2 กันยายน 2552 12:40 น.

พระคุณเจ้าช่วยด้วย...........

unicorn

พระคุณเจ้าช่วยด้วย...........

โดย...เพี้ยน  นักเรียนนอก
จาก...เนชั่นสุดสัปดาห์
ปีที่  18  ฉบับบที่  900  วันที่  28  สิงหาคม  2552


เรื่องสนุกสนานเริ่มต้นขึ้นเมื่อข้อความที่ส่งมาในเครื่องโทรศัพท์นั้นกลายเป็นว่า  เจริญพร อาตมาขอเชิญสัมนาวิชาการที่จังหวัดนครสวรรค์...  และนั่นคือที่มาของการเดินทางมาสัมมนาวิชาการกับ  ชายโบราณนักฉีก  ถึงวิทยาลัยสงฆ์ข้างบึงบรเพ็ดเม่อหลายวันที่แล้ว  ภายใต้หัวข  บ  ว  ร  คือ  ขั้นตอนของการพัฒนาชาติไทย
	เกิดมาผมก็เพิ่งเคยได้ยินหลัก  บ  ว  ร  นี่แหละครับ  เอาเป็นว่าขอสรุปง่ายๆว่า  หลัก  บ  ว ร  นั้น  ก็คือ  การพูดถึง บ้าน  วัด  โรงเรียน  ในฐานะสามสถาบันหลักที่จะร่วมพัฒนาชาติ  และถ้าสังคเกตดีๆ  จะพบว่า  หลักดังกล่าวนั้น  วัดเป็นศูนย์กลางของสามสถาบัน
	มาถึงตรงนี้คงจะเดาทางถูกว่า  ท่าทีของงานสัมมนานั้นย่อมออกมาในแนวที่ชวนฝันถึงสังคมอุดมคติ  ราวกับหมู่บ้านในจินตนาการของตำราเรียน  มานะ  มานี  ปิติ  ทำนองนั้นแหละครับ  นั่นคือ  การทวนหาอดีตอันรุ่งเรืองของความสงบสุขของชุมชนในอดีตที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง  ที่ให้ที่พึ่งทางจิตใจกับบ้าน  และทำหน้าที่ของการให้การศึกษากับโรงเรียนท่ามกลางวิกฤติของสังคม  ที่มีการยกตัวอย่างอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลอย่างปัญหาการมีเซ็กซ์ในหมู่วัยรุ่น  เป็นต้น
	ในฐานะของคนที่ร่ำเรียนและลุ่มหลงกับเมือง  ผมก็เลยอยากจะขอเสริมว่าเรื่องราวของ  บ  ว  ร  นั้น  เป็นเรื่องที่น่าสนใจ  แต่เอาเข้าจริงแล้ว  ในชุมชนที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่าหมู่บ้าน  อาทิ   ชุมชนเมืองนั้น  บางที  บ้าน  วัด  และโรงเรียน  อาจไม่สามารถทำหน้าที่อย่างเพียงพอในการกำกับดูแลจิตใจของผู้คน  แต่อาจจะต้องมีรัฐบาลท้องถิ่นและสถาบันอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง  
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าวัดจะไม่สำคัญต่อสังคมอีกต่อไปนะครับ  เพียงแต่ว่าการจะเรียกร้องให้วัดนั้นมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของสังคมนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆแค่การโหยหาอดีตที่ย้อนไปไม่ได้  หากแต่เกิดจากการตั้งคำถามในระดับลึกซึ้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับสังคมไทยในหลายๆมิติ
ประการที่หนึ่ง  เราคงต้องถามกันว่า  เราจะจัดความสัมพัน์ธระหว่างเรื่องทางโลกกับเรื่องทางธรรมได้แค่ไหน  ในความหมายที่ว่า  ปัญหาทางโลกที่เกิดขึ้นนั้นจะแก้ด้วยเรื่องทางธรรมได้ทั้งหมดไหม?  นี่คือคำถามที่ค่อนข้างเป็นรากฐานมากกว่าข้ออ้างว่าเราต้องมีธรรมะกำกับจิตใจ  หรือข้อถกเถียงทำนองว่าจิตกำหนดวัตถุ  หรือวัตถุกำหนดจิต
ประการที่สอง  ความสัมพันธ์ระหว่าพุทธศาสนากับสังคมไทยนั้น  เป็นเรื่องที่น่าสนใจ  เพราะว่าเอาเข้าจริง  พุทธศาสนานั้นที่อยู่ได้ด้วยการอ้างอิงกับโลกด้วย  ไม่ใช่แค่ภาพด้านอุดมการณ์ที่มองว่าโลกต้องอิงกับพุทธศาสนา
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่พุทธพานิชย์  แต่หมายถึงข้อสงสัยที่ว่าการที่พุทธศาสนาไม่ได้เอาจริงเอาจังกับเรื่องทาโลกมากไปกว่าการพร่ำสอนในแบบเสรี  ในความหมายที่ว่า  ในทางหนึ่งความเจริญของพุทธศาสนาก็ต้องพึ่งพาความเจริญทางวัตถุของทางโลก  (ยุคที่จริญทางวัตถุก็คือยุคที่สร้างวัดมากที่สุดในอดีต  หรือในปัจจุบัน  จำนวนเงินที่บริจาคเข้าศาสนาก็มากที่สุด)  แต่ในอีกทางพุทธศาสนาก็มีหน้าที่พร่าสอนให้คนในโลกรู้จักยับยั้งชั่งใจ  แต่ก็ไม่สามารถที่จะจัดการอะไรกับกับทางโลกได้มากนัก
ดังนั้น  ถ้าเราจะพูดถึงหลักของการมีพุทธศาสนาเข้ามาพัวพันกับโลก  (Engaged  Buddhism)  สิ่งที่สำคัญก็คือ  พุทธศาสนาก็ต้องมีความกล้าหาญ  ต้องปฏิเสธที่จะรับทานจากคนร่ำร่วยที่กิจการไม่บริสุทธิ์  ต้องปฏิเสธรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรม  รัฐบาลที่ฆ่าคน  ต้องปฏิเสธรัฐบาลที่ไม่มีความบริสุทธิ์  ที่ขัดกับหลักทางศาสนา
เหมือนกับการอภิปรายในวงสัมมนาว่า พระสงฆ์ที่จะทำอารยะขัดขึนกับฆราวาสได้ไหม  เพราะเอาข้าจริงจำนวนคนและจำนวนเงินที่เข้าสู่วัดนั้นมิได้มีน้อย  หรือจะอ้างว่าบ้านจะไม่ต้องการวัดก็ไม่ได้  แต่บ้านนั้นต้องการวัดเพื่อสิ่งที่ไม่ใช่แก่นสารสาระของธรรมเสียมากกว่า  เราจึงพบแต่การบริจาคเงิน  สังฆะทาน  ไหว้พระขอพร  มากกว่าการปฏิบัติธรรม  ในทางหนึ่ง  และก็สภาวะไม่เอาด้วยเมื่อมีการเสนอให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  เพราะคนกลุ่มหนึ่งกลัวว่าอาจมีการเอาศิลธรรมมาเป็นกฎหมาย (ไม่นับเรื่องของข้อกังวลในเรื่องของเสรีภาพในการนับถือศาสนา)  
เรื่องประการที่สาม  ในทางหลักวิชา  การสร้างอุดมคติเรื่องของ  บ้าน  วัด  โรงเรียน  นั้น  มีลักษณะของการมองว่า  ทั้งสามสถาบันนั้นมีหน้าที่ในการกล่อมเกลาทางสังคม  (Socialization)  แต่คำถามก็คือ  ถ้าเราเอา  หน้าที่  นี้เป็นตัวตัง  เราจำต้องเป็นเอา  สถาบัน  เหล่านี้เท่านั้นมาทำหน้าที่หรือมื?  หรือเราสามารถใช้สถาบันอื่นได้  อาทิ  รัฐสวัสดิการ  สื่อมวลชน  (ประเด็นของชายโบราณชอบฉีกน่าสนใจ  เพราะว่า  ชายโบราณเสนอว่าจะมีสื่อทางศาสนาปรากฏในโทรัศน์ที่อาจผลิตโดยวัด/พระ  แต่ไม่ต้องมีพระปรากฏตัวได้ไหม  และในขณะเดียวกัน  การมีพระปรากฏตัวก็เป็นจุดเด่นเช่นกัน  เพราะใครๆก็สอนศาสนาได้  แต่คนที่สอนได้โดยสามารถปฏิบัติได้ด้วยก็เป็นหลักประกันว่าสิ่งนี้ปฏิบัติได้จริง)
อย่างไรก็ตาม  ในบางทฤษฎีนั้นจะมองว่าการกล่อมเกลาทางสังคมอาจเป็นการครอบงำ  (Socialization  as  domination)  เพื่อเอื้อให้การดำรงอยู่ของสภาวะทางสังคมปัจจุบันดำรงอยู่ต่อไปได้  และไม่ตั้งคำถามกับโครงสร้างอันลึกซึ้งที่ว่าด้วยความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
ประเด็นท้าทายจึงอยู่ที่การสร้างสมดุลของการกล่อมเกลาทางสังคม  และ  การครอบงำ  ในความหมายของการสร้างสมดุลเรื่องของเสรีภาพและความยุติธรรมในสังคม  คำถามที่โลกสมัยเก่าไม่ค่อยพูดก็คือ  เสรีภาพมีที่ทางอย่างไร  คำถามใหญ่กว่า  บ้าน  วัด  โรงเรียน  และการพัฒนาชาติไทยนั้น  มันเกี่ยวพันกับประชาธิปไตยอย่างไร
ประการสุดท้าย  เราพบว่าในอดีตนั้นเมื่อพุทธศาสนาปะทะกับความเปลี่ยนแปลง  สิ่งที่พุทธศาสนาทำนั้นไม่ใช่การปะทะกับความเปลี่ยนแปลง  สิ่งที่พุทธศาสนาทำนั้นไม่ใช่การปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง  แต่หมายถึงการปฏิรูปพุทธศาสนา  อาทิ  การทำให้พุทธศาสนานั้นกลายเป็นวิทยาศาสนตร์  และหมายถึงการกำหนดอาณาบริเวณของความมีเหตุผลกับความงมงาย  ซึ่งหมายถึงการพยายามสนทนากับโลกที่เปลี่ยนแปลง  หรือการพยายามทำสิ่งที่เรียกว่า  ชาวพุทธที่ทันสมัย  มากกว่าการอธิบายสรรพสิ่งในแง่ของการปะทะครอบงำ  แต่หมายถึงการพยายามแยกแยะความงมงายออกจากหลักการที่เป็นสากลที่พุทธศาสนาเป็นหนึ่งในนั้น
แต่สิ่งที่ท้าทายมากกว่านั้น  ซึ่งพุทธศาสนาไม่ค่อยได้ทำ  ก็คือ  การพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวพันกับทางโลกอย่างจริงจัง  โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ของโลกสมัยใหม่
ซึ่งหากพิจารณาเรื่องนี้ดีๆ  จะพบว่า  การอ้างอิงว่าในสังคมสมัยใหม่นั้น  รัฐได้แยกพุทธศาสนาออกจากโรงเรียนนั้น  แม้ว่าจะเป็นความจริง  แต่ก็เป็นความจริงครึ่งเดียว  เพราะ  พุทธศาสนานั้นไม่สามารถผลิตความรู้ให้กับโลกสมัยใหม่ได้มากนัก  เมื่อเทียบกับคริสต์ศาสนาที่สามารถสร้างมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวพันกับวิทยาศาสตร์  การแพทย์  การบริหาร  และสังคมศาสตร์  มนุษยศาสตร์   อาทิ  มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของโลก  และมหาวิทยาลัยในประเทศไทย  ซึ่งสิ่งนี้ต่างไปจากความเข้าใจที่ว่าความรู้ในโลกสมัยใหม่นั้นเป็นการปฏิเสธอิทธิพลของศาสนาอย่างสิ้นเชิง  เพราะเอาข้าจริง  นักคิดนักปรัชญา  และนักวิทยาศซาสตร์สมัยใหม่ส่วนมากมักพัฒนาความรู้โดยมีศรัทธาและพยายามแยกเรื่องของศรัทธาจากความงมงาย
เราไม่พบการพัฒนาอย่างเป็นระบบ  (ไม่ใช่ไม่มี)  ของการแพทย์  สถาปัตยกรรม  วิศวกรรม  มากนักจากพราะและวัด  ขณะที่ในสมัยโบราณ  ศาสตร์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของบริการของวัดที่มีให้กับสังคม  แม้เราจะพบว่าวิทยาลัยสงฆ์ปัจจุบันก็พยายามจะสอนเรื่องทางโลกมากขึ้น  แต่ก็มักเน้นไปทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์  มากกว่าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สรุปก็คือ  ถ้าเราจะมีเรื่องของหลัก  บ  ว  ร  โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง  เราก็ต้องทำให้วัดเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง  โดยทำให้ศาสนาพุทธนั้นสามารถมีบทสนทนากับทางโลกในแง่ของการผลิตความรู้ในทางโลกได้ด้วย  (อาทิ  ข้อเสนอเรื่องเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ)  ไม่ใช่แค่การเรียกร้องอำนาจ  หรือ  อธิบายแค่ว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาตร์  และศูนย์กลางของชุมชน				
16 เมษายน 2551 09:37 น.

นิยามของคำว่าเพื่อน

unicorn

A Friend... is a tissue when you can't stop crying 
เพื่อน คือ กระดาษทิชชู....ตอนเราร้องไห้ไม่หยุดซะที 

A Friend... is a shoulder when you feel like dying 
เพื่อน คือ หัวไหล่...ให้เราซบ เมื่อเรารู้สึกย่ำแย่ 

A Friend... always listens when you have something to say 
เพื่อน รับฟังทุกอย่าง...เวลาเรามีเรื่องจะพูด 



A Friend... is a week when you need a day 
เพื่อน คือ สัปดาห์..เมื่อคุณต้องการวัน 

A Friend... is a crutch when you have a brokenheart 
เพื่อน คือ ไม้ดามหัวใจ...ยามเราอกหัก 

A Friend... is some glue when everything falls apart 
เพื่อน คือ กาว...เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างดูจะแตกสลาย 



A Friend... is a sun when the rain just won't stop 
เพื่อน คือ แสงอาทิตย์..เมื่อฝนไม่หยุดตก 

A Friend... is your mom when you run into a cop 
เพื่อน คือ คล้ายๆกับแม่นะ...หากเราต้องขึ้นโรงพัก 

A Friend... is a phone call when you can't leave your home 
เพื่อน คือ โทรศัพท์เมื่อคุณไม่สามรารถออกจากันได้ 



A Friend... is a hand when you feel all alone 
เพื่อน คือ มือ...เมื่อเรารู้สึกเปล่าเปลี่ยว..(ขอจับมือหน่อยนะ) 

A Friend... is a wing if you want to fly 
เพื่อน คือ ปีก....หากคุณอยากจะบิน 

A Friend... understands without knowing why 
เพื่อน...จะเข้าใจเราทุกอย่าง โดยปราศจากคำถามว่า ทำไม 

A Friend... is an ear for a secret to tell 
เพื่อน คือ หู...เพื่อเอาไว้ฟังทุกเรื่อง..(โดยเฉพาะเรื่องลับ) 



A Friend... is an aspirin when your head hurts like hell 
เพื่อน คือ แอสไพลิน....เมื่อเราปวดหัว 

A Friend... is a love that can never let go 
เพื่อน คือ ความรัก...ที่คุณไม่ต้องค้นหา 

A Friend... is you, and i wanted you to know!! 
เพื่อน คือ คุณ.....ฉันอยากให้คุณรู้ 

i hope ....A FRIENDSHIP between you & me is forever more... 
ฉันหวังว่า...... มิตรภาพระหว่างเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไป 


..ในความรู้สึกของเราเพื่อนคือคนที่ดีที่สุดในวัยเรียน				
15 พฤศจิกายน 2550 02:23 น.

เพื่อน

unicorn

ความคิดสมัย ป.1เพื่อนที่ดีคือคนที่ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนคุณ     แล้วก็จับมือคุณระหว่างเดินผ่านห้องโถงที่น่ากลัว 

       ความคิดสมัย ป.2 เพื่อนที่ดีคือคนที่ทำให้คุณเข้าเรียนคลาสที่ไม่อยากเรียน (มั้ง) 

       ความคิดสมัย ป.3 เพื่อนที่ดีคือคนที่แบ่งอาหารกลางวันให้คุณ  เมื่อคุณลืมกล่องข้าวไว้ที่บ้าน = =? 

      ความคิดสมัย ป.4เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมเปลี่ยนคู่เต้นในวิชาลีลาศเมื่อคุณไม่อยากจับคู่เต้นอยู่กับนิกจอมลามกหรือเอ็มกลิ่นแรง 

     ความคิดสมัยป.5เพื่อนที่ดีคือคนที่เผื่อที่นั่งให้คุณเมื่อถึงมื้อเที่ยง 

     ความคิดสมัย ป.6เพื่อนที่ดีคือคนที่พาคุณไปหาคนที่คุณตกหลุมรัก  เพื่อขอให้เค้ามาเต้นรำกับคุณ  เผื่อว่าเค้าปฏิเสธคุณจะได้ไม่ต้องอายไง 

     ความคิดสมัย ม.1เพื่อนที่ดีคือคนที่ให้คุณลอกรายงานสังคม 

     ความคิดสมัย ม.2เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณทำรายงานกลุ่มและไม่เคยนินทาคุณลับหลัง 

      ความคิดสมัย ม.3เพื่อนที่ดีคือคนที่เปนที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้คุณและอินกับคุณในทุกๆอารมณ์ 

      ความคิดสมัยม.4 คือคนที่ยอมเปลี่ยนวิชาเรียนเพื่อที่คุณจะได้มีเพื่อนนั่งกินข้าว 

     ความคิดสมัย ม.5เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมให้คุณขับรถใหม่ของเค้าช่วยคุยกะพ่อแม่ของคุณเวลาคุณมีปัญหา  แล้วก็คอยปลอบคุณตอนที่คุณเลิกกับแฟน 

      ความคิดตอน ม.6เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเข้า  แถมยังช่วยคุยกับพ่อแม่ให้ยอมให้คุณไปเรียนมหาลัยนั้นอีกด้วย   

       ในงานจบการศึกษา เพื่อนที่ดีของคุณ คือคนที่ร้องไห้เงียบๆในใจ  แล้วก็แบ่งปันรอยยิ้มกว้างๆ ให้คุณ หน้าร้อนหลังจบ ม.6     

        เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณล้างขวดหลังงานปาร์ตี้    ช่วยคุณแอบย่องออกจากบ้านตอนที่คุณตกลงกับพ่อแม่ไม่ได้   ทำให้คุณกับแฟนกลับมาคบกันอีก       ช่วยคุณเก็บของเพื่อย้ายไปมหาลัยแล้วก็กอดคุณอย่างเงียบๆ   มองคุณด้วยแวว-ตาที่ขุ่นมัวพร้อมกับความทรงจำ  18 ปีที่ผ่านมา......    ให้กำลังใจคุณในทางที่คุณเลือกเดินเหมือน 18ปีที่ผ่านมา 

     และตอนนี้ เพื่อนที่ดี  ....   ยังคงเป็นคนที่ให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ     จับมือของคุณเมื่อคุณกลัว ช่วยคุณต่อสู้กับสิ่งที่พยายามเอาเปรียบคุณ คิดถึงคุณตลอดเวลาที่คุณไม่อยู่  เตือนคุณในสิ่งที่คุณลืม  ช่วยคุณผ่านอดีต   แต่ก็เข้าใจเมื่อคุณอยากอยู่กับอดีตอีกซักนิด  อยู่กับคุณเพื่อให้คุณมีความมั่นใจ หรือไปไกลๆ คุณซักพักเพื่อให้คุณได้มีเวลากับตัวเอง ช่วยคุณแก้ไขความผิดพลาด  
 ช่วยคุณจัดการกับความกดดันทั้งหลาย  ยิ้มให้คุณเมื่อยามคุณเศร้า 
ช่วยให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น   และอย่างสำคัญที่สุด คือ  ขอบคุณสำหรับความเป็น-เพื่อน   ไม่ว่าเราจะไปถึงจุดไหน   หรือเรากลายเป็นอะไรจะไม่มีวันลืมคนที่ช่วยให้เราไปถึงจุดนั้น   ไม่มีการผิดเวลาที่จะโทรศัพท์  หรือส่งข้อความ   เพื่อบอกเพื่อนของคุณว่า คุณคิดถึงพวกเค้าขนาดไหน หรือว่าคุณรักพวกเค้าขนาดไหน


      ถ้าคุณรักใครซักคน ก็บอกเค้าซะ จำไว้เสมอเลยนะว่าพูดสิ่งที่คุณคิด    
สิ่งที่คุณหมายถึง อย่ากลัวที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเอง ใช้โอกาสนี้ในการบอกใครซักคนที่มีความหมายกับคุณ คว้าเอาไว้แล้วจะไม่เสียใจ 
สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ใกล้ๆ   กับเพื่อนและครอบครัว สำหรับการที่พวกเค้านั้นทำให้คุณกลายมาเป็นคุณในวันนี้  บอกความรู้สึกซะให้เกิดความแตกต่างขึ้นในวันของคุณและเค้า ความแตกต่างระหว่างการแสดงความรัก และการเสียใจ คือ  การเสียใจอาจจะอยู่ตลอดไป				
15 พฤศจิกายน 2550 02:00 น.

อย่ารอ.......ให้ถึงพรุ่งนี้

unicorn

อย่ารอ........ให้ถึงวันนั้น

          บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย. 

        ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ 

          ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง 

         เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง

         เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง 

         เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น 

         เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว    แต่เรากลับพบว่า.
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น..... 

        เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง 

        เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง 
        
        เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง 
        
        ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น 



        ดังนั้นจากนี้ไปขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อ
โอกาสพิเศษ   เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ โอกาสที่พิเศษสุด
แล้วจงแสวงหา การหยั่งรู้ 

        จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ..อยาก 

        จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น. 

        กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป 

        ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด 
        
         เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย 
 
        น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้ 

       เอาคำพูดที่ว่า.สักวันหนึ่ง..ออกไปเสียจากพจนานุกรม 

        บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน 
   
        อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น 

        ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย  เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง				
27 ตุลาคม 2550 23:03 น.

ผมและเธอบนเส้นทางขนาน

unicorn

ผม บอกว่าความรักก็เหมือนกับเส้นด้ายบาง ๆ หากขาดไปแล้ว ผูกอย่างไรก็มีปม
                              เธอ บอกว่าความรักเหนียวแน่นคงทนกว่านั้น มันเปรียบเสมือนผืนผ้ามากกว่า
แม้เส้นด้ายจะขาดไปสักเส้น ผ้าก็ยังเป็นผ้าได้อยู่

                              ผม ไม่พกมือถือ ด้วยเหตุผลว่าพระนเรศวรทรงกู้เอกราชได้โดยไม่ต้องใช้เครือข่าย GSM
                              เธอ พกมือถือ 2 เครื่อง ด้วยเหตุผลว่าที่ไทยเสียเอกราชไปเพราะไม่มีเครือข่าย GSM ใช้

                              ผม ใส่กางเกงตัวละ 129 บาท ด้วยเหตุผลว่าจะยี่ห้ออะไรก็ปิดไอ้นั่นได้มิดเหมือนกัน
                              เธอ ใส่กระโปรงราคาตัวละหลายพันบาท ด้วยเหตุผลว่า...มันปลอดภัย
ถ้าเกิดไฟไหม้กระโปรงที่เธอใส่ เนื้อผ้าจะไม่ละลายติดเนื้อผิวของเธอ

                              ผม ไม่รู้หรอกว่าคุณค่าทางอาหารระหว่างพิซซ่ากับขนมครก  อะไรจะมากกว่ากัน  แต่ ผม ว่าขนมครก อ! ร่อย และถูกกว่าเป็นไหน ๆ
                              เธอ ไม่รู้หรอกว่าคุณค่าทางอาหารระหว่างพิซซ่ากับขนมครก  อะไรจะมากกว่ากัน
แต่ เธอ ชอบกินพิซซ่า ด้วยเหตุผลที่ว่า ขนมครกบางร้านเท่านั้นที่อร่อย   แต่พิซซ่าฮัท ทุกร้านมีมาตรฐานเดียวกัน





                              ผม ใช้ปากกาด้ามละ 5 บาท ด้วยเหตุผลที่ว่า ยังไงมันก็เขียนได้และมันมักจะหายไป ทุกครั้งก่อนที่ไส้จะหมด
                              เธอ ใช้ปากกา ยี่ห้อ cross ด้วยเหตุผลที่ว่ายังไงมันก็เขียนติดกระดาษไม่ต้องสะบัดก่อนใช้และไม่เลอะเทอะกระเป๋าเสื้อของเธอ


                              ผม ชอบทำงานอิสระ ทำตามจินตนาการของตัวเอง  ไม่ต้องให้ใครบังคับ  ไม่ต้องผูกมัด กับระบบบัตรตอกทำงานของเธอ  ไม่เคยขึ้นตัวแดง เธอกลับค่ำทุกวัน  เพราะงานทำให้เธอมีระบบ ระเบียบ และเห็นคุณค่าของชีวิต

                              ผม รักตัวของ ผม เองมากกว่าใคร ๆ ด้วยเหตุผลว่า ไม่ว่าเราจะทำดีเพื่อใคร มากมายขนาดไหนความสุขทางใจที่เราได้ ก็ได้กับตัวเอง
                              เธอ รักครอบครัวของเธอมากกว่าสิ่งใด ๆ ด้วยเหตุผลว่าถ้าไม่มีพวกเขา  ก็คงไม่มีเธอเกิดมาให้ป่าวประกาศว่าฉันรักตัวฉันเอง

                              คลื่นทะเลให้ปรัชญาแก่ ผม ว่า..หาดทรายจะแปรเปลี่ยนไปทุกครั้งตามคลื่นที่กระทบฝั่ง    แต่แม้จะเปลี่ยนอย่างไร ทรายก็ยังเป็นทราย    และคลื่นก็ยังเป็นคลื่นไม่เปลี่ยน
                              คลื่นทะเลให้ปรัชญาแก่ เธอ ว่า ไม่ว่าน้ำทะเลจะขึ้นจะลงอย่างไร   คลื่นก็ยังขยันซัดกระทบฝั่ง

                              ผม บอกว่าถ้าไม่มี 'ความว่าง' แล้ว 'ความมี' ก็ไร้ความหมาย   เพราะความมีต้องวางลงบนความว่าง
                              เธอ บอกว่าถ้าไม่มี 'ความมี' แล้ว 'ความว่าง' จะมีประโยชน์อะไร    
มันคงไร้ความหมาย  เพราะมีความมี ความว่างจึงก่อเกิดการเปรียบเทียบ

                              คนอื่นบอกว่า ผู้หญิงรักผู้ชายจาก 0-100   แต่ผู้ชายรักผู้หญิงจาก 100-0
                              ผม แย้งว่าผู้หญิงรักผู้ชายแค่0-1  เหมือนไบนารี่   ทำดีมากมายขนาดไหนก็เป็นเพียงแค่ 1	หากผิดพลั้งไปจะเหลือเพียง 0
                              เธอ แย้งว่าผู้หญิงรักผู้ชายไม่ใช่ 0-1 และไม่ใช่ 0-100 แต่เป็นจาก 100-200
                              หญิงรักชายได้ 100 และจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามที่เธอปรารถนา


                              ผม มองคนที่ความคิด
                              เธอ แย้งว่าความคิดไม่ใช่นิสัย

                              ผม เหมือนกับแก้วใส ๆ จะเห็นคุณค่าตัวเองก็ต่อเมื่อมีเธอเป็นน้ำมาเติมเต็ม
                              เธอ เหมือนกับน้ำใส ๆ เธอจะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีภาชนะมารองรับ

                              ผม และ เธอ เหมือนดั่งเส้นขนาน ที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกัน

                              ผม และ เธอ เหมือนดั่งเส้นขนาน ถึงแม้จะไม่มีวันบรรจบกัน

                              แต่เราก็จะตีคู่ไปด้วยกันเสมอ เพราะ เธอ ชอบกินไข่แดง

                              แต่ ผม ชอบกินไข่ขาว

                              เราจึงอยู่ด้วยกันได้ ในไข่ใบสีน้ำเงินแห่งนี้

                              ความ รัก กับ ความ ผูกพัน

                              เนื้อความ ความ รัก ..กับ ความ ผูกพัน

                              หน้าตาคล้ายกัน .. เหมือนซ้าย-ขวา

                              แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ ...

                              รู้สึกว่า .. คิดถึง .. แล้วมาหา คือ .... รัก

                              รู้สึกว่า .. เคยมาหา .. เลยมาหา คือ .. ผูกพัน

                              รู้สึกว่า .. หิว ... แต่อยากรอ คือ .. รัก

                              รู้สึกว่า .. อิ่มแล้ว .. อยากเอามาฝาก คือ .. ผูกพัน

                              รู้สึกว่า .. อยากให้เวลากันและกัน คือ ..... รัก

                              รู้สึกว่า .. อยากใช้เวลาด้วยกัน คือ .. ผูกพัน

                              รู้สึกว่า .. หงุดหงิดคือทำให้อีกคนไม่สบายใจ คือ .. รัก

                              รู้สึกว่า .. โกรธคือทำให้อีกคนสำนึกบ้าง คือ .. ผูกพัน

                              รู้สึกว่า .... ไม่มีนาทีไหนไม่คิดถึง คือ .. รัก

                              รู้สึกว่า .. นาทีไหนที่ว่างจะคิดถึง คือ .... ผูกพัน

                              ขอบคุณเหลือเกิน .... ความ ผูกพัน .. ที่ทำให้ รัก

                              ขอบคุณเหลือเกิน .. รัก ที่เป็นมากกว่า .. ความ ผูกพัน

                              -----------------------------------------------------------


                              ... เคยไหม รัก ใครคนหนึ่ง ด้วยความรู้สึกว่า ....

                              เคย ผูกพัน เหมือนเคย รัก กัน แล้วพลัดพราก

                              ต้องมาตามหากันเป็นแรมปี

                              ถ้าเคยรู้สึกอย่างนี้

                              ยามที่มองแววตาใครคนนั้น

                              แล้วรู้สึกอยากอยู่ข้าง ๆ


                              เพื่อคอยกางแขนปกป้องและดูแลไปตลอดชีวิต

                              ความรู้สึกนั้น .. เรียกว่า รัก และ ผูกพัน

                              ความรู้สึกที่ .. มิอาจพรากจากกัน ได้อีก

                              แม้เพียงหนึ่งเสี้ยววินาที
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟunicorn
Lovings  unicorn เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟunicorn
Lovings  unicorn เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟunicorn
Lovings  unicorn เลิฟ 0 คน
  unicorn
ไม่มีข้อความส่งถึงunicorn