23 สิงหาคม 2548 14:56 น.

*คนใจเพชร*

srivijitra

เขียนไว้ในวันที่หมอง.......กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้

วันใด ที่ฟ้าเป็นสีทอง
วันใดที่ห้วใจสิ้นหมอง
คนดีจะได้ยินเสียงนกร้องอีกครั้ง
แผลรักแสนโหดร้าย
เลีอดอาบรินแทบสิ้นร่าง
บินไปเพื่อให้ลืมความหลัง
แม้นสิ้นแรงจะซบอกดิน

=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*=*==*

วันนี้................................

ช่วงเวลาสั้น ๆที่ฉันเผลอ
ใจละเมอลิ่วลอยสู่ดอยสูง
ดั่งต้องมนต์คนไกลใจโดนจูง
เหมือนนกยูงได้ร่อนริมหิมพานต์

พบอโนดาษงามเมื่อยามร้อน
หลงตัวเป็นกินนรอัปสรสวรรค์
เพลินเพลงเพ้อพิณทิพย์ของคนธรรม์
ลืมประหวั่นฤิทธ์ลวงบ่วงนาคา

เหมือนกินรีติดล่วงบ่วงนาคบาศ
เหมือนชีวาตม์จะปลิดคว้างกลาวเวหา
สลัดปีกทิ้งหางพรางกายา
แทบสิ้นค่าสิ้นศักดิ์ปลงทะนงตน

สิ้นรอยหมองก้าวขึ้นยืนให้มั่น
เดินตามแสงแห่งความฝันดูอีกหน
คนใจเพชรขอเปล่งแสงสำแดงตน
วันเวลาที่ผ่านพ้นเพิ่มราคา

ศรีวิจิตรา				
21 สิงหาคม 2548 17:59 น.

รอหน่อย.....คนดีของฉัน

srivijitra



04f931eaadcd10c9.gif


ดึกดื่น......ค่อนคืน
หัวใจใครยังตื่นเหมือนกับฉัน
เงยหน้ามองฟ้าแล้วถามจันทร์
ว่ารักมั่นรักแท้ฤามีจริง

ขอถาม...........ดวงดารา
ดวงเนตรแห่งท้องฟ้าที่เฝ้าดูทุกสิ่ง
ถึงเวลาหรือยังสำหรับคนรักจริง
ที่จะเป็นเจ้าของหัวใจ

ขอเวลา  หน่อยคนดี
ขอเวลาใจดวงนี้หน่อยได้ไหม
จะกวาดถูสี่ห้องหัวใจ
ล้างมลทินให้สิ้นคำชายลวง

รอฉันหน่อย.......เถิดหนา
ให้ใจดวงนี้พ้นพันธนาการ......บ่วง
ล้างสาปรักให้สิ้นทรวง
ดวงใจใส ๆ จะวางไว้ในมือเธอ
				
12 สิงหาคม 2548 19:59 น.

วันนี้ ........ ไม่มีแม่

srivijitra

ปกติไม่ค่อยชอบเลยบรรยากาศของช่วง ที่มีกลิ่นไอของวันแม่  
จะได้ยินเสียงเพลง ค่าน้ำนม อิ่มอุ่น และเพลง ที่ลำรึกถึงพระคุณแม่  
ฟังแล้วน้ำตารื้นทุกทีเลย  คิดถึงแม่  
แปลกน๊ะ ไม่ว่าเราจะอายุมากขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม
เราก็ยังนึกถึงอดีต  ที่เราเป็นลูกเล็ก ๆ ของแม่อยู่เสมอ  คิดถึง ท่าทาง อิริยาบทต่าง ๆของแม่ที่เราคุ้นตา ซึ่งเรายังเห็นภาพได้ชัดเจนเหลือเกิน

แม่เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง  แม่ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ ดูแลลูกทั้งสามคนโดยลำพัง 
ด้วยอายุแม่เพียง สามสิบปลาย ๆ เปล่า พ่อเราไม่ได้เสียชีวิต
แต่พ่อเราเป็นคนมีเสน่ห์ กับเพศตรงข้าม 
และ มนุษยสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามดีมาก
จนแม่เราก็ไม่สามารถทนได้ ก็เท่านั้น  แม่ว่า แม่ขาดพ่อไม่เป็นไร
แต่แม่ขาดลูกทั้ง สามคนแม่ต้องตายแน่  เพราะฉนั้น แม่จึงเลี้ยงดูลูกเอง
โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากพ่อ  แม่หยิ่ง  พ่อก็เลยสบายไป
 
ตัวเองเป็นลูกคนกลาง โดยมีพี่สาว ที่พ่อรักนักหนา
และน้องชายคนสุดท้อง  แม่ก็รักและหวังมาก
ส่วนเราเอง อยู่แบบเบิร์ด ๆ ไม่ใช่แม่ไม่รักน๊ะ เพียงแต่ 
เราไม่ค่อยทำตัวให้เป็นปัญหา  ทุกอย่างเหมือนจะกลาง ๆไปหมด
 
ซึ่งตอนเด็ก ๆ เคยคิดว่าแม่รักเราน้อยกว่า พี่สาว กับน้องชาย
ยังนึก ขำตัวเอง คิดได้ไง  ก็เราเองนั่นแหละ ที่ทำตัวเป็นลูกที่ดี ซะจนเค๊า ไม่ต้องกังวล  (ยอตัวเองซะหน่อย )
เรียนก็ดี ถึงจะไม่เก่งมากมาย แต่ แม่ไม่เคยต้องเสียตังจ่ายค่า เทอม ใน โรงเรียนเอกชน
เราจะขวนขวาย เพื่อจะไปสอบเข้า ใน โรงเรียนของรัฐ และก็สอบได้ซะด้วยซิ 
 เก่งจริง เรานี่ 555
ถึงเวลา จูงมือแม่ให้พาไป มอบตัว แล้วจ่ายค่าบำรุง (สมัยนั้น ไม่กี่ร้อยเอง) เสื้อผ้าก็ ไม่ค่อยเรื่องมาก  แม่ซื้อใหม่ก็ได้ ไม่ซื้อใหม่ก็ไม่เดือดร้อน 
 
สิ่งสำคัญของเราคือเพื่อนๆ จะเพื่อนมาก เป็นแก๊งค์เลย ครูมักจะเรียกว่า 
*แก๊งค์หลังห้อง*  คือชอบจองที่นั่งเป็นกลุ่ม อยู่ด้านหลังสุดของห้อง
แต่เรื่องเรียน ไม่เคยสอบได้เลข 2 ตัวเลยน๊ะ 
นี่คือสิ่งที่แม่ ยอมรับในตัวเรามากที่สุด  แม่เคยพูดเสมอว่า
* โตขึ้น ลูกคนนี้ ต้องเอาตัวรอดได้แน่นอน *

วันแม่ ทุกครั้ง เราจะมีความรู้สึก ผิด เสียดาย  เสียใจ อยากย้อนเวลา
รู้สึกซึมซับความหมายของประโยคที่ว่า * รักแม่ในขณะที่ยังมีแม่ให้รัก *
 ที่จริง ความรูสึกนี้อยู่กับเราตลอดเวลา  แต่วันแม่ ความรู้สึกนี้ รบกวนจิตใจ ค่อนข้างรุนแรง  เป็นเหมือนบาปในใจ

คือแม่เสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็ง ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ  แต่เราไปไม่ทันเห็นใจแม่  

พี่สาวกับน้องชายเล่าให้ฟัง ว่าแม่ ถามหาเราตลอดเวลา ขนาด ตัวเองเจ็บ ก็ยังถามว่าเมื่อไหร่เราจะไปถึง ทำไมมาช้าจัง 

ในที่สุด แม่ก็สิ้นใจ  แต่ก็ได้ฝากของไว้ให้เรา  พอเราไปถึงพี่สาวเรา บอกว่า 
สร้อยที่แม่สวม อยู่กับจี้ห้อยคอ  แม่ถอดออกเมื่อวันที่เข้าโรงพยาบาล   แล้วบอกให้พี่สาวเราเก็บไว้ให้เรา
 
ยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ และคิดเสมอว่า แม่รักเรา แม่รักเรา ไม่น้อยไปกว่าลูกคนไหนเลย  แต่เราซิไม่ได้ทำหน้าที่ลูก ที่สมบูรณ์ 
 
จำได้ว่า เมื่อเราต้องเดินทางลงมาอยู่ ภาคใต้ครั้งแรก แม่กอดเรา ให้ศีลให้พร ให้เดินทาง แล้วมีแต่โชคลาภ 
ทำมาหากินให้เจริญรุ่งเรือง  แล้วก็ร้องไห้   และทุกครั้งที่เรากลับไปเยี่ยมแม่ ก่อนเดินทางกลับ 
แม่ก็กอดและ จะให้ศีลให้พร ทุกครั้ง แต่ พอถึงเวลาที่แม่ต้องเดินทางบ้าง
 เรากลับไม่ได้ อยู่ส่งแม่ ไม่ได้กอดแม่เป็นครั้งสุดท้าย  เรายังไม่ได้บอกแม่ก่อนที่แม่จะเดินทางว่า  รักแม่

มีมะลิลูกจะมอบเต็มอ้อมแขน
ตอบแทนความรักแม่อันยิ่งใหญ่
อยากกราบตักที่เคยหนุนคุ้นกลิ่นไอ
แต่ฉันทำไม่ได้..........แม่.........ไม่มี				
6 สิงหาคม 2548 18:13 น.

฿฿---- อ้อนหาพญาหงส์ ----฿฿

srivijitra

อ้อนหาพญาหงส์

หนาวสะทกอกสะท้านแทบราญขวัญ
สลัวจันทร์แรมคลี่ฤดีไหว
น้ำตาคนปนน้ำฟ้าน้ำตาใคร
หทัยโหยอ่อนอ้อนอกอิง

แผ่วรำพันเพ้อหาพญาหงส์
เร้นองค์หลงเล่ห์เสน่ห์หญิง
บ่วงทองคล้องหทัยคงคลายจริง
ในอกนิ่งแลเดือนคล้อยลอยจากตา

ฝากใจภักดิ์วางไว้สุดปลายสรวง
มิอาจล่วงกลางหทัย....ปรารถนา
ผลึกรักสะท้อนแผ่วในแววตา
รอเวลาหล่นนอนตะกอนใจ

ปลูกต้นรักหวังหวานบานชูช่อ
จนผลิกแยกแตกกอเป็นช่อใหญ่
กลับผลิดอกโศกบานให้รานใจ
ตัดอาลัยชั่วชีวีอย่ามีเลย				
20 มิถุนายน 2548 18:33 น.

กบฎนกเขา

srivijitra

โอ้เอ๋ยโอ้หัวอกเจ้านกเขา
เคยแต่เคล้าคู่เคียงขันเสียงหวาน
ยามง่วงเหงาเจ้านิทราหลังปราการ
ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายชายชาตรี

เคยส่งเสียงเพียงจู้ฮุ๊กกรูกรุ๊ก
เขาให้ลุกขึ้นประชันขันศักดิ์ศรี
เกียรตินกเขาถูกเขานำมาย่ำยี
จากรุ่นพี่ใจต่ำระยำตัว

เมื่อนกเขาประกาศกล้าขึ้นหน้าหนึ่ง
ฉะให้ซึ้งเรื่องวิตถารระรานมั่ว
นกเขาน้องก็ของน้องใช่ของตัว
พวกมันชั่วได้เพียงนี้หรือ *วีรกาม*

ครั้งหนึ่งเคยเกียตริยศปรากฎชื่อ
พวกเขาคือ....วีรชนคนสยาม
ผู้เคยล้มทรราช ประกาศนาม
ฤาที่ทรามเพราะมัวหลงทะนงตน

ปณิธานดี มีไว้ให้สืบสาน
ใช่สืบพาลสืบผิดคิดสับสน
เสื่อมสถาบัน เสื่อมค่าปัญญาชน 
สัปดนวิกลจริตผิดผู้คน

บทเรียนนี้คงพอจะสอนได้
ว่านกไผ๋ก็นกไผ๋อย่าสับสน
ก็นกเขาเอามาเล่นเช่นนกตน
ปัญญาชน จึงสิ้นท่าหน้าคะมำ

เมื่อนกเขาบินผงาดประกาศสู้
ให้โลกรู้ชนชั้นสูงนั้นใจต่ำ
เรื่องเลว ๆ คนพวกนี้แหละชี้นำ
ประจานจำ ทรยศ  กบฎนกเขา				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsrivijitra
Lovings  srivijitra เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsrivijitra
Lovings  srivijitra เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsrivijitra
Lovings  srivijitra เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงsrivijitra