25 กุมภาพันธ์ 2549 21:32 น.

.. ไม่รักแต่คิดถึง .. (จบ)

keekie

หลังจากวันนั้น .. 'เธอกับฉัน' .. อ้อ .. คงต้องเรียกว่า 'เรา' แล้วสินะ .. 
	หลังจากนั้น 'เรา' คงอยู่ในความสัมพันธ์อันเรียกว่า .. คนรัก .. มั้ง
	
	เธอ - คนสดใส ร่าเริง สนุกสนาน ช่างคุย ขี้เล่น ช่างเอาอกเอาใจ .. 
	ฉัน - คนบ้าทำงานเพื่อมุ่งปฎิบัติพันธกิจแห่งชีวิตให้สำเร็จ .. 

	ชีวิตก็ดูจะมีความสุขดี .. 

	จนกระทั่ง .. 
	
	วันหนึ่งเธอเอ่ยถามฉัน .. "คิดอะไรอยู่? .. "  ฉันตื่นจากภวังค์ หันไปมองเธอ .. 
	"บางทีเหมือนเธออยู่ในโลกใบที่ไม่มีเรา .. บอกบ้างได้ไหม? คิดอะไรอยู่? .. "
	เธอถาม .. แต่ฉันไม่มีคำตอบให้เธอ .. 
	อย่าน้อยใจไปเลย .. เพราะความจริงฉันไม่เคยมีคำตอบให้ใคร .. แม้แต่ตัวเอง .. 

	จากวันนั้นทำให้ฉันได้เริ่มสังเกตุเห็นว่าเธอพูดน้อยลง .. 
	ความเงียบขรึมเข้ามาแทนที่ความขี้เล่น ..
	หากแต่เธอยังคงอ่อนโยน เอาใจ สม่ำเสมอ .. 
	และดูเหมือนบางครั้งเธอขยับปากทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง .. 	
	แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ไม่พูด .. 

	"เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือป่าว?"  ฉันเคยถามเธอ
	และเธอตอบคำถามนั้นด้วยการส่ายหน้าช้าๆ .. 
	ฉันไม่เซ้าซี้ต่อ .. เพราะคิดว่าเธอคงไม่อยากพูดถึงมัน .. 
	เธอคงบอกเมื่อเธออยากบอก .. 

	จนเมื่อ .. 

	วันสุดท้ายของเรา .. ฉันจำได้ .. 
	เธอใส่เสื้อยืดสีขาวตัวที่ฉันซื้อให้ .. 
	กับกางเกงยีนส์สีซีดที่ฉันเคยบอกว่าเท่ห์ชะมัด ..
	แล้วก็พาฉันไปกินก๋วยเตี๋ยวราดหน้าริมถนนร้านโปรด .. 

	เธอเงียบ ..  
	แววขี้เล่นในดวงตาเธอหายไปนานแล้ว .. มีแววประหลาดบางอย่างมาแทนที่
	มันประหลาดซะจนฉันไม่แน่ใจว่า .. แววตาเช่นนั้นคืออะไร? .. 

	ราดหน้าในจานหมดไปนานแล้ว .. แต่เรายังคงนั่งอยู่ที่เดิม .. 
	รอบตัวเสมือนเงียบ .. ฉันไม่ได้ยินแม้เสียงรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ .. 
	บรรยากาศรอบข้างเหมือนมีเพียง  'ฉันกับเธอ' .. ทั้งที่ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน
	ฉันรู้สึกถึง  'ฉันกับเธอ'  มิใช่  'เรา'  ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า มันเคยมี 'เรา' หรือป่าว? .. 

	"อึดอัดมากไหม? .. "  ฉันเอ่ยคำถามสั้นๆ 
	เขาได้แต่นิ่งเงียบ .. ไม่แม้เพียงสบตาฉัน .. 

	'ฉันกับเธอ'   นั่งเงียบกันอยู่เป็นนาน .. 
	จนฉันตัดสินใจบางอย่างทั้งที่ยังไม่แน่ใจนักกับรู้สึกที่พลุ่งพล่านในหัวใจ

	"ป้อมไปซะเถอะ .. ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วไม่มีความสุข"  ฉันเอ่ยทำลายความเงียบ
	เธอเงยหน้าขึ้นสบตาฉัน .. แววตาที่เต้นระริกในดวงตาเธอนั้น
	ฉันบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร? 

	"เธอไม่มีน้ำตาให้กับการสูญเสียความรักครั้งแรกของเธอ .. 
	แล้วเราจะเห็นน้ำตาจากการสูญเสียของเธอในวันนี้ได้ยังไง? .. "
	  
	นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนเธอจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินจากฉันไป .. 
	.. คือคำสุดท้ายก่อนเธอเดินออกจากชีวิตฉันไป .. 

	หากวันนั้นเธอหันหลังกลับมามองสักนิด .. 
	เธอจะได้เห็นน้ำตา .. อย่างที่เธออยากเห็น .. 
	ฉันไม่แน่ใจนักว่าหยาดน้ำตาในวันนั้นมันมาจากความรู้สึกที่เรียกว่าอะไร
	แต่ก็ช่างมันเหอะเพียงแค่มันสามารถบอกเธอได้ว่า .. ผู้หญิงอย่างฉันมีน้ำตาเท่านั้นก็พอ

	เพียงแค่หันมามองฉันเท่านั้น .. เธอจะได้เห็น .. น้ำตาที่กลั่นมาจากหัวใจ .. 
	มันพิสูจน์ว่าผู้หญิงอย่างฉันมีน้ำตาและมีหัวใจ .. 

	วันนี้ฉันหวนคิดถึงเธอ .. ในวันที่ดอกรักผลิบานเต็มหัวใจ .. 
	ฉันคิดถึงเธอจริงๆ นะ .. 

	ความรัก .. เป็นบ่อเกิดแห่งความดูแลเอาใจใส่ ความห่วงใย อย่างเป็นธรรมชาติ
	หากได้อยู่ใกล้ใครสักคนที่รักเรา .. จะสามารถซึมซับถึงความรู้สึกอันเป็นธรรมชาตินั้นได้ ..
	เช่นกัน .. หากได้อยู่ใกล้ใครสักคนที่เสมือนว่ารักเรา .. 
	เราก็สามารถซึบซับความรู้สึกเสมือนว่ารักนั้นได้ .. 

	วันนี้ฉันขอเขียนถึงเธอสักครั้ง .. 
	เขียนถึงเธอด้วยความรู้สึก .. คิดถึง .. 				
25 กุมภาพันธ์ 2549 01:13 น.

.. ไม่รักแต่คิดถึง ..

keekie

นานมากแล้วสิหนอที่ฉันไม่เคยได้พบเธอ .. 
	และไม่เคยได้รับรู้ความเป็นไปใดๆ ในชีวิตของเธอ .. 
	
	จะแปลกไหม? .. หากฉันจะบอกว่าวันนี้ฉันกลับคิดถึงเธอ .. 
	คิดถึงเธอในวันที่ดอกรักผลิบานเต็มหัวใจฉัน .. 
	
	เราได้รู้จักกันในวันที่ความรักครั้งแรกของฉันพังทลายไม่เป็นท่า .. 
	เธอบอกว่าเธอสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของฉัน .. 
	แม้จะไม่ได้เห็นน้ำตาแม้สักหยดหลั่งรินจากดวงตาของฉันก็ตามที .. 	
	ฉันอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่า .. 
	วันนี้ทำนบแข็งแรงที่เป็นดั่งปราการปิดกั้นน้ำตาของฉันมิให้ไหลพรั่งพรู
	มันคงพังทลายลงไปนับจากวันนั้นแล้วล่ะมั้ง .. 
	เพราะฉันมักจะร้องไห้อย่างไม่สนใจใครในโลกนี้ ร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย 
	แล้ววันรุ่งขึ้น .. ฉันก็จะมีกำลังต่อสู้กับสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดแก่ฉันต่อไป 
	ด้วยดวงตาอันบวมเป่ง .. หากใครถามฉันก็จะตอบพร้อมรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิว่า .. 
	.. อื้อ .. ร้องไห้สร้างกำลังใจน่ะ .. 

	ฉันกลายเป็นคนอ่อนแอที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาไปเสียแล้ว .. 

	จากวันที่เราได้รู้จัก ..
	เราก็มักจะไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง กินข้าวด้วยกันเสมอ ..
	เธอมักจะมีของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้หญิงห้าวๆ อย่างฉัน .. 
	และฉันก็มักตอบแทนเธอด้วยของกำนัลสำหรับผู้ชายขี้เล่นอย่างเธอ .. 
	
	ตลอดเวลาสองปีที่เราได้รู้จักกัน .. 
	เธอบอกฉันว่า .. เธอรับรู้ถึงความรู้สึกของฉัน .. 
	และฉันได้บอกเธอไปแล้วว่า .. ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกกับฉันเช่นไร .. 

	นั่นคงเป็นกระจกบางๆ ที่กีดกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเราให้หยุดอยู่เพียงนั้น
	ไม่คืบหน้า .. แต่มันก็ไม่ถอยหลัง .. 
	เรายังคงเป็นเพื่อน .. ที่ต่างยืนอยู่เขตแดนของตัวเอง .. 

	จนกระทั่งวันหนึ่ง .. 
	ฉันย้ายบ้าน .. เปลี่ยนงาน .. และเลิกใช้โทรศัพท์มือถืออย่างกระทันหัน
	ฉันไม่ได้บอกแม้กระทั่งเพื่อนสนิท .. ไม่มีใครติดต่อฉันได้และไม่มีใครรู้ว่าฉันหายไปไหน
	อยู่ดีๆ เหมือนฉันสาปสูญจากแวดวงสังคมที่เคยอยู่ .. 
	ด้วยเหตุผลความจำเป็นบางอย่างในชีวิต .. 

	หลายเดือนผ่านไป .. 
	หลังจากชีวิตเริ่มเข้ารูปเข้ารอย .. หายเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง ..
	ฉันเริ่มคิดถึงสังคม .. จึงโทรศัพท์ถึงเพื่อนไล่ตามชื่อในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์

	จนกระทั่งถึงชื่อเธอ .. 
	ฉันกดโทรศัพท์หาเธอ .. คำแรกที่หลุดจากปากเธอหลังได้ยินเสียงฉัน .. 
	"หายไปไหนมา? .. "   และฉันยังไม่ทันตอบคำถามแรก .. 
	คำถามที่สองสามสี่ก็ตามมาติดๆ จนฉันคิดว่าปล่อยให้เธอถามให้หมดก่อนแล้วกัน
	คงไม่น่าเกิน 20 คำถาม .. 

	"เราคิดว่าเธอเลือกแล้วซะอีก จึงหายไปจากชีวิตเรา .. "  เสียงเธอตัดพ้อ .. 

	และในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อฉันเปิดประตูบ้าน เพื่อจะออกไปทำงาน ..
	ฉันก็พบเธอยืนรออยู่หน้าบ้าน .. 
	"คราวนี้จะไม่ให้หนีไปไหนอีกแล้ว .. "  นั่นคือคำบอกของเธอ 
	
	ฉันได้เข้าใจคำพูดประโยคนั้นของเธอหลังจากวันนั้น
	ฉันไม่ต้องโหนรถเมล์ไปทำงานและกลับบ้าน .. เธอคอยรับส่งทั้งเช้าและเย็นทุกวัน .. 
	เพื่อนๆ ที่ทำงานของฉันเริ่มแซวถึงหนุ่มหน้าตี๋ตัวขาวกับสาวหน้าเข้มผิวคล้ำ
	ฉันได้แต่ยิ้มโดยไม่ขยายความใดเกี่ยวกับสัมพันธภาพระหว่างเรา .. 
	
	"เขาก็เป็นคนดีนี่ เหมาะสมกับแกทุกอย่าง หรือแกมีใครอยู่แล้ว? "  
	เพื่อนสนิทที่รู้เรื่องระหว่างเขากับฉันมาโดยตลอดถาม
	"เปล่า .. "  ฉันตอบ
	"แล้วไงวะ? .. อมพะนำอยู่ได้ น่ารำคาญ .. "  มันบ่นพึมพำ
	ฉันได้แต่นิ่งด้วยความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ
	ที่แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นชัดเจนนัก

	เรานั่งดูหนังข้างกันในโรงภาพยนต์ .. 
	จำได้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับแม่มดสาวสองคนที่ต่างแสวงหาความรัก
	แม่มดสาวคนพี่แต่งตัวแสนเชยหน้าตาไม่เอาไหน .. ไร้หนุ่มเหลียวแล .. 
	ในขณะที่คนน้องเป็นแม่มดสาวพราวเสน่ห์มีหนุ่มๆ มาขอความรักมากมาย
	
	อยู่ดีๆ เธอก็หันมาถามฉันว่า .. "เราจะบอกเธอได้หรือยัง? .. "
	ฉันหันไปมองหน้าเธอ .. เพียงแค่นั้นเธอก็รู้แล้วว่าฉันกำลังสงสัย .. 
	"เราจะบอกเธอว่า .. เรารักเธอ .. ได้หรือยัง? .. "  เธอถามซื่อๆ .. 
	ฉันได้แต่นิ่งอึ้ง .. 

	"มันยังนานไม่พอที่จะบอกหรือ? .. "  
	เธอถามต่อหลังจากเห็นฉันนิ่งเงียบไปนาน ..	ฉันส่ายหน้าช้าๆ .. 	
	"แล้วเธอจะรักเราได้หรือยัง? .. "  เธอถามต่อ

	ฉันยิ้มให้เธอในความมืด .. 
	แล้วก็ปล่อยให้เธอเอื้อมมือมากุมมือฉัน .. 
	เรานั่งดูหนังเงียบๆ เคียงข้างกัน .. 
	ตอนจบของเรื่องแม่มดสาวหน้าตาไม่สวยกลับมีครอบครัวแสนสุขที่อบอุ่น
	ในขณะที่แม่มดสาวพราวเสน่ห์คนน้องต้องประสบกับความรักที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า 
	ครั้งแล้วครั้งเล่า
	
	ความรักนี่มันแปลกจริงด้วยแฮะ .. คาดเดายากจริงๆ .. 
	มันมักไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้เสมอเลย .. 

	.. T o  b e  c o n t i n u e  .. 				
5 กุมภาพันธ์ 2549 11:57 น.

กระท่อมใบตอง - บ้านดวงใจ

keekie

รุ่งเช้า ฉันตื่นทันเห็นดวงตะวันทักทายขอบฟ้า
	แม้ดวงไม่กลมโตสุกปลั่งเหมือนดั่งตะวันหน้าหนาว 
	แต่ก็สดใสแรระบายฟากฟ้าและขุนเขาเป็นสีกุหลาบ มลังเมลืองจับตา

	"ในเมืองใหญ่ เราแทบจะไม่มีเวลาแหงนหน้ามองฟ้าเลยนะลูก 
	ยามเช้านี่เป็นเวลาที่ดีที่สุด เสียดายที่พ่อทำงานดึกดื่นจนสว่าง 
	พอเวลาที่ดีที่สุด พ่อก็กลับมอบมันให้กับการนอนอุตุเสียนี่"  
	พ่อพูดพลางจัดเตรียมจานสีสำหรับเขียนรูป

	ฉันช่วยพ่อเตรียมกระดาษและเกิดอยากวาดรูปสีน้ำขึ้นมาบาง
	พ่อเลยสละกระดานรองเขียนให้ และใช้ฝาเรือแพแทน 
	"คงจะได้จังหวะการไหลของสีที่แปลกๆ "  พ่อว่า

	เราวาดรูปยามเช้ากันอย่างสนุกสนาน  อาชีวันลงมาหุงข้าว
	หอบผักหญ้ามาด้วย "ตื่นเช้าเหมือนกันหรอ" คงแปลกใจที่เราตื่นกันแต่มืดอย่างนั้น
	"ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่ มักจะมานอนอุตุเสียมากกว่า" 

	"ก็เขามาพักผ่อนกันนี่"  พ่อพูด
	"ใช่ มาพักผ่อนจริงๆ ไม่ขยับตัวไปไหนเลย ดื่ม กิน นอน บางคนก็ว่ายน้ำนะ
	น่าเห็นใจ เขาทำงานมามากแล้ว พอมาป่าก็เลยนอนลูกเดียว" 
	
	"เดี๋ยวให้หนูช่วยทำกับข้าวนะคะ .. "  ฉันบอก
	"ดี แต่เขียนรูปให้เสร็จนะ ลองดูสิ เวลาอย่างนี้เขียนยากนะ 
	หนูต้องคุมโทนสีให้ดี เขียนชุ่มๆ นะ สวย อือม์ ดีนี่ "  อาชีวันยื่นหน้าเข้ามาดูรูปที่ฉันวาด
	"หนูเข้าใจธรรมชาติของสีน้ำดีแล้วนี่ มันเส้นผมบังภูเขานะเขียนรูปนี่ สำคัญคือบรรยากาศ อารมณ์ ความรู้สึก ไม่ใช่รายละเอียด" 

	"ดูของผมก่อน ท่าจะเน่าเสียแล้ว .. "  พ่อว่า 
	"คุณใจร้อนไปนะ รอให้หมาดหน่อยสิ นี่แหละเขาว่า เรื่องศิลปะนี่ผู้ใหญ่สู้เด็กไม่ได้หรอก 
	มันใสสดและมีจินตนาการกว่า คุณมันเรียลิสติก แต่ดันจะฝันเฟื่อง"  อาชีวันพูด

	"เออ ท่าจะจริง แย่จัง เดี๋ยวเอาใหม่"  พ่อยอมรับ มาดูรูปของฉันแล้วชมเปาะ 
	"มันสดใสดีจริงๆ ไม่ต้องเกลี่ยแล้วนะ ดวงตะวันน่ะ สดดีแล้ว เออ สู้ลูกไม่ได้เสียแล้ว 
	เอ .. เขียนรูปนี่มันเหมือนชีวิตเหมือนกันนะนี่ .. " 

	"เหมือนยังไงหรอคะ?"  ฉันสงสัยเสียจริง พ่อมักลากเข้าเรื่องชีวิตจนได้ทุกเรื่องแหละ พิลึกจริง
	
	"อ้าว ก็จังหวะไง จังหวะและโอกาส สีน้ำนี่จังหวะพลาดแล้วหมดโอกาสเลย เปียกโชกไปก็ไม่ได้  แห้งไปก็ไม่ได้ แข็งกระด้างเลย ต้องจังหวะสีกำลังหมาดพอดี แล้วก็ต้องใช้ความกล้าด้วย กล้าระบาย กล้าทิ้งขาว เปิดช่องว่างให้มีพื้นที่หายใจ มีแสง มีอากาศ ทีป้ายก็ต้องแม่นย้ำ มั่นใจ ช้าไม่ได้ จับจดไม่ได้ เห็นไหม? ชีวิตก็ต้องเป็นอย่างนี้ เราจะพลาดโอกาสไปเลย เน่าเสียไปเลย 
	แบบรูปนี้สีมันหนักไป ไม่พอดี เอ๊ะ เอาไปเอามาก็ลงที่คำว่า พอดี .. เออ ดีจริงๆ พอดีนี่เรียกว่า สายกลาง ถ้าเราวางชีวิตไว้ตรงสายกลาง มันก็จะดีนะลูก .. .. .. 

	.. พอดี .. เออ คำนี้ดีจริงๆ "  พ่อพึมพำ หันไปคว้ากระดาษจดบันทึก 
	"นึกอะไรได้แล้ว .. " พ่ออุบอิบในคอ " พอดี .. "  พ่อรีบเขียนสิ่งที่ตัวเองคิดได้ 
	จมอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่ ก็เงยหน้าขึ้นยิ้มพราย ร้องเรียกหาอาชีวันเสียงดัง ..
	"ฟังนะ ชีวัน เข้าท่าไหม? ผมเพิ่งเขียนได้ถูกใจวันนี้ละ .. " 
	
	อาชีวันฟังไม่ฟังก็ไม่รู้ กุกกักอยู่หน้าเตาไฟ แต่พ่อก็รีบอ่าน ยังกะกลัวว่า 
	ความคิดนั้นมันจะหายไปทันทีทันใดอย่างนั้นแหละ .. 

	' สันติสุขแห่งจิตใจ 
	เธอสร้างได้ด้วยความพอ
	พอจิตพอใจต่อ
	สิ่งที่มี สิ่งที่เป็น
	สงบ เงียบ งาม ง่าย
	ไม่ฟูมฟายในทุกข์เข็ญ
	ชีพร้อนก็ผ่อนเย็น
	ปรับหัวใจให้พอดี' 

	"โอโฮ ยอดไปเลย เขียนได้ไงน่ะ รวดเร็วทันใจ " อาชีวันก็พลอยเป็นไปอีกคน
	"ผมเขียนมั่ง .. 
  
	วันนี้คือความจริง 
	เป็นความจริงยิ่งกว่าฝัน 
	ชีวิตคือหนึ่งวัน 
	มากกว่านั้นอาจไม่มี
	ฝันพรุ่งจุ่งมุ่งไป
	หาที่ไหนวันพรุ่งนี้
	ทำเถอะถ้ามันดี
	ทำวันนี้ให้งดงาม "

	"โอ๊ย เยี่ยมนี่ เรามาเขียนให้จบเล่มกันเลยเป็นไง"  พ่อว่า

	เช้านั้นเราเลยไม่ได้รูป แต่มีบทกวียาวเหยียดถึงสิบสี่บทแทน 
	แทบไม่กินข้าวกินปลาและออกไปไหน


                                               - พิบูลย์ศักดิ์  ละครพล -				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
  keekie
ไม่มีข้อความส่งถึงkeekie