูยิ่งสิงห์ลำพอง                      เป็นแถวท่องล่องตามกัน 
        นาคาหน้าดังเป็น            ดูเขม้นเห็นขบขัน 
มังกรถอนพายพัน                  ทันแข่งหน้าวาสุกรี 
        เลียงผาง่าเท้าโผน            เพียงโจนไปในวารี 
นาวาหน้าอินทรี                      มีปีกเหมือนเลื่อนลอยโพยม 
        ดนตรีมี่อึงอล                 ก้องกาหลพลแห่โหม 
โห่ฮึกครึกครื้นโครม                โสมนัสชื่นรื่นเริงพล 
        กรีธาหมู่นาเวศ               จากนคเรศโดยสาชล 
เหิมหื่นชื่นกระมล                    ยลมัจฉาสารพันมี 
 
เห่ชมปลา
โคลง
        พิศพรรณปลาว่ายเคล้า  คลึงกัน 
ถวิลสุดาดวงจันทร์                แจ่มหน้า 
มัตสยาย่อมพัวพัน                พิศวาส 
ควรฤพรากน้องช้า               ชวดเคล้าคลึงชม 
กาพย์
        พิศพรรณปลาว่ายเคล้า คิดถึงเจ้าเศร้าอารมณ์ 
มัตสยายังรู้ชม                    สาสมใจไม่พามา 
        นวลจันทร์เป็นนวลจริง เจ้างามพริ้งยิ่งนวลปลา 
คางเบือนเบือนหน้ามา         ไม่งามเท่าเจ้าเบือนชาย 
        เพียนทองงามดั่งทอง  ไม่เหมือนน้องห่มตาดพราย 
กระแหแหห่างชาย             ดั่งสายสวาทคลาดจากสม 
        แก้มช้ำช้ำใครต้อง      อันแก้มน้องช้ำเพราะชม 
ปลาทุกทุกข์อกกรม             เหมือนทุกข์พี่ที่จากนาง 
        น้ำเงินคือเงินยวง        ขาวพรายช่วงสีสำอาง 
ไม่เทียบเปรียบโฉมนาง       งามเรืองเรื่อเนื้อสองสี** 
        ปลากรายว่ายเคียงคู่     เคล้ากันอยู่ดูงามดี 
แต่นางห่างเหินพี่                เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร 
        หางไก่ว่ายแหวกว่าย   หางไก่คล้ายไม่มีหงอน 
คิดอนงค์องค์เอวอร             ผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร 
        ปลาสร้อยลอยล่องชล   ว่ายเวียนวนปนกันไป 
เหมือนสร้อยทรงทรามวัย     ไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย 
        เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ      เนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย 
ใครต้องข้องจิตชาย             ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง 
        ปลาเสือเหลือที่ตา        เลื่อนแหลมกว่าปลาทั้งปวง 
เหมือนตาสุดาดวง               ดูแหลมล้ำขำเพราคม 
        แมลงภู่คู่เคียงว่าย       เห็นคล้ายคล้ายน่าเชยชม 
คิดความยามเมื่อสม             สนิทเคล้าเจ้าเอวบาง 
        หวีเกศเพศชื่อปลา       คิดสุดาอ่าองค์นาง 
หวีเกล้าเจ้าสระสาง              เส้นเกศสลวยรวยกลิ่นหอม 
        ชะแวงแฝงฝั่งแนบ      ชะวาดแอบแปบปนปลอม 
เหมือนพี่แอบแนบถนอม       จอมสวาทนาฏบังอร 
        พิศดูหมู่มัจฉา             ว่ายแหวกมาในสาคร 
คะนึงนุชสุดสายสมร             มาด้วยพี่จะดีใจ 
 
เห่ชมไม้
โคลง
        เรือชายชมมิ่งไม้          มีพรรณ 
ริมท่าสาครคันธ์                   กลิ่นเกลี้ยง 
เพล็ดดอกออกแกมกัน          ชูช่อ 
หอมหื่นรื่นรสเพี้ยง              กลิ่นเนื้อนวลนาง 
กาพย์
        เรือชายชมมิ่งไม้         ริมท่าไสวหลากหลายพรรณ 
เพล็ดดอกออกแกมกัน          ส่งกลิ่นเกลี้ยงเพียงกลิ่นสมร 
        ชมดวงพวงนางแย้ม     บานแสล้มแย้มเกสร 
คิดความยามบังอร               แย้มโอษฐ์ยิ้มพริ้มพรายงาม 
        จำปาหนาแน่นเนื่อง     คลี่กลีบเหลืองเรืองอร่าม 
คิดคะนึงถึงนงราม               ผิวเหลืองกว่าจำปาทอง 
        ประยงค์ทรงพวงร้อย   ระย้าย้อยห้อยพวงกรอง 
เหมือนอุบะนวลละออง         เจ้าแขวนไว้ให้เรียมชม 
        พุดจีบกลีบแสล้ม         พิกุลแกมแซมสุกรม 
หอมชวยรวยตามลม            เหมือนกลิ่นน้องต้องติดใจ 
        สาวหยุดพุทธชาด        บานเกลื่อนกลาดดาษดาไป 
นึกน้องกรองมาลัย               วางให้พี่ข้างที่นอน 
        พิกุลบุนนาคบาน          กลิ่นหอมหวานซ่านขจร 
แม้นนุชสุดสายสมร               เห็นจะวอนอ้อนพี่ชาย 
        เต็งแต้วแก้วกาหลง       บานบุษบงส่งกลิ่นอาย 
หอมอยู่ไม่รู้หาย                   คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตาตรู 
        มะลิวัลย์พันจิกจวง         ดอกเป็นพวงร่วงเรณู 
หอมมาน่าเอ็นดู                    ชูชื่นจิตคิดวนิดา 
        ลำดวนหวนหอมตรลบ    กลิ่นอายอบสบนาสา 
นึกถวิลกลิ่นบุหงา                  รำไปเจ้าเศร้าถึงนาง 
        รวยรินกลิ่นรำเพย          คิดพี่เคยเชยกลิ่นปราง 
นั่งแนบแอบเอวบาง                ห่อนแหห่างว่างเว้นวัน 
        ชมดวงพวงมาลี              ศรีเสาวภาคย์หลากหลายพรรณ 
วนิดามาด้วยกัน                      จะอ้อนพี่ชี้ชมเชย 
 
เห่ชมนก
โคลง
        รอนรอนสุริยโอ้               อัสดง 
เรื่อยเรื่อยลับเมรุลง                   ค่ำแล้ว 
รอนรอนจิตจำนง                      นุชพี่ เพียงแม่ 
เรื่อยเรื่อยเรียมคอยแก้ว             คลับคล้ายเรียมเหลียว 
กาพย์
        เรื่อยเรื่อยมารอนรอน         ทิพากรจะตกต่ำ 
สนธยาจะใกล้ค่ำ                        คำนึงหน้าเจ้าตาตรู 
        เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง         นกบินเฉียงไปทั้งหมู่ 
ตัวเดียวมาพลัดคู่                        เหมือนพี่อยู่ผู้เดียวดาย 
        เห็นฝูงยูงรำฟ้อน                คิดบังอรร่อนรำกราย 
สร้อยทองย่องเยื้องชาย                เหมือนสายสวาทนาดนวยจร 
        สาลิกามาตามคู่                 ชมกันอยู่สู่สมสมร 
แต่พี่นี้อาวรณ์                           ห่อนเห็นเจ้าเศร้าใจครวญ 
        นางนวลนวลน่ารัก             ไม่นวลพักตร์เหมือนทรามสงวน 
แก้วพี่นี้สุดนวล                          ดั่งนางฟ้าหน้าใยยอง 
        นกแก้วแจ้วแจ่มเสียง          จับไม้เรียงเคียงคู่สอง 
เหมือนพี่นี้ประคอง                     รับขวัญน้องต้องมือเบา 
        ไก่ฟ้ามาตัวเดียว                 เดินท่องเที่ยวเลี้ยวเหลี่ยมเขา 
เหมือนพรากจากนงเยาว์              เปล่าใจเปลี่ยวเหลียวหานาง 
        แขกเต้าเคล้าคู่เคียง             เรียงจับไม้ไซ้ปีกหาง 
เรียมคะนึงถึงเอวบาง                   เคยแนบข้างร้างแรมนาน 
        ดุเหว่าเจ่าจับร้อง                สนั่นก้องซ้องเสียงหวาน 
ไพเราะเพราะกังวาน                   ปานเสียงน้องร้องสั่งชาย 
        โนรีสีปานชาด                    เหมือนช่างฉลาดวามแต้มลาย 
ไม่เท่าเจ้าโฉมฉาย                       ห่มตาดพรายกรายกรมา 
        สัตวาน่าเอ็นดู                     คอยหาคู่อยู่เอกา 
เหมือนพี่ที่จากมา                        ครวญหาเจ้าเศร้าเสียใจ 
        ปักษีมีหลายพรรณ              บ้างชมกันขันเพรียกไพร 
ยิ่งฟังวังเวงใจ                             ล้วนหลายหลากมากภาษา 
 
เห่ ครวญ
โคลง
        เสียงสรวลระรี่นี้                   เสียงใด 
เสียงนุชพี่ฤๅใคร                          ใคร่รู้ 
เสียงสรวลเสียงทรามวัย                 นุชพี่ มาแม่ 
เสียงบังอรสมรผู้                           อื่นนั้นฤๅมี 
กาพย์
        เสียงสรวลระรี่นี้                   เสียงแก้วพี่หรือเสียงใคร 
เสียงสรวลเสียงทรามวัย                 สุดสายใจพี่ตามมา 
        ลมชวยรวยกลิ่นน้อง             หอมเรื่อยต้องคลองนาสา 
เคลือบเคล้นเห็นคล้ายมา                เหลียวหาเจ้าเปล่าวังเวง 
        ยามสองฆ้องยามย่ำ              ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง 
เสียงปี่มี่ครวญเครง                       เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน 
        ล่วงสามยามปลายแล้ว           จนไก่แก้วแว่วขันขาน 
ม่อยหลับกลับบันดาล                    ฝันเห็นน้องต้องติดตา 
        เพรางายวายเสพรส              แสนกำสรดอดโอชา 
อิ่มทุกข์อิ่มชลนา                          อิ่มโศกาหน้านองชล 
        เวรามาทันแล้ว                    จึงจำแคล้วแก้วโกมล 
ให้แค้นแสนสุดทน                       ทุกข์ถึงเจ้าเศร้าเสียดาย 
        งามทรงวงดั่งวาด                งามมารยาทนาดกรกราย 
งานพริ้มยิ้มแย้มพราย                 งามคำหวานลานใจถวิล 
        แต่เช้าเท่าถึงเย็น                กล้ำกลืนเข็ญเป็นอาจิณ 
ชายใดในแผ่นดิน                      ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ 
โคลง
        เรียมทนทุกข์แต่เช้า           ถึงเย็น 
มาสู่สุขคืนเข็ญ                         หม่นไหม้ 
ชายใดจากสมรเป็น                  ทุกข์เท่า เรียมเลย 
จากคู่วันเดียวได้                      ทุกข์ปิ้มปานปี 
                    .....................
 
     ๓. กาพย์เห่เรือ กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในงานเอเปค 
๒๕๔๖ ประพันธ์โดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
บทที่ ๑
ชมเรือ
ลอยลำงามสง่าแม้น                 มณีสวรรค์ 
หยาดโพยมเพียงหยัน             ยั่วฟ้า 
สายชลชุ่มฉ่ำฉัน                    เฉกทิพย์ ธารฤา  
ไหลหลั่งโลมแหล่งหล้า           หล่อเลี้ยงแรงเกษม 
เรือเอยเรือพระที่นั่ง               พิศสะพั่งกลางสายชล 
ลอยลำงามสง่ายล                  หยาดจากฟ้ามาโลมดิน 
สุวรรณหงส์ทรงภู่ห้อย           งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ 
โอดโฉมโสมโสภิน                ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม 
นารายณ์ทรงสุบรรณ            ดังเทพสรรเสกงามสม 
ปีกป้องล่องลอยลม               ดุจเลื่อนฟ้ามาล่องลอย 
กระบี่ศรีสง่า                       งามท่วงท่าไม่ท้อถอย 
เรือครุฑไม่หยุดคอย             ยุดนาคคล้อยลอยเมฆินทร์ 
อสุรวายุภักษ์                      ศักดิ์ศรีคู่อสุรปักษิน 
พายยกเพียงนกบิน              ผินสู่ฟ้าร่าเริงบน 
เรือแซงแข่งเรือดั้ง              พร้อมสะพรั่งกลางสายชล 
เรือชัยไฉไลล้น                  ยลเรือกิ่งพริ้งเพราตา 
ยักษ์ลิงกลิ้งกลอกกาย           แลลวดลายล้วนเลขา 
รูปสัตว์หยัดกายา                พาโผนเผ่นเป็นทิวธาร 
นาวาสถาปัตย์                    เชิงช่างชัดเชี่ยวชาญฉาน 
ท่อนไม้ไร้วิญญาณ             ท่านเสกสร้างเหมือนอย่างเป็น 
ฝีมือลือสามโลก                  ดับทุกข์โศกคลายเคืองเข็ญ 
ยิ่งยลยิ่งเยือกเย็น                เห็นสายศิลป์วิญญาณไทย 
เจ้าเอยเจ้าพระยา               ถั่งธารามานานไกล 
เอิบอาบกำซาบใจ               หล่อเลี้ยงไทยแผ่นดินทอง 
รวงทองเหลืองท้องทุ่ง          แดดทอรุ้งเหนือเขื่อนคลอง 
ข้าวปลามาเนืองนอง           เรือขึ้นล่องล้วนเริงแรง 
วัดวาทุกอาวาส                  พุทธศาสน์ธรรมทอแสง 
น้ำใจจึงไหลแรง                ไม่เคยแล้งจากใจไทย 
เกลียดใครไม่นานวัน          แต่แรกนั้นนานกว่าใคร 
เจ้าพระยาหยาดยาใจ          คือสายใยหยาดจากทรวง 
เห่เอยเห่เรือสวรรค์            เพลงคนธรรพ์ลั่นลือสรวง 
ฝากหาวเดือนดาวดวง        อย่าลับล่วงอยู่นิรันดร์เทอญ. 
บทที่ ๒
ชมเมือง
สยามเอยอุโฆษครื้น          คุณขจร 
สุขสถิตสถาพร                 ผ่านฟ้า 
ไตรรงค์ลิ่วลมสลอน          อวดโลก 
ตราบเมื่อนี้เมื่อหน้า           เมื่อโน้นนิรันดร์เกษม 
สยามเอย สยามรัฐ            งามร่มฉัตรทัดเทียมโพยม 
กิตติศัพ์ขับประโคม          โคมครืนครั่นลั่นหน้าคง 
สุโขทัยไกลสุด                 ถึงอยุธยายง 
ธนบุรีลอยฟ้าลง               ทรงศักดิ์ฟื้นคืนคุณขจร 
รัตนโกสินทร์ศิลป์            สืบระบิลอันบวร 
แม่นแม้นแดนอมร          ถอนจากฟ้ามาเมืองดิน 
เจ้าเอย เจ้าพระยา           ถั่งธารามาเรื่อยริน 
ทวยไทยได้อาบกิน         ลินลาศลุ่มขุมกำลัง 
งามเอย งามระยับ           แวววาววับวัดเวียงวัง 
ย่ำค่ำย่ำระฆัง                วังเวงหวานซ่านซึ้งเสียง 
เจดีย์ศรีสูงเหยียด            เสียดยอดท้าฟ้ารายเรียง 
ปรางค์ยอดทอดเงาเคียง    เลี้ยงตาเมืองเรื้องเรืองรมย์ 
พืชพันธุ์ธัญญาผล           เลี้ยงชีพชนดลอุดม 
นาสวนชวนชื่นชม          ร่มรื่นไม้ไพรพฤกษ์มี 
รอยยิ้มพิมพ์ใจสวย          ชนรุ่มรวยด้วยไมตรี 
เสน่ห์ประเพณี                ศรีสง่ามานิรันดร์ 
น้ำใจไม่เคยจืด                อยู่ยาวยืดยิ้มยืนยัน 
ต่างเพศต่างผิวพรรณ        แต่ใจนั้นไม่ต่างใจ 
แขกบ้านแขกเมืองมา       ไทยทั่วหน้าพาสดใส 
ท่านมาจากฟ้าไกล            อยู่เมืองไทยไร้กังวล 
เทคโนอาจน้อยหน้า          แต่ข้าวปลาไม่ขัดสน 
สินทรัพย์อาจอับจน           แต่ใจคนไม่จนใจ 
บ้านเรือนไม่หรูหรา          แต่สูงค่าปัญญาไทย 
หนทางอาจห่างไกล           แต่หัวใจใกล้ชิดกัน 
ศาสนาสถาพร                  ประชากรเกษมสันต์ 
ร่มธรรมฉ่ำชีวัน               ฟั้นฝึกใจใฝ่ความดี 
ราชันขวัญสยาม               ปิ่นเพชรงามปักธานี 
ร่มพระบารมี                   ศรีไผทฉัตรชัยชน 
ไตรรงค์ธงชัยโชค             ลอยอวดโลกโบกลมบน 
ขวัญฟ้าขวัญตายล             ล้นเลิศหล้าศักดิ์ศรีสยาม 
เมื่อนี้ตราบเมื่อหน้า            คงคู่หล้ากล้าเกียรติงาม 
ใครบุกรุกเขตคาม              ตามหาญหักรักษ์แผ่นดิน 
ฟ้าเอย ฟ้าสยาม                 งามกว่าฟ้าทุกธานินทร์ 
เพลงสยามทุกยามยิน          วิญญาณปลื้มดื่มด่ำเอย. 
http://golfroses.spaces.live.com/blog/cns!DFF90E439FD8A19F!474.entry
http://www.st.ac.th/bhatips/chan_poem.html
http://www.thaiwashington.org/node/185
http://www.konmun.com/Article/id5221.aspx
...........
คนกุลา (เรียบเรียง)
ในเหมันต์
ปล.รวบรวมและเรียบเรียง เพราะอยากทบทวนความรู้ในเรื่องนี้นะครับ				
comments powered by Disqus
  • 123

    7 มกราคม 2553 20:01 น. - comment id 26847

    อย่าอ่านนะขอร้อง
    ความลับมาบอก เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
    เคยมีเด็กถูกฆ่าตายที่ห้องนำของภารโรง
    แต่ไม่สามารถหาต้นเหตุของคดีได้
    จึงได้ปล่อยร่างไร้วิญญานของเด็กน้อยทิ้งไว้ ณ ที่เดิม
    ไม่มีการทำพิธีอะไรทั้งสิ้น วิญยาณของเด็กจึงล่องลอยวนเวียนอยู่ในรร.
    เป็นเวลาหลาย10ปี
    จนวันหนึ่งได้มีกลุ่มน.ร. หญิงเข้าไปในห้องนำนั้นเพื่อหวังจะแกล้งภารโรง
    จึงได้พบวิญยาณของเด็กน้อยกำลังไต่ไปตามเพดาน พร้อมแสยะยิ้มให้
    พวกเทอกลัวมากรีบวิ่งออกจากห้องน้ำ
    แต่เพื่อนคนหนึ่งพลันไปเหยียบแอ่งน้ำที่พื้นเข้า
    จึงได้ล้มและไปสะดุดขาของเพื่อนอีกคนหนึ่งเข้า
    เพื่อนคนนั้นได้จับแขนของอีกคนไว้จึงล้มกันมาเป็นทอดๆและหัวฟาดพื้นตายหมด
    วิญยาณของพวกเขาจึงวนเวียน ณ ที่แห่งนั้นตลอดไป
    จงส่งต่อไปอีก20 กระทู้ ภายใน 7ชม.
    ต่อแรกเราก็ไม่เชื่อหรอกแต่เพื่อนเราประสบอุบัติเหตุไปแล้ว 5ค
  • ฤกษ์(ไม่ได้ล๊อกอิน)

    7 มกราคม 2553 23:16 น. - comment id 26854

    เคยเรียนเคยขับร้องกาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้ากุ้ง
    กุ้ง  ตอนนี้ส่งคินอาจารย์ไปหมดแล้ว
  • ผู้น่าสงสาร

    29 มิถุนายน 2553 22:08 น. - comment id 31466

    ช่วยแต่งกาพย์เห่เรือให้หน่อยค่ะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน