11 มกราคม 2546 12:41 น.

กาลครั้งหนึ่ง .. ยังมีเธอ (ตอนที่ 6)

Tawan

ระหว่างทางเข้าเมือง มนสิการอยากจะชวนทอแสงคุย แต่ทอแสงได้แต่นั่งเงียบและมองข้างทางพร้อมกับคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ต้นกล้าดูโกรธและไม่พอใจที่ทอแสงมาที่นี่ บางทีเขาอาจไม่ต้องการเจอใครอย่างที่เพื่อนๆบอกก็ได้ แต่เธอก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะอะไร

คุณแสงคะ มนสิการเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ

คะ ทอแสงตอบรับ เสียงของมนสิการทำให้เธอหลุดออกจากความคิดที่ถาโถมหนักหน่วง

คุณแสงคิดเรื่องครูกล้าอยู่เหรอคะ น้ำเสียงของมนสิการเต็มไปด้วยความกังวลใจ
	
ทอแสงไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร เธอได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ
	
ครูกล้าคงมีเรื่องไม่สบายใจมั๊งคะ ปกติครูกล้าก็ไม่เคยเป็นแบบนั้น
	
คำพูดของมนสิการยิ่งทำให้ทอแสงไม่สบายใจ ก็จริงอย่างที่มนสิการพูด ต้นกล้าไม่เคยมีอาการโมโหหรือไม่พอใจรุนแรงอย่างนั้นมาก่อน โดยเฉพาะกับเธอ สิ่งที่เกิดขึ้นมันแปลว่าอะไร ต้นกล้าไม่ต้องการให้เธอวุ่นวายในชีวิตเขาอย่างนั้นหรือ
	
คุณม่อนสนิทกับกล้ามากเหรอคะ ทอแสงโพล่งออกไป เธออยากรู้เหลือเกินว่า เวลานี้ ต้นกล้ามีใครที่สำคัญกับเขาแล้วหรือยัง
	
อ่อก็ไม่หรอกค่ะ สนิทกันตามประสาคนที่ทำงานด้วยกัน เจอกันทุกวันเท่านั้นเองคะ มนสิการตอบด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มแจ่มใส และเธอก็ดูมีความสุขที่ได้พูดถึงความสัมพันธ์นั้น
	
ทอแสงเงียบไป บางที มนสิการอาจจะชอบต้นกล้าและต้นกล้าเองก็อาจจะรู้สึกไม่ต่างกัน ความคิดนี้เหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจ ทำเอาน้ำตาพาลจะไหลออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
	
คุณแสงสนิทกับครูกล้ามากใช่ไหมค่ะ ครูกล้าเคยเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนสนิทที่มหาลัยและรักกันมาก มนสิการเริ่มชวนทอแสงคุย แต่ทอแสงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะตอบคำถามหรือเล่าเรื่องระหว่างเธอกับต้นกล้า
	
ค่ะกล้าเคยพูดถึงพวกเราด้วยเหรอคะ น้ำเสียงของทอแสงนั้นแฝงไว้ด้วยความน้อยใจและเจ็บปวด เพื่อนที่สนิทและรักกันมากอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมต้นกล้าถึงจากมาที่นี่โดยไม่ร่ำลาสักคำได้ลงคอ และถ้าเป็นอย่างนั้น ต้นกล้าคงจะยินดีที่เห็นเธอมาหาเขาแทนที่จะแสดงความโมโหออกมา
	
บทสนทนายาวนานต่อเนื่องไปจนถึงตลาดในเมือง ทอแสงได้รู้ว่ามนสิการเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เธอใช้ชีวิตในกรุงเทพกับแม่ที่แยกทางกับผู้เป็นพ่อตั้งแต่เธอยังเด็ก จนกระทั่งเรียนจบและทำงานที่กรุงเทพได้หนึ่งปี เธอจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่กับพ่อที่นี่ซึ่งถึงวันนี้ก็เกือบจะ 2 ปีแล้ว 

ตลาดในเมืองช่วงบ่ายยังคงคราคร่ำไปด้วยชาวบ้าน ภาพวิถีชีวิตเรียบง่ายที่ได้เห็นทำให้ทอแสงรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง มนสิการซื้อของสดไปมากมาย เธอตั้งใจที่จะต้อนรับเธอและเพื่อนๆของต้นกล้าอย่างเต็มที่ แต่ทอแสงเองกลับกังวลกับการเดินทางมาถึงของปลายฟ้า, กวีและเม่นเพราะเธอไม่แน่ใจแล้วว่าต้นกล้าจะยินดีกับการได้เจอทุกคนหรือไม่

หลังจากกลับจากตลาดสด ทั้งต้นกล้าและวันชาติไม่ได้อยู่ที่บ้านครูใหญ่แล้ว มนสิการชวนทอแสงเข้าครัวเพื่อทำกับข้าว ครูใหญ่ชวนต้นกล้า, วันชาติและทอแสงทานอาหารเย็นที่นี่ ดังนั้น มนสิการจึงลงมือทำอาหารหลายชนิดและไม่ลืมที่จะเตรียมอาหารพิเศษให้ต้นกล้าเช่นทุกครั้งที่เขามาทานข้าวที่บ้าน

เย็นนี้ม่อนว่าจะทำแกงเขียวหวานไก่ให้ครูกล้าด้วย คุณแสงว่าดีไหมคะ มนสิการพูดพลางหั่นเนื้อไก่อย่างอารมณ์ดี

แกงเขียวหวานไก่. ทอแสงทวนคำ เธอรู้สึกว่าหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที ทอแสงนึกถึงภาพของต้นกล้าในวันที่ทุกคนมาออกค่ายที่นี่เมื่อหลายปีก่อน เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ทอแสง, ปลายฟ้าและเพื่อนผู้หญิงอีก 3-4 คนจะช่วยกันทำอาหาร ต้นกล้ามักจะเสนอให้ทำแกงเขียวหวานไก่ของโปรดของเขา แต่ไม่ใครทำให้เพราะค่อนข้างจะยุ่งยาก ทอแสงเคยบอกเขาว่าวันหนึ่งจะทำให้ทานเอง ต้นกล้าฟังแล้วยิ้มให้แทนคำตอบ แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ทอแสงก็ยังไม่มีโอกาสทำให้เขาทานเลย 

คุณม่อน แสงขอทำเองได้ไหมคะ ทอแสงเอ่ยขึ้นหลังจากตกอยู่ในห้วงความคิดและภาพของต้นกล้าในวันเก่าๆ

อ่อได้สิคะ มนสิการรับคำ งั้นม่อนทำอย่างอื่นนะคะ

ทอแสงหัดทำแกงเขียวหวานมาจากแม่ของเธอนับตั้งแต่สัญญากับต้นกล้า เธอจึงอยากจะทำให้เขาตามที่เคยพูดไว้ แม้ว่าตอนนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม ทั้งสองคนใช้เวลาในครัวค่อนข้างนาน แต่ก็ทำอาหารได้หลายชนิด แกงเขียวหวานไก่ของทอแสงนั้นน่าทานจนมนสิการเอ่ยปากชม ทอแสงไม่อยากบอกมนสิการว่านี่เป็นอาหารชนิดเดียวที่เธอทำเป็น

ต้นกล้าและวันชาติมาถึงบ้านก่อนเวลาอาหารเย็น ทั้งสองคนนั่งคุยกับครูใหญ่พักหนึ่งก่อนจะเริ่มทานอาหาร ทอแสงไม่กล้าสบตาต้นกล้าทั้งที่เธอรู้สึกว่าเขาพยายามมองมาหลายครั้ง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยดี ทุกคนพูดคุยกันในเรื่องต่างๆรวมทั้งเรื่องโรงเรียน มนสิการชวนทุกคนคุยพร้อมๆกับตักอาหารให้ต้นกล้าไม่ได้ขาด วันชาติก็มักมีมุขตลกเสริมให้ได้หัวเราะเสมอ ส่วนต้นกล้าก็พูดคุยตามปกติราวกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นตอนกลางวัน มีแต่ทอแสงเท่านั้นที่รู้สึกแปลกแยกเมื่ออยู่รวมกับทุกคน วันชาติสังเกตเห็นทอแสงเงียบกว่าใคร เขาจึงชวนเธอคุยบ่อยๆซึ่งนั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้  

หลังมื้ออาหารผ่านไป ครูใหญ่ชวนให้ต้นกล้าและวันชาตินั่งคุยต่อ โดยมีมนสิการคอยบริการผลไม้และเครื่องดื่ม ทอแสงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของที่นี่ เธออยากจะกลับกรุงเทพและไม่อยากรับรู้ต่อว่าต้นกล้ามีชีวิตอย่างไรที่นี่ เพราะสิ่งที่ทอแสงเห็นคือเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาเลือก ได้ทำในสิ่งที่รัก และมีเพื่อนร่วมงานที่ดีซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ทอแสงไม่ต้องเป็นห่วงเขาอีก แต่ในวันพรุ่งนี้ทุกคนก็จะมาถึงที่นี่ ทอแสงไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อเพื่อนๆได้เจอต้นกล้าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ต้นกล้าจะยินดีกับการมาของทุกคนหรือไม่ และเธอเองควรจะทำตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่ดูเหมือนเธอเป็นส่วนเกินเช่นนี้				
6 มกราคม 2546 19:23 น.

Contact Lense สยอง (เรื่องแปลเอง)

Tawan

ฉันเริ่มสั่นศรีษะ นิ้วของฉันจับแฮนด์รถอย่างหวาดกลัว  ถ้าหากว่ามีวิญญาณ, ผี หรือว่าสถานที่นี้ถูกผีสิงจริง ฉันก็ไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมใดๆ

เราไม่มีเวลาแล้ว  ฉันพูดเบาๆพลางดูนาฬิกาข้อมือ  ฉันต้องไปเอาคอนแทค เลนส์ตอนสิบเอ็ดโมง

ใจเย็นๆน่า..  เจสันขัดขึ้น  นี่มันเพิ่งสิบโมงครึ่งเอง เราจะไปที่ก้อนหินแล้วลองเคาะดูสักสองสามก้อน จากนั้นเราจะออกจากที่นั่นภายในห้านาที

ฉันมองไปที่ลีแอนด้วยสายตาอ้อนวอน แต่เธอกลับสั่นศรีษะ  ฉันเข้าไปใกล้ก้อนหินพวกนั้นไม่ได้หรอก  เธอพูด  พ่อกับแม่บอกว่ามันอันตรายและเด็กหลายคนก็เกิดอุบัติเหตุตอนปีนขึ้นไปบนก้อนหิน ถ้าพวกเธอสองคนไปที่นั่นล่ะก็ระวังตัวด้วยนะ  เธอโบกมือลา จากนั้นก็ปั่นจักรยานลงไปตามทางอย่างรวดเร็วจนหายไปจากสายตา เจสันกับฉันจึงอยู่กันตามลำพัง
	
ฉันหันไปมองรอบๆเพื่อตะโกนเรียกน้องชายของฉัน แต่เขาจอดจักรยานไว้หลังพุ่มไม้ แล้วลอดใต้โซ่เข้าไปที่ก้อนหินร้องเพลง
	
เจสัน!  ฉันตะโกนเสียงสั่นด้วยความโกรธ  เจสันกลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ!
	
หมอกเปลี่ยนเป็นฝนปรอยๆ หยาดน้ำแข็งไหลลงสันหลัง ลมเย็นๆของฤดูหนาวดูเหมือนจะลอยมาจากทิศทางที่มีก้อนหินร้องเพลง  ฉันตัวสั่นและเหลือบมองไปที่ทางเข้าผ่านแว่นตาที่พร่ามัวจากสายฝน  นอกจากเสียงเสียดสีของกิ่งไม้เบื้องหน้าและเสียงนกร้องเป็นระยะๆแล้ว ป่าก็เงียบสงัด  จากนั้นฉันก็ได้ยินอะไรบางอย่าง
	
เจมี่..มี่..มี่..  เสียงกระซิบดังมาจากทางเข้าใต้โซ่นั่น
	
เจสันเหรอ?  ฉันตะโกน  นั่นนายใช่ไหม?
	
ฉันใจเต้น กระโดดลงจากจักรยาน จอดมันไว้หลังพุ่มไม้ใกล้ๆกับรถของเจสันแล้วรีบมุดใต้โซ่ที่ล้อมรอบก้อนหินร้องเพลง  ฉันต้องรีบหาเจสันให้เร็วที่สุด  ฉันวิ่งไปตามทางเดินกรวดที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าและรากไม้  ต้นไม้สีดำทะมึนมีรูปร่างเหมือนปีศาจอยู่เหนือศรีษะฉันขณะที่ฉันลื่นและสะดุดลึกเข้าไปในป่า
	
เจสัน!  ฉันเรียกเขาอีกครั้งเพราะกลัวที่จะอยู่คนเดียวในป่าที่มืดครึ้มอย่างนี้
	
เจมี่..มี่..มี่..  เสียงกระซิบเบาๆที่น่าขนลุกดังขึ้นอีกครั้ง
	
ความกลัวแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจฉัน และฉันยังต้องคอยปัดกิ่งไม้เตี้ยๆที่ห้อยลงมาด้วยความรู้สึกสิ้นหวังที่จะได้เจอน้องชาย ที่นี่เงียบ, วังเวงและโดดเดี่ยว  อะไรๆก็เกิดขึ้นได้กับก้อนหินร้องเพลง เด็กๆที่เฟรนด์ลี่ คอร์เนอร์ก็พูดอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ
	
ฉันวิ่งไปตามทางแล้วหยุดเพื่อหายใจ และโดยไม่รู้ตัว นิ้วเย็นๆสัมผัสที่คอเสื้อแจ็คแก็ตของฉัน  ฉันกรีดร้องด้วยความกลัวแล้วหันไปมองรอบๆ จากนั้นฉันก็ต้องหัวเราะเมื่อเห็นว่ากระรอกกำลังวิ่งข้ามไปบนกิ่งไม้ของต้นข้างๆแล้วทำให้น้ำบนใบไม้หยดลงบนทางเดินข้างล่าง แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้บุกรุกอย่างฉัน
	
จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงตะโกนห่างไปประมาณสองสามหลาแถวๆหัวโค้ง  มันเป็นเสียงน้องชายฉัน และเสียงเขาก็ดูหวาดกลัวทีเดียว
	
เจสัน!  ฉันร้อง และวิ่งสุดฝีเท้าลงไปตามรอยทางเดินซึ่งขาดตอนตรงปลายที่โล่ง  ฉันวิ่งผ่านต้นไม้ และหยุดเป็นพักๆ  กลุ่มก้อนหินและหินก้อนใหญ่กระจายอยู่ทั่วที่โล่ง  ก้อนหินเกรนิตขนาดใหญ่สีน้ำเงินจางๆเหมือนกับป้ายหน้าหลุมศพส่องแสงที่น่าขนลุกท่ามกลางฝนที่ตกปรอยๆ  มันดูเหมือนป่าช้า  ฉันคิดแล้วก็ขนลุก  น่าแปลกทีเดียวที่ไอน้ำดูเหมือนจะหมุนวนอยู่เหนือพื้นดิน  ดังนั้นมันเลยดูเหมือนว่ากองทัพปีศาจกำลังพยายามจะหนีออกจากก้อนหิน และตอไม้ผุๆที่ผิดรูปร่างก็ยืนเหมือนคอยคุ้มกันก้อนหินร้องเพลง กิ่งไม้ที่บิดเบี้ยวสีดำชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนหมวกแม่มดซึ่งทำให้ภาพลวงตานี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
	
แต่แล้วฉันก็ต้องรีบหันกลับและเตรียมออกวิ่งเมื่อได้ยินเสียงร้องของเจสันอีกครั้ง  ทันทีที่ฉันหันหลัง ฉันก็เห็นเขาอยู่ห่างจากฉันเพียงไม่กี่ฟุต  เขากำลังพยายามดึงแขนเขาออกจากก้อนหินอย่างทุลักทุเล
	
มันกินแขนผม!  เขาร้องด้วยน้ำเสียงกลัวๆ  เจมี่ อะไรก็ไม่รู้ข้างใต้ก้อนหินพวกนี้ไม่ยอมปล่อยมือผม!
	
หัวใจฉันเต้นแรง และลืมความกลัวของตัวเองไปชั่วขณะ  ฉันตะกายขึ้นไปบนก้อนหินลื่นๆอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  ทันทีที่ฉันปีนไปถึงตัวเจสัน  เขาก็ดึงมือขึ้นอย่างง่ายดาย และยิ้มกว้างให้ฉัน
	
ล้อเล่นหน่ะ  เขาพูดไปหัวเราะไป  พี่น่าจะได้เห็นหน้าตัวเองเมื่อกี้นะ
	
ตลกมากเหรอ!  ฉันถามเสียงสั่นด้วยความโกรธ  ตลกโง่ๆงั้นเหรอ!
	
เจสันแกล้งคราง แล้วเคาะบนด้านหนึ่งของก้อนหินด้วยค้อน  จงออกมา ปีศาจแห่งก้อนหินร้องเพลง  เขาพูด  จงออกมาดูหน้าพี่สาวใจฝ่อของผม
	
หยุดนะ!  ฉันตะโกน  หยุดเคาะก้อนหินพวกนั้นด้วยค้อนนายเดี๋ยวนี้นะ!

ทำไมล่ะ? หรือว่าพี่เชื่อเรื่องผีที่ลีแอนพูดจริงๆ  เจสันเหน็บแหนมฉัน และแกล้งเคาะก้อนหินทุกก้อนเท่าที่เขาจะทำได้  คิดว่าวิญญาณที่ถูกขังกำลังนอนคอยเราอยู่งั้นเหรอ?
	
ฉันผลักไหล่เขาอย่างแรงและดึงค้อนออกจากมือเขา  แต่ฉันกลับเสียการทรงตัวและล้มลงบนก้อนหินสีขาวซีดก้อนที่ดูน่าขนลุกพอดี  ขณะที่ฉันล้ม  ฉันบังเอิญเคาะก้อนหินนั่นด้วยค้อน
	
"ก็อง...งง" เสียงดังอย่างน่าขนลุก
	
ฉันนอนเหยียดอยู่บนก้อนหิน หูแนบอยู่กับผิวก้อนหินที่ทั้งสากและชื้น
	
เจมี่..มี่..มี่..  เสียงที่เย็นชาและกระหายกระซิบ  มันเหมือนออกมาจากใต้ก้อนหิน ฉันกลั้นหายใจเบาๆ แล้วก็ตระหนักว่ามันมาจากฉันเอง  ฉันอ้าปากแต่ไม่มีคำพูดใดๆออกมา  ฉันมองไปที่รอยแตกของก้อนหิน และก็รู้สึกว่าเห็นอะไรบางอย่าง บางอย่างที่มีสีขาวซีด ขาวมากกว่าป้ายหินหน้าหลุมศพเสียอีก  ฉันชำเลืองมองเข้าไปในความมืดระหว่างหินสองก้อน มีบางอย่างก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้น  มันดูคล้ายใบหน้าจางๆเป็นลักษณะเหมือนวงพระจันทร์ที่เรืองแสง กับตาสีดำสนิทยิ่งกว่าปีกค้างคาว และปากสีแดงฉานที่แสยะยิ้ม
	
เจมี่..มี่..มี่..

(ติดตามตอนต่อไปนะคะ สนุกแน่ๆ)				
2 มกราคม 2546 17:07 น.

Contact Lense สยอง (เรื่องแปลเอง)

Tawan

แต่ตอนนี้ฉันตระหนักด้วยความรู้สึกว่าจะเป็นลมว่าเราดูเหมือนจะหลงทาง  
ลีแอนขี่จักรยานนำหน้าฉันไปไกล และเจสันก็ขี่หายไปแล้ว  หมอกสีเทาที่ทั้งเย็นและเป็นเหมือนใยแมงมุมซึ่งเริ่มก่อตัวตรงหน้านั้นไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเพราะมันทำให้แว่นตาที่หนาเตอะของฉันพร่ามัว และยากแก่การมองเห็น  ฉันตัวสั่นแม้ว่าฉันสวมเสื้อแจ็คแก็ตทับเสื้อไหมพรมและเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ก็ตาม

เฮ้! เจมี่ ระวัง  น้องชายวัยสิบเอ็ดปีที่แสนจะบ้าของฉันโผล่ออกจากพุ่มไม้อย่างไม่รู้ตัว  เขาแกล้งทำเป็นเสียความทรงตัวตรงหน้าฉัน

ฉันกรีดร้องก่อนที่จะช่วยเหลือตัวเองด้วยการเบรครถด้วยความโมโห ขณะนี้ฉันอยู่ห่างจากจักรยานของเขาเพียงแค่นิ้วเดียว

โอ้โห สนุกจังเลยนะ  ฉันตะคอก

เจสันหัวเราะเสียงดังและเลี้ยวจักรยานเข้ามาใกล้

แน่นอน  มันสนุกสำหรับผม  เขาพูดโดยเลียนเสียงร้องของฉัน

ฉันจ้องเขาก่อนพูดว่า  แทนที่นายจะเล่นโลดโผนแบบนี้ นายน่าจะช่วยกันดูว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกัน แต่ถ้านายไม่ได้สังเกตุ เราก็กำลังหลงทาง

เด็กอะไรอย่างนี้  เจสันล้อเลียนฉัน  คนอายุสิบสองที่กลัวไปซะทุกอย่าง แม้แต่ป่าใหญ่ๆอย่างนี้

นายนั่นแหล่ะเด็ก  ฉันพูด ที่ชอบแกล้งให้ฉันกลัว

เขากลอกตาไปมาและยิงฟันยิ้ม  ก็มันไม่ยากอะไรนี่ เฟรดดี้ เบรดี้

อย่าเรียกฉันอย่างนั้นนะ  ฉันเอ็ดเขา

ฉันเกลียดชื่อเล่นนั่น เด็กๆเคยเรียกฉันว่าเฟรดดี้ เบรดี้เพราะเปียหนาๆสีบรอนด์เข้มกับอาการหวาดกลัวที่ฉันแสดงออกอยู่เสมอๆ

เจสันยักคิ้วให้ฉัน  ใครๆก็เรียกพี่อย่างนั้นนี่

ใช่ นั่นมันตอนอยู่ที่นิว ยอร์ก แต่ตอนนี้เราอยู่ที่เฟรนด์ลี่ คอร์เนอร์ และฉันก็ไม่ต้องการให้ใครที่นี่รู้ด้วยโดยเฉพาะลีแอน เธอเป็นเพื่อนคนแรกที่ฉันมี ฉันไม่อยากให้เธอมองฉันเป็นเด็ก

เจสันหยุดหมุนจักรยานและมองฉัน แน่นอน เฟรดดี้ เบรดี้

เจสัน  ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเตือน  ลีแอนกำลังมาแล้ว อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับเฟรดดี้ เบรดี้ เข้าใจไหม

ฉันจ้องเขา เขาไม่เหมือนฉันเลย ฉันเตี้ย ผอม ตาสีน้ำตาลและสายตาสั้นรวมถึงมีผมสี บรอนด์  ส่วนน้องชายฉัน เขาสูง ดูแข็งแรง มีผมหยิกสีดำกับตาสีฟ้าสดใส และมีบุคลิกที่ไม่กลัวอะไร  ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขากลัวได้ และฉันก็อิจฉาเขาในข้อนี้  เขาและน้องสาวคนเล็กของฉันที่ชื่อสมันทา เจ้าหญิงวัยเจ็ดขวบที่เสียเด็ก มักเล่าเรื่องสัตว์ประหลาดให้กันฟังก่อนเข้านอน และพอใจที่ได้ร่วมมือกันแกล้งพี่สาวคนโตที่แสนจะขวัญอ่อน

เจมี่ โรส ฟิวส์ เด็กทารกที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก แต่ฉันก็กำลังแก้ไขปัญหานี้อยู่  การผูกมิตรกับคนที่ใจเย็นและไม่หวั่นไหวอย่างลีแอนถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี  บางทีความใจเย็นของเธออาจช่วยทำให้ฉันกล้าที่จะเผชิญสถานการณ์ใหม่มากขึ้นอีกหน่อย  แต่แม้ว่าฉันจะคิดอย่างนั้น ฉันก็เห็นความกลัวในตาเธอขณะที่เธอขี่จักรยานขึ้นมา  ลีแอนเป็นคนสูงโปร่ง มีผมสีดำ รูปร่างดี และเป็นคนอารมณ์เย็น แต่ตาเธอกลับดูกังวลเท่าๆกับที่ฉันเป็นอยู่เสมอ

ออกไปจากที่นี่กันเถอะ  เธอพูด  เราอยู่ใกล้ก้อนหินนั่นมากกว่าที่ฉันคิด

ก้อนหิน? ฉันถามขึ้นขณะนั่งคร่อมอยู่บนจักรยาน  ฉันมองไปที่พื้นดิน จากนั้นก็มองไปที่ทางใกล้ๆซึ่งมีโซ่อยู่ตรงทางเข้า  ก้อนหินอะไร?

เจสันชี้ไปที่ทางเข้าพร้อมกับยิงฟันยิ้ม  ก้อนหินร้องเพลง เขาพูด  หลังโซ่นั่นเป็นที่ลับที่ถูกสิงแห่งเฟรนด์ลี่ คอร์เนอร์ เพื่อนผมที่ชื่อแมทบอกผมเรื่องนี้หมดแล้ว
	
ฉันมองลีแอน  นั่นเขาพล่ามอะไร ? ก้อนหินร้องเพลงเหรอ ? เรื่องตลกใช่ไหม ?

ลีแอนมองข้ามไหล่เธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  หัวเราะให้พอนะ แต่แถวนี้มีก้อนหินที่หงายอยู่กับก้อนหินใหญ่ที่ถูกสิง  เมื่อตอนที่คนกลุ่มแรกย้ายมาที่เฟรนด์ลี่ คอร์เนอร์ มีสะเก็ดดาวตกพุ่งชนกันบริเวณที่เรายืนอยู่ตอนนี้ และมันก็ทำให้คนตายไปเยอะ ส่วนคนที่เหลือก็ไม่ได้ย้ายหนีไปไหน พวกเขาแค่ย้ายลงไปอยู่ใกล้แม่น้ำ และสร้างใจกลางเมืองขึ้น

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับก้อนหินที่ร้องเพลงได้ด้วยล่ะ?  ฉันถาม

(ติดตามอ่านตอนต่อไปค่ะ)				
25 ตุลาคม 2545 16:49 น.

กาลครั้งหนึ่ง....ยังมีเธอ (ตอนที่ 5)

Tawan

เธอเริ่มมีความหวังว่าคนในรถนั้นจะเป็นต้นกล้า รถหยุดนิ่งเมื่อมาถึงหน้าเสาธง เสียงเครื่องยนต์ดับไปแต่ไฟหน้ารถยังเปิดสว่างเพื่อส่องทางให้คนในรถได้ใช้ประโยชน์  คนๆหนึ่งก้าวลงมาจากรถ ทอแสงพยายามเพ่งมองอีกครั้ง แต่ก็พบว่าคนที่ลงจากรถด้านข้างคนขับน่าจะเป็นผู้หญิง ร่างนั้นค่อยๆเดินตรงมาทางที่ทอแสงนั่งอยู่ในขณะที่รถยังคงเปิดไฟสว่างไว้และคนที่เป็นคนขับยังคงนั่งอยู่ข้างใน 

ทอแสงพยายามจะลุกขึ้นเพื่อหาทางหลบเพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้บุกรุกและไม่สมควรที่จะเจอกับใครก็ตามที่ไม่ใช่ต้นกล้า ในขณะที่ร่างนั้นกำลังเดินตรงมาที่ห้องเรียนรวม ทอแสงเองก็กำลังพยุงตัวเพื่อยืนขึ้น สมองที่เริ่มชานั้นไม่สั่งการ และเธอล้มลงกับพื้นในทันทีที่ร่างนั้นมาถึงตัว

แสงไฟนีออนสว่างบาดตา ทอแสงค่อยๆลืมตาขึ้นสู้แสงไฟ ขณะนี้เธอกลับมาอยู่ในโลกแห่งแสงสว่างอีกครั้ง ทอแสงมองเห็นเพดานไม้ที่ตรงกลางมีหลอดไฟนีออนเปิดจ้าอยู่  ทอแสงค่อยๆมองไปรอบๆเพื่อสำรวจว่าเธออยู่ที่ไหน และพบว่าเธอกำลังนอนบนเตียงและมีผ้าห่มผืนหนาห่มตัวอย่างมิดชิดภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมขนาดไม่กว้างนัก ทั้งห้องมีเพียงเตียงไม้ที่วางชิดไว้มุมหนึ่งของห้อง ตู้เสื้อผ้าใบย่อมที่ทำจากไม้ไผ่อยู่มุมปลายเตียง ตรงข้ามเตียงนอนมีโต๊ะและเก้าอี้ไม้ไผ่ บนโต๊ะวางของจิปาถะ ไม่ว่าจะเป็นสีหลายชนิด กระดาษวาดรูปและโคมไฟเล็กๆ  

ทอแสงค่อยๆพยุงตัวเพื่อนั่ง เธอเพิ่งรู้สึกถึงอาการของตัวเอง ศรีษะของเธอปวดและชาราวกับถูกแช่แข็งไว้เมื่อชั่วโมงก่อน ประตูห้องห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เธอแน่ใจว่าใครก็ตามที่พาเธอมาที่นี่ต้องอยู่นอกห้อง ทอแสงจึงพยายามพยุงตัวเองขึ้นยืน และค่อยๆก้าวเท้าไปที่ประตูอย่างยากลำบาก ประตูห้องค่อยๆเปิดออกสู่ระเบียงภายนอก ลมหนาวปะทะร่างของเธออีกครั้ง 

ร่างๆหนึ่งยืนหันหลังให้ท่ามกลางแสงสลัวของแสงจันทร์และแสงไฟจากภายใน ทอแสงรู้ได้ทันทีว่าคือ ต้นกล้า  ร่างนั้นค่อยๆหันมาตามเสียงเปิดประตู ทันทีที่เขาหันหน้ามา ทอแสงจ้องมองเขาเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาว่าในที่สุดเธอก็ได้มายืนตรงหน้าคนที่เธอรอคอยมาตลอดนับแต่วันที่เขาจากมา

กล้า ทอแสงพูดได้เท่านั้น น้ำตาอุ่นๆก็รื้นขอบตา

แสง  ต้นกล้ามองทอแสงอย่างชั่งใจ เขาไม่รู้ว่าควรพูดกับเธออย่างไร เขาควรถามเธอดีไหมว่าเธอมาที่นี่ และหมดสติอยู่กับพื้นห้องเรียนรวมได้อย่างไร 

กล้าเป็นกล้าจริงๆด้วย ทอแสงละล่ำละลักพูด น้ำตาไหลลงข้างแก้ม เธอรีบปาดน้ำตาโดยเร็วเพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ต้นกล้าเห็น แต่เธอกลั้นความดีใจไว้ไม่ได้ ณ นาทีนี้ เธอได้ยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนเดียวที่เธอรัก ผู้ชายที่เธอคิดว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว

แสงไม่สบาย เข้าไปนอนพักเถอะ ข้างนอกอากาศเย็นมาก ต้นกล้ารีบตัดบท เขาเป็นห่วงทอแสงมากกว่าความอยากรู้และความสงสัยที่อยู่ในใจ

ไม่เป็นไรกล้าแสงไม่เป็นไรแสง ทอแสงยิ้มทั้งน้ำตา เธอดีใจมากที่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความฝัน

เข้าไปนอนก่อนเถอะ ต้นกล้าขัดขึ้น น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นเหมือนเช่นทุกครั้งที่ทอแสงดื้อกับเขา

แต่แสงอยากคุยกับกล้าแสงแสงคิดถึงกล้า ทอแสงยังคงจ้องมองหน้าต้นกล้านิ่ง เขาจ้องมองทอแสงเช่นกัน  ก่อนจะสั่งเสียงเข้มขึ้น

ขอร้องนะแสง  ไปนอนก่อน  แววตาของเขาบ่งบอกถึงความห่วงใยอย่างยากที่คนฟังจะดื้อดึงได้ต่อไป

ทอแสงนิ่งไป เธอรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งสั่งเธอแบบนี้เมื่อวาน ต้นกล้ามักจะใช้คำพูดที่เป็นคำสั่งกับเธอเพราะเขารู้ว่าทอแสงเป็นคนดื้อและเชื่อมั่นในความรู้สึกตัวเองจนบางครั้งก็ไม่ยอมฟังคำทัดทานของใครซึ่งทำให้เขาเป็นห่วงทอแสงมาก ต้นกล้าจะคอยดูเธออยู่ห่างๆตลอดเวลา หากว่ามีเรื่องอะไรที่ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจหรือเชื่อมั่นในสิ่งที่ผิด เขาจะเป็นคนเตือนและปรามเสมอ และทอแสงก็จะเชื่อและทำตามคำแนะนำของต้นกล้า เธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่มีเขาคอยเอาใจใส่ ถึงต้นกล้าจะไม่ค่อยแสดงออก แต่ทอแสงก็รับรู้และรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ 

เธอรู้สึกว่าต้นกล้ายังเหมือนเดิม เขายังเป็นคนเดิม เป็นต้นกล้าที่ทอแสงรู้จักดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงฉายแววของความมุ่มมั่นไม่ต่างจาก 3 ปีก่อน ผิวของเขาดูคล้ำแดดไปเล็กน้อย แต่ดูไม่ต่างไปจากเดิมสักเท่าไร 

ทอแสงค่อยๆเดินกลับไปที่ห้องโดยมีต้นกล้าเดินตามมาข้างหลัง เธอหันมามองเขาอีกครั้งก่อนเปิดประตูห้อง เขาพยักหน้าให้เป็นการสั่งให้ทอแสงรีบเข้าไปในห้อง เธอยอมทำตามแต่โดยดี เพราะถึงอย่างไรเสีย ในวันรุ่งขึ้น ต้นกล้าก็จะยังอยู่ที่นี่ และเธอต้องได้พบเขาอย่างแน่นอน ทอแสงหลับไปอย่างมีความสุขที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา และได้แต่หวังว่าความรู้สึกนี้จะอยู่กับเธอตลอดไป

แสงแดดยามเช้าส่องลอดเขามาทางตามช่องหน้าต่าง ทอแสงค่อยๆลืมตาขึ้น และพบว่าอาการเธอดีขึ้นมากจากเมื่อคืนวาน สิ่งแรกที่เธอนึกถึงคือ ต้นกล้า ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน เธออยากพบเขามากที่สุด ทอแสงตัดสินใจออกจากห้องและหวังว่าต้นกล้าจะยังยืนอยู่ที่ระเบียงเหมือนเดิม แต่ที่นั่นกลับว่างเปล่า ด้านข้างของห้องมีบันไดลงไปข้างล่างซึ่งติดกับห้องเล็กๆที่เหมือนกันอีกห้อง ทอแสงเดาว่านี่คือห้องพักครูซึ่งอยู่ด้านหลังอาคารเรียน  

ทั่วบริเวณนั้นเงียบสงบ อากาศยามเช้ายังคงเย็นยะเยือกและมีหมอกจางๆปกคลุมทั่วบริเวณ สักครู่ ประตูของห้องข้างๆเปิดออก ผู้ชายคนหนึ่งก้าวออกมายืนตรงระเบียงซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันมาเห็นทอแสงยืนมองอยู่ เขารีบเดินกลับไปในห้องทันที อีกไม่ถึงอึดใจ ต้นกล้าก็เดินออกมาและตรงมาหาทอแสงพร้อมผู้ชายคนนั้น 

แสง นี่ครูวันชาติ เป็นครูที่นี่ ต้นกล้ารีบแนะนำ 

สวัสดีครับ เรียกผมว่าชาติเฉยๆก็ได้ครับคุณทอแสง วันชาติกล่าวทักทายพร้อมยิ้มกว้างให้

ทอแสงกล่าวสวัสดีตอบ พลางนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้ชื่อของเธอทั้งที่ต้นกล้ายังไม่ได้แนะนำ วันชาติเป็นผู้ชายหน้าตาคมเข้ม มีเคราจางๆ และดูอารมณ์ดี

แสงเดี๋ยวไปล้างหน้าแต่งตัวแล้วค่อยไปทานข้าวเช้ากัน ต้นกล้าพูดขึ้น 
พลางเดินนำทอแสงไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลังห้อง

อีก 15 นาทีต่อมา ทอแสงกลับออกมาจากห้องด้วยหน้าตาที่สดชื่นขึ้นมาก ต้นกล้าและวันชาติพาทอแสงไปที่โรงอาหารซึ่งที่นั่นมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรออยู่พร้อมอาหารที่วางเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย 

นี่ครูมนสิการ ลูกครูใหญ่ที่นี่ แล้วนี่ทอแสง เพื่อนผม ต้นกล้าแนะนำ

เรียกม่อนดีกว่าค่ะ ครู มนสิการรีบบอกต้นกล้า และหันมายิ้มให้ทอแสงแทนคำทักทาย ทอแสงยิ้มตอบ และคิดว่าอาจจะเป็นครูคนนี้ที่เธอเห็นเดินมาที่ห้องเรียนรวมเมื่อคืนนี้

วันนี้ม่อนทำข้าวต้มหมูมาค่ะ มีนมสดกับขนมปังเนยสดด้วยนะคะ มนสิการพูดพลางจัดแจ้งเทนมสดใส่แก้วส่งให้ต้นกล้าเป็นคนแรก ต้นกล้ารับมา และส่งให้ทอแสงก่อน

ทานเยอะๆนะคะ คุณแสง มนสิการยิ้มให้ พลางส่งถาดเครื่องปรุงข้าวต้มให้

อาหารเช้ามื้อนั้นดำเนินไปด้วยบทสนทนาของมนสิการ เธอเป็นคนคุยเก่งและยิ้มแย้ม ทอแสงสังเกตุว่ามนสิการดูจะเอาใจใส่ต้นกล้ามากเป็นพิเศษโดยมีวันชาติคอยดักคอ

คุณแสงมาที่นี่คนเดียวเหรอคะ จังหวะหนึ่ง มนสิการหันมาถามทอแสง

ค่ะ แต่เดี๋ยวเพื่อนๆจะตามมา คงมาถึงพรุ่งนี้ค่ะ ทอแสงตอบไปโดยหวังว่าต้นกล้าจะได้รับรู้ด้วย เพราะตั้งแต่เจอกัน ทอแสงแทบไม่มีโอกาสคุยกับต้นกล้าตามลำพังเลย  ต้นกล้าชะงักที่ได้ยินอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมา

เหรอค่ะ งั้นเอางี้ดีไหมค่ะ คุณแสงกับเพื่อนๆไปพักที่บ้านม่อน อยู่ที่นี่ไม่สะดวกหรอกค่ะ นะคะ มนสิการรีบเสนอ น้ำเสียงกระตือรือร้นจนวันชาติรีบกระแอมเสียงดังขึ้นมา

เออคือ ทอแสงอ้ำอึ้ง เธอไม่รู้ว่าควรรับความช่วยเหลือนี้ดีหรือไม่ เพราะใจจริงแล้วเธอก็อยากอยู่ใกล้ๆต้นกล้ามากกว่าไปอยู่โรงแรมในเมือง

ไม่เป็นไรหรอกครับ ครูม่อน รบกวนเปล่าๆ ต้นกล้าขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ม่อนอยู่กับพ่อสองคนเอง ไม่รบกวนอะไรจริงๆค่ะ มนสิการรีบปฏิเสธ เธอดูจริงใจในสิ่งที่พูดมากกว่าจะมีอะไรแอบแฝง

รอถามเพื่อนๆแสงก่อนดีกว่าค่ะ ทอแสงสรุป รู้สึกน้อยใจที่ต้นกล้าปฏิเสธข้อเสนอของมนสิการ เพราะมันทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่อยากให้เธอและเพื่อนๆอยู่ใกล้ๆ หรืออาจจะไม่อยากให้มาที่นี่เลยก็เป็นได้

งั้นคุณแสงไปค้างบ้านม่อนคืนนี้ รอให้เพื่อนคุณแสงมาก่อน ค่อยว่ากันอีกที ดีไหมค่ะ มนสิการตัดบทเพราะรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้น

หลังอาหารเช้า มนสิการชวนให้ทอแสงไปที่บ้านพร้อมเธอ, ต้นกล้าและวันชาติ เพราะครูใหญ่นัดประชุมเรื่องโครงการต่างๆของโรงเรียนที่บ้าน บ้านของมนสิการอยู่ห่างจากโรงเรียนแค่ 3 กิโลเมตร ระหว่างทางทอแสงนั่งเงียบ เธอรู้สึกว่าต้นกล้าไม่ยินดีที่เพื่อนๆจะมาหาเขา นั่นคือสิ่งที่ทุกคนกลัว และทอแสงไม่อยากให้เพื่อนต้องรู้สึกเช่นเดียวกับเธอ 

ทันทีที่มาถึงบ้าน ครูใหญ่รีบออกมาทักทาย  เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูใจดีมาก

เดี๋ยวม่อนพาไปเก็บของที่ห้องนะคะ แล้วค่อยลงมาข้างล่างกัน พูดจบมนสิการก็เดินนำทอแสงขึ้นชั้นสองไป

หลังจากลงมาข้างล่าง ทอแสงเห็นทั้งสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านนอก การประชุมดำเนินไปด้วยปัญหาทั่วไปที่พบในโรงเรียนในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตามด้วยปัญหาของโครงการอาหารกลางวันที่เริ่มมีค่าใช้จ่ายเกินกว่าทุกเดือน และโครงการของต้นกล้าที่จะทำเล้าไก่ เพื่อเลี้ยงไก่ไข่โดยมีผลพลอยได้เป็นไข่ไก่ที่จะนำไปใช้ในโครงการอาหารกลางวัน

ผมคิดว่าโครงการเลี้ยงไก่ของครูกล้าคงต้องพักไว้ก่อน เพราะตอนนี้เราไม่มีทุนพอ ครูใหญ่สรุปปัญหาด้วยเสียงที่แสดงความเสียดายอยู่ไม่น้อย

ทุกคนนิ่งเงียบไป เพราะนับแต่ต้นกล้าเสนอโครงการนี้ขึ้นมา ทุกคนต่างเห็นด้วยในประโยชน์มากมายที่จะได้รับ และต่างมีความหวังว่าโครงการจะสำเร็จลงด้วยดี ทอแสงที่นั่งฟังมาตลอดรู้สึกเห็นใจต้นกล้า ดูเขาจะผิดหวังมากกับโครงการที่จะต้องพักไว้อย่างไม่มีกำหนด

ไม่ค่ะ เรามีทุน ทอแสงโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ทุกคนหันมามองทอแสงด้วยความแปลกใจ

กล้า..คือว่าที่เรามาที่นี่ นอกจากเราอยากเจอกล้าแล้ว เรายังเอาเงินมาให้ด้วย ทอแสงรีบอธิบาย เธอคิดว่าต้นกล้าต้องดีใจมากที่ได้ยินอย่างนี้

เรากับเพื่อนๆรู้ว่ากล้าอยากได้ทุน พวกเราก็เลยช่วยกันหาทุนให้. ทอแสงยังคงเล่าต่อไป

พอเถอะแสง. ต้นกล้าขัดขึ้นเสียงดัง น้ำเสียงเจือด้วยความโกรธ

เราจะไม่เอาเงินของแสงมาใช้ในโครงการนี้หรอก พูดจบ ต้นกล้าก็ลุกจากที่ประชุมไป ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองตามไปอย่างไม่เข้าใจ				
24 กันยายน 2545 18:54 น.

กาลครั้งหนึ่ง..ยังมีเธอ (ตอนที่ 4)

Tawan

ก็เมื่อวานนี้ เม่นโทรมาหาเราและก็บอกว่าได้ข่าวกล้าแล้ว ทันทีที่ปลายฟ้าพูดชื่อต้นกล้าจบ ทอแสงแทบจะกลั้นความดีใจไว้ไม่อยู่ เธอคะยั้นคะยอให้ปลายฟ้าเล่ารายละเอียดมากกว่านี้ 

คือเม่นเค้าได้ข่าวกล้าจากรุ่นน้องที่ชมรมว่ากล้าติดต่อมา อยากให้ที่ชมรมหาทุนไปออกค่ายที่โรงเรียนเออโรงเรียนที่พวกเราเคยไปออกค่ายตอนปีหนึ่งหน่ะ 
	
ออกค่ายตอนปีหนึ่ง ทอแสงพยายามทบทวนความจำ โรงเรียนบนดอยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ห่างไกลจากตัวเมืองและเป็นโรงเรียนที่กันดารมากแห่งหนึ่งในจำนวนโรงเรียนทุกแห่งที่เธอเคยไป แต่เป็นที่ซึ่งทุกคนมีความประทับใจร่วมกัน

แปลว่ากล้าอยู่ที่นั่น? ทอแสงรำพึงกับตัวเองเบาๆ

อือก็อาจจะใช่นะ แต่ว่าที่นั่นหน่ะ ห่างไกลความเจริญออก กล้าคิดยังไงถึงไปอยู่ที่นั่นก็ไม่รู้ พูดจบปลายฟ้าก็ทิ้งตัวลงนอน พลางมองเพดานอย่างใช้ความคิด

กล้าเขารักที่นั่น ทอแสงพูดขึ้นมาเหมือนย้ำเตือนความทรงจำและคำพูดเก่าๆของต้นกล้า เขาบอกกับทอแสงในคืนวันหนึ่งที่ทุกคนนั่งล้อมวงกันรอบกองไฟ คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายของการออกค่าย ทุกคนทั้งเหนื่อย ทั้งมีความสุขและผูกพันกับชาวบ้านและเด็กๆ แววตาของเด็กที่โรงเรียนแสดงถึงความขอบคุณและความอาลัยเมื่อรู้ว่าพวกเธอต้องกลับกรุงเทพ ต้นกล้าบอกทอแสงว่าเขารักที่นี่ และฝันที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ทอแสงเองก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งต้นกล้าต้องกลับไปอีก แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะตัดขาดจากทุกอย่างเพื่อไปทำตามความฝันที่เขาเคยพูดไว้จริงๆ
	
กล้าเป็นอะไรไป ทำไมถึงไปทั้งที่ไม่บอกใครเลย ปลายฟ้าเปรยขึ้นอย่างขุ่นเคือง
	
กล้าต้องมีเหตุผลนะปลาย ทอแสงแย้ง เธอเข้าใจว่าต้นกล้ากลับไปที่นั่นโดยไม่บอกใครเพราะไม่อยากให้ใครขัดหรือทัดทานเขา หรือไม่เขาก็คงมีเหตุผลอื่นที่ดีกว่านี้

เหตุผลบ้าอะไร ทำตามเหตุผลโดยไม่สนใจความรู้สึกเพื่อนงั้นเหรอ ปลายฟ้านั้นไม่พอใจในการหายตัวไปของต้นกล้าตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เธอได้แต่ถามคำถามเดิมๆ ทุกครั้งที่สนทนากันถึงเรื่องนี้ และทีท่าที่มีต่อการกระทำของต้นกล้าก็ทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอขุ่นเคืองเพื่อนคนนี้แค่ไหน แต่ทอแสงรู้ดีว่า ความเป็นเพื่อนไม่เคยจางไป ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ตาม
	
ไม่เอาน่าปลายอย่าว่ากล้าอย่างนั้นเลย ทอแสงยังคงเชื่อมั่นว่าต้นกล้ามีเหตุผลในการจากไปเช่นนี้ แม้ว่าตลอดมา ต้นกล้าจะไม่เคยส่งข่าวบอกใครว่าเขาไปอยู่ที่ไหน แต่ทอแสงไม่เคยตำหนิเขาเลยจนถึงนาทีนี้
	
แสงแสงไม่เคยโกรธกล้าเลยเหรอ ปลายฟ้าถามเพื่อนรักพลางยันตัวขึ้นนั่ง สายตายังเจือความขุ่นเคืองใจ

ไม่หรอก ทอแสงตอบได้เพียงเท่านั้น ความรู้สึกบางอย่างในใจทำให้เธอพูดอะไรไม่ออกนอกจากคำนี้
	
ทำไมล่ะทำไมแสงไม่โกรธ แถมยังรอกล้ามาตลอด ปลายฟ้าจ้องหน้าทอแสงด้วยแววตาจริงจัง

ก็เพราะความรักไง ทอแสงตอบออกไป เธอรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว และน้ำใสๆเริ่มเอ่อในดวงตา

แสง ปลายฟ้ามีน้ำเสียงตกใจ ทั้งที่เธอเองก็พอเดาออกว่าทอแสงรู้สึกกับต้นกล้าอย่างไร แต่ทอแสงไม่เคยเอ่ยปากบอกความรู้สึกในใจกับเธอเลยสักครั้ง และนับตั้งแต่ทอแสงคบกับวายุ เธอก็แทบไม่กล้าแสดงความในใจใดๆออกมาให้เห็น
	
เราเข้าใจนะแสง เราคิดไม่ผิดเลยจริงๆว่าแสงต้องรักกล้า แต่ทำไมล่ะ ทำไมแสงไม่เคยบอกกล้า ไม่เคยบอกใคร..ทำไม  ปลายฟ้ากุมมือเพื่อนรักไว้แน่น น้ำเสียงเจือด้วยความสงสารและสงสัย ในขณะที่ทอแสงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอโผกอดปลายฟ้าและร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่ ทอแสงไม่ตอบคำถามของปลายฟ้า เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม สิ่งเดียวที่รู้คือ เธอไม่สามารถลืมความรู้สึกนั้นได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน และไม่ว่าเธอจะมีใครอยู่ในเวลานี้แล้วก็ตาม

                         *******************************************************
	
เช้าวันรุ่งขึ้น ทอแสงไปทำงานแต่เช้า หลังจากจัดการกับเอกสารกองโตบนโต๊ะได้ครึ่งหนึ่ง เธอก็รีบโทรศัพท์หาวายุทันทีที่คิดว่าเขาน่าจะถึงที่ทำงานแล้ว วายุตอบรับเธอด้วยน้ำเสียงที่แสดงความอารมณ์ดีอย่างเคย ทอแสงรีบเล่าให้เขาฟังว่าเธอกำลังช่วยรุ่นน้องที่ชมรมหาทุนเพื่อใช้ในการออกค่ายแต่ไม่ได้เอ่ยชื่อของต้นกล้าออกมา วายุแทบลืมไปแล้วว่าทอแสงมีเพื่อนชื่อนี้  วายุรับปากว่าจะช่วยเธอหาทุน และจะบอกผลกับเธอในอาทิตย์ถัดไป 

หลังจากทอแสงได้ข่าวต้นกล้า เธอก็แทบเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากแววตาซึมเศร้าที่วายุสังเกตเห็นบ่อยๆ กลายเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง หนึ่งอาทิตย์ของการรอผลเรื่องทุนสิ้นสุดลง วายุโทรบอกข่าวดีกับทอแสงในวันศุกร์ ทอแสงดีใจมากที่ได้รับทุนจากหลายบริษัทฯที่วายุติดต่องานด้วยซึ่งรวมแล้วก็เป็นเงินมากพอสมควร เย็นวันนั้น ทอแสงนัดปลายฟ้า เม่น และกวีเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ โดยปฏิเสธนัดของวายุและอ้างว่าเธอไม่ค่อยสบาย ทุกคนนัดเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ประจำนับตั้งแต่ทุกคนเรียนจบและเริ่มทำงาน

ได้ทุนมาแล้วเหรอแสง เม่นเอ่ยถาม ดูเขาเองก็ดีใจเช่นกันกับทุนก้อนนี้

ใช่ได้มาเยอะด้วยนะ กล้าคงดีใจมากเลยล่ะ ทอแสงตอบ น้ำเสียงเจือความสุขอย่างที่ทุกคนรู้สึกได้

แล้วเราจะให้กล้ายังไงล่ะ กวีถามน้ำเสียงเหมือนหยั่งเชิง

เราว่าถ้าเราเอาไปให้กล้าเอง กล้าคงดีใจนะ ทอแสงมองหน้าเพื่อนทุกคนราวกับต้องการถามความเห็นทั้งที่เธอได้ตัดสินใจที่จะทำอย่างนั้นไปแล้ว

อืมแต่กล้ามันคงไม่อยากเจอพวกเราหรอกมั๊ง เม่นเอ่ยขึ้นทันที น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความน้อยใจ

ไม่หรอก กล้าคงไม่คิดอย่างนั้นหรอก ทอแสงรีบปฏิเสธแทน ทั้งที่ในใจเธอก็ไม่แน่ใจนัก

เกิดความเงียบขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงเบาๆที่เปิดคลอในร้านอาหาร อาหารหลายชนิดวางตรงหน้าโดยไม่มีใครสนใจจะแตะต้อง บรรยากาศในขณะนั้นเหมือนว่าทุกคนต่างคิดไปต่างๆนานาว่า หากว่าต้นกล้าเจอหน้าพวกเขา แล้วต้นกล้าจะทำหน้าอย่างไร และพวกเขาควรพูดอะไร เริ่มยังไงหลังจากที่จากกันโดยไม่ได้ติดต่อกันหลายปี ทอแสงเองก็กังวลไม่น้อย แต่ด้วยความที่เธออยากเจอเขามากกว่าอะไรทั้งหมด เธอจึงพยายามพูดให้เพื่อนๆคล้อยตามและยอมเดินทางไปที่โรงเรียนบนดอยด้วยกัน

จะดีเหรอแสงที่กล้ามันไปโดยไม่บอกพวกเราสักคำแบบนั้นก็แปลว่ามันไม่ได้อยากเจอพวกเรา แล้วเราจะไปหามันงั้นเหรอ กวีพูดขึ้นทันทีที่ทอแสงบอกทุกคนว่าเธอต้องการจะไปแม้ว่าต้นกล้าจะไม่ต้องการเจอเธอเลยก็ตาม

พวกเธอจะคิดยังไงก็ช่าง.แต่เราจะไป ยังไงกล้าก็คือเพื่อน และตอนนี้กล้าก็ต้องการความช่วยเหลือด้วย น้ำเสียงของทอแสงเด็ดเดี่ยวเกินกว่าที่ใครจะห้ามได้

ก็ได้ถ้าแสงจะไป เราก็จะไปด้วย ปลายฟ้าที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้น สีหน้าของเธอมีรอยยิ้มจางๆซึ่งให้กำลังใจทอแสงได้เป็นอย่างดี

กวีกับเม่นมองหน้ากัน ก่อนจะพูดออกมาเกือบจะพร้อมกัน งั้นไปก็ไป

           *****************************************************************
	
อีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมา ทุกคนเตรียมตัวพร้อมสำหรับการเดินทางด้วยกันอีกครั้ง ทอแสงลาพักร้อนได้ทันทีโดยไม่ติดงานสำคัญอะไร แต่กวีซึ่งกำลังเตรียมตัวไปเรียนต่อด้านถ่ายรูปที่ต่างประเทศยังติดทำธุระ ส่วนเม่นก็ต้องสะสางงานโฆษณาที่เขารับผิดชอบต่ออีกหนึ่งวัน เช่นเดียวกับปลายฟ้าที่ยังลางานวันนั้นไม่ได้ เธอจำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมในวันที่ทอแสงเดินทาง ทอแสงจึงตัดสินใจจะเดินทางไปก่อน  โดยปลายฟ้า, กวีและเม่นจะตามไปในอีก 2 วันข้างหน้า 

ทอแสงเดินทางโดยเครื่องบินถึงเชียงรายในช่วงบ่าย และหารถเช่าเพื่อเดินทางขึ้นดอยซึ่งใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง ระหว่างทางขึ้นดอย ทอแสงใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอได้แต่คิดถึงภาพของต้นกล้าที่เห็นเธอยืนอยู่ตรงหน้า ครุ่นคิดหาคำพูดดีๆที่จะพูดกับเขา และกังวลใจเมื่อคิดว่าต้นกล้าจะไม่ดีใจที่เห็นเธอ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเมื่อไปถึงโรงเรียนก็ค่อนข้างเย็นแล้ว แสงแดดสีเหลืองยามเย็นให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด แม้ว่าอากาศบนดอยจะหนาวเย็นกว่าในเมืองมากนัก โรงเรียนนั้นเลิกแล้วเมื่อเธอไปถึง ไม่มีนักเรียนอยู่ในบริเวณโรงเรียนอีก ทอแสงกวาดตามองไปรอบๆ และพบว่าโรงเรียนยังเหมือนเดิม แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป 

อาคารไม้หลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่หลังเสาธงยังคงเป็นสีน้ำตาลเข้ม แต่สีบางส่วนหลุดออกเป็นแผ่นเผยให้เห็นเนื้อไม้เก่าๆ  ข้างขวามือเป็นห้องเรียนรวมที่ก่อด้วยอิฐด้านล่างครึ่งหนึ่ง ส่วนครึ่งบนเปิดโล่ง ภายในเป็นโต๊ะเก้าอี้เรียงเป็นแถวยาว และมีกระดานดำใหญ่สีเขียวอยู่ด้านหน้า  ห้องเรียนรวมแห่งนี้เป็นผลมาจากน้ำพักน้ำแรงของทุกคนที่มาออกค่าย ทอแสงจำได้ดีว่าเด็กๆดีใจกันมากที่ได้ห้องเรียนรวมใหม่ที่กว้างขวางและยังใช้เป็นห้องประชุมได้ดี   ถัดจากอาคารไม้ทางซ้ายมือเป็นโรงอาหารที่เธอกับเปลายฟ้าเคยใช้ทำอาหารทุกๆวัน  ลานกว้างเบื้องหน้ายังคงล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์เช่นเดิม บรรยากาศนี้ทำให้ทอแสงคิดถึงวันเวลาเก่าๆอย่างจับใจ หากแต่นาทีนี้ เธอมิได้เห็นภาพเหล่านี้เพียงในความคิด แต่เธอกำลังยืนอยู่ท่ามกลางสถานที่จริง กับลมหนาวที่พัดผ่านเสื้อแจ๊กเก็ตบางๆ และแผ่ซ่านความเย็นยะเยือกจนหนาวจับใจ

ทอแสงมองไม่เห็นใครในบริเวณนั้นเลยสักคน  ต้นกล้าคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในโรงเรียนนี้ แต่เธอไม่รู้ว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหน ความมืดเริ่มปกคลุมท้องฟ้า แดดสีเหลืองอ่อนจางไปจนเกือบมองไม่เห็นลำแสง และความมืดที่ครอบคลุมท้องฟ้าสีแดงเข้มค่อยๆเข้ามาแทนที่  ทอแสงกระชับเสื้อหนาวเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ลำคอ  อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วจนเสื้อหนาวที่ใส่อยู่แทบไม่มีประโยชน์ใดๆ กระเป๋าเดินทางใบย่อมวางอยู่บนโต๊ะเรียนในห้องเรียนรวม  ทอแสงค้นเสื้อหนาวตัวใหญ่ขึ้นมาสวมทับแจ๊กเก็ตที่ใส่อยู่เพื่อให้อุ่นขึ้น  ทว่า ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมในใจทอแสง หากว่าต้นกล้าไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน หรือว่าไม่กลับมาที่นี่ และหากว่าไม่มีใครมาพบเธอที่นี่ เธอจะทำอย่างไร  ความมืดและความหนาวเย็นทำให้ทอแสงแทบไม่อยากเคลื่อนไหว เธอยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวแรกสุดของห้อง และพยายามเพ่งมองออกไปในความมืดราวกับว่าเธอกำลังมองเห็นใครสักคนเดินเข้ามา 

เวลาผ่านไปนานเท่าไร ทอแสงไม่อาจรู้ได้ เธอเผลอฟุบหลับไปบนโต๊ะเพราะความเพลีย   ความมืดเข้าปกคลุมทุกแห่ง  อาคารไม้ข้างๆเหมือนอันตรธานหายไปในความมืด ทอแสงรู้สึกกลัวจับใจ หากว่ามีใครผ่านมาและไม่ใช่ต้นกล้า เธอจะทำอย่างไร  ทอแสงหยิบมือถือขึ้นมาหวังจะใช้โทรไปหาปลายฟ้า แต่สัญญาณขาดๆหายๆจนเธอไม่สามารถใช้เครื่องมือสื่อสารนี้ได้  นาฬิกาในมือถือบอกเวลา 3 ทุ่มเศษ นั่นทำให้ทอแสงหมดหวังที่จะได้พบต้นกล้าในคืนนี้ เขาคงมีที่พักที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านพักครูในโรงเรียน แล้วครูคนอื่นๆล่ะ ยังมีใครอยู่ที่นี่อีกไหม เกิดคำถามมากมายในหัวของทอแสง แต่เป็นคำถามที่หาคำตอบใดๆไม่ได้เลย				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTawan
Lovings  Tawan เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTawan
Lovings  Tawan เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTawan
Lovings  Tawan เลิฟ 0 คน
  Tawan
ไม่มีข้อความส่งถึงTawan