11 ธันวาคม 2549 15:46 น.

ปริศนาในบ้านลึกลับ ตอนที่ 2

Princess_in-dream

.....ความเงียบเข้ามาครอบงำห้องทำงานหรูนั้น  ชายหนุ่มร่างสง่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง  มองหน้าหญิงสาวผมยาว  ตาโต  ที่นั่งนิ่งบนเก้าอี้นวม
"ต...แต่งงานหรือค่ะ"
.....พริมรตาพดทวนคำช้าๆมองหน้าชายหนุ่มตาไม่กระพริบ
"ใช่"
.....ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย  แล้วพริมรตาลุกขึ้นแล้วพูดว่า
"เราจะแต่งงานได้ไงกันค่ะ  ในเมื่อเรายังไม่มีอ..."
"นี่คุณ! ฟังผงมก่อนน่ะ  เราก็แค่แต่งงานกันเฉยๆ  ไม่ต้องทำอะไร  คุณก็แค่เข้ามาในบ้านผมในฐานะ "ภรรยา" ผมเท่านั้น  ผมช่วยคุณได้แค่นั้น  ถ้าคุณไม่รับไม่เป็นไร  คุณออกจากบ้ายผมได้แล้ว  เชิญ!"
.....ชายหนุ่มชี้ไปที่ทางประตูหน้าบ้าน  พริมรตายังคงนิ่งเหมือนเดิม  แล้วค่อยๆพูดกลับมาว่า
"ฉัน..ตกลงค่ะ"
.....ชายหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว  จึงรู้ว่าเธอนั้นซื่อบริสุทธิ์  คงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆทั้งสิ้น  ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี่นวมข้างตัว  แล้วพูดด้วยเสียงเบาว่า
"เป็นอันว่าตกลงนะ"
.....พริมรตาพยักหน้า  แล้วพูดว่า
"ฉันทำเพื่อตามหาแม่  พอฉันเจอแม่ฉันก็จะอย่ากับคุณ  ตกลงไหม"
.....ชายหนุ่มพยักหน้าตกลง  แล้วพูดว่า
"เราคุยกันมาตั้งนานแล้ว  ผมยังไม่รู้จักคุณเลย  ผมชื่อ  เจษฎาภรณ์  นิวัฒนา  หรือเรียกผมว่าเจษเฉยๆก็ได้  ตอนนี้ผมต้องการทราบเรื่องของคุณ  บอกผมมาให้หมดนะ"
.....พริมรตาพยักหน้ารับ
"ค่ะ  ฉันเป็นคนเชียงใหม่  พ่อกับแม่ฉันเป็นคนเชียงใหม่เหมือนกัน  ตอนที่ฉันอายุได้ 5 ขวบ  คุณแม่ฉันหรือคุณพิมภาพรรณ  ซึ่งขณะนั้นตั้งท้องน้องฉันอยู่ได้ไปเป็นคนใช้ที่บ้านหลังหนึ่ง  พอหลังจากนั้นแม่ฉันก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย  เวลาผ่านไปสักพัก  พ่อฉันหรือคุณพรเทพก็เสียชีวิต  เพราะถูกคนฆ่าหน้าบ้าน  ตอนนั้นฉันไปโรงเรียนจึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์  หลังจากนั้นเป็นต้นมา  ฉันก็ได้ไปอยู่ที่บ้านเด็กสังเคราะห์แทน  เพราะไม่มีญาติ  พอฉันโตขึ้นฉันก็กลับมาพักที่บ้านหลังเก่า  ฉันไปค้นของภายในบ้าน  ก็ได้ได้เจอกับจดหมายฉบับนี้เข้า  ก็เลยมาที่นี่เพื่อพบแม่  เพราะแน่ใจว่าแม่ยังอยู่
..เจษฎาภรณ์มองหน้าพริมรตา  แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องของตนบ้าง
ส่วนผมนั้น  ตอนที่ผมเป็นเด็กประมาณ 6-7 ขวบได้  ผมก็เสียแม่ไป  ผมจึงอยู่กับพ่อจากนั้นเป็นต้นมา  ผมมีพี่น้อง 3 คน  พี่ชายคนโตชื่อว่า จิรกิตติ์  จบด้านนิติศาสตร์  เป็นนักสืบชื่อดังที่กรุงเทพ  คนที่สองคือผมเอง  ผมจบมาทางด้านรัฐศาสตร์ต่างประเทศ  และได้เป็นทูตที่นั้น  ตอนนี้ผมเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ  เพราะเป็นทูตที่นั่น  ส่วนน้องคนที่สามนั้น  เป็นผู้หญิงชื่อว่า  เจนจิรา  จบด้านการค้าการบริหาร  ตอนนี้ทำบริษัทเครื่องสำอางกับสามีที่ชื่อว่า  อรรถพล  และน้องคนสุดท้องนั้นเป็นผู้ชายชื่อว่า จุติพงศ์  เขาจบทางด้านวิศวกรรม  เป็นสถาปนิก  ส่วนพ่อของผมชื่อว่า ภัทรพล  เมื่อก่อนเป็นข้าราชการเก่าเท่านั้นเอง
..เจษฎาภรณ์พูดจบ  พริมรตาก็กระพริบตาปริมๆ แบบอึ้งๆ
ละเอียดจังเลยคะ
เอ๊า! จะไม่ละเอียดได้ยังไง  ในเมื่อไม่นานคุณก็เข้ามาอยู่ในบ้านของผมแล้วนิครับ
..พริมรตาพยักหน้ารับ  แล้วพูดว่า
แล้วเรื่องการเข้าในบ้านคุณนั้น  จะทำให้ทุกคนเชื่อได้ไงว่าเรารักกันจริง
ผมมีวิธีแล้วกันละครับ  จะทำแบบไม่ให้ใครรู้เลย  แล้วคุณก็เป็นผู้หญิงด้วย  คุณน่าจะทำได้ดีกว่าผมเสียอีก  เชื่อใจเถอะ
..พริมรตายิ้มออกมา  แล้วพูดว่า
ขอบคุณมากค่ะ  คุณช่วยฉันมากเลยคะ  ฉันขอบคุณคุณจริงๆเลย
ผมช่วยคุณเพราะผมสงสารคุณต่างหาก  เพราะไม่อยากให้คุณเป็นเหมือนผมคนไม่มีแม่!
..เกิดความเงียบชั่วขณะ  เจษฎาภรณ์เงียบไป  พริมรตาก็มองเขาตาไม่กระพริบ  เพราะยังคงอึ้งในคำพูดของเขา  เจษฎาภรณ์เขาก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
งั้นพรุ่งนี้  เราเดินทางไปกรุงเทพเลยนะ
พรุ่งนี้เลยหรือคะ
..เจษฎาภรณ์พยักหน้า  แล้วพูดว่า
ไปเร็วเท่าไร  เจอแม่คุณเร็วเท่านั้นนะ
งั้น
..พริมรตาทำท่าทางคิด  แล้วพูดว่า  ตกลงค่ะ
..เจษฎาภรณ์ยิ้ม  แล้วพูดว่า
งั้นวันนี้คุณรีบกลับบ้านไปจัดของ  พรุ่งนี้เช้ามืด  ประมาณตี 5 มาเจอผมที่นี่
ค่ะ
..พริมรตาตกลงคำ
..เจษฎาภรณ์นำทางเธอเพื่อไปส่งพริมรตาที่หน้าบ้าน  พรุ่งนี้หล่อนจะเดินทางเพื่อไปหาแม่แล้ว  หล่อนได้เดินทางออกจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพจริงๆ  ไปหาแม่  คนที่ตนตามหามานาน  ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นจริงสักที
..เจษฎาภรณ์มองรถจักรยานที่มีหญิงสาวผมยาว  ตาโต  คนนั้นขับห่างไปจากบ้านเขาอย่างช้าๆ  วันนี้เขารูสึกแปลกยังไงไม่รู้  เขาไม่เคยรู้สึกอะไรกับผู้หญิงที่ไหนมาก่อนเลย  มันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่เขาก็ไม่เคยรู้จัก  เขาเองยังสงสัยว่าทำไมตัวเขาเองรับช่วยเธออย่างง่ายๆ  โดยไม่ถามปรึกษาคนอื่นๆในบ้านเลย  หรือว่าเขาเรียกกันว่า รักแรกพบ				
8 ธันวาคม 2549 18:12 น.

ปริศนาในบ้านลึกลับ ตอนที่ 1

Princess_in-dream

ถึง...คุณพรเทพ อาษานิวัฒ
.....วันนี้ฉันเดินทางมาถึงบ้านพักอากาศนิวัฒนาแล้วละคะ  ที่นี่สวยมากเลยคะ  เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ  มีบรรยากาศที่งามๆคะ คุณเชื่อไหมว่าที่บ้านหลังนี้มีคนใจดีตั้งสองคน  ฉันเรียกเขาทั้งสองว่า "คุณท่าน" คุณทานทั้งสองมีลูกตั้งสี่คน  คุณหนูคนโตเป็นผู้ชายไม่ค่อยพูดจากับใคร  แต่ก็นิสัยดีนะคะ  คุณหนูคนที่สองก็เป็นชายเหมือนกัน  คนนี้เป็นคนเอาแต่ใจ  แต่ก็รักพี่น้องเหมือนกัน  ส่วนคุณหนูคนที่สามนั้นเป็นผู้หญิง เธอน่ารักมากเลย  แต่คุณหนูคนเล็กยังเป็นทารกชายอยู่เลย ครอบครัวนี้คงอยู่กันอย่างมีความสุขนะ ตอนนี้ฉันตั้งท้องได้สองเดือนแล้ว พอครบกำหนด  ฉันจะกลับไปหาพี่นะ  ขณะนี้ฉันต้องทำงานเก็บเงินให้มากก่อน  เราจะได้สุขสบายน่ะ  หวังว่าพี่คงดูแลลูกตาของเราดีๆนะ  ฉันว่าลูกเราคงเท่าๆกับคุณหนูคนที่สองนั้นแหละ  แล้วฉันจะรีบกลับนะ  ดูแลลูกด้วย  ลาก่อน...
จาก...พิมภาพรรณ  อาษานิวัฒ

.....มือหญิงสาวที่จับจดหมายไว้ในมือนั้นสั่น  หยาดน้ำตาของคนที่เป็นลูกก็หยดลงบนจดหมายฉบับนั้น  หล่อนไม่อาจกั้นน้ำตาออกมาได้
.....พริมรตา  อาษานิวัฒ  กำลังจับจดหมายของแม่ซึ่งหายตัวไปเขียนถึงพ่อที่เสียชีวิตแล้ว  จดหมายฉบับนี้เป็นฉบับแรกที่ตนมี  เป็นจดหมายการติดต่อระหว่างพ่อกับแม่  หล่อนไร้พ่อกับแม่มานานหลายปีแล้ว  พ่อตนถูกฆ่าโดยที่ตามจับคนร้ายไม่ได้  ส่วนแม่ตนนั้นได้หายไปตั้งแต่ยังเด็กพร้อมน้องที่อยู่ในครรภ์  พริมรตาอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด  แต่หล่อนเชื่อว่าสักวันหนึ่งหล่อนต้องเจอแม่  จนกระทั่งวันนี้  หล่อนกลับไปบ้านเก่าที่พ่อเคยอยู่  แต่ตอนนี้ได้ขายไปแล้ว  ก็ไปเจอจดหมายฉบับนี้ในตู้ลิ้นชักเก่าๆในบ้าน  ตอนนี้เธอรู้ที่อยู่แม่ตนแล้ว  เป็นบ้านพักอากาศตระกูลนิวัฒนา

.....วันรุ่งขึ้น  พริมรตาปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปที่บ้านพักอากาศนิวัฒนาเพื่อตามหาแม่  หล่อนปั่นจักรยานผ่านทางเล็กๆที่พอสำหรับรถคันเดียวผ่าน  ข้างทางมีต้นไม้อุดมสมบูรณ์  ถ้าแม่หล่อนอยู่ที่นั่นจริงๆ  หล่อนจะพาแม่กลับมาบ้าน  มาอยู่กับหล่อน
.....เวลาผ่านไป  หล่อนเพิ่งรู้สึกว่าตนมายืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่  ภายในดูสงบเสงียมไร้ผู้คน  หล่อนมองหาที่กดกริ่งเพื่อพบคนในบ้าน  แต่ก็หาไม่เจอ  หล่อนคิดว่าจะตะโกนเรียก  แต่พอหล่อนไปเกาะที่ประตูรั่วบ้านเล็ก  ประตูนั้นก็เปิดออกอย่างง่ายดาย  หล่อนจึงเดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่รีรออะไรทั้งสิ้น
.....หล่อนก้าวเข้าไปในบ้านหลังใหญ่นั้น  ไม่มีแม้แต่ผู้คนอาศัยอยู่  มีแต่เสียงเท้าเดินฝ่าความเงียบเข้าไป  ภายในบ้านหลังนั้น  ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์ทันสมัย  และอาจจะเป็นบ้านของคนรวยด้วย
.....หล่อนเดินไปถึงรูปวาดภาพใหญ่ภาพหนึ่ง  ภาพที่มีชายกับหญิงโอบกอดลุกทั้งสี่คน  ทั้งสี่คนนี้คงหมายถึง "คุณหนู" ทั้งสี่ที่แม่ตนได้บรรยาย  และชายหญิงทั้งสองคงเป็น "คุณท่าน" นั้นเอง
.....หล่อนเอื้อมมือไปแตะกับรูปภาพวาดนั้น  แต่ต้องชะงักเมื่อมีมืออีกมือหนึ่งมาคว้าข้อมือเธอไว้  และกระชากสุดแรงพร้อมเสียงตะคอก
"คุณเป็นใคร  เข้ามาในนี้ได้ยังไง  จะมาขโมยของงั้นหรอ"
.....ชายคนนั้นกระชากพริมรตาล๊อกคอ  แล้วพาไปหน้าบ้าน  พริมรตาไม่ทันตอบอะไร  ก็ต้องยอมไปกับเขาก่อน  แล้วพอถึงประตูหน้าบ้าน  เขากระชากหล่อนออกไปนอกบ้าน  หล่อนจึงรีบพูดว่า
"ฉันขอโทษนะ  ฉันไม่ได้ตั้งใจเข้าไปหรอก"
.....ชายคนนั้นซึ่งหันหลังเข้าบ้าน  ก็หันกลับมา  ทำให้พริมรตาเห็นมาชายคนนั้น  สูง  ผิวสีแทน  แววตาส่อถึงความเจ้าอารมณ์  แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือโครงหน้าตอนเด็กกับตอนผู้ใหญ่  คนนี้ต้องเป็น "คุณหนู" คนที่สองแน่ๆ!
"ผมไม่เชื่อคุณหรอก  อย่ามาหลอกให้โง่เลย"
"ฉันมาตามหาแม่  แม่ฉันเป็นคนใช้ที่นี่นะคะ"
"คนใช้อะไร  ที่นี่ไม่มี  หลอกผมไม่สำเร็จหรอก  ออกไปนะ"
"แต่แม่บอกว่าแม่อยู่ที่นี่"
.....พริมรตาไม่พูดอย่างเดียว  ยังนำจดหมายฉบับนั้นส่งให้ "คุณหนู" ดูด้วย  เขาเปิดมันออกอ่าน  ความเจ้าอารมณ์ของเขาหายไปในพริบตา  แล้วเขาก็พับจดหมายแล้วโยนใส่พริมรตา  แล้วพูดว่า
"จดหมายมันหลายปีแล้ว  ทำไมคุณไม่มาหาก่อน"
"เพราะฉันเพิ่งเจอมันนะสิ"
"เพิ่งเจอมันหรอ"
....."คุณหนู" ถามด้วยสีหน้างุนงง  พริมรตาจึงรีบอธิบายว่า
"ฉันอยู่คนเดียวมานานแล้ว  พ่อฉันตายไปจากฉัน  ตอนฉันยังเด็ก  ส่วนแม่ฉันก็หายไปตั้งแต่พ่อยังไม่เสีย  ตั้งแต่นั้นมาฉันก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด  ในบ้านเด็กกำพร้า  พอฉันกลับมาที่บ้านเก่าของพ่อ  ซึ่งเป็นมรดกสิ่งเดียวที่ฉันมีอยู่  ฉันค้นตู้จนเจอจดหมายนี้  ตอนนี้ฉันอยากเจอแม่เพราะที่อยู่สุดท้ายของแม่ฉันคือที่นี่  แม่สมัครเป็นคนใช้ที่นี่  ขอฉันเจอแม่นะ"
.....พริมรตาขอร้อง "คุณหนู" เพื่อเจอแม่ของตน  เขาทำท่าหยุดคิดแล้วก็พยักหน้าพร้อมพูดว่า
"ผมจะช่วยคุณ"
.....รอยยิ้มก็ปรากฎบนใบหน้าของหญิงสาว  ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาได้  เพราะรอยยิ้มที่ใสบริสุทธิ์นั้น
.....ชายหนุ่มชวนหญิงสาวเข้ามาในบ้าน  เขานำหล่อนไปในห้องทำงานที่ใหญ่และสวยงาม  บนผนังเพดานด้านบนเป็นภาพวาดเทพธิดา-เทพบุตรล่องลอยไปในท้องฟ้า  อุปกรณ์เครื่องใช้ทุกอย่างเป็นไม้ขัดเงาอย่างดี   ชายหนุ่มเชิญหญิงสาวนั่งบนเก้าอี้นวมสีแดงแสนนุ่ม  ส่วนตัวเขานั่งเก้าอี้นวมสีเขียวตรงข้าม
"ผมคิดว่าแม่คุณคงอยู่ที่กรุงเทพ  เพราะบ้านหลังนี้คนในบ้านผมนานๆมาที  ไม่ได้มาบ่อยๆหรอก"
.....พริมรตารีบพูดว่า
"งั้นคุณพาฉันไปหาได้ไหมคะ"
"ได้ไง"
.....ชายหนุ่มพูดเสียงดังท่าทีตกใจ
"ท...ทำไมละคะ"
.....พริมรตาก็ตกใจไม่ใช่น้อย  ที่ทำไมชายหนุ่มพูดอย่างนั้น
"นี่คุณ...บ้านผมไม่ใช่สาธารณะที่จะพาใครเข้าออกตามใจได้  อย่างคุณ  คุณเข้าไปเพื่อหาแม่คุณ  คนในบ้านผมเข้าไม่คิดอย่างนั้นหรอก  มันต้องมีหลักฐาน"
"มีหลักฐานหรอ"
.....พริมรตาทำหน้างง
"ใช่  ต้องมีหลักฐาน"
"หมายความว่าอะไร"
"หมายความว่า...คุณเข้าไปในบ้านผมในฐานะอะไร"
"คนใช้ก็ได้"
"นี่คุณ...คนใช้บ้านผมเยอะจนบางคนว่างงานแล้วนะ"
"แล้วฉันจะทำยังไงละ"
.....พริมรตาถามด้วยเสียงที่ไม่มั่นคง
"มีทางเดียว..."
....."คุณหนู" ยืนไขว้หลัวในท่าทางที่แสนสง่าหันหน้ามาน้อยๆอย่างช้าๆ  ดวงตานั้น  ทำให้พริมรตารู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่
"แต่งงานกับผมนะ"				
8 ธันวาคม 2549 16:37 น.

บัลลังก์เงา ของ โรสลาเลน

Princess_in-dream

.....คันธารา นครรัฐที่โอบล้อมด้วยขุนเขาปราการธรรมชาติที่แข็งแกร่ง ยากที่บุคคลภายนอกจะล่วงล้ำเข้ามาได้ คันธารา เป็นเช่นไร อันทรา นครรัฐ ข้างเคียงก็เป็นเฉกนั้น คันธารา คือราชวงศ์ จันทรคุปต์  อันทรา คือราชวงศ์ สุริยคุปต์ 
.....สองนครรัฐเล็กๆ ผูกพันดุจบ้านพี่เมืองน้อง สองราชวงศ์ไปมาหาสู่กันยาวนาน และแล้วมหารานีแห่งคันธารา ซึ่งมาจากสามัญชน คือต้นเหตุแห่งความหมองหมาง สองราชวงศ์ไม่อาจผูกพันกันได้อีก นครอันทรา ดูถูก สายเลือดอันปลอมปนตลอดมา เมินพระพักตร์ต่อองค์พระยุพราชทั้งสอง! เจ้าชาย ไศลเรนทร และ เจ้าชาย ศรีวิเรนทร 
.....บัดนี้ โลกภายนอกร้อนระอุ กองทัพเงินตราทรงแสนยานุภาพ ประเทศรอบบ้านยุ่งเหยิงด้วยการเมือง รัฐเล็กๆ ที่ร่มเย็น สงบสุข ไม่ว่าคันธาราหรืออันทรา ต้องเตรียมพร้อมต้องมองการณ์ไกล 
.....อันทราส่งเจ้าหญิงพระองค์เดียวไปศึกษาต่อต่างประเทศ คันธาราก็เช่นเดียวกัน เจ้าชายสองพระองค์พระองค์หนึ่งต้องราชาภิเษกขึ้นดำรงพระยศ พระราชาธิบดีศรีคันธาราจันทรคุปต์ 
.....หากทั้งสองพระองค์ทรงให้สัญญาแก่ผู้คนทั่วแผ่นดิน ก่อนไปศึกษาต่อฯ สัจจะแห่งกษัตริย์ มั่นคงยิ่งกว่าภูผา เราสองคนขอสัญญา เราจะกลับมาทำประโยชน์ต่อปวงชน ทุกลมหายใจเข้าออก เราจะคำนึงคนคันธาราคอยเรา ณ เบื้องหลัง คนคันธาราฝากความหวังไว้กับเรา ขออำลาชั่วคราวเราจะกลับมายืนบนแผ่นดินเดียวกันอีกครั้ง บัลลังก์จะมั่นคงได้ ด้วยอำนาจอันมั่นคง 
.....ไศลเรนทรกับศรีวิเรนทร จะมิใช่แค่เจ้าชายจากเทพนิยาย เจ้าชายในโลกแห่งความจริง อันจะกุมบัลลังก์ได้ ต้องกุมอำนาจได้ หากองค์ใดล่ะ จะครองบัลลังก์ ครองแผ่นดินและ คันธารา
.....จะทันเวลาไหม หาไม่ บัลลังก์แห่งอำนาจจะเป็นแค่ บัลลังก์เงา! 
.....ณ ดินแดนอันไกลบ้านเกิด สองเจ้าชายแห่งคันธาราน่าจะทรงพบเจ้าหญิงผู้ทรงพระสิริโฉมจากนครอันทราเจ้าหญิงสุไรยาวาตี! 
.....ไศลเรนทร ศรีวิเรนทร ฤา สุไรยาวาตี องค์ใด ครอบครัวบัลลังก์รัก บัลลังก์รัฐ ฤา บัลลังก์เงา! 
.....ทั้งสามพระองค์จะเสด็จคืนอันทรา-คันธารา ทันเวลาหรือไม่ ทั้งสามพระองค์ จะสานให้สายสัมพันธ์กลับคืนมาได้หรือฤาหมางเมินเช่นเป็น ทั้งสามพระองค์ รู้หรือไม่ บัลลังก์มั่นคงได้ ฐานบัลลังก์ต้องมั่นคง! 
.....เพื่อแผ่นดิน เพื่อประชา เพื่อญาติมิตร พลีชีวิต พลีร่าง อย่างเริงร่า โลหิตที่ ตกต้อง พสุธา จะพาให้ ชีพอื่น ชื่นยืนยง.....				
23 กันยายน 2549 20:28 น.

When you born in The World. : เมื่อคุณถือกำเนิดขึ้นมาในโลก

Princess_in-dream

When you came into the world, she held you in her arms. 
You thanked her by wailing like a banshee. 

เมื่อคุณกำเนิดมาในโลกนี้ เธออุ้มคุณไว้ในอ้อมอก 
คุณขอบคุณเธอโดยการร้องไห้ 

When you were 1 year old, she fed you and bathed you. 
You thanked her by crying all night long. 

เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ เธอป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ 
คุณขอบคุณเธอโดยการงอแงทั้งคืนวัน 

When you were 2 years old, she taught you to walk. 
You thanked her by running away when she called. 

เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ เธอสอนคุณเดิน 
คุณขอบคุณเธอด้วยการวิ่งหนีเมื่อเธอเรียกหา 

When you were 3 years old, she made all your meals with love. 
You thanked her by tossing your plate o­n the floor. 

เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ เธอทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก 
คุณขอบคุณเธอด้วยการโยนจานลงพื้น 

When you were 4 years old, she gave you some crayons. 
You thanked her by coloring the dining room table. 

เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ เธอให้ดินสอสีคุณ 
คุณขอบคุณเธอด้วยการระบายสีบนโต๊ะอาหาร 

When you were 5 years old, she dressed you for the holidays. 
You thanked her by plopping into the nearest pile of mud 

เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ เธอแต่งชุดเก่งให้คุณเพื่อไปเที่ยว 
คุณขอบคุณเธอด้วยการทำชุดเก่งนั้นเปื้อนโคลนเลอะเทอะ 

When you were 6 years old, she walked you to school. 
You thanked her by screaming, "I'M NOT GOING!" 

เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ เธอเดินไปส่งคุณไปโรงเรียน 
คุณขอบคุณเธอด้วยการกรีดร้องว่า "ไม่ไป!!!" 

When you were 7 years old, she bought you a ball. 
You thanked her by throwing it through the next-door-neighbor's window. 

เมื่อคุณอายุได้ 7 ขวบ เธอซื้อบอลให้คุณ 
คุณขอบคุณเธอด้วยการไปทำหน้าต่างของเพื่อนบ้านแตก 

When you were 8 years old, she handed you an ice cream. 
You thanked her by dripping it all over your lap. 

เมื่อคุณอายุได้ 8 ขวบ เธอซื้อไอศกรีมให้คุณ 
คุณขอบคุณเธอด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว 

When you were 9 years old, she paid for piano lessons. 
You thanked her by never even bothering to practice. 

เมื่อคุณอายุได้ 9 ขวบ เธอสอนเปียโนให้คุณ 
คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม 

When you were 10 years old, she drove you all day, from soccer 
to gymnastics to o­ne birthday party after another. 
You thanked her by jumping out of the car and never looking back. 

เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ เธอขับรถไปส่งคุณทั้งวัน ตั้งแต่สนามบอล, โรงยิม, 
ยันงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนแต่ละคน 
คุณขอบคุณเธอด้วยการกระโดดออกนอกรถ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง 

When you were 11 years old, she took you and your friends to the 
movies. 
You thanked her by asking to sit in a different row. 

เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ เธอพาคุณและเพื่อนคุณไปดูหนัง 
คุณขอบคุณเธอด้วยการขอนั่งที่นั่งคนละแถว 

When you were 12 years old, she warned you not to watch certain TV 
shows. 
You thanked her by waiting until she left the house. 

เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ เธอเตือนคุณอย่าดูทีวี 
คุณขอบคุณเธอด้วยการรอเธอออกไปก่อน แล้วดูต่อ 

When you were 13, she suggested a haircut that was becoming. 
You thanked her by telling her she had no taste. 

เมื่อคุณอายุ 13 เธอแนะให้คุณตัดผมให้มันดูดี 
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่าเธอไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย 

When you were 14, she paid for a month away at summer camp. 
You thanked her by forgetting to write a single letter. 

เมื่อคุณอายุ 14 เธอจ่ายค่าซัมเมอร์แคมป์หนึ่งเดือนให้คุณ 
คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่ได้เขียนจดหมายมาหาเลยสักฉบับนึง 

When you were 15, she came home from work, looking for a hug. 
You thanked her by having your bedroom door locked. 

เมื่อคุณอายุ 15 เธอกลับบ้านหลังเลิกงาน อยากได้กอดสักครั้ง 
คุณขอบคุณเธอด้วยการล็อกห้องนอนขังตัวเองในห้อง 

When you were 16, she taught you how to drive her car. 
You thanked her by taking it every chance you could. 

เมื่อคุณอายุ 16 เธอสอนคุณขับรถ 
คุณขอบคุณเธอด้วยการเอารถไปขับทุกเวลาที่คุณจะเอาไปได้ 

When you were 17, she was expecting an important call. 
You thanked her by being o­n the phone all night. 

เมื่อคุณอายุ 17 เธอกำลังรอโทรศัพท์สายสำคัญ 
คุณขอบคุณเธอด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น 

When you were 18, she cried at your high school graduation. 
You thanked her by staying out partying until dawn. 

เมื่อคุณอายุ 18 เธอร้องไห้ในวันที่คุณเรียนจบมัธยม 
คุณขอบคุณเธอด้วยการฉลองยันเช้า 

When you were 19, she paid for your college tuition, drove you 
to campus carried your bags. 
You thanked her by saying good-bye outside the dorm so you 
wouldn't be embarrassed in front of your friends. 

เมื่อคุณอายุ 19 เธอจ่ายค่ากวดวิชา ขับรถไปรับไปส่ง 
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกลาข้างนอกเพื่อที่จะไม่ได้อายเพื่อน 

When you were 20, she asked whether you were seeing anyone. 
You thanked her by saying, "It's none of your business." 

เมื่อคุณอายุ 20 เธอถามคุณว่ามีแฟนหรือยัง 
คุณขอบคุณเธอด้วยการพูดว่า ไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อย 

When you were 21, she suggested certain careers for your future. 
You thanked her by saying, "I don't want to be like you." 

เมื่อคุณอายุ 21 เธอแนะนำอาชีพให้คุณสำหรับอนาคต 
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า คุณไม่อยากเป็นอย่างเธอ 

When you were 22, she hugged you at your college graduation. 
You thanked her by asking whether she could pay for a trip to Europe. 

เมื่อคุณอายุ 22 เธอกอดคุณวันรับปริญญา 
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า อยากได้รางวัลไปเที่ยวยุโรปสักครั้ง 

When you were 23, she gave you furniture for your first apartment. 
You thanked her by telling your friends it was ugly. 

เมื่อคุณอายุ 23 เธอให้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งในอพาร์ตเมนท์แห่งแรกของคุณ 
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกเพื่อนๆ ว่า มันช่างน่าเกลียดเสียนี่กระไร 

When you were 24, she met your fiance and asked about your plans for 
the 
future. 
You thanked her by glaring and growling, "Muuhh-ther, please!" 

เมื่อคุณอายุ 24 
เธอพบคู่หมั้นคู่หมายของคุณและถามคุณเกี่ยวกับแผนการในอนาคตน 
คุณขอบคุณเธอด้วยการจ้องมองเขม็งพร้อมพูดว่า "แม่ 
โปรดเถอะอย่ายุ่งกับเรื่องนี้" 

When you were 25, she helped to pay for your wedding, and she cried 
and told you how deeply she loved you. 
You thanked her by moving halfway across the country. 

เมื่อคุณอายุ 25 เธอช่วยคุณจ่ายค่าใช้จ่ายงานแต่งงานและสินสอด 
ร้องไห้และบอกคุณว่าเธอรักคุณแค่ไหน 
คุณขอบคุณเธอด้วยการย้ายไปอีกฟากหนึ่งของประเทศ 

When you were 30, she called with some advice o­n the baby. 
You thanked her by telling her, "Things are different now." 

เมื่อคุณอายุ 30 เธอโทรมาหาพร้อมกับแนะนำเรื่องการเลี้ยงเด็ก 
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว 

When you were 40, she called to remind you of an relative's birthday. 
You thanked her by saying you were "really busy right now." 

เมื่อคุณอายุ 40 เธอโทรมาเตือนความจำคุณเกี่ยวกับวันคล้ายวันเกิดญาติ 
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า ตอนนี้ไม่ว่างเลย 

When you were 50, she fell ill and needed you to take care of her. 
You thanked her by reading about the burden parents become to their 
children. 

เมื่อคุณอายุ 50 เธอเริ่มชราและไม่ค่อยสบาย ต้องการให้ดูแล 
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่ามันเป็นภาระแค่ไหนที่จะต้องเลี้ยงดูเธอ 

And then, o­ne day, she quietly died. And everything you never did 
came crashing down like thunder. 
"Rock me baby, rock me all night long." 

และแล้ว วันหนึ่ง เธอจากไปอย่างเงียบสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยกระทำ 
จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณอ 
"เรียกแม่ไปเถอะลูก เรียกตลอดทั้งคืนนะ" 

Please paid little bit attention to the o­ne you called "mom" . 

โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถีงความลึกซึ้งแด่คนที่เราเรียกว่าแม่ 
แม้จะไม่กล้าพูดออกมาก็ตามเถอะ 

Nothing can replace her although sometimes she is not the o­ne who 
mostly understand in you. 

ไม่มีอะไรแทนที่เธอได้ 
แม้ว่าบางคราวเธออาจจะไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรืออาจไม่เห็น 

Or she may not agree with your thought but she still your "mom" and you 
can 
believe that she can do everything for you. 

ด้วยกับความคิดของคุณ แต่เธอก็คือแม่ของคุณ 
และเชื่อได้ว่าเธอจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังทุกปัญหาทุกความกังวล 

Listen to your problems, every anxious . Do you have more time to 
listen to her worry from work? 

ถามตัวคุณเองดูเถิด 
คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้าความกังวลใจของเธอจากการทำงานหรือจากในครัวไหม 

Do you used to concern about her tired? Please love her so much 
althoughshe and you have the conflict because when she pass away. 

คุณเคยคิดถึงความเหนื่อยยากของเธอไหม 
รักเธอให้มากแม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างกัน เพราะเมื่อเธอจากไป 

It's remain the memory and sad. Do not ignore the o­ne who closely to your 
heart? 
Love her more than you love yourself 

จะเหลือเพียงความทรงจำและความเสียใจเท่านั้น 
อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รักเธอให้มากกว่าที่คุณรักตัวเอง				
23 กันยายน 2549 12:05 น.

กรอบแห่งชีวิต

Princess_in-dream

.....เสียงพระทวารเปิดออกเบาๆ เสียงแพรส่าย และกลิ่นที่กรุ่นกำจายนำเข้ามา ทำให้พระหัตถ์เรียวขาวรีบรวบกระดาษชิ้นนั้นไว้ในอุ้งหัตถ์อย่างรวดเร็ว เสียงเก้าอี้ทางมุมห้องเลื่อนอย่างรีบร้อน ทำให้ "ครู" หันไปมอง พลางลุกขึ้นถวายคำนับ

"เป็นไงบ้างจ๊ะ"
เจ้าฟ้าหญิงประทับยืนขึ้นช้าๆ สีพระพักตร์เฉยเมย
"หญิงชอบวิชานี้ไหมลูก"
"ยังไม่ทราบเลยค่ะ"
"อ้าว...ทำไมล่ะ ?"
"ก็เพิ่งเรียนวันนี้เป็นวันแรก ยังไม่พูดอะไรกันเท่าไร แม่ก็เข้ามานี่ค่ะ"
"เอาละ...เอาละ เป็นอันว่าหญิงหาว่าแม่เข้ามากวน...ครูคิดว่าลูกศิษย์เป็นอย่างไรบ้าง ?"
ทรงหันไปไล่เลียง "ครู" ซึ่งทูลตอบเรียบๆว่า
"พระเจ้าค่ะ !"

คำตอบนั้นม่ได้กระจ่างอะไรทั้งสิ้น พระพักตร์ของพระราชเทวี จึงปรากฎริ้วรอยไม่พอพระทัยนัก
"ที่แม่เข้ามานี่เพราะจะบอกหญิงว่า บ่ายนี้จะต้องไปเยี่ยมโรงพยาบาลกับแม่"
"ค่ะ"
"เท่านั้นแหละ...ครู...ถ้าจะช่วยสอนให้ลูกเขาพูดอะไรกับแม่ให้มากกว่านี่ แล้วก็ดีกว่านี่สักหน่อยละก็จะดีมากทีเดียว"
รับสั่งแล้วก็เสด็จออกไปโดยด่วน ด้วยสีพระพักตร์แสดงว่าเริ่มกริ้ว

"ครูค่ะ ครูมีลูกไหมค่ะ ?"
"มีพระเจ้าค่ะ" น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนนัก
"ผู้หญิงหรือผู้ชายคะ ?" ดวงพระเนตรจับจ้องรอคำตอบอยู่อย่างแน่วแน่
"ผู้ชายพระเจ้าค่ะ"
"อายุเท่าหญิงได้ไหมค่ะ ?"
"แก่กว่าพระเจ้าค่ะ ตอนนี้เกือบจะรุ่นหนุ่มแล้ว"
"ตอนที่เขาอายุเท่าหญิง เขาต้องทำอะไรมั่งคะ ?"

"เขาไม่มีแม่มาตั้งแต่เล็ก เขาเลยต้องทำอะไรหลายอย่างด้วยตัวของตัวเองพระเจ้าค่ะ กรอบของมนุษย์นั้นไม่เหมือนกันและจะใช้อย่างเดียวกันก็ไม่ได้พระเจ้าค่ะ แต่มนุษย์จำเป็นต้องมีกรอบอันนั้น เพราะจะทำให้เรารู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก"

.....คำอธิบายเพียงเท่านั้นทำให้เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยถอนพระอัสสาสะเบาๆ
"นานไหมค่ะครู กว่ามนุษย์เราจะไม่ต้องมีกรอบอย่างที่ครูว่า ?"
"ชั่วชีวิตพระเจ้าค่ะ"
"เอ๊ะ...ทำไมล่ะค่ะครู ?"
"เพราะยิ่งมนุษย์เราโตขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งวางกรอบสำหรับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น"
"หญิงไม่มีวันหรอก พอโตขึ้นหญิงจะทำอะไรๆ ตามสบายเชียวคอยดูนะ"
รับสั่งพลางย่นพระนาสิกเล็กน้อย พระสุรเสียงมีรอนเด็ดเดี่ยว

"ทรงทอดพระเนตรเห็นต้นไม้ข้างนอกไหม พระเจ้าค่ะ ?"
เจ้าฟ้าหญิงทิพยรัตนฯยืดพระองค์ทอดพระเนตรออกไปนอกพระบัญชร
"เห็นค่ะ กรมวังเขากำลังตัดต้นไม้ ฝนตกมันวันก่อนมันก็เลยลงมาเกะกะ"
"คนเราก็เหมือนกับต้นไม้นั้นแหละพระเจ้าค่ะ ถ้าได้รูปได้ทรงเท่านั้นแหละก็สวย แต่ถ้าเกะกะออกไปนอกลู่นอกทางก็ตัดทิ้งเสียบ้าง"
"แหม...ครูค่ะ แล้วทีต้นไม่ใหญ่ๆไม่เห็นมีใครไปตัดทิ้งเสียบ้าง"
ทรงเลี่ยงถามอย่างฉลาด เพราทรงรู้พระองค์ว่ากำลังถูกต้อนจนจนมุม
"แต่เมื่อมันเล็กๆอยู่ก็ต้องตัดพระเจ้าคะ ถึงโตขึ้น ถ้ามันยังเกะกะเขาก็ยังขึ้นไปรานยกเว้นต้นไหนเติบโตขึ้นงามเขาก็จะทิ้งไว้อย่างนั้น"
"จริงนะคะครู" ทรงยอมรับโดยดี

(จากหนังสือ "เลือดขัตติยา" ของ ลักษณวดี)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPrincess_in-dream
Lovings  Princess_in-dream เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPrincess_in-dream
Lovings  Princess_in-dream เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPrincess_in-dream
Lovings  Princess_in-dream เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงPrincess_in-dream