25 กุมภาพันธ์ 2549 01:13 น.

.. ไม่รักแต่คิดถึง ..

keekie

นานมากแล้วสิหนอที่ฉันไม่เคยได้พบเธอ .. 
	และไม่เคยได้รับรู้ความเป็นไปใดๆ ในชีวิตของเธอ .. 
	
	จะแปลกไหม? .. หากฉันจะบอกว่าวันนี้ฉันกลับคิดถึงเธอ .. 
	คิดถึงเธอในวันที่ดอกรักผลิบานเต็มหัวใจฉัน .. 
	
	เราได้รู้จักกันในวันที่ความรักครั้งแรกของฉันพังทลายไม่เป็นท่า .. 
	เธอบอกว่าเธอสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของฉัน .. 
	แม้จะไม่ได้เห็นน้ำตาแม้สักหยดหลั่งรินจากดวงตาของฉันก็ตามที .. 	
	ฉันอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่า .. 
	วันนี้ทำนบแข็งแรงที่เป็นดั่งปราการปิดกั้นน้ำตาของฉันมิให้ไหลพรั่งพรู
	มันคงพังทลายลงไปนับจากวันนั้นแล้วล่ะมั้ง .. 
	เพราะฉันมักจะร้องไห้อย่างไม่สนใจใครในโลกนี้ ร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย 
	แล้ววันรุ่งขึ้น .. ฉันก็จะมีกำลังต่อสู้กับสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดแก่ฉันต่อไป 
	ด้วยดวงตาอันบวมเป่ง .. หากใครถามฉันก็จะตอบพร้อมรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิว่า .. 
	.. อื้อ .. ร้องไห้สร้างกำลังใจน่ะ .. 

	ฉันกลายเป็นคนอ่อนแอที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาไปเสียแล้ว .. 

	จากวันที่เราได้รู้จัก ..
	เราก็มักจะไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง กินข้าวด้วยกันเสมอ ..
	เธอมักจะมีของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้หญิงห้าวๆ อย่างฉัน .. 
	และฉันก็มักตอบแทนเธอด้วยของกำนัลสำหรับผู้ชายขี้เล่นอย่างเธอ .. 
	
	ตลอดเวลาสองปีที่เราได้รู้จักกัน .. 
	เธอบอกฉันว่า .. เธอรับรู้ถึงความรู้สึกของฉัน .. 
	และฉันได้บอกเธอไปแล้วว่า .. ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกกับฉันเช่นไร .. 

	นั่นคงเป็นกระจกบางๆ ที่กีดกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเราให้หยุดอยู่เพียงนั้น
	ไม่คืบหน้า .. แต่มันก็ไม่ถอยหลัง .. 
	เรายังคงเป็นเพื่อน .. ที่ต่างยืนอยู่เขตแดนของตัวเอง .. 

	จนกระทั่งวันหนึ่ง .. 
	ฉันย้ายบ้าน .. เปลี่ยนงาน .. และเลิกใช้โทรศัพท์มือถืออย่างกระทันหัน
	ฉันไม่ได้บอกแม้กระทั่งเพื่อนสนิท .. ไม่มีใครติดต่อฉันได้และไม่มีใครรู้ว่าฉันหายไปไหน
	อยู่ดีๆ เหมือนฉันสาปสูญจากแวดวงสังคมที่เคยอยู่ .. 
	ด้วยเหตุผลความจำเป็นบางอย่างในชีวิต .. 

	หลายเดือนผ่านไป .. 
	หลังจากชีวิตเริ่มเข้ารูปเข้ารอย .. หายเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง ..
	ฉันเริ่มคิดถึงสังคม .. จึงโทรศัพท์ถึงเพื่อนไล่ตามชื่อในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์

	จนกระทั่งถึงชื่อเธอ .. 
	ฉันกดโทรศัพท์หาเธอ .. คำแรกที่หลุดจากปากเธอหลังได้ยินเสียงฉัน .. 
	"หายไปไหนมา? .. "   และฉันยังไม่ทันตอบคำถามแรก .. 
	คำถามที่สองสามสี่ก็ตามมาติดๆ จนฉันคิดว่าปล่อยให้เธอถามให้หมดก่อนแล้วกัน
	คงไม่น่าเกิน 20 คำถาม .. 

	"เราคิดว่าเธอเลือกแล้วซะอีก จึงหายไปจากชีวิตเรา .. "  เสียงเธอตัดพ้อ .. 

	และในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อฉันเปิดประตูบ้าน เพื่อจะออกไปทำงาน ..
	ฉันก็พบเธอยืนรออยู่หน้าบ้าน .. 
	"คราวนี้จะไม่ให้หนีไปไหนอีกแล้ว .. "  นั่นคือคำบอกของเธอ 
	
	ฉันได้เข้าใจคำพูดประโยคนั้นของเธอหลังจากวันนั้น
	ฉันไม่ต้องโหนรถเมล์ไปทำงานและกลับบ้าน .. เธอคอยรับส่งทั้งเช้าและเย็นทุกวัน .. 
	เพื่อนๆ ที่ทำงานของฉันเริ่มแซวถึงหนุ่มหน้าตี๋ตัวขาวกับสาวหน้าเข้มผิวคล้ำ
	ฉันได้แต่ยิ้มโดยไม่ขยายความใดเกี่ยวกับสัมพันธภาพระหว่างเรา .. 
	
	"เขาก็เป็นคนดีนี่ เหมาะสมกับแกทุกอย่าง หรือแกมีใครอยู่แล้ว? "  
	เพื่อนสนิทที่รู้เรื่องระหว่างเขากับฉันมาโดยตลอดถาม
	"เปล่า .. "  ฉันตอบ
	"แล้วไงวะ? .. อมพะนำอยู่ได้ น่ารำคาญ .. "  มันบ่นพึมพำ
	ฉันได้แต่นิ่งด้วยความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ
	ที่แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นชัดเจนนัก

	เรานั่งดูหนังข้างกันในโรงภาพยนต์ .. 
	จำได้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับแม่มดสาวสองคนที่ต่างแสวงหาความรัก
	แม่มดสาวคนพี่แต่งตัวแสนเชยหน้าตาไม่เอาไหน .. ไร้หนุ่มเหลียวแล .. 
	ในขณะที่คนน้องเป็นแม่มดสาวพราวเสน่ห์มีหนุ่มๆ มาขอความรักมากมาย
	
	อยู่ดีๆ เธอก็หันมาถามฉันว่า .. "เราจะบอกเธอได้หรือยัง? .. "
	ฉันหันไปมองหน้าเธอ .. เพียงแค่นั้นเธอก็รู้แล้วว่าฉันกำลังสงสัย .. 
	"เราจะบอกเธอว่า .. เรารักเธอ .. ได้หรือยัง? .. "  เธอถามซื่อๆ .. 
	ฉันได้แต่นิ่งอึ้ง .. 

	"มันยังนานไม่พอที่จะบอกหรือ? .. "  
	เธอถามต่อหลังจากเห็นฉันนิ่งเงียบไปนาน ..	ฉันส่ายหน้าช้าๆ .. 	
	"แล้วเธอจะรักเราได้หรือยัง? .. "  เธอถามต่อ

	ฉันยิ้มให้เธอในความมืด .. 
	แล้วก็ปล่อยให้เธอเอื้อมมือมากุมมือฉัน .. 
	เรานั่งดูหนังเงียบๆ เคียงข้างกัน .. 
	ตอนจบของเรื่องแม่มดสาวหน้าตาไม่สวยกลับมีครอบครัวแสนสุขที่อบอุ่น
	ในขณะที่แม่มดสาวพราวเสน่ห์คนน้องต้องประสบกับความรักที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า 
	ครั้งแล้วครั้งเล่า
	
	ความรักนี่มันแปลกจริงด้วยแฮะ .. คาดเดายากจริงๆ .. 
	มันมักไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้เสมอเลย .. 

	.. T o  b e  c o n t i n u e  .. 				
5 กุมภาพันธ์ 2549 11:57 น.

กระท่อมใบตอง - บ้านดวงใจ

keekie

รุ่งเช้า ฉันตื่นทันเห็นดวงตะวันทักทายขอบฟ้า
	แม้ดวงไม่กลมโตสุกปลั่งเหมือนดั่งตะวันหน้าหนาว 
	แต่ก็สดใสแรระบายฟากฟ้าและขุนเขาเป็นสีกุหลาบ มลังเมลืองจับตา

	"ในเมืองใหญ่ เราแทบจะไม่มีเวลาแหงนหน้ามองฟ้าเลยนะลูก 
	ยามเช้านี่เป็นเวลาที่ดีที่สุด เสียดายที่พ่อทำงานดึกดื่นจนสว่าง 
	พอเวลาที่ดีที่สุด พ่อก็กลับมอบมันให้กับการนอนอุตุเสียนี่"  
	พ่อพูดพลางจัดเตรียมจานสีสำหรับเขียนรูป

	ฉันช่วยพ่อเตรียมกระดาษและเกิดอยากวาดรูปสีน้ำขึ้นมาบาง
	พ่อเลยสละกระดานรองเขียนให้ และใช้ฝาเรือแพแทน 
	"คงจะได้จังหวะการไหลของสีที่แปลกๆ "  พ่อว่า

	เราวาดรูปยามเช้ากันอย่างสนุกสนาน  อาชีวันลงมาหุงข้าว
	หอบผักหญ้ามาด้วย "ตื่นเช้าเหมือนกันหรอ" คงแปลกใจที่เราตื่นกันแต่มืดอย่างนั้น
	"ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่ มักจะมานอนอุตุเสียมากกว่า" 

	"ก็เขามาพักผ่อนกันนี่"  พ่อพูด
	"ใช่ มาพักผ่อนจริงๆ ไม่ขยับตัวไปไหนเลย ดื่ม กิน นอน บางคนก็ว่ายน้ำนะ
	น่าเห็นใจ เขาทำงานมามากแล้ว พอมาป่าก็เลยนอนลูกเดียว" 
	
	"เดี๋ยวให้หนูช่วยทำกับข้าวนะคะ .. "  ฉันบอก
	"ดี แต่เขียนรูปให้เสร็จนะ ลองดูสิ เวลาอย่างนี้เขียนยากนะ 
	หนูต้องคุมโทนสีให้ดี เขียนชุ่มๆ นะ สวย อือม์ ดีนี่ "  อาชีวันยื่นหน้าเข้ามาดูรูปที่ฉันวาด
	"หนูเข้าใจธรรมชาติของสีน้ำดีแล้วนี่ มันเส้นผมบังภูเขานะเขียนรูปนี่ สำคัญคือบรรยากาศ อารมณ์ ความรู้สึก ไม่ใช่รายละเอียด" 

	"ดูของผมก่อน ท่าจะเน่าเสียแล้ว .. "  พ่อว่า 
	"คุณใจร้อนไปนะ รอให้หมาดหน่อยสิ นี่แหละเขาว่า เรื่องศิลปะนี่ผู้ใหญ่สู้เด็กไม่ได้หรอก 
	มันใสสดและมีจินตนาการกว่า คุณมันเรียลิสติก แต่ดันจะฝันเฟื่อง"  อาชีวันพูด

	"เออ ท่าจะจริง แย่จัง เดี๋ยวเอาใหม่"  พ่อยอมรับ มาดูรูปของฉันแล้วชมเปาะ 
	"มันสดใสดีจริงๆ ไม่ต้องเกลี่ยแล้วนะ ดวงตะวันน่ะ สดดีแล้ว เออ สู้ลูกไม่ได้เสียแล้ว 
	เอ .. เขียนรูปนี่มันเหมือนชีวิตเหมือนกันนะนี่ .. " 

	"เหมือนยังไงหรอคะ?"  ฉันสงสัยเสียจริง พ่อมักลากเข้าเรื่องชีวิตจนได้ทุกเรื่องแหละ พิลึกจริง
	
	"อ้าว ก็จังหวะไง จังหวะและโอกาส สีน้ำนี่จังหวะพลาดแล้วหมดโอกาสเลย เปียกโชกไปก็ไม่ได้  แห้งไปก็ไม่ได้ แข็งกระด้างเลย ต้องจังหวะสีกำลังหมาดพอดี แล้วก็ต้องใช้ความกล้าด้วย กล้าระบาย กล้าทิ้งขาว เปิดช่องว่างให้มีพื้นที่หายใจ มีแสง มีอากาศ ทีป้ายก็ต้องแม่นย้ำ มั่นใจ ช้าไม่ได้ จับจดไม่ได้ เห็นไหม? ชีวิตก็ต้องเป็นอย่างนี้ เราจะพลาดโอกาสไปเลย เน่าเสียไปเลย 
	แบบรูปนี้สีมันหนักไป ไม่พอดี เอ๊ะ เอาไปเอามาก็ลงที่คำว่า พอดี .. เออ ดีจริงๆ พอดีนี่เรียกว่า สายกลาง ถ้าเราวางชีวิตไว้ตรงสายกลาง มันก็จะดีนะลูก .. .. .. 

	.. พอดี .. เออ คำนี้ดีจริงๆ "  พ่อพึมพำ หันไปคว้ากระดาษจดบันทึก 
	"นึกอะไรได้แล้ว .. " พ่ออุบอิบในคอ " พอดี .. "  พ่อรีบเขียนสิ่งที่ตัวเองคิดได้ 
	จมอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่ ก็เงยหน้าขึ้นยิ้มพราย ร้องเรียกหาอาชีวันเสียงดัง ..
	"ฟังนะ ชีวัน เข้าท่าไหม? ผมเพิ่งเขียนได้ถูกใจวันนี้ละ .. " 
	
	อาชีวันฟังไม่ฟังก็ไม่รู้ กุกกักอยู่หน้าเตาไฟ แต่พ่อก็รีบอ่าน ยังกะกลัวว่า 
	ความคิดนั้นมันจะหายไปทันทีทันใดอย่างนั้นแหละ .. 

	' สันติสุขแห่งจิตใจ 
	เธอสร้างได้ด้วยความพอ
	พอจิตพอใจต่อ
	สิ่งที่มี สิ่งที่เป็น
	สงบ เงียบ งาม ง่าย
	ไม่ฟูมฟายในทุกข์เข็ญ
	ชีพร้อนก็ผ่อนเย็น
	ปรับหัวใจให้พอดี' 

	"โอโฮ ยอดไปเลย เขียนได้ไงน่ะ รวดเร็วทันใจ " อาชีวันก็พลอยเป็นไปอีกคน
	"ผมเขียนมั่ง .. 
  
	วันนี้คือความจริง 
	เป็นความจริงยิ่งกว่าฝัน 
	ชีวิตคือหนึ่งวัน 
	มากกว่านั้นอาจไม่มี
	ฝันพรุ่งจุ่งมุ่งไป
	หาที่ไหนวันพรุ่งนี้
	ทำเถอะถ้ามันดี
	ทำวันนี้ให้งดงาม "

	"โอ๊ย เยี่ยมนี่ เรามาเขียนให้จบเล่มกันเลยเป็นไง"  พ่อว่า

	เช้านั้นเราเลยไม่ได้รูป แต่มีบทกวียาวเหยียดถึงสิบสี่บทแทน 
	แทบไม่กินข้าวกินปลาและออกไปไหน


                                               - พิบูลย์ศักดิ์  ละครพล -				
28 มกราคม 2549 00:36 น.

.. บันทึกจากฉันถึงเธอ ..

keekie

ถึงเธอ .. 

	นานเท่าไหร่แล้วหนอที่เราไม่ได้เจอกัน 
	สามเดือน .. สี่เดือนหรือว่านานกว่านั้นที่เราไม่ได้พูดจา 
	ไม่ได้คุยกันแม้ทางโทรศัพท์ .. ไม่ได้ยินแม้เสียงของเธอ
	ที่จะโทรศัพท์มาถามทุกข์สุขข่าวคราวความเป็นไปเหมือนเคย
	หรือเป็นเพราะเธอตั้งใจที่จะให้เรื่องของเราจบลงไปเพียงเท่านั้นจริงๆ
	จบลงอย่างง่ายๆ โดยไม่มีคำร่ำลา ไม่มีการพูดจาหรือโกรธเคืองอะไรกันเลย

	แรกเริ่มที่เรารู้จักกัน ฉันไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่า
	ที่เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามารู้จักกัน ..
	ผ่านเข้ามาในชีวิตฉันเหมือนคนอื่นๆ อีกมากมาย
	ที่อาจจะแวะเวียนเข้ามารู้จัก ติดต่อกันด้วยเรื่องงาน ฯลฯ
	แล้วก็อาจจะผ่านไป .. หรืออาจจะมีการระลึกถึงกันบ้างในบางโอกาส
	ฉันเฝ้าถามตัวเองเสมอว่า เราคบกันในฐานะอะไร ..?
	เพื่อน .. ลูกค้า คนรู้จัก พี่กับน้อง หรือเราจะมีความรู้สึกที่ดี
	และลึกซึ้งเกินกว่านั้นได้ .. 

	ฉันเป็นผู้หญิงที่มีกฎเกณฑ์ ขอบเขตในการดำเนินชีวิตค่อนข้างจะมากสักหน่อย
	เป็นคนที่ตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้สูง และก็เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากทีเดียว
	เป็นผู้หญิงเก่งที่ครั้งหนึ่ง เธอเคยชื่นชมและประทับใจเอามากๆ 
	ด้วยหน้าที่การงานทำให้เราได้มารู้จักกัน เหตุผลอื่นนอกเหนือจากนั้น ..
	คงเป็นเพราะเราสนใจอะไรคล้ายๆ กัน และก็อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน
	ทำให้เราคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว และคุยกันได้นานมาก 	
	เหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปี ..

	นอกเหนือจากพูดคุยกันเรื่องงาน เธอจะสนใจเรื่องราวความเป็นไป
	ในชีวิตฉันเสมอ ตามปกติฉันไม่ชอบคุยเรื่องส่วนตัวให้คนที่เพิ่งรู้จักกันฟัง
	และก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนอื่นนัก แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
	ว่าเพราะอะไรจึงอยากคุยให้เธอฟังและยินดีรับรู้เรื่องของเธอเช่นกัน
	
	เราไม่ได้เจอกันบ่อยๆ นานๆ เราจะพบกันสักที
	แต่เราก็รับรู้ข่าวคราวของกันและกันเสมอ 
	ฉันเองมีความรู้สึกผูกพันกับเธอมาก ทุกวันนี้ก็ยังคงระลึกถึงเธอเสมอ
	จดจำทุกสิ่งทุกอย่างในความเป็นเธอได้ .. แม้บางครั้ง .. 
	จะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเรื่องของเราจึงจบลงเช่นนี้ ..

	ฉันเชื่อว่า เธอคงมีเหตุผลบางอย่าง ที่ไม่อาจพูด ..
	หรืออธิบายให้ฉันฟังได้ .. ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันก็ไม่อยากรู้หรอกนะ
	ฉันไม่ได้ถามเธอว่าเพราะอะไร และจะไม่มีวันถามด้วย
	ขอรับรู้แค่สิ่งดีๆ ที่เคยมีต่อกันเท่านั้น ..

	มาวันนี้ ฉันไม่ได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเธออีก ..
	และไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ สุขหรือทุกข์อย่างไร ..
	เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำเธอ .. จะเคยระลึกถึงผู้หญิงคนหนึ่ง
	ที่เธอเคยชื่นชม เคยประทับใจบ้างไหมหนอ 	
	สำหรับฉันยังคงระลึกถึงเธออยู่เสมอ .. ขอใช้คำว่า ระลึกถึง ..
	เพราะฉันอยากจะให้ความรู้สึกที่เรามีต่อกันเป็นสิ่งสวยงาม
	และเป็นความรู้สึกที่ดีต่อกันและกันตลอดไป .. 

	สุดท้าย อยากให้เธอประสบความสำเร็จในชีวิต เจอะเจอแต่สิ่งที่ดีๆ 
	แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว ไม่ว่าพรุ่งนี้ หรือตลอดไป ..
	ฉันคงไม่มีโอกาสรับรู้เรื่องราวในชีวิตของเธออีก .. 
	.. แต่คงไม่ผิดอะไรนะ .. 
	ถ้าฉันจะคิดถึงเธอในฐานะน้องชายที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน .. 
	ขอส่งความรู้สึกที่ดี และอวยพรให้เธอจงโชคดีตลอดไป .. 


                                                                       .. จากฉัน .. 				
25 มกราคม 2549 01:36 น.

พรปีใหม่ ..

keekie

"สวัสดีปีใหม่ค่ะอาจารย์ .. "  
	ฉันยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่ฉันเคารพหลังจากส่งกระเช้าของขวัญปีใหม่ให้ท่าน

	"จ้า .. ขอบใจ .. ขอให้หนูประสบความสำเร็จในทุกด้าน 
	มีความสุขมากๆ นะ .. "   ท่านอวยพร 

	"ขอบคุณค่ะ .. "  

	"คุณแม่เป็นยังไงบ้าง? .. "  ท่านถาม
	"สบายดีค่ะ .. คุณแม่ฝากความระลึกถึงมาด้วยค่ะ ..
	แต่วันนี้คุณแม่มาไม่ได้ เพราะหนูต้องรีบไปทำงานต่อน่ะค่ะ .."  

	ท่านพยักหน้ารับ .. 

	"ปีใหม่อาจารย์ไปเที่ยวที่ไหนมาคะ? .. "  ฉันชวนคุย
	"อยู่บ้านนี่แหละ .. พักผ่อนกับครอบครัว .. หนูล่ะ? .."  ท่านถาม
	
	"ก็ไปต่างจังหวัดมาน่ะค่ะ .. "  ฉันตอบหลังจากนิ่งไปชั่วครู่
	"ไปเที่ยวที่ไหนมาล่ะ .. เล่าให้คนแก่ฟังบ้างได้ไหม? .. 
	จะได้รู้ว่าหนุ่มสาวสมัยนี้เค้าเที่ยวกันยังไงบ้าง? .. " ท่านถามต่อ

	"ก็เข้าไปเที่ยวป่าริมเขื่อนน่ะค่ะ .. "  ฉันตอบ

	"หืมม .. หนูเนี่ยนะเที่ยวป่า? .."  ท่านทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

	ฉันได้แต่ยิ้ม .. 
	
	"หนุ่มสาวสมัยนี้มันรู้จักธรรมชาติกันด้วยหรือ? .. เห็นชอบแต่แสงสี ..
	ยิ่งคนเมืองด้วยแล้วยิ่งหนัก .. อยู่ได้แต่ในป่าคอนกรีต .. 
	จะพัก จะกิน จะนอนก็ต้องสะดวกสบาย .. ไอ้ที่จะเข้าป่าต้นไม้ได้น่ะหายากนัก .. 
	แล้วนี่ไปกันกี่คน พักกันที่ไหนล่ะ .. "  ท่านอรรถาธิบายแล้วก็ถามต่อ

	"หลายคนค่ะ .. กางเต๊นท์นอนกัน ส่วนพวกผู้ชายเขาก็นอนริมกองไฟ .."
	ฉันเล่า

	ท่านหันมาสบตาฉัน .. "นึกยังไงถึงเข้าป่าต้นไม้ .. " 
	ท่านเรียกแปลก .. ป่าต้นไม้ ..

	ฉันนิ่งคิดหาเหตุผล .. ทำไมถึงเข้าป่า? .. 

	"เพราะต้องการความสงบ หรือเข้าไปเพื่อศึกษาธรรมชาติ .. " 
	ท่านถามนำ คงเพราะเห็นฉันเงียบไปนานมั้ง

	"ไม่ทราบสิคะ .. ทราบแต่ว่าอยากเข้าป่า .. "  ฉันจนด้วยเหตุผล

	"หนูคิดว่าเข้าป่าแล้วจะได้อะไรล่ะ .. ถึงอยากเข้าไป .. "  ท่านซัก

	ฉันนิ่ง .. นั่นสิ อีตอนไปเนี่ยคิดหวังไว้ว่าจะได้อะไรกลับมาหนอ? ..

	"ไม่อยากได้อะไรค่ะ .. แค่อยากเข้าไปเท่านั้น .. "  
	นี่ถ้าฉันตอบท่านว่ากะจะเข้าไปหาหนุ่มตองเหลืองแต่งงานด้วยซักคน ..
	ท่านจะว่ายังไงนะ ..

	"หึหึหึ .. แล้วได้อะไรออกมาบ้างหรือเปล่าล่ะ? .. "  ท่านถามต่อ
	ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านสงสัยอะไรนักหนา .. 

	ฉันนิ่งนึก .. 

	"ก็ได้ความสงบมั้งคะ .. แม้ชั่วครู่ก็ยังดี .. ชีวิตประจำวันในเมือง
	มันวุ่นวายเหลือเกินค่ะ .. "  ฉันตอบ

	"หึหึหึหึ ... "  ท่านส่งเสียงหัวเราะ ..

	"ผมเคยเข้าไปอยู่ในป่าสามเดือน .. ของที่ติดตัวยังไม่ครบปัจจัยสี่เลยหนู ..
	ต้องไปหาเอาข้างหน้า เช่น อาหาร ที่หลับที่นอน .. 
	สิ่งที่ผมได้กลับมาจากป่าคราวนั้นก็คือ .. ได้รู้ว่าตัวเองฟุ้งซ่าน ว้าวุ่นมากแค่ไหน ..
	ได้รู้ว่าธรรมชาติแห่งป่ามีความสงบและเราสามารถซึมซับความสงบนั้นได้
	ด้วยความสงบแห่งจิตใจของเราเท่านั้น .. ถ้าใจเรายังว้าวุ่น 
	แม้จะพาตัวเข้าไปอยู่ในภาวะสงบเพียงใด .. ก็ไม่มีวันสงบได้หรอก .. "  
	ท่านอธิบายยืดยาว .. 

	ฉันนิ่งคิด .. 
	ฉันได้ความสงบนั้นติดตัวติดใจกลับมาบ้างไหมหนอ? ..

	"ความว้าวุ่นมันอยู่ในใจเรา .. ถ้าเราไม่กำจัดที่ต้นเหตุ ..
	ต่อให้หนีไปที่ไหนๆ .. มันก็ติดตัวเราไปทุกแห่งหนนั่นแหละ .. 
	หนียังไงก็หนีใจตัวไม่พ้น .. "  ท่านพูดด้วยรอยยิ้ม ..

	ฉันนิ่ง .. 
	นึกถึงวันกลับจากป่า ..
	ฉันสะพายเป้เดินมาถึงหน้าบ้าน .. 
	ฉันยืนนิ่งอยู่เป็นนาน .. มองบ้านหลังเดิม ..
	รถคันเดิม .. มองต้นไม้ต้นเดิม .. 
	จำได้ว่าตอนนั้นมีหนึ่งคำถามผุดขึ้นในใจ ..

	"เราไปไหนมา (ฟะ) เนี่ย??? "

	แล้วสักพักก็ได้คำตอบสำหรับคำถามนั้นว่า .. 
	
	"จะไปไหนมาก็ช่างมันเหอะ .. 
	ยังไงซะ .. ตอนนี้เรายืนอยู่ที่เดิม .. "

	"อารมณ์คนเราน่ะ มันมีหลากหลาย ... " เสียงท่านว่าต่อ 
	ดึงความคิดฉันกลับมาสู่ปัจจุบัน .. 
	"อารมณ์รัก หนูคิดว่าจิตเรารู้ไหมว่า รัก? .. "  ท่านถาม

	ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ .. 

	"อารมณ์ใคร่ จิตก็จับติดว่าใคร่ .. อารมณ์โกรธจิตเราก็รู้ว่าโกรธ ..
	แต่อารมณ์หลง .. หนูคิดว่า จิตจะจับติดไหม? .. "  

	ฉันนิ่งคิดใคร่ครวญ .. "จับยากค่ะอาจารย์ .. ไม่งั้นโบราณคงไม่บอกว่า ..
	หน้ามืดตามัว .. รอให้ตาสว่างจึงจะรู้ว่าอยู่ในอารมณ์หลง .. "
	
	"อืม .. สติธรรมดาจับอารมณ์ได้ทุกอย่าง ยกเว้นอารมณ์หลง ..
	มันต้องใช้มหาสติจึงจับติด .. " ท่านบอกด้วยรอยยิ้ม

	"ถ้าเราปราศจากแม้สติ .. จิตคงไม่สามารถจับอารมณ์อะไรได้เลย ..
	เราจะไม่รู้ตัวเอง .. เพราะฉะนั้น .. ทำอะไรขอเพียงมีสติ .. "  

	ฉันยิ้มรับพรปีใหม่ .. 

	"ค่ะ .. คราวหน้าหนูจะจับมหาสติยัดใส่เป้เข้าป่าไปด้วยนะคะ .. จะได้กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟังว่าหนูเข้าป่าไปเพื่ออะไร .. และได้อะไรกลับมาบ้าง ..ขอบคุณค่ะ .. "				
10 มกราคม 2549 00:43 น.

.. เรื่องนี้ไม่มีชื่อ ..

keekie

"กี้ .. นี่นุ้ย .."  เจ้าเอ็มแนะนำเพื่อนใหม่ให้ฉันรู้จัก
	"สวัสดีครับ .. "  เขาส่งเสียงทักทายพร้อมรอยยิ้ม .. 

	ฉันมองชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ไร้เส้นผมบนศีรษะ .. ร่างกายกำยำกล้ามเป็นมัดๆ
	เขานุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวไม่สวมเสื้อ .. เผยให้เห็นรอยสักรูปมังกร 
	บนต้นแขนทั้งซ้ายขวา .. ก็มันบ้านเขานี่ถึงเขาจะไม่นุ่งอะไรเลยก็คงว่าเขาไม่ได้ .. 
	
	"น่ากลัวชะมัด .."   ฉันคิดในใจยามมองเขาหันหลังให้เพื่อเอื้อมมือไปเปิดซีดีเพลง ..
	ทำให้มองเห็นมังกรตัวโตที่กำลังม้วนตวัดหางวาดลวดลายเต็มแผ่นหลังเขา ..
	ฉันนึกถึงยากูซ่าในหนังญี่ปุ่น หรือไม่ก็วายร้ายในหนังไทยสมัยก่อน .. 
	ที่มีสรพงษ์หรือสมบัติเป็นพระเอกนั่นแหละ ..

	"นุ้ยมันจบถาปัดฯ .. "  ป๋วยที่เป็นพี่ชายเขาประกาศสรรพคุณ
	โห!!!  จบถาปัดฯ ซะด้วย .. ไม่ธรรมดา .. ฉันได้แต่นึกในใจมิกล้าปริปากเอ่ยคำใด
	กลัวไม่ถูกหูเขาแล้วจะพาลพาให้ปากฉันเป็นแผล .. 

	"ตอนเรียนมันชอบมาเกาะรั้วทำตาปริบๆ ชวนป๋วยไปกินเหล้าเหล่สาวบ่อยๆ .. 
	เกือบเสียคนเพราะมัน .. "  นายป๋วยเผาพี่ชายตัวเองต่อ .. 

	นุ้ยได้แต่ยิ้มๆ กระดกแก้วเหล้าเข้าปาก .. 
	"อยากฟังเพลงมาช่า .. "   เขาบอก .. 

	"หา!! มึงเนี่ยนะ .. จะฟังเพลงมาช่า .. "  ป๋วยส่งเสียงดัง 
	"แค่มึงฟังโปเตโต้กูก็ตกใจแล้ว .. นี่มึงจะฟังมาช่า"  .. รายการพี่เผาน้อง 
	
	ฉันและเจ้าเอ็มนั่งหัวเราะ .. 

	"แหม ก็รู้ว่าหน้าตากูโหด .. เลยต้องหาอะไรหวานๆ มาย้อมเสียมั่ง"  
	นุ้ยตอบอารมณ์ดี พลางกดซีดีค้นหาเพลงที่ต้องการ

	ฉันนั่งมองรอยสักมังกรบนต้นแขนด้านขวาของเขา .. 
	"สักมานานหรือยังคะ? .. "  ฉันถาม

	"ก็เกือบสิบปีแล้ว .."  นุ้ยตอบ
	"ไปสักกะไอ้ป๋วยน่ะแหละ"  

	"ของป๋วยลายไก่แซ่บ"  บอกพลางถลกแขนเสื้อซ้ายให้ดู 

	"ลายไก่แซ่บ .."  ฉันทวนคำ .. "มันชื่อแบบนี้จริงหรอ?"  
	ถามพลางมองลายสักตัวอะไรซักตัวที่หน้าตาคล้ายๆ ยมฑูตมือถือไม้สามง่าม

	"จริงๆ มันชื่อ  Hot  Devil  ตอนป๋วยไปสักน่ะฮิตมากนะ .. 
	สักเสร็จกลับมาบ้านนั่งดูทีวี เคเอฟซีมันออกไก่มาใหม่ ..
	ไก่แซ่บ .. ตัวการ์ตูนมันหน้าตาแบบนี้เลย .. เซ็งเลย .. "  
	นายป๋วยอธิบายความเป็นมา

	ฉันกะเจ้าเอ็มนั่งหัวเราะกันท้องแข็ง 

	"ใช้เวลาสักนานไหม? .. ตัวนี้น่ะ .."  ฉันชี้ไปที่มังกรตัวโตบนแผ่นหลังนุ้ย
	
	"ก็เกือบเดือน .. กว่าจะลงลาย .. สัก .. ลงสีเสร็จก็ใช้เวลาประมาณนั้น.." นุ้ยตอบ

	"โห เดือนนึงเชียวหรอ? .. เจ็บตาย"  เอ็มอุทาน

	"คนสักให้เขาเคยอยู่ในคุก ทำเครื่องสักกันเอง .. เอาก้านเหล็กเสียบกับมอเตอร์
	พอเสียบปลั๊กปุ๊บมันก็จิ้มจึ๊กๆ เหมือนจักรเย็บผ้าเลย .."  นุ้ยอธิบายต่อ ..
	
	"จักรเย็บผ้าสมัยนี้มันเหมือนคอมพิวเตอร์ป้อนโปรแกรมได้ .. 
	แค่ใส่รูปที่ต้องการลงไปเข็มมันก็จะเดินเองออกมาเป็นรูปนั้นเป๊ะ ..
	อีกหน่อยคงมีเครื่องสักแบบนั้น"  ฉันโม้ต่อ .. 
	คราวนี้ทุกคนทำหน้าหวาดเสียวแล้วก็เลิกคุยเรื่องนี้กันไปโดยปริยาย
	
	เรานั่งคุยกันไป กระดกแก้วกันไป ฉันกะเอ็มก็จิบๆ พอร่วมวงสนทนาได้ 
	เพราะขืนกระดกแก้วอย่างป๋วยกะนุ้ย .. คงหมอบราบกันเสียก่อน ..
	
	เหล้าขวดที่หนึ่งหมดไป ..
	ป๋วยลงทุนเปิดคอนยัค ..  "นี่ถ้าไม่ใช่กี้ .. ป๋วยไม่เปิดหรอกนะ .. โอ๋ลูกรักของพ่อ" 
	แล้วเขาก็ทำท่าโอบกอดเจ้าขวดคอนยัคนั้นไว้ .. 

	"นี่ทำยังงี้ .. รินใส่แก้ว .. แล้ววางแก้วนอนลง .. เหล้าต้องไม่หกออกนอกแก้ว
	แล้วก็ต้องไม่น้อยเกินไป .. ต้องพอดีๆ ขอบแก้วแบบนี้ .. "  
	ฉันมองป๋วยกลิ้งแก้วใบเล็กที่ถูกจับวางนอนมีน้ำสีอำพันกลิ้งขลุกขลักอยู่ด้านใน .. 
	โดยไม่หกออกนอกแก้ว ..
	"แล้วก็ยกดื่มแบบนี้ .. อื้มม .. รสมันนุ่ม"  เขาทำหน้าซึมซาบรสชาติคอนยัค .. 

	"นี่ถ้ามีน้ำมะพร้าวผสมคอนยัคนะ .. อร่อยเหาะ .. "  นุ้ยบอก

	หลังจากนั้นเราก็รอรอบ .. ผลัดกันกลิ้งผลัดกันกระดก .. 
	จนฉันเงยหน้าขึ้นมาอีกที .. เจ้าเอ็มเพื่อนรักนอนหลับหมดสติอยู่บนโซฟา .. 
	ส่วนคุณป๋วยก็แผ่สองสลึงอยู่บนเตียง .. เพราะฤทธิ์รสนุ่มๆ แห่งคอนยัค ..

	ส่วนฉันกับนุ้ยยังคงนั่งสนทนากันต่อ .. 

	"กี้ทำงานอะไร? .. "  นุ้ยถาม ..
	"แล้วนุ้ยล่ะ? .. "  ฉันยังไม่ตอบแต่ย้อนถามกลับไป

	"ลาออกจากงานมาได้เจ็ดวันละ"  เขาตอบพลางพยายามกลบรอยบางอย่างในดวงตา ..
	อ่ะนะ .. ฉันยังอุตส่าห์สังเกตุเห็น .. 

	"อื้ออ .. กี้จำได้แล้ว เราเคยเจอกันตอนนั้นไง .. ที่บ้านตอไม้ .. " อยู่ดีๆ ฉันก็นึกออก
	เลยรื้อฟื้นความทรงจำ .. "รู้สึกว่าจะเป็นวันปีใหม่ปีก่อนโน้น .. "  

	นุ้ยทำหน้าเหมือนพยายามทบทวน .. 

	"จำได้ว่าตอนนั้นสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลังนุ้ยน่ะ .. "  ฉันแซว
	จริงๆ นะ จำได้ว่าวันนั้นมีสองสาวนั่งประกบข้างๆ เขา .. 

	"อ้อ .. ใช่จำได้แล้ว .. "  แววตาวาวส่องประกายว่าจำได้จริงๆ .. 
	"แล้วก็แฟนนุ้ยที่ตัวเล็กๆ .. ใช่ป่ะ .. "  ฉันถาม .. 

	"อื้อ .. แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว .. เลิกกันไปซักหกเดือนนี่ล่ะ.."  เขาบอก .. 

	ฉันนึกเสียใจที่ดันรื้อฟื้นความหลัง .. 

	"ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนกันว่าอยากคุยกับใครสักคน .. "  เขาพูด
	พลางปล่อยแววตาเลื่อนลอยไปสู่ดาวบนฟากฟ้า ..	
	ท่าทางเขาเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง ..
	สิ่งที่อยากได้ .. สิ่งที่ต้องการ .. 
	แต่ .. เขายังไม่พบ .. หนำซ้ำสิ่งที่มีอยู่ก็พลัดพรายหายไปเสียอีก .. 

	"ก็คุยกะป๋วยไง.."  ฉันบอก 

	นุ้ยหันไปมองพี่ชายที่หลับพับอยู่บนเตียง ..
	"มันไม่ใช่ .. คุยกับป๋วยก็คุยได้บางเรื่อง .. แต่บางเรื่องก็คุยไม่ได้ .."	
	เขายกแก้วคอนยัคดื่มรวดเดียว .. 
	"แต่อย่างว่า .. อย่างนุ้ยจะไปทำอะไรได้ .. ตัวเองยังเอาไม่รอด ..
	อายุก็ขนาดนี้แล้ว .. ใครเขาจะยอมมาลำบากด้วย .. ตอนนี้ยอมรับว่าท้อเหลือเกิน
	ตื่นมาวันๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไร .. ไม่รู้จะอยู่เพื่ออะไร?"  ดูท่าทางเขาจะเลื่อนลอย

	"แล้วนุ้ยอยากทำอะไรล่ะตอนนี้ .."  ฉันถามต่อ 
	"ก็อยากได้งานทำ .. จะได้เริ่มอะไรจริงๆ จังๆ ซะที.. "  เขาตอบ 
	"แล้วสมัครไปกี่ที่แล้ว .."  ฉันถามอีก

	"ยังเลย .. "  เขาตอบ
	"แล้วรออะไรอยู่ล่ะ? .."  ฉันซักไปอีก ..
	
	เขาเงียบ .. 

	"ในบ้านน่ะไม่มีงานหรอกนะ .. เราอยากได้อะไรก็ต้องออกเดินทางหามัน .." 
	ฉันพูด .. เขาหันมามองฉัน ..
	"ก็รู้ .. แต่ .. .. .. "  เขาหยุดชั่วครู่ .. 

	ฉันนิ่ง รอเขารวบรวมความรู้สึกในจิตใจ .. ถ้าเขาอยากพูดเขาก็คงพูด ..

	"แต่ .. .. "  ดูเหมือนเขาลังเลที่จะพูดต่อ .. 
	"แต่นุ้ยกลัว .. "  ผู้ชายตัวโต กล้ามเป็นมัด รอยสักรูปมังกรเต็มตัว .. 
	เขาบอกว่าเขากลัว ..  

	"กลัวอะไร?  .."  ฉันถามเสียงเบา .. กลัวเสียงจะทำความรู้สึกเขากระจัดกระจาย ..
	"กลัวพรุ่งนี้ .. "  เขาตอบพลางรินคอนยัคใส่แก้ว .. 

	' นี่คือสิ่งสำคัญ ที่เรายังอยู่ด้วยกัน สิ่งอื่นใดนั้นมันยังไม่มาถึง .. ' 
	คงเพราะเราต่างเงียบล่ะมั้ง ทำให้ได้ยินเสียงเพลงจากแผ่นซีดีที่เล่นไปเรื่อยๆ .. 
	' บอกได้แค่นี้จะรักหมดทั้งใจที่มี .. ให้มันตราตรึงอยู่ในใจเมื่อไปถึงวันลาจาก .. ' 

	"นุ้ยว่าเพลงนี้จะบอกเราว่ายังไง .. "  ฉันตั้งคำถาม 
	เขาทำท่าคิด .. "ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักล่ะ .. "  
	เขาตอบพลางกระดกแก้วคอนยัคลงคอ 

	ฉันยิ้ม .. 
	"เขาจะบอกเราว่า .. ให้ทำวันนี้ให้ดีที่สุดพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ .."  ฉันบอก

	เขาหันมามองฉัน .. "มันเป็นเพลงเกี่ยวกับความรักนะ .. "  เขาแย้ง ..
	"ก็ใช่ .. แต่เราก็สามารถเอามันมาปรับใช้สอนใจเราได้นี่ .. "  ฉันบอก 

	นุ้ยหันมามองฉัน .. "ยอมรับนะว่าใจเรามันสอนกันยาก .. บังคับกันยาก ..
	ยิ่งบังคับให้ลืมยิ่งยาก .. "  เขารินคอนยัคใส่แก้ว .. ฉันนับ .. สามแก้วติดกันแล้ว ..
	"นุ้ยอยากหาใครสักคนมาช่วยทำให้ลืม .. "  แล้วเขาก็กระดกแก้วที่สี่ตามเข้าไป

	' เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา .. ว่าเวลาใครทำกับเราให้เจ็บช้ำใจ .. 
	ลองไปเก็บก้อนหินขึ้นมาสักอัน ถือมันอยู่อย่างนั้นและบีบมันไว้ .. '
	เพลงใหม่ดังขึ้น .. "แล้วเพลงนี้ล่ะ บอกเราว่ายังไง?"  ฉันตั้งคำถามอีกแล้ว ..

	นุ้ยหันหน้ามามองฉัน .. 

	' บีบให้แรงจนสุดแรง ให้มือทั้งมือมันเริ่มสั่น ใครคนนั้นยิ้มให้ฉัน ถามว่าเจ็บมือใช่ไหม? ..' 
	ฉันคลอเสียงตามเพลง .. 

	' ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง ให้เธอคิดเอาเอง 
	ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร .. ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ ..
	ถูกเขาทำร้าย .. เพราะใจเธอรับไว้เอง .. ' 

	ฉันสบตาเขา .. พบแววแห่งสงสัยในดวงตาคู่นั้น .. 

	"เพลงนี้บอกเราว่า .. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน .. "  ฉันเฉลย 
	ความจริงมันก็เป็นเพียงแค่มุมมองของฉันเท่านั้น ..
	เขาอาจจะไม่เห็นด้วยก็เป็นได้ .. 

	เขารินคอนยัคอีกแล้ว .. 	
	"นุ้ยทำไม่ได้หรอก .. "  แล้วเขาก็กระดกแก้วเข้าปากอีก .. แก้วที่ห้า

	ฉันคว้าแก้วเหล้าเปล่าจากมือเขา .. ยกขวดรินคอนยัคใส่แก้วจนเกือบเต็ม ..
	แล้วก็ยกแก้วขึ้น .. ไฟจากหลอดนีออนในห้องส่องกระทบน้ำสีอำพันเป็นประกาย
	"นุ้ยว่า กี้กระดกเหล้าแก้วนี้เข้าปากรวดเดียวไหวมะ? .."  ฉันตั้งคำถาม 
	พลางสบดวงตาท้อแท้คู่นั้น
	
	"เดี๋ยวก็พับหรอก .. "  เขาบอก 
	"อื้อ .. กี้ก็ว่างั้น .. "  ฉันตอบแล้วกลั้นใจยกแก้วเทเหล้าเข้าปากรวดเดียว ..
	
	"แต่กี้ก็ทำ .. "  ฉันบอกเขา พลางใช้มือเช็ดรสขมนุ่มๆ ที่ติดริมฝีปาก

	เขาสบตาฉัน .. คงรอดูฉันพับไปล่ะมั้ง 
	เหอะ .. ขืนพับตอนนี้คงหมดฟอร์มกันพอดี .. เรื่องอะไร ..
	
	"นุ้ยรู้หรือป่าว? ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่ทนเจ็บปวดกับการสักรอยบนร่างได้น่ะ ..
	ดูป๋วยดิ่ .. ทนได้แค่รอยสักไก่แซ่บตัวซักกะจิ๊ด .. แต่นุ้ยน่ะ .. มังกรตัวบะเริ่มเลยนะ ..
	นุ้ยทนเจ็บปวดได้ในสิ่งที่หลายคนไม่กล้าแม้แต่จะลองทน .. แล้วจะกลัวอะไร" 
	ฉันพล่ามไม่หยุด .. สติยังคงอยู่ครบ .. ไม่ใช่เพราะฤทธิ์คอนยัคแก้วตะกี้หรอกน่า
	แม้มันจะทำให้ฉันรู้สึกตื้อๆ ไปบ้างก็ตาม ..  
	
	เขารินเหล้าใส่แก้วอีก .. แล้วยกให้ฉัน ..
	
	"ตานี้ตานุ้ยนะ .. กี้กินไปแล้วตะกี้ไง .."  ฉันรีบโบ้ย .. 
		
	"พูดยังงี้กี้ต้องกินแหละ .. นุ้ยไม่เคยนั่งกินเหล้ากับใครแบบนี้ .. โดยเฉพาะผู้หญิง .." 
	เขาทำหน้าตาจริงจัง .. สบตาฉัน .. ฉันมองไม่ออกเหมือนกัน
	แววตาแบบนั้นมันคืออะไร? .. รู้แต่เขาทำท่าจริงจังจนฉันต้องรับแก้วจากมือเขา
	เอาก็เอา (ฟะ) เสียฟอร์มหมด อุตส่าห์กลั้นใจกินมาขนาดนี้
	
	ฉันรับแก้วจากมือเขา .. คงเพราะสายตาแบบนั้นล่ะมั้ง
	มันบอกฉันว่าเขารินเหล้าแก้วนี้จากใจ .. จากความรู้สึก .. 
	อยากให้เราร่วมดื่มด้วย .. เลยจำใจกระดกแก้วเข้าปากอีก .. 

	เขารับแก้วเปล่าจากมือฉัน ..
	แล้วรินเหล้าอีก .. 

	"เพื่อลืมเมื่อวาน .. "  นุ้ยประกาศแล้วกระดกแก้วเข้าปากอีก .. 
	
	ฉันยิ้ม .. 
	แล้วรีบคว้าแก้วจากมือเขา .. รินเหล้าใส่แก้วแล้วส่งต่อให้เขา .. 
	"ลืมเมื่อวานได้แล้ว .. แก้วนี้สำหรับวันพรุ่งนี้ .. "  ฉันประกาศมั่ง ..
	เขาสบตาฉัน .. ไม่ยอมรับแก้วเหล้าจากมือฉัน .. ท่าทางลังเล

	"หรือว่านุ้ยกล้าไม่พอสำหรับวันพรุ่งนี้ ..? "  ฉันถาม
	"ผู้ชายอกสามศอก สักมังกรทั้งตัว .. ไม่กล้าพอจะเผชิญวันพรุ่งนี้? "  
	ฉันท้าทายซ้ำเข้าไปอีก .. 
	
	แววบางอย่างวาวโรจน์ในดวงตาคู่นั้น ..
	ฉับพลันเขาคว้าแก้วจากมือฉันกระดกเข้าปาก .. 
	"พรุ่งนี้นุ้ยเริ่มเลย .. "  แล้วเขาก็ประกาศ 

	ฉันดูนาฬิกา .. "อีกสองนาทีหมดเวลาของกี้แล้ว .. ต้องกลับบ้านเสียที .." 
	
	"ขับรถไหวหรือป่าว? .."  เขาถามไถ่ คงเห็นฉันซัดไปไม่ใช่น้อย ..
	"ไม่ไหวได้ด้วยหรือ? .."  ฉันย้อนถามกลับไป พลางกลอกรอยยิ้มใส่ดวงตาคู่นั้น ..

	เขายิ้มตอบ .. 
	
	"เฮ้ย .. ไอ้แก่ .. "  นุ้ยหันไปเรียกพี่ชายที่นอนแผ่สองสลึงบนเตียง 
	พลางเขย่าตัวป๋วย .. แต่เขาแน่นิ่งไม่ไหวติง .. ยังกะตายไปแล้วเลย .. 

	"ปล่อยเขาเถอะ .. เดี๋ยวตื่นเขาคงขับรถไปส่งเอ็มเองล่ะ.."  ฉันบอก 

	"กี้ขับไหวแน่นะ? .. "  แววตาห่วงใยเพื่อนร่วมก๊งฉายชัด ..
	ฉันยิ้ม .. พลางชูสองนิ้วแทนคำตอบ .. 

	นุ้ยเดินลงมาส่งฉันที่รถ .. 
	เปิดประตูให้ฉันก้าวขึ้นรถ .. 

	"ขอบคุณนะ .. "  เขาบอก .. แววตาส่งประกายขอบคุณจริงใจ .. 

	"อื้อ .. เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมานุ้ยก็ลืมหมดว่าวันนี้นุ้ยดื่มเหล้าสองแก้วนั้นเพื่ออะไร .. "
	ฉันทบทวนความทรงจำก่อนจาก .. เพราะฉันไม่มีวันรู้ได้เลยว่า .. 
	พรุ่งนี้เขาจะจำ หรือ ลืม .. 

	"แก้วหนึ่งเพื่อลืมเมื่อวาน .. และอีกแก้วสำหรับพรุ่งนี้ .. "  เขาทำหน้าตาจริงจัง 

	ฉันยิ้ม .. "ไปละ .. "  ฉันบอกเขาก่อนจะเข้าเกียร์พารถทะยานพุ่งไปข้างหน้า .. 
	มองกระจกมองหลัง .. เห็นเขายังยืนมองตามรถฉันอยู่หน้าบ้าน ..

	' ทำวันนี้ให้ดีที่สุด .. พรุ่งนี้จะเป็นไงค่อยว่ากัน .. '

	' ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน .. ' 
	
	ฉันยิ้มให้กับคำพูดของตัวเอง .. 
	ไม่รู้หรอกว่าที่คิดออกมาได้แบบนั้นเพราะฤทธิ์รสนุ่มแห่งคอนยัคหรือป่าว? 
	แต่ที่รู้อยู่แก่ใจก็คือ .. ฉันไม่ได้บอกนุ้ยหรอก ..
	ฉันบอกตัวเองต่างหาก .. 

	และฉันดีใจที่เมื่อตื่นมาตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ..
	ฉัน จำ มันได้ .. และถึงแม้ว่านุ้ยจะ ลืม .. แต่แค่ฉัน จำ มันได้
	แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ..				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
  keekie
ไม่มีข้อความส่งถึงkeekie