3 เมษายน 2556 13:16 น.

10 เคล็ดลับมัดใจชายสำหรับเดทแรก

pebble

สาวๆ จ๋า เวลามีชายหนุ่มที่แอบปลื้มมาชวนออกเดททำเอาประหม่าเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ลองมาดูเคล็ดลับพวกนี้ดีกว่าว่าจะมัดใจหนุ่มๆ ในเดทแรกไว้ได้อย่างไร จนเขาต้องออกปากขอเดทครั้งต่อไปแทบไม่ทัน
1. เสื้อผ้า หน้า ผม : โอเค จริงๆ คนเราไม่ควรตัดสินใครแต่ภายนอก แต่สิ่งแรกที่หนุ่มของคุณจะเห็นคือภาพลักษณ์ที่แสดงออกมา ใครที่ว่างๆ อยากลองมาแต่งหน้า ทำผมดูก่อนก็ได้ ว่าทรงไฟน แบบไหนที่เหมาะที่สุด อย่าแต่งหน้าเข้มหรือทำผมฟู่ฟ่าเกินไปเพราะนั่นจะทำให้หนุ่มๆ ฝ่อได้ ที่สำคัญหัดเช็กความเรียบร้อยของเสื้อผ้า หน้าผม ด้วยนะจ๊ะ ว่าลิปสติกเลอะหรือเปล่า ผมกระเซิงหรือเปล่า เดี๋ยวจะไม่สวยเอา
 
2. ตรงเวลา : ถ้านัดกันข้างนอก หรือแม้แต่มีหนุ่มมารับที่บ้านก็อย่าปล่อยให้เขารอนานล่ะ ไม่มีอะไรที่ฆ่าอารมณ์โรแมนติคของชายหนุ่มไปมากกว่าการรออีกแล้ว เกิดคุณปล่อยให้เขารอนานๆ เดี๋ยวจะโดนทิ้งไม่รู้ตัวนะเออ ทางที่ดีไปถึงก่อนเวลาสัก 10 นาที เผื่อจะได้มีเวลาเติมหน้าทาปากได้ด้วยนะ 
3. กิน กิน กิน : หนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตของการเดทต้องรวมนั่งกินในร้านอาหารด้วยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้าวกลางวันหรือเย็นหรือแม้แต่ทำอะไรกินกันกกุ๊บกิ๊บที่บ้าน ยังไง๊ ยังไง เขาก็ต้องเห็นคุณกินอยู่วันยังค่ำ เพราะฉะนั้นอย่าลืมสำรวมกริยามารยาท อย่าไปมูมมามกินเลอะเทอะให้เห็น แล้วพยายามตักพอคำนะจ๊ะ อย่าขย้ำอาหารประหนึ่งอดอยากมาจากไหน ที่สำคัญระหว่างกินหากมีการพูดคุยเกิดขึ้นอย่าลืมเคี้ยวให้หมดก่อน ไม่มีใครอยากเห็นอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยในปากคุณหรอก
4. บทสนทนาพาเพลิน : เวลาคุณไปเดทกับชายหนุ่มเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าต้องมีช่วงเงียบอันแสนอึดอัดเข้ามา ทางที่ดีลองเตรียมบทสนทนาไว้สักหน่อย ลองสืบดูว่าเขาชอบหนังสือ หรือหนังเรื่องไหน แสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพและตรงไปตรงมา อย่าเออออตามไปหมดทุกเรื่อง นั่นทำให้ผู้ชายเกิดความรำคาญได้อย่างรวดเร็วทีเดียว เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว
5. กรุณาปิดเครื่องมือสื่อสารของท่าน : เดทแรกน่ะ มีไว้เพื่อทำความรู้จักอีกฝ่ายให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น วอทส์แอป ไลน์ แทงโก้ เฟซบุ๊ค แชททั้งหลายอย่าได้ให้ความสนใจเกินควร ลองคิดในทางกลับกันดูสิว่าเกิดคุณไปเดทกับชายหนุ่มที่เอาแต่แชทกับเพื่อนในโทรศัพท์จะน่าเบื่อแค่ไหน
6. หยุดเม้าท์อย่างมีศิลป์ : ผู้หญิงเป็นเพศที่ชอบเม้าท์อยู่แล้ว แต่อย่าลืมนะว่าหนุ่มของคุณก็อาจมีเรื่องอยากเล่าอยากแบ่งปัน อย่าลืมปล่อยให้เขาได้พูดบ้างนะจ๊ะ และทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ถามคำถามเป็นระยะเพื่อแสดงความสนใจ และมองตาผู้พูดเพื่อแสดงถึงความจริงใจที่คุณมี 
7. เก็บสายตาไว้มองเขา : ก็รู้นะว่าสาวๆ ต้องมีบ้างที่จะแอบเหล่หนุ่มหล่อ แต่เธอจ๋า เธอกำลังเดทกับอีกหนุ่มอยู่ โดยเฉพาะถ้าเป็นเดทแรก คุณยิ่งควรเก็บสายตาแพรวพราวไว้ให้ดี ต่อให้แค่แแอบเหล่ไปชื่นชมความหล่อของหนุ่มอื่นก็ไม่ควร เพราะจะทำให้เขาเขวและเสียความมั่นใจในตัวเองได้ เก็บไว้เหล่หนุ่มๆ ตอนอยู่กับเพื่อนสาวดีกว่านะจ๊ะ
8. เก็บความลับไว้บ้าง : ผู้ชายส่วนใหญ่มีสัณชาติญาณนักล่าในตัว ซึ่งนักล่าเหล่านี้มักจะชอบความตื่นเต้น เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งเผยไต๋จนหมดเกี่ยวกับตัวคุณเก็บบางอย่างไว้เป็นความลับบ้าง อย่าเพิ่งเม้าท์มอยบอกเกี่ยวกับครอบครัวรุ่นคุณทวด หรือกอสสิปสาวๆ ในแก๊งให้เขาฟังล่ะ
9. จ่ายบ้างอะไรบ้าง : ยุคเก่าอันไกลโพ้น ชายหนุ่มเป็นฝ่ายหาเลี้ยงสาว แต่สมัยนี้แล้วสาวเก่งๆ มีเยอะ อย่าปล่อยให้เขาต้องเลี้ยงทั้งข้าว ทั้งหนัง ทั้งค่ารถอะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่างให้คุณตลอด หากแย่งจ่ายทุกอย่างอาจจะเกินงาม ลองแลกกันบ้าง เช่นหากเขาจ่ายค่าข้าวแล้ว คุณอาจจะพาเข้าไปร้านคาเฟ่นั่งจิบกาแฟหรือชายามบ่ายแล้วเป็นฝ่ายเลี้ยงขนมเขาบ้าง
10. น้ำตาลใกล้มด เดี๋ยวคุณค่าจะลดไม่เหลือนะจ๊ะ : เรื่องนี้อาจจะไม่ค่อยเปิดเผยมากนักในสังคมไทยที่วางคุณค่าของหญิงสาวไว้อย่างงดงาม แต่เวลาไปเดทแรกกับชายหนุ่มสักคน หากคุณยังไม่รู้จักเขาดีพอก็อย่างเพิ่งยอมให้จับมือถือแขนจนเกินงาม อาจมีบ้างหากเขาแตะแขนเบาๆ เพื่อพาข้ามถนน (อันนี้จัดอยู่ในข่ายแตะตัวอย่างน่ารัก) หรืออาจจะช่วยพยุงคุณขึ้นรถหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าถึงขั้นแตะเกินงาม ผู้ชายคนนั้นก็ไม่มีค่าคู่ควรกับคุณเท่าไหร่ ควรตัดใจแต่เนิ่นๆ นะจ๊ะ
2 เมษายน 2556 16:56 น.

10 อันดับหนังรักในใจของ Pebble

pebble

เพราะเป็นคนชอบดูหนังโรแมนติคอยู่แล้ว เลยนึกอยากมาจัดอันดับหนังโรแมนติคที่ตัวเองชอบดูขึ้นมา จนกลายเป็น 10 อันดับหนังตามใจฉันค่ะ

1. Annie Hall ผลงานอันตระการตาของ Woody Allen ที่งานนี้คุณลุงวู้ดดี้เขียนบทได้ใจอิฉันไปเต็มๆ ประเด็นเด็ดอยู่ที่คุณไม่รู้ว่าใครบางคนมีค่าสำหรับคุณแค่ไหนจนกระทั่งคุณเสียเขาไป คำคมหลายๆ ประโยคจากหนังเรื่องนี้จี้ใจใครหลายคนทีเดียว เป็นหนังที่ไม่หวานเลี่ยน ตัวพระ-นางในเรื่องนี้ไม่เคยบอกรักกันด้วยซ้ำ แต่เชื่อสิ จากสายตาที่คนทั้งคู่มองกัน รับรองว่าหวานเจี๊ยบเชียวละ

2. Lost in Translation เป็นหนังที่ดูแล้วคาใจที่สุด ฉากสุดท้ายที่ต้องเปิดดูซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วเร่งเสียงจนสุด เพราะอยากรู้ว่า พระเอกกระซิบอะไรกับนางเอก (ฟระ?) เป็นเรื่องของคนเหงา 2 คนที่ไปเจอกันในประเทศที่มีสีสันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  แต่กลับสัมผัสถึงความว้าเหว่ จนคนดูแอบรู้สึกโหวงเหวงไปด้วย แต่สุดท้ายคุณก็เจอใครบางคนที่เข้ามาเติมเต็มความว่างเปล่า ถึงแม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ตรึงใจไม่เสื่อมคลาย

3. The Holiday หนังที่หยิบเอาเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่มาเป็นธีมหลักของเรื่อง สาว 2 คนที่ผิดหวังในรักตัดสินใจข้ามฝั่งทวีปไปอีกประเทศเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง จนสุดท้าย แน่นอนว่าแต่ละคนได้เจอกับรักครั้งใหม่ ที่พร้อมจะเยียวยาหัวใจ ฉากที่ Pebble ชอบที่สุดคงเป็นตอนที่สาว เคท วินสเลทบอกกับเพื่อนบ้านอายุ 95 ปี ที่สุดท้ายกลายมาเป็นเพื่อนซี้ต่างวัยกันว่า We all need something corny in our lives. เพราะชีวิตเรามันไม่ควรเหี่ยวเฉาไปตลอดจนต้องมีอะไรเฉิ่มๆ แต่หวานๆ เข้ามาอย่างไรล่ะ 

4. Flipped อมยิ้มไม่หยุดไปหลายวันจริงๆ กับหนังเรื่องนี้ที่ผู้กำกับคนเก่ง Rob Reiner เอาเรื่องราวของความรักอันมั่นคงของ Julie baker ที่แอบรักพ่อหนุ่ม Bryce Loski มาตั้งแต่ 8 ขวบจนอายุ 13 อีตาไบรซ์ถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองรักจูลี่เหมือนกัน ครึ่งแรกของหนหังเน้นไปที่สาวน้อยวัยใสพยายามเข้าไปพูดคุยตีสนิทกับคนที่เธอรู้ว่าเป็นรักแรกของเธอ ส่วนครึ่งหลังสาวเจ้างอนและหนุ่มไบรซ์ต้องตามง้อ ดูเรื่องนี้แล้วแอบอิจฉาจูลี่ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เจอกับประสบการณ์การตกหลุมรักจนรู้สึกพลิกคว่ำ คะมำหงายอยู่ในท้อง อย่างที่เธอว่า "I had flipped" 

5. The Hunger Game โอเค มันอาจจะไม่โรแมนติคอะไรเลยสำหรับบางคน ออกจะดราม่า 
แถมบู๊เลือดสาดด้วยซ้ำ แต่พีต้ากับแคทนิสคู่ทรหด ที่ต้องเข้าร่วมเล่น 
Hunger Game ด้วยกัน และทั้งๆ 
ที่รู้ว่าสุดท้ายตัวเองอาจจะต้องตายแต่พีต้าก็พร้อมจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อ
สาวน้อยที่ตัวเองแอบหลงรักข้างเดียวมานานจะได้มีชีวิตรอดต่อไป 
ไม่เรียกรักแล้วจะเรียกอะไร 

6. A walk to remember หนังเศร้าเคล้าน้ำตา ที่หยิบมาจากหนังสือของ Nicolas Sparks เป็นเรื่องของ Jamie Sullivan ลูกสาวแสนเรียบร้อยของสาธุคุณ กับ Landon Carter หนุ่มหัวกบฏที่ ตกหลุมรักสาวเจมี่ทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ตอนจบอาจจะเศร้าไปหน่อย แต่ฉากสุดท้ายที่นักแสดง Shane West แสดงความรู้สึกผ่านสายตาออกมาว่าฉันคิดถึงเธออยู่เสมอ แต่ฉันจะไม่เป็นไร เพราะความรักของเธอเปรียบดั่งสายลมที่แม้มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ทำเอายิ้มทั้งน้ำตาได้เลยทีเดียว 

7. The Adjustment Bureau ชีวิตข้าขอลิขิตเอง หนังเรื่องนี้จับคู่พี่แมตต์ เดม่อนกับ สาวหน้าคมจากเกาะอังกฤษ เอมิลี่ บลันท์ มาคู่กันได้ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นเรื่องของ 2 หนุ่มสาวที่รักกันแต่ดูเหมือนมีเรื่องต้องให้พรากจากกันตลอดเวลา เรื่องอะไรจะยอมล่ะ งานนี้พระพรหมหรืออะไรก็ตามแต่ ระวังพ่อแมตต์ เดม่อนให้ดี ถึงแม้ไม่บู๊เลือดสาด แต่ก็สู้เพื่อรักแท้ รักเดียวแบบไม่ยอมแพ้เลย

8. Larry Crowne นักแสดงรุ่นใหญ่ทั้งนั้น ทั้งลุง ทอม แฮงค์ และป้าจุ๊ จูเลีย 
โรเบิร์ต 
มาประชันฝีมือในเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มใหญ่วัยเลขสี่แล้วแต่ต้องมาตกงานเพียง
เพราะเหตุผลว่าเขาไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัย 
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจพลิกชีวิตตัวเองขนานใหญ่ทั้งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย 
เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวและเริ่มหางานทำอีกครั้ง 
จนได้มาเจอกับอาจารย์สาวสวยสอนวิชาการพูดขี้วีน 
ที่ย้ำนักย้ำหนาตั้งแต่คลาสแรกว่า "จะเข้าคลาสฉันได้ ต้องมีความใส่ใจนะยะ" 
เรื่องนี้เปิดปมนางเอกให้เห็นแต่แรกเลยว่านางแค่อยากได้คนที่แคร์หรือใส่ใจ
จริงๆ ซึ่งสุดท้าย 
พ่อหนุ่มแลร์รี่ก็แสดงให้เห็นในการสอบพูดครั้งสุดท้ายว่าเขาใส่ใจแค่ไหน 
เรื่องนี้ไม่่าพลาดเพราะขอบอกว่าประชันบทกันแบบไม่มีใครยอมใครเลยล่ะ  

9. Music from another room หนังเรื่องนี้ค่อนข้างเก่า เอาเป็นว่าตั้งแต่สมัยพี่ Jude Law ยังไม่มีตีนกานั่นแหละ ว่าด้วยหนุ่มน้อยอายุ 5 ขวบที่มีเหตุทำให้ต้องไปช่วยทำคลอดให้หญิงคนหนึ่ง จนนางได้ลูกสาวออกมา เด็กหนุ่มเลยทึกทักว่า เด็กที่ฉันช่วยทำคลอดนี่แหละจะเป็นคู่ชีวิตในอนาคต พอโตขึ้นมาและหากันจนเจอ พ่อหนุ่มก็ตกหลุมรักกับสาวเจ้าเอาจริงๆ แต่....ปัญหาอยู่ที่ นางมีคู่หมั้นแล้วค่า งานนี้พี่จู้ด จะจัดการอย่างไรต้องติดตาม

10. Somewhere in time หนังรักพาโนรามานิดๆ พระเอกแสดงโดย Christopher Reeve ผู้ล่วงลับ กับการย้อนเวลาไปเจอสาวสวยที่เขาตกหลุมรักอย่างจัง ทั้งสองใช้เวลาอันแสนสุขร่วมกัน แต่เมื่อทั้งคู่มาจากช่วงเวลาที่ต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็พร้อมที่จะทำให้รักนั้นยืนยาวตลอดกาล

				
2 เมษายน 2556 14:00 น.

Flipped กว่าจะรู้ว่ารัก

pebble

จากผู้กำกับคนดังอย่าง Rob Reiner ที่เคยฝากฝีไม้ลายมือไว้กับหนังรักโรแมนติคสุดคลาสสิค When Harry Met Sally คราวนี้หยิบยกเอาบทประพันธ์ชื่อเรื่องเดียวกันของนักเขียนคนเก่ง Wendelin Van Draanen มาทำเป็นหนังใสๆ ดูแล้วอดไม่ได้ต้องอมยิ้มเขินๆ กับตัวเองทุกที 

หนังเริ่มจากประโยคง่ายๆ "I had flipped" เรื่องเกิดในยุค50 ที่สูทผ้าสักหลาดและกระโปรงสุ่มยังฮิต สาวน้อยวัยใสสุดๆ Julie baker ได้เจอกับหนุ่มน้อย Bryce Loski ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ตรงข้ามบ้านของเธอพอดี พอได้เห็นดวงตาสีฟ้าสดใสของหนุ่มน้อย จูลี่ก็เกิดอาการพลิกคว่ำคะมำหงายในท้อง (หรืออาการที่ผู้เขียนบรรยายไว้ว่า "Flipped") เพราะตกหลุมรักกับพ่อหนุ่มไบรซ์อย่างจัง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นทั้งนางและหนุ่มไบรซ์ยังอยู่แค่ ป.2! (แก่แดดได้โล่มากจ้ะลูก) 

จูลี่ไม่รอช้าพุ่งเข้ากอดไบรซ์ในทันที แล้วบอกเขาว่าเขาเป็นรักแรกของเธอ และเธอต้องได้จูบแรกในชีวิตจากเขาให้ได้ แต่หนุ่มน้อยผู้หวาดกลัวกลับมองว่า ยัยนี่เป็นใครน่ะ ตั้งแต่นั้นมา ไบรซ์ก็ตัดสินใจว่าจูลี่เป็นสาวน้อยนิสัยประหลาด และชาตินี้ขอไม่ตกหลุมรักคนแบบนี้เด็ดขาด

หลายปีผ่านไปจนทั้งคู่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว และเริ่มเข้าโรงเรียนมัธยมต้น จูลี่ก็ยังคงตามตื้อไบรซ์ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะในใจของเธอนั้นคิดว่าท่าทีต่อต้านของไบรซ์เกิดจากความอายที่เขาไม่ยอมรับตัวเอง ส่วนหนุ่มไบรซ์ก็ยิ่งคิดว่าจูลี่เป็นเด็กประหลาด ในขณะที่เด็กม.ต้นหลายคนยังโดดหนังยางเล่นกัน แต่จูลี่ก็ปีนต้นไม้ขึ้นไปดูวิวพระอาทิตย์ตกและวาดรูปวิว บางครั้งเธอก็พร่ำพรรณาถึงกลอนที่บรรยายเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นไปของโลก อาร์ตตัวแม่ว่างั้นเถอะ ไบรซ์ที่ขณะนั้นเพิ่งอายุประมาณ 12-13 จึงไม่เข้าสาวน้อยที่มีความคิดโตเกินวัยเช่นนี้   

จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากตื้อมานานหลายปี จูลี่ได้ตระหนักว่า บางทีไบรซ์อาจจะไม่ใช่คนคนนั้นสำหรับเธอ เธอจึงตัดสินใจที่จะตัดใจจากเขาแล้วก้าวเดินต่อไป จากที่เคยคิดถึงทุกวันทุกวันก็เลิก จากที่คอยแวะเข้าไปทักทายก็หยุด หน้ายังไม่ยอมมองด้วยซ้ำไป หนุ่มไบรซ์จึงถึงคราวซวดเซเลยทีเดียว เพราะเขารู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง ถึงตอนนี้ไบรซ์เพิ่งรู้ตัวว่า จูลี่ไม่ใช่คนประหลาดเลย เธอแค่แตกต่าง และไบรซ์ก็กลายเป็นฝ่ายที่ตกหลุมรักความแตกต่างนั้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่กว่าจะรู้ว่ารัก สาวเจ้าก็แก้เผ็ดได้เจ็บจี๊ดๆ กระบวนการง้อสาววัยใสจึงเริ่มขึ้น 

หนังเรื่่องนี้สอดแทรกความดราม่ามาเล็กๆ แต่ไม่หนักเกินจนทำให้หนังเสียความกุ๊บกิ๊บไป อาจจะมีบ้างที่เราจะเห็นปัญหาในครอบครัวของตัวละครหลักทั้งสองจากมุมมองของเด็กๆ ประเด็นส่วนใหญ่จะเป็นจะเป็นการที่คุณรู้จักตัวเอง และการมองโลก บางครั้งกระแสสังคมพาคุณไปในทิศทางที่แม้แต่ตัวคุณก็ไม่ได้ชอบมัน เหมือนยอดชายนายไบรซ์ที่เกือบเสียรักแรกไป เพียงเพราะกลัวเพื่อนล้อ 

ฉากหวานๆ ในเรื่องนี้เป็นหวานแบบไม่เลี่ยน ไม่เลยคุณจะไม่ได้เจอฉากจับมือกัน หรือกอดกัน หรือแม้แต่ฉากที่นางเอกอายม้วนต้วนก็ไม่มีให้เห็น แต่คุณจะรู้สึกถึงความหวานลึกล้ำที่โอบล้อมอยู่ในบรรยากาศอย่างง่ายๆ จนทำให้อมยิ้มได้ไม่หยุด ยิ่งพอดูเสร็จ ใครที่เคยมีประสบกาณ์รักแรก หรือรักข้างเดียวรับรองว่ายิ่งอินแน่ๆ 

ใครมีโอกาสก็อย่าลืมหามาดูกันนะคะ 

				
2 เมษายน 2556 12:08 น.

ความหมายดอกไม้มงคล

pebble



ดอกไม้แต่ละชนิดก็มักจะมีความหมายต่างๆ กันไป คราวนี้มาดูความหมายที่เป็นมงคลกับชีวิตรับปีใหม่ด้วยดีกว่า เผื่อใครนำไปปลูกในบ้านรับความเป็นสิริมงคลเข้ามาในชีวิต

กุหลาบ: ราชินีแห่งดอกไม้ทั้งปวง มีความหมายว่าหากใครได้มาพบเห็นมักจะรักใคร่ แต่ก็มีหนามที่จะช่วยปกป้องคนในบ้านได้

ดอกแก้ว: เป็นดอกที่มีความหมายถึงการนำความสดชื่นเข้ามาให้แก่สมาชิกในบ้าน

กล้วยไม้แคทาลียา: แสดงถึงความสูงส่ง รอบคอบ

ดอกบัว: ช่วยสร้างความรักความผูกพันของคนในครอบครัวและยังแสดงถึงความมีคุณธรรมที่สูงส่ง

บานบุรี: แสดงถึงแสงแห่งความเจริญรุ่งเรือง

ทราบถึงดอกไม้มงคลบางชนิดกันไปแล้วก็อย่าลืมหามาปลูกไว้ในบ้านกันบ้างนะคะ

2 เมษายน 2556 12:07 น.

10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน

pebble



ถึงจะเป็นการรวมตัวกันเพราะเหตุผลทางการเมืองและเศรษฐกิจแต่ ประเทศในกลุ่มอาเซียนนี้ก็แอบมีอารมณ์สุนทรีย์กับเขาเหมือนกันนะ ดูได้จากดอกไม้ประจำชาติรวมถึงของไทยเราด้วยดูสิคะ

1.       บรูไนดารุสซาราม: ดอกซิมปอร์ หรือดอกส้านชวา ที่พบเห็ฯได้ทั่วไปในประเทศบรูไนและในธนบัตรของบรูไน

2.       กัมพูชา: ดอกลำดวน จัดเป็นไม้มงคลเพราะมีรูปร่างสวยงามและกลิ่นหอมสดชื่น

3.       อินโดนีเซีย: กล้วยไม้ราตรี เป็นกล้วยไม้ที่บานได้นานที่สุด และยังพบได้มากในพื้นที่ราบต่ำของอินโดนีเซีย

4.       ลาว: ดอกจำปาลาว หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อดอกลั่นทมนั่นเอง ดอกจำปาลาวเป็นตัวแทนของความสุขและความจริงใจ

5.       มาเลเซีย: ดอกพู่ระหง คนไทยจะคุ้นในชื่อดอกชบา ถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาเลเซียเลยทีเดียว

6.       ฟิลิปปินส์: ดอกพุดแก้ว เป็นดอกที่นำมาใช้ในการเฉลิมฉลองในตำนานเรื่องเล่าและบทเพลงของฟิลิปปินส์

7.       สิงคโปร์: กล้วยไม้แวนด้า ถูกจัดให้เป็นดอกประจำชาติสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 1981 เลยทีเดียว

8.       ประเทศไทย: ดอกราชพฤกษ์ เพะราความเชื่อที่ว่าสีเหลืองเป็นสีแห่งพระพุทธ รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของความปรองดองในชาติอีกด้วย

9.       เวียดนาม: ดอกบัว มักถูกกล่าวถึงในบทเพลงและกลอนของชาวเวียดนามบ่อยครั้ง เพราะเป็นสัญลักษณ์ของรุ่งอรุณ

10.    พม่า: ดอกประดู่ พบมากในประเทศพม่าชาวพม่าเอว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง

 

Calendar
Lovers  0 คน เลิฟpebble
Lovings  pebble เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟpebble
Lovings  pebble เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟpebble
Lovings  pebble เลิฟ 0 คน
  pebble
ไม่มีข้อความส่งถึงpebble