โคเปนเฮเกน ลมหายใจสุดท้าย....

คีตากะ

gl.gif                แม้จนเกือบถึงวันสุดท้ายแห่งการประชุมว่าด้วยเรื่อง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก คงยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับจีนยังคงเกี่ยงกันรับผิดชอบในประเด็นการลดก๊าซเรือนกระจกโดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจ ประเทศจีนซึ่งถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ ๑ ของโลกแซงหน้าประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯเมื่อปีที่ผ่านมา จากการที่สหรัฐฯเคยครองแชมป์โลกในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและทำให้โลกร้อนมายาวนานโดยต้องตกมาเป็นรองแชมป์ แต่สองยักษ์ใหญ่ก็ยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปเพื่อจะลงเอยกันได้ ที่ผ่านมาในพิธีสารเกียวโต ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ละประเทศได้ให้สัตยาบันที่จะลดก๊าซเรือนกระจกลง และมีเพียง ๒ ประเทศที่ไม่ยอมร่วมลงสัตยาบันซึ่งก็คือ สหรัฐฯและออสเตรเลีย ( ซึ่งภายหลังออสเตรเลียก็ยอมร่วมลงนามในเวลาต่อมา)  ในสมัยรัฐบาลของบุช ที่มุ่งเน้นการปราบปรามผู้ก่อการร้ายสากลและก่อสงครามมากกว่าจะพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม ผู้คนต่างคิดกันไปว่าที่รัฐบาลของบุชไม่ยอมร่วมลงนามนั้นใช่มาจากธุรกิจของเขาที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะน้ำมันหรือไม่? มันก็อดคิดไม่ได้ว่า น้ำมัน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่นักวิทยาศาสตร์ยืนยันกันว่าเป็นสาเหตุของการทำให้โลกร้อน เช่น เดียวกับถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ
ในขณะที่โลกยังมีความหวังจากประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯคนปัจจุบันซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไปหมาดๆ จะมีท่าดีที่เด่นชัดมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน เพราะในขณะที่หลายประเทศที่เป็นเกาะและอาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลกำลังจะจมน้ำตาย การประชุมที่เมืองโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ถือเป็นความหวังสุดท้ายสำหรับชะตากรรมของพวกเขา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไรเลย แต่ต้องมารับเคราะห์จากประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างจีน สหรัฐฯและยุโรป และทำได้แค่การส่งเสียงและยกมือขอความช่วยเหลือขณะที่กำลังจะจมน้ำในอีกไม่ช้า การประท้วงเริ่มมีขึ้นจากผู้ที่มาร่วมชุมนุมเพื่อลดภาวะโลกร้อนที่เมืองโคเปนเฮเกน และมันดุเดือดขึ้นทุกที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสลายการชุมนุม เหมือนกับว่าโลกกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง? 
ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอก ! แม้โลกจะพินาศวันพรุ่งนี้ก็ตาม แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือความ อวิชชา ต่างหาก ความไม่รู้หรือรู้ผิดนำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด นำไปสู่ความทุกข์ ความกลัว ความวิตก กังวลโดยไม่จำเป็น ศาสนาทุกศาสนาล้วนสอนไว้เช่นนั้น พระพุทธเจ้าเรียกคนที่มีความทุกข์ว่าคนโง่ ถ้าสรุปกันง่ายๆ ภาษาชาวบ้าน ไม่ใช่คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ คนชั้นต่ำหรือว่าอะไร โลกเดินผิดทางมายาวนานมากระหว่างคำว่า โง่ กับ ฉลาด ระหว่างคำว่า ปัญญา กับคำว่า อวิชชา มันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะไปโทษผู้นำประเทศหรือนักวิทยาศาสตร์คนไหน ความเข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์ และความเพิกเฉยของผู้นำประเทศในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเทียบเท่ากับ ความเข้าใจธรรมชาติผิดของตัวเราเอง ยกตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนและแหล่งผลิตอันดับหนึ่งของมันมาจากภาคอุตสาหกรรม นี่เป็นความเขลาประการที่หนึ่ง ความเข้าใจผิดอันนี้นำไปสู่ทิศทางและกลยุทธุ์ในการแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาดไปด้วย ผลก็คือมนุษย์ พืช และสัตว์ เกือบ ๙๐% สูญพันธุ์ตามมาในอีกไม่ช้า เหมือนการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อ ๖๐๐ ,๑๔๐,๒๕๐ และ ๕๕  ล้านปีก่อน(ค่าประมาณ) พวกมันล้วนพบจุดจบเดียวกันคือภาวะโลกร้อน ถ้าในแง่ศาสนามันคือเรื่องของ กรรม ซึ่งก็มีพวกรู้มากบางคนบอกว่าสิ่งนี้แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำได้อย่างเดียวคือ รอวันตาย นี่คือความเขลาประการต่อมา คุณเชื่อไหมหล่ะว่าถ้าทุกคนบนโลกนี้ไม่กินเนื้อสัตว์ หายนะวันสิ้นโลกจะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าในอดีตหรือในอนาคตโลกจะถึงจุดจบก็ต่อเมื่อมนุษย์ถึงจุดจบแห่งความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกไม่ว่าต่อมนุษย์ด้วยกันเอง พืชหรือสัตว์.............
 นักวิทยาสาสตร์บอกว่าการเป็นมังสวิรัติไม่มีทางหยุดภาวะโลกร้อนได้ ซึ่งปัจจุบันเสียงก็เริ่มอ่อยลง เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องศาสนาหรือพลังจิตอะไรหรอก มีพวกอุตริธรรมอยู่เยอะ แต่ท้ายที่สุดก็ทำเพื่อลาภยศชื่อเสียงศรัทธาของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนหรอกที่เข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนผิดพลาด ดร.เจมส์ ฮันเซ่นน์ สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศแห่งนาซ่าเป็นหนึ่งในหลายคนที่รู้จริง ท่านกล่าวว่า การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาซึ่งทำให้โลกร้อน ขณะเดียวกันมันก็ได้ควันของละอองลอยซัลเฟต (Aerosols) ซึ่งมีผลทำให้โลกเย็นลง ผลของการหักล้างอุณหภมิของก๊าซทั้งสองตัวอุณหภูมิที่ได้เกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ใช่มาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เป็นก๊าซมีเทน ซึ่งแหล่งผลิตรายใหญ่ที่สุดมาจากฟาร์มปศุสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู ฯลฯ ซึ่งการค้นพบที่สำคัญนี้สอดคล้องกับนักฟิสิกซ์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐฯ นาย Noam Mohr ซึ่งพบว่าในช่วงระยะเวลา ๒๐ ปี คาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้โลกร้อน ๔๐% ส่วนอีก ๖๐% มาจากก๊าซหลักที่สำคัญคือมีเทน นั่นหมายความว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๔๐% นั้นมาจากไหน? คำตอบนี้ยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจน ทุกคนก็เหมาเอาว่าจากโรงงาน การขนส่ง การเกษตร บ้านเรือน การเผาขยะ เป็นต้น ซึ่งก็อาจจะจริงแต่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น
แม้แต่องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) ยังกล่าวว่าการเลี้ยงสัตว์และผลิตภัณฑ์นมทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเพียงร้อยละ ๑๘ มากกว่าการขนส่งทั่วโลกรวมกัน อย่างไรก็ตามมันชัดเจนมากขึ้นต่อนักวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมาว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ มีบทบาทสำคัญมากกว่านั้นและเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในการผลิตก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนถึงร้อยละ ๕๑  ดร.ที คอเลน จากมหาวิทยาลัยคอเนล สหรัฐอเมริกากล่าวว่า ผมแค่มีข้อมูลบางอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีโครงสร้างใหม่ตอนนี้ ระบุว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก ที่อยู่ที่นั่นไม่ใช่แค่ ๑๕ หรือ ๒๐% แต่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งและบางทีมากพอใช้ ซึ่งเนื่องมาจากการปศุสัตว์  คำตอบนี้พอคาดเดาได้หรือไม่ว่า ถ้าสิ่งที่ค้นพบโดย ๓ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก (ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย) ข้างต้นนั้นเป็นความจริง คาร์บอนไดออกไซด์ที่มีเพิ่มมากขึ้นในชั้นบรรยากาศและทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ตามกราฟที่อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายอัล กอร์ แสดงไว้ในหนังสืออันโด่งดังชื่อ  โลกร้อน ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง( An Inconvenient Truth)  ที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้นมาจากที่ใด? เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้ทำให้โลกร้อน การเผาผลาญน้ำมันจากการขนส่ง รถ เรือ เป็นต้นก็ย่อมได้ผลแบบเดียวกันคือจะเกิดละลองลอยที่ทำให้โลกเย็นด้วย หรือแม้แต่การเผาก๊าซธรรมชาติ NGV LPG ต่างๆ เหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน  คำตอบที่น่าสนใจก็คือว่า ฟาร์มปศุสัตว์ อย่างไรหรือ? ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าฟาร์มปศุสัตว์นั้นผลิตก๊าซเรือนกระจกถึง ๓ ก๊าซคือ ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนตรัสออกไซด์ พูดถึงความรุนแรงที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนก๊าซไนตรัสออกไ.ซด์รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง ๒๙๖ เท่าแต่มันมีปริมาณน้อยมากจึงส่งผลน้อยกว่า ส่วนฆาตรกรตัวจริงอย่างก๊าซมีเทนทำให้โลกร้อนกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๗๒ เท่า (วัดในช่วง ๒๐ ปี) และมีปริมาณมากกว่า ๓๗% มาจากการปศุสัตว์ แต่มันมีอายุสั้นกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ กล่าวคือมันมีอายุแค่ ๑๑ ปีก็จะสลายตัวเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์มีอายุมากกว่า ๑๐๐ ปี นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่วัดค่าก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศในช่วงเวลา ๑๐๐ ปี ทำให้พบปริมาณก๊าซมีเทนน้อยมาก พวกเขาเลยสรุปผลง่ายๆ ว่าตัวการทำให้โลกร้อนคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตได้เลย เพราะอะไรหรือ? เพราะเพียงแค่ ๑๑ ปี ก๊าซมีเทนก็อันตธานล่องหนหายไปไม่เหลือซากแล้ว มันถูกออกซิไดซ์เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สุภาษิตจีนกล่าวว่า อาวุธที่อันตรายที่สุดในโลก หาใช่อาวุธที่มองเห็นได้ง่าย อาวุธในมือศรัตรูที่สามารถมองเห็นได้ ท่านยังมีโอกาสหลบหนีได้ทัน แต่ท่านจะไม่มีทางมองเห็นอาวุธลับ ของศรัตรูที่ซ่อนอยู่ รอจนอาวุธนั้นปรากฏ ท่านจึงสามารถมองเห็นว่ามันมีลักษณะเยี่ยงไร พร้อมกับ เลือดที่หลั่งรินและ ชีวิตของท่านที่หลุดลอย ก๊าซแอบแฝงลำดับที่ ๒ อย่างมีเทนกำลังเป็นประเด็นร้อนที่เมืองโคเปนเฮเกน ถ้าผู้นำทุกประเทศกลับไปรณรงค์ให้ลดการทานเนื้อสัตว์ลงเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกที่อันตรายนี้ลงได้ก่อนที่จะสายเกิน หากทั่วโลกสามารถจัดการกับมีเทนได้ เวลาที่เหลือนับร้อยปียังมีเวลาจัดการกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทัน( แน่นอนเราต้องจัดการทั้ง ๒ ตัว) ด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีหรือการใช้พลังงานแบบยั่งยืนแทน เป็นต้น แต่ถ้าหากผู้นำก้าวเดินผิดทางย่อมนำประเทศและโลกไปสู่หายนะอย่างแน่นอน ผู้นำสามารถใช้อำนาจทางการเมืองแก้ปัญหาโลกร้อนได้หากตระหนักรู้ว่ามันคือหายนะตัวจริง คำถามคือว่า คุณจะยอมเว้นอาหารเลิศรสจากเนื้อสัตว์ แล้วมาอดทนกินแต่พืชผักผลไม้ แลกกับการสูญพันธุ์ของตัวคุณเองและลูกหลานไหม?  หากคำตอบคือไม่สิ่งเหล่านี้จะอุบัติขึ้น.......
อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นจาก ๑-๖ องศาเซลเซียส ถ้าถึง ๖ องศาโลกนี้จะไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์ สัตว์และพืชอีกต่อไป ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น
๑ องศาเซลเซียส - บริเวณอาร์ติกขั้วโลกเหนือจะปลอดน้ำแข็งเป็นเวลาครึ่งปี แอตแลนด์ติกตอนใต้ ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีพายุเฮอร์ริเคน (พายุร้อยปี) จะพบกับพายุเฮอร์ริเคนชายฝั่ง และตะวันตกของสหรัฐ จะเกิดความแห้งแล้งรุนแรง จนกลายเป็นทะเลทราย
๒ องศาเซลเซียส -  มหานครหลายแห่งทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำ หนึ่งในนั้นคือ กรุงเทพมหานคร น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น หมีที่อาศัยอยู่ขั้วโลกเหนือจะตกอยู่ในภาวะคับขัน แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ซึ่งใหญ่กว่าประเทศสหรัฐฯ จะละลายเกือบหมด ในขณะที่ปะการังชายฝั่งจะหายไป ระดับน้ำทะเลของโลกจะสูงขึ้น ๗ เมตร
๓ องศาเซลเซียส -   ป่าฝนอะเมซอนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกและผลิตออกซิเจนมากที่สุดจะเหือดแห้ง ภาวะอากาศที่รุนแรงอย่างเอล นิโญ (ก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง และภัยแล้งขั้นรุนแรงคนละฝั่งของทวีป)จะกลายเป็นเรื่องปกติ ยุโรปจะพบกับคลื่นความร้อนในฤดูร้อนขั้นรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน(ปี ๒๕๔๖ คลื่นความร้อนคร่าชีวิตชาวยุโรปจำนวน ๓๕,๐๐๐ คนในฤดูร้อน) คนนับล้านหรือพันล้านคนจะถูกย้ายถิ่นจากพื้นที่เขตร้อน ไปยังแลตติจูดตอนกลาง
๔ องศาเซลเซียส - น้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เมืองที่อยู่ชายฝั่งจมลง ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยจะแห้งหมดไป ทำให้ประชาชน ๓.๒ พันล้านคน(ครึ่งโลก) ขาดแคลนน้ำจืด แม่น้ำ ๘ สายหลักของเอเชียจะแห้งขอดรวมทั้งแม่น้ำโขง แม่น้ำคงคา แม่น้ำแยงซี เป็นต้น ธารน้ำแข็งส่วนหนึ่งของแอนตาร์กติกาบริเวณขั้วโลกใต้ ซึ่งมีน้ำแข็ง ๙๐% ของโลกและเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดจะพังทลายลง ทำให้ระดับน้ำทะเลยิ่งสูงขึ้นอีก อุณหภูมิอากาศในฤดูร้อนของลอนดอนจะสูงถึง ๔๕ องศาเซลเซียส
๕ องศาเซลเซียส  บริเวณที่อาศัยอยู่ไม่ได้จะแผ่ขยายกว้าง หิมะและธารน้ำแข็งที่เป็นแหล่งน้ำจืดให้กับเมืองใหญ่จะเหือดแห้ง จะมีผู้อพยพลี้ภัยจากความรุนแรงของภาวะอากาศนับล้านคน อารยะธรรมของมนุษย์จะเริ่มพังทลายไปพร้อมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงนี้ คนยากจนจะเป็นผู้ที่ทุกข์ยากที่สุด จะไม่มีน้ำแข็งที่ขั้วโลกอีกต่อไป และจะเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสัตว์และพืชในมหาสมุทร รวมทั้งสึนามิขนาดยักษ์จะทำลายแนวชายฝั่งจนราบคาบ
๖ องศาเซลเซียส  จะเกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ถึง ๙๕% สิ่งมีชีวิตจะทุกข์ทรมานจากพายุรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทะเลทรายจะครองโลก การผุดขึ้นมาของก๊าซพิษไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่า(ก๊าซชนิดเดียวกับที่รั่วไหลจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) และก๊าซมีเทนซึ่งติดไฟได้จากท้องทะเลและทุกแห่งทั่วโลกจะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมันคือระเบิดอะตอมที่มีศักยภาพสูง (ในอดีตเคยทำให้ดาวทั้งดวงระเบิดกลายเป็นฝุ่นธุลี) และจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่รอดได้ ยกเว้นแบคทีเรีย (เหมือนครั้งกำเนิดโลก) และนี่อาจจะเป็น สถานการณ์วันล้างโลก
ยามเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็อบอุ่น
มวลหมู่บุปผาชาติก็เบ่งบานสวยสล้าง
เหล่าสกุณาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
สุภาพชนเมื่อมีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก
กินอิ่มสวมอุ่นไม่ทุกข์ร้อน
กลับไม่คิดที่จะเผยแพร่ความรู้และกระทำความดีแล้วไซร้
แม้จะมีอายุยืนถึงร้อยปี
ก็เหมือนยังมิได้ถือกำเนิดเกิดมาแม้สักวันเดียว
วันเวลานั้นยาวนาน
แต่คนวุ่นอยู่กับงานเห็นว่าสั้น
ฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่
แต่คนใจคอคับแคบเห็นว่าเล็ก
บุปผามาลี
แสงจันทร์วันเพ็ญ
เป็นสิ่งจรุงจรรโลงใจ
แต่คนชอบความอึกทึกจอแจกลับเห็นว่าไร้สาระ
ใต้ฟ้าแจ่มเดือนกระจ่าง เหินหาวได้ไร้ขอบเขต
แต่แมลงเม่ากลับบินเข้าหาเปลวเทียน
ลำธารใสหญ้าเขียวขจี ดื่มกินได้ตามใจชอบ
แต่นกเค้าแมวกลับชอบรสหนูเน่า
เออหนอ
คนที่ไม่เป็นแมลงเม่าและนกเค้าแมวในโลก
จะมีสักกี่คน?
ศิลปินต่างผัดหน้าทาแป้ง
ประชันโฉมไม่ลดราวาศอก
เมื่อปิดฉากลง สวยไม่สวยอยู่หนใด?
เล่นหมากรุกหน้าดำคร่ำเครียด
เอาเป็นเอาตายกันที่ตัวหมาก
เมื่อจบกระดาน แพ้ชนะอยู่แห่งไหน?
จากสุภาษิตรากผัก
ของหงอิ้งหมิง สมัยราชวงศ์หมิง เขียน

%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%				
comments powered by Disqus
  • ฉางน้อย

    17 ธันวาคม 2552 17:07 น. - comment id 112502

    11.gif36.gif11.gif
  • ปรางทิพย์

    17 ธันวาคม 2552 20:10 น. - comment id 112524

    11.gif36.gif11.gif
    ตามฉางน้อยมาค่ะ
    มันเป็นการยากที่จะแก้ไขค่ะ
    แต่ก็ดีกว่าอยู่นิ่ง ๆ นะคะ
    36.gif36.gif36.gif
  • หลี่เหม่ยจิน(ไม่ได้ lock in)

    17 ธันวาคม 2552 20:18 น. - comment id 112525

    โลกคงเย็นขึ้นถ้ามวลมนุษย์ชาติเห็นความงดงามในตัวหญิงสาวที่ดีดพิณคนนี้...งดงามดั่งนางสวรรค์
  • โคลอน

    19 ธันวาคม 2552 11:45 น. - comment id 112578

    11.gif11.gif11.gif36.gif36.gif36.gif11.gif11.gif11.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน