ทางแยกหน้าร้านกาแฟ

กวีปกรณ์

เวลานี้ผมกำลังรับบทบาทเป็นพระเจ้า หน้าที่ที่ผมได้รับและปฎิบัติอยู่นั้นคือการเฝ้ามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้า บุคคลทั้งสามสนทนากัน เพื่อสืบสาวหาสาเหตุแห่งเรื่องราวที่เพิ่งผ่านไป จากคำบอกเล่าของเธอ ชวนพิศ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในวงสนทนาพยายามวิเคราะห์ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบของหน้าจอโทรทัศน์ 
	ฉันคาดไว้ไม่มีผิด การกระทำของเขาต้องก่อประโยชน์ให้แก่ตัวเอง
	ผมไม่คิดอย่างนั้น มันสมเหตุสมผลแล้วหรือกับการตัดสินสิ่งที่คุณเห็น ด้วยสิ่งที่คุณคิด		ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น เหตุผลของการกระทำของเขานั้น - ณัฐวุฒิ หนุ่มวัยรุ่นในเครื่องแบบนักศึกษาชาย มหาลับชื่อดัง แสดงความคิดเห็นโต้ตอบ พร้อมจับจ้องภาพเคลื่อนไหวในหน้าจอโทรทัศน์อย่างไม่ละสายตา
	นี่นะหรือ ความผิดพลาด ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างนั้น ก่อนหน้านี้ตอนผมกำลังดื่ม		กาแฟตรงร้านหัวมุมถนน ภาพนั้นยังติดตา รถคันนั้นไม่เห็นมีทีท่าว่าจะชลอความเร็วแม้แต่		น้อย เขากลับเร่งความเร็วให้รถเคลื่อนตัวหลีกหนีเวลาที่กำลังกำหนดให้เขาจำต้องหยุดหากไฟ		แดงนั้นปรากฎ  -  ปรัชญา ผู้ชอบใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือ ผ่อนคลายอารมณ์ในร้านกาแฟ เอ่ยถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเหตุการณ์ที่เขาได้พบเห็นก่อนภาพเหล่านั้นจะถูกถ่ายทอดผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ โดยมีผู้ประกาศข่าวกำลังบอกเล่าเหตุการณ์ แสดงความคิดเห็นอย่างออกรสออกชาติเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนั้น ตัดสินก่อนว่าใครถูกผิด คล้ายกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเขาคือผู้เห็น และทราบทั้งหมดว่าเกิดจากอะไร
      ภาพตำรวจกำลังสอบสวน คนเจ็บที่นอนจมกองเลือดด้วยท่าทางที่ไม่ปกติ แขนข้างหนึ่งไพล่ไปทางด้านหลัง ขาหักพับมาทางด้านหน้า 
	
     ผู้สื่อข่าวกำลังสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ และวิเคราะห์คำให้การของผู้พบเห็นอุบัตินั้น อย่างลืมหน้าที่ไปว่าเขาเป็นเพียงผู้ส่งสารมิใช่ศาลที่มีหน้าที่ตัดสิน
	ช่างชวนขนลุกเสียนี่กระไร ฉันไม่ชอบภาพนี้ที่สื่อพยายามนำเสนอเลย มันน่ากลัวเกิน		ไป ฉันก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าเขาจะเร่งรีบอะไรนักหนา ถึงขนาดต้องเหยียบคันเร่งให้รถ			ทะยาน เพื่อแข่งกับเวลาที่จำกัดนั้น ถึงจะมีธุระเร่งด่วนขนาดนั้นก็ไม่น่าลืมระมัดระวังไป
	เธอกำลังฟังความเห็นข้างเดียวที่ผ่านจากการวิเคราะห์ของผู้สื่อข่าวนั้นเกินไป ชวน		พิศ ปรัชญา ยกแก้วกาแฟขึ้นประกบริมฝีปากอีกครั้ง 
	ภาพที่เธอได้เห็นมิใช่เหตุการณ์ทั้งหมดชวนพิศ แล้วจะเล่าเรื่องที่แท้จริงให้เราได้ฟังกัน		ได้หรือยัง ปรัชญา  สายตาของณัฐวุฒิจับจ้องไปที่ใบหน้าของเพื่อนชาย พร้อมแสดงท่าทีเร่งเร้าให้บอกเล่าความจริงที่เขาได้เห็น
	มันไม่มีอะไรมากไปกว่า คนขับรถยนต์ป้ายแดง แซงซ้ายบริเวณไฟแดง แล้วเบรค			ไม่ทัน เพราะอยู่ดี ๆ คนที่นอนจมกองเลือดนั้นก็วิ่งข้ามถนนอย่างกระชั้นชิด เราก็ไม่รู้หรอกว่า 		ชายคนที่จมกองเลือดนั้นมีเรื่องอะไรเร่งรีบขนาดขึ้นสะพานลอยที่ห่างไปเพียงไม่ถึง 20 เมตร		ได้...
	เธอกำลังบอกว่า คนที่นอนสงบนิ่งอยู่บนท้องถนนนั้นก็ผิดหรือยังไง ชวนพิศ ถามขัดขึ้้นมา
	ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันเพียงอยากรู้ว่าเหตุอะไรที่ทำให้เขาต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง		ขนาดน้ัน ปรัชญาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบ
	แต่หลังจากที่ชายผู้นั้นจะกลายจะเป็นเพียงร่างที่สงบนิ่งไม่ไหวติง ฉันเห็นแววตาแห่ง		ความเจ็บปวดนั้น ราวกับกล่าวโทษพร้อมสำนึกในความผิดพลาดของตัวเองในนาทีเดียวกัน
	
	ก็แหงอยู่แล้ว... สะพานลอยมีดันไม่ข้าม ช้าไปไม่กี่นาที รีบก็แค่เร่งฝีเท้า ณัฐวุฒิเอ่ยคำพูดเหล่านั้นคล้ายตำหนิ 
	
	ต่อสิ เล่าต่อสิ... ชวนพิศซักไซ้ให้เพื่อนชายผู้เห็นเหตุการณ์เล่าที่มาที่ไปให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
	ฉันไม่รู้นะว่า อะไรที่มันสำคัญไปมากกว่าชีวิตเขาหรือเปล่า แต่ท่าทีที่เร่งร้อนนั้น น่าจะ		แสดงชัดเจนว่าธุระที่เขารู้นั้นต้องสำคัญ สำคัญมากแน่ ๆ
	มันก็แน่อยู่แล้ว ใคร ๆ ก็เห็นว่าเรื่องของตัวเองต้องสำคัญไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง		เล็กน้อยแค่ไหน หากมันเป็นความต้องการ หรือเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขที่เกิดขึ้นกับใครสักคน		แล้ว เรื่องคนอื่นก็คงเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในทันที เมื่อความคิดเห็นสุดสิ้นจากปากณัฐวุติ เขาก็หยิบรีโมทคอนโทรลปิดโทรทัศน์ลง อย่างรำคาญที่ผู้ประกาศข่าวทุกช่องต่างก็เล่าเรื่องเดิม ๆ คล้าย ๆกัน พร้อมทั้งใส่อารมณ์ความรู้สึกของตนลงไปให้ออกรสออกชาติเพื่อดึงดูดจำนวนผู้ชมให้มากขึ้น
	
ผมกำลังตั้งใจฟังพร้อมทั้งคิดตามความคิดเห็นของทุกฝ่าย ด้วยความสนใจไม่ต่างจากบุคคลทั้งสาม ปรัชญาก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะรีบร้อนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชัดแจ้ง เขาผ่อนคลายคล้ายกับว่าไม่ใช่เรื่องราวสำคัญมากนัก ในร้านกาแฟจุดนี้ห่างจากที่เกิดเหตุไม่ไกลนักจริง ๆ ผมสำรวจรอบ ๆ ร้าน ล้วนติดกระจกแทนผนังกั้น บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นหอมของกาแฟ และบทสนทนาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ชายหญิงเพื่อนของปรัชญาจะเดินทางมาถึง 
ไม่นานนัก ณัฐวุฒิ เจ้าของร้านกาแฟที่เพิ่งมาถึงก็เปิดวิทยุเพื่อบรรเลงบทเพลงผ่อนคลายอารมณ์ลูกค้าภายในร้าน 
	เล่าต่อสิเพื่อน เอาเป็นว่าสั้นกระชับได้ใจความ ณัฐวุฒิคงสอบถามเรื่องเล่าที่ปรัชญาค้างคา คล้ายกับว่าเสียงดนตรีสูงต่ำที่ล่องลอยอยู่ในบรรยากาศร้านไม่ได้ช่วยคลายความสงสัยของเขาลงได้เลย
	ใช่... แล้วไอ้คนขับรถนั้นมันแสดงท่าทีรับผิดชอบอะไรบ้างหรือเปล่า แล้วพอจะเดาออก		ไหมว่า อะไรทำให้เขาต้องรีบจนไม่ทันระวังเลย ในเขตชุมชนแท้ ๆ ไม่น่าเกิดเรื่องร้าย ๆ อย่าง		นี้ ชวนพิศ กล่าวเสริมให้ปรัชญาเล่าเรื่องต่อไป ด้วยน้ำเสียงแสดงความเห็นเชิงตำหนิคนขับรถ
	
	เขาลงมาจากรถด้วยสีหน้าไม่ดีนักหรอก ความผิดมันประจัญหน้าเขาอยู่ตรงนั้น ถึง		แม้ว่าจะไม่ตั้งใจก็เถอะ หากเป็นเธอก็คงจะไม่ยิ้มในสถานการณ์อย่างนั้นแน่ ๆ 
ปรัชญาเหลียวมองชวนพิศเพียงชั่วพริบตาหนึ่ง และเล่าเรื่องราวในอดีตที่ดำเนินอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของเขาต่อไปให้เพื่อน ๆ เขาได้ฟัง
	เขาก็ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพของชายที่อยู่เบื้องหน้านั้นนอนสงบนิ่งไร้ซึ่งสติและลม		หายใจ
	ผมจินตนาการตามคำบอกเล่าของปรัชญาช้า ๆ ค่อย ๆ คิดตามถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผมพยายามตัดสินใจอยู่ว่าใครกันที่เป็นฝ่ายผิด
	
	ไม่นานนักเขารีบกลับไปที่รถยนต์ เปิดไฟกระพริบแจ้งให้รถคันอื่นทราบว่าเกิด			เหตุสุดวิสัยขึ้นบนถนนเส้นนี้ และวนกลับมายังประตูผู้โดยสารด้านหน้าข้างคนขับ เขาอุ้มเด็ก		ชายที่นอนสงบนิ่งไว้ในอ้อมแขนด้วยอย่างทะนุถนอม ราวกับว่าหากกระทบกระเทือนร่างัน			บอบบางนั้นเพียงนิด ลมหายใจเพียงแผ่วของเด็กน้อยคนนั้นจะล่องลอยหายไปไม่ต่างจากร่างที่		สงบนิ่งอยู่เบื้องหน้ารถยนต์ของเขา
ก่อนณัฐวุฒิเรียบเรียงและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของเขาออกมาให้เพื่อนทั้งสองได้รู้ ชวนพิศก็ชิงตัดหน้า เร่งเร้าให้ปรัชญาเล่าต่อด้วยการสบตาชายทั้งสอง ทำให้ณัฐวุฒิต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอ ส่วนปรัชญาก็ค่อย ๆ คายห้วงแห่งความทรงจำนั้นออกมาทีละน้อย
	เขาเรียกรถแท๊กซี่แล้วสนทนากับโชเฟอร์ ในช่วงเวลานับหนึ่งไม่ถึงสิบ แล้วก็พาร่าง		น้อยนั้นส่งขึ้นรถโดยสารนั้นอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา รถแท๊กซี่นั้นก็เร่งรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว 		แต่หากจะเทียบกับความเร็วที่ชายคนนั้นขับแล้วละก็ต่างกันลิบลับ
	ฉันเข้าใจแล้ว สถานการณ์อย่างนั้น ฉํนก็คงทำอย่างชายคนนั้นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะขับ		เคลื่อนรถยนต์คันนั้นด้วยความเร็ว จิตใจของฉันคงจะไม่ได้อยู่ตรงเข็มไมล์ที่บ่งบอกความเร็ว		แต่คงฝากไว้กับเด็กชายที่อยู่เบื้องหลัง และตัวเลขที่อยู่ตรงหน้าข้าง ๆ ไฟจราจรที่ค่อย ๆ ลดลง		เรื่อย ๆ เหมือนกับว่า ยิ่งเวลานั้นลดลงไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสำคัญกับเด็กน้อยที่นอนอยู่เบื้องหลัง		มากขึ้นเท่านั้น ชวนพิศแสดงความเห็นตรงกันข้ามกับความรู้สึกแรกที่ได้รับฟังข่าวสารจากโทรทัศน์
	แล้วชายคนที่นอนสงบนิ่งราวกับยอมรับความผิดพลาดของตนอย่างไม่มีทางโต้แย้งนั้นเล่า เธอไม่อยากฟังบ้างหรือว่าเขามีเรื่องอะไร	ณัฐวุฒิพยายามสอบถามความคิดเห็นจากเพื่อน แต่ทุกคนกลับส่ายหน้า รู้เพียงแต่ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทุกคนก็ต่างเสียใจไม่ต่างกัน
หน้าที่ผมคงจะยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ผมบอกไปแล้วว่าในเวลานี้ผมคือพระเจ้าผู้กำลังฟังบทสนทนาของบุคคลทั้งสาม แต่ทว่าผมคงจะต้องยุติการถ่ายทอดเรื่องราวของผมเพียงเท่านี้เช่นเดียวกับ ปรัชญาที่ยุติการบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาพอจะจำได้ให้เพื่อน ๆ และผมได้ฟังโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ผมยกแก้วกาแฟดื่มครั้งสุดท้ายก่อนเดินไปชำระเงินที่พนักงาน ผมคงจะต้องไปหาพระเจ้าผู้รับรู้เหตุการณ์ในบริเวณร้านใกล้เคียงที่ผมได้พอจะคาดเดาได้จากถุงพลาสติกที่พิมพ์ชื่อร้านขายยาปลิวผ่านบริเวณหน้าร้านกาแฟแห่งนี้ไปมา รอยแต้มสีแดงแห้งกรังของเลือดพอจะทำให้ผมทราบว่าเขาเพิ่งออกมาจากร้านขายยาในย่านนี้ เพื่อให้ได้รู้ว่าเขารีบร้อนอะไร และทำอย่างนั้นไปเพื่อใคร				
comments powered by Disqus
  • ลาลาบาย

    1 มีนาคม 2550 14:40 น. - comment id 95174

    พระเจ้าแอบฟังคนอื่นคุยกัน ไม่ดีเลยนะค่ะ
    
    อยากรู้ทำไมไม่โดนรถชนเองล่ะ11.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน