30 สิงหาคม 2545 15:55 น.

กล่องของแม่

zonkung

แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย หนักมั๊ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่าๆ นั้นจากมือแม่แต่ไม่สำเร็จ แม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัดระวัง ส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง วันสุดท้ายแล้วที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉัน เมื่อตอนคุยกันกับแม่ความโล่งอก ทำให้ฉันมีความสุขมาก สุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น แน่นอน ตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่ทุกคนจะมีความสุข เพราะเป็นสถานที่ สำหรับคนอายุรุ่นราว คราวเดียวกัน สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการ ความคิดอ่านและอะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่างที่ เหมือนกันมาไว้ใต้ชายคาเดียวกัน มันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง! ทฤษฏีของการแยกประเภทแยกโลกออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อลดความขัดแย้งในต่างประเทศที่ พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้ 

ไปก็ไปซี ว่าแต่แกจะกินอยู่ยังไงล่ะ แม่ตอบง่ายๆ ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ ที่ห่วงฉันจะอยู่จะกินยังไงต่อไป แม่อย่างห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว ฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้าง นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนิน ชีวิตปกติ เพื่อรอวัน ย้ายบ้าน แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่ อย่างที่ฉันคิดไว้ แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอย อย่างที่พวกเราพี่ๆ น้องๆ กลัวกันและแม่ไม่ได้พูดจาโต้แย้งกับฉันเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เคยเป็นมา พวกพี่ๆและบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีกที่รุมถล่มฉันอยู่หลายวัน แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กี่ปี อิ๋วก็ไม่น่าจะ ต้องผลักไสแกไปอย่างนั้นนี่ พี่สาวคนโต คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้าง จะอะไรกันนักหนา ชั่วดีก็แม่เราจะส่งแกไปทำไมกัน แม่คงเสียใจพิลึก แกลองไปคิดดูใหม่ดีๆ แล้วกันว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ เออ..เอาเข้าไปได้พวกดีแต่พูด พูดกันดีนักแต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ซักคนนอกจากฉัน! ใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่า พี่อ้อย พี่แอ๊ว และพี่อ๋อม และใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่น ๆ เพียงแต่แม่พวกนั้น มันเกิดก่อนเลยได้โอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกัน ไปหมดแล้ว ฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้าย ที่พลาด เก้าอี้ดนตรีไปซะฉิบ ตกที่นั่งต้องมานั่งเลี้ยงแม่ ทนฟังแม่ บ่นและคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่อง 

แม่ขึ้นรถเรียบร้อยพร้อมเอากล่อง ของแม่วางบนตักโดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบาะหลัง พอพ้นซอยเท่านั้นแหละรถติดเป็นแพเต็มถนน ฟ้าที่ดำทะมึนตั้งกะเช้าก็สำแดงอาการทันที กลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ โดยไม่ต้องมีอารัมภบท มันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถติด แม่หนาวมั๊ย จะได้หรี่แอร์ แต่แเม่สั่น หน้า ตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย แม่เอาของมาน้อยจัง ในเมื่อแม่ไม่พูดฉันเลยต้องพูดไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้า กับประโยคนี้ ของฉันแม่เริ่มพูดขึ้นมาได้ ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้วอย่างอื่นไม่รู้ จะเอาไปทำไม มันไม่จำเป็น เสื้อสองชุด รองเท้าแตะคู่ก็พอเอาไปมากเดี๋ยวโดนขโมยน่ะซี ฉันลอบถอนใจ ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้าง แม้จะเป็นการพูดแบบมองโลกในแง่ ลบไปหน่อยก็ตามแม่ก็ยังงี้แหละ กลัวของหายกลัวคนมาขโมยของของตัวบางทีโวยวายแทบตายปรากฏว่าของที่ว่าหายนั้น อยู่ในลิ้นชักของตัว เองแท้ๆ 

รถบนถนนขยับได้ทีละนิดสลับกับ อาการหยุดนิ่งอยู่กับที่ทีละนานๆ ฝนบนฟ้าก็เทลงมา ยังกะเทวดากำสรวลฉันมองดูกล่องบนตักแม่ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้านใหม่ มันเป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลเก่าแก่ ด้วยกาลเวลากล่องแบบนี้เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้ว และผงซักฟอกยี่ห้อนั้นก็เลิกผลิตไปนานหลายปีแล้วยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิตตรงข้างกล่อง ยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียวลังผงซักฟอกของแม่จะว่าไปจริงๆ ขนาดกำลังพอดีเพราะพอวางบนตักแล้ว ขนาดพอดีกับตักแม่เลยมีรอยปะตามวิธีการของแม่อยู่หลาย แห่งรวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่น ที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบเพื่อเสริมความแข็งแรงไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ไม่เปลี่ยนกล่องใหม่ ทั้งที่เราก็มีกล่องแบบนี้หลายใบอยู่ วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบามือ มันดูน่าขันยังกะพวกบ้านนอกเวลาจะกลับบ้าน วันก่อนฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่แม่ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสับสนกันหมดเอาไว้ในกล่องน่ะดีแล้ว ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นแม่ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้าๆออกๆ อยู่หลายหนแต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักที ว่ามีอะไรในนั้นพวกเรามักเรียกว่า กล่องของแม่ ก็เท่านั้นและเป็นอันรู้กันว่าห้ามย้าย ห้ามรื้อกล่องของแม่เป็นอันขาดไหนๆ แม่จะไม่อยู่แล้ว ฉันเลยถามขึ้นว่ามีอะไรในกล่องมั่งล่ะ

แม่มีอาการกระตือรือร้นเชียวเวลาพูดถึงกล่องของแม่รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบนกล่องออกมาอย่างเบามือ แล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู มีแต่ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละ บนๆ นี่ก็รูปพวกหลานทั้งหลาย ล่างๆ ก็จะเป็นรูปพวกแก" แม่หยิบสมุดอัลบั้มใส่รูปขึ้นมาหนึ่งเล่ม แล้วเปิดดูทีละหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง นี่ตาเอกตอนเกิดใหม่ๆ ตัวมันแดงเชียว หน้าเหมือนแม่มันยังกะแกะพอโตแล้วซนเป็นบ้า ยายมันเลี้ยงซะเสียคน นี่ก็เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแม่คือมีช่องว่างเป็นต้องจิกลูกสะใภ้และครอบครัว แม่ยังหยิบโน่นหยิบนี่ออกมาอย่างช้า ๆ พวกรูปทั้งนั้นแหละมีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลานย่า รูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิดใหม่ รูปที่พวกลูก ๆหลานๆ ไปเที่ยวต่าง จังหวัดกัน แม่เก็บไว้ยังกะของมีค่าแล้วก็มาถึง บรรดากระดาษรุ่งริ่ง กระดาษพวกนั้นบางและเก่า จนแทบจะกระจายเมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้า รถ อุ๊ย! อะไรน่ะ 

ฉันรีบปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็น ให้พ้นหน้าตักแม่ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้นจะร่วง ปลิวไปตามแรงลมวันเกิดพวกแกกับพวกหลาน ๆ ไง ฉันเก็บไว้ทุกคนแหละ ไม่ยังงั้นเวลาไหว้พระจำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อไหร่เรามันครอบครัวใหญ่ จำไม่หมดนี่..นี่..แผ่นนี้วันเกิดตาอึ่ง (คือพี่ชาย ฉัน) ตอนมีลูกคนแรกมันสับสนวุ่นวายไปหมด ทีแรกไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไงดีแต่ยายน่ะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่ มือ บอกว่า เอ้า! วันเกิดลูกเก็บไว้ซะตั้งกะนั้นมาพอใครเกิด ฉันก็ฉีกวันที่ เก็บไว้ทุกที ฉันมันคนไม่รู้หนังสือไม่เหมือนพวกแกหรอก มีคอมพิวเตอร์มีอะไรกัน แต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดแม่ได้ซักคนวันตายพ่อยังไม่รู้เลยฉันต้องนั่งไหว้อยู่คนเดียวทุกปี น้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจอาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้ ปฏิทินที่แม่ว่านั้นเป็นกระดาษสีนวล บาง ๆ ใบใหญ่บ้างเล็กบ้างตามแต่ว่าปีไหน เขาจะผลิตปฏิทินออกมาขนาดไหนตอนเด็ก ๆ อาเจ๊ร้านขายของชำแถว บ้านจะเอามาแจกให้ทุกปี พอเขาเลิกแจกแม่ต้องไปซื้อที่ตลาดเก่าเยาวราชนู่นแหละ ตอนหลังพี่อึ่งเป็นคนเอามาให้ทุกปี เพราะที่บ้านเขามีคนเอามาให้แต่เขาไม่แขวนเพราะเชย มันเป็นปฏิทินทางจันทรคติ ที่แยกวันที่ออกเป็นวันละหนึ่งแผ่น ตัวเลขวันที่พิมพ์ตัวโตสีดำเด่นอยู่กลางหน้ากระดาษ ถ้าเป็นวันหยุดตัวเลขจะเป็นสีแดงแทนพวกเราทุกคนคุ้นกับปฏิทินของแม่ดี เพราะแม่สอนพวกเราทุกคนหัดอ่าน หนึ่ง สอง สาม จากปฏิทินพวกนี้แหละ พี่อั๋นนั้นโดนแม่ตีมือมากที่สุดเพราะอ่านไปฉีกเล่นไป อย่าฉีกเดี๋ยวแม่ไหว้เจ้าไม่ถูก แม่จะหวงปฏิทินมากเพราะบนกระดาษแต่ละใบนั้นนอกจากวันที่ตัวมหึมาเห็นเด่นชัด โดยไม่ต้องใส่แว่นแล้วยังมีคำทำนายสั้นๆอยู่ด้วยสำหรับคน เกิดในวันนั้น และมีฤกษ์ผานาที กำกับไว้ว่าวันนั้นควรทำการมงคลหรือไม่ควรทำอะไรและที่สำคัญใบ้หวย...แม่น!

ลูกแปดคนก็มีแต่แกนี่แหละที่เล่นเอา ฉันไม่เป็นอันกินอันนอน อ้าว! ทำไมล่ะ เออนี่เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน ตอนแกเกิดในปฏิทินเขาเขียนไว้ว่า ชะตาไม่ดี เลี้ยงยาก ไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรคเป็นเวรพ่อแกเค้าหาว่าบ้า เฮ้อ! จริงไม่จริงคนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนน่ะแหละของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือน ใครไม่รักไม่หวงก็บ้าแล้ว ผู้ชายจะมารู้อะไร เค้าไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรานี่ พูดถึงพ่อแล้วแม่อดค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า พอออกจากโรงพยาบาล อยู่เดือนยังไม่ครบดีฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลย ย่าแกด่าซะไม่มีดี เค้าห่วงกลัวเราไม่สบาย ได้ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เลยเสียอกเสียใจยกใหญ่พอไปไหว้เจ้าเสี่ยงเซียมซีก็พูดเหมือนกัน เค้าว่าแกเลี้ยงยากเพราะดวงมันมายังงั้น แต่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เฮ้อ! ไอ้ฉันน่ะ เลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยกลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหัก ไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้า ให้แคล้วคลาดเวลาไปไหนๆ ก็ต้องบนพระทุกที่ให้แกไปดีมาดี กว่าจะโตมาได้ เฮ้อ! แม่ถอนใจอยู่หลายครั้งกว่าจะพูดจบได้ 

ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่ นอกจากเสียงฝนและเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแล้ว มันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนซักแห่งในโลกที่ไม่ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้ แกจะเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์สซิ่งโฮมของแกฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก คนแก่แล้วมีที่นอนมีข้าวกินสามมื้อก็พอ ห่วงก็แต่แกน่ะแหละอีกไม่กี่ปี จะสามสิบห้าอยู่แล้วต้องระวังตัวให้ดี อย่าลืมไปทำบุญไหว้พระซะ จะได้อายุมั่น ขวัญยืน ถ้าฉันยังอยู่กะแกก็จะได้ไปจัดการให้ แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้วค่ำมืดดึกดื่น เข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย แม่พูดพร้อมกับที่ค่อยๆ เรียงกระดาษและรูปทั้งหมด ลงไปในกล่องของแม่อย่างเดิม 

ไอ้กล่องนี่ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะตั้งกะมีลูกคนแรก มีอะไรฉันก็เรียงลงไปเรื่อยๆ หลายสิบปีแล้ว แต่มันยังกะคอมพิวเตอร์พวกแกเลยนะ แถมแม่นไม่มีอะไรเท่า พวกแกซะอีกหลง ๆ ลืม ๆ ฉันไม่เคยรู้เลยว่ากล่องของแม่จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้ มิน่าแม่จะจำวันสำคัญของพวกเราได้ แม่น อย่างไม่น่าเชื่อจนพวกเราแอบเรียกแม่ว่า สมอง คอมพิวเตอร์ ที่แท้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่เองเห็นแม่ลากออกมาดูบ่อยๆ แล้วเก็บไว้อย่างดีทุกที

ฉันคงนั่งนิ่งไปนานถ้าแม่ไม่พูดขึ้นว่า แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลยฉันรู้ว่าพวกพี่ ๆ เค้าเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉันแต่คนเดี๋ยวนี้มันก็ภาระแยะ ไหนจะส่งลูกไปโรงเรียน ไหนจะเอาลูกไปสอบไปวิ่งเต้นเรื่องนั้น เรื่องนี้ ผัวมันยัง ต้องไปตีกอล์ฟอีก แม่พวกสะใภ้ ก็ต้องวิ่งกลับไปดูพ่อแม่เค้า อะไรๆ ฉันก็รู้แต่ทำไงได้ล่ะคนมันยังไม่ถึงคราวตาย มันก็ต้องอยู่ไปยังงี้แหละ ใช่ว่าอยากตายก็จะได้ตายซะที่ไหน แก่แล้วลำบากไปไหน ต้องอาศัยคนอื่น ทำอะไรก็ต้องออกปากไหว้วานคนนั้น คนนี้ มันเหมือนต้องบากหน้าไปอ้อน วอนเค้า ไอ้ที่เคยคล่องๆ ก็กลายมาเป็นภาระความจริงไอ้ที่แกไม่มีผัวฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกัน บางทีถ้าไม่มีภาระเรื่องแม่แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที 

เงาดำในใจฉันเริ่มคลี่ขจายออกกลายเป็นเพียงหมอกบางๆ ฉันแหงนหน้าไปดูท้องฟ้านอกรถ ฝนเริ่มบางตา แสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้บ้าง แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่า ไอ้ที่ฉันจะไปอยู่มันคงดีเพราะราคามันแพง จะมีคนแก่ ซักกี่คนที่ได้ไปอยู่ที่แพง ๆ อย่างนั้นห่วงตัวเองเถอะ ถ้าเจอคนดีพอใช้ได้ ก็อย่าเลือกมากมาย รีบแต่งงาน รีบมีลูก แก่แล้วจะได้ไม่ลำบากดูอย่างชั้นซี อย่างน้อยถึงลูกไม่มีมาดูแล เวลาให้ ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้ถ้าไม่มีลูกจะยิ่งลำบากมากกว่านี้ ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบกันไปพักหนึ่ง ฉันบอกแม่ว่า อิ๋วจะไปหาแม่บ่อยๆ อย่าพูดยังงั้นเลยเดี๋ยวนี้การจราจรมันสาหัสเหลือเกิน เวลาก็ไม่ค่อยมี เรื่องต้องทำก็มีแยะไปหมดเอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกัน แต่ถึงพวกแกไม่มา ฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก ชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมดแล้ว อยากเห็นหน้าลูกก็ดูเอาในนี้ อยากเห็นหน้าหลานก็ดูเอาในนี้ ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสียเวลา เปิดกล่องของแม่มา ก็เห็นหน้าพวกแกได้ทันที 

แม่ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อกอดกล่องให้กระชับขึ้น รถบนถนนเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ พร้อมกับฝนที่ขาดเม็ด อีกไม่กี่เมตรจะถึงสี่แยกแล้ว และมีป้ายให้กลับรถได้ ฉันพารถเบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถแม้รถคันอื่น จะบีบแตรด่ากันเสียงขรม แต่ฉันไม่สนใจ ฉันกำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่ และมีกล่องอย่างแม่สักใบ คงดีไม่น้อยที่จะได้อวดลูกๆ ของฉันถึง กล่องของแม่ 

รักแม่ ดูแลและตอบแทนแม่ของคุณ ให้มากๆ ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ ทำซะก่อนที่จะรู้สึกเสียใจ ในชีวิตนี้คุณมีแม่เพียงคนเดียวนะ คนอื่นคุณหาใหม่ได้อีกเยอะ จริง มั๊ย!!!!				
28 สิงหาคม 2545 23:14 น.

คือความรัก (เริ่มต้นความผูกพัน)

zonkung

"ไงวันนี้ดูดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ"ปั๋งทักทาย 
เมื่อผมเดินออกจากห้อง "ข้าว่าข้าหายดีแล้วว่ะ"  
"ว่าแต่..ไปไหนมาแต่เช้าวะ"
มันหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ "ฉลองไหวมั้ย" 
ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่น้อยกว่ามันก่อนจะตอบ "ไม่น่าถาม"
ปั๋งเดินถือขวดเหล้ามาพร้อมถุงกับแกล้มอีก 2-3 อย่าง
"มา เมากันแต่หัววันดีกว่า" ปั๋งรินเหล้าด้วยความชำนาญ 
"เพียวๆเลยไม่ต้องมิกซ์" "ขี้เกียจชงอ่ะ เด่ะ ทุกทีเลยว่ะ" 
หลังจากน้ำเมาผ่านลำคอไปหลายแก้ว ผมตัดสินใจบอกปั๋ง 
"ปั๋ง ข้าตัดใจไม่ได้ว่ะ ข้าจะไปหาแก้ว" 
"ไม่ได้ยินข้าเตือนเหรอ เพิ่งจะหายหาเรื่องเจ็บตัวอีกแล้ว" 
ปั๋งตอบกลับด้วยความกังวล "ไม่ล่ะ ข้าไม่สนับสนุนเอ็งเรื่องนี้" 
ผมมองด้วยแววตาวิงวอน "ปั้ดโธ่ ว้อย เอ็งทำหน้างี้ข้าก็ไม่เห็นใจหรอก" 
ปั๋งถอนใจยาว   "ฟังนะทิน รักครั้งนี้ไม่มีวันว่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้ ตัดใจซะ" 
ผมพิงตัวกับระเบียงบ้าน เหม่อมองไปข้างนอก 
"ถ้าตัดใจได้ง่ายๆ ข้าคงทำไปแล้วไม่ต้องนั่งเฝ้าคิดถึงแบบนี้หรอก" 
ปั๋งตบไหล่ผมเป็นการปลอบใจ "ทำไมเอ็งถึงรักเค้าได้วะ" 
"ข้าเองก็อยากรู้" ปั๋งมองผมอย่างชั่งใจ 
"คนเค้าว่ากันว่าเธอมีวิธีหนีพ่อมาข้างนอก" 
" คืนนี้เธออาจจะมาก็ได้" ผมยิ้มขอบคุณ 
"ป่วยการจะห้ามว่ะ อย่างมากก็เข้าโรงพยาบาลอีกเที่ยวละวะ"
ปั๋งรินเหล้าเพิ่ม "ขอให้เอ็งโชคดี" ผมกับมันชนแก้วกัน 
และจัดการดื่มรวดเดียวจนหมด........


ผมจอดมอเตอร์ไซค์คู่ชีพไว้หลังร้านขณะที่ผมจะเดินเข้าไปข้างใน
ผมเห็นเธอยืนโอบกอดลูบไล้กับชายชุดดำ เพียงชั่วครู่เธอก็ผละออก
เดินเข้าไปในร้าน พร้อมชายชุดดำที่ขับรถจากไป 
ผมรีบเดินตามเธอไป จนใกล้จึงดึงตัวเธอไว้  
"ไม่คิดว่าคุณจะยังกล้ามาอีก" ผมไม่ตอบแต่จ้องลึกไปในดวงตาเธอ
ผมค่อยๆกระชับร่างเธอเข้ามาใกล้ ใกล้จนลมหายใจเรารินรดกัน
กายเราแนบชิดจนผมรู้สึกพลุ่งพล่าน ผมปรารถนาที่จะสำรวจเรือนร่างเธอ
ผมไม่อยากให้มันเป็นเพียงความใคร่เท่านั้น  
อยากให้มันเป็นไปได้ด้วยความรักมากกว่า แต่นั่นแหล่ะ
ผมเองเป็นเพียงผู้ชายที่ไม่รู้จะสะกดอารมณ์ปรารถนาความต้องการ
ของตัวเองได้นานสักเพียงไหน ถ้าอย่างนั้นผมเองคงเป็นเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ 
ที่ต้องการเสพสุขกับเรือนร่างของเธอไม่ผมไม่ใช่แบบนั้น 
ผมผลักเธอออก เธอมองผมด้วยสายตางงงัน "คุณ......" 
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร ผมตัดสินใจดึงเธอไปหลังร้าน 
"เดี๋ยว คุณจะพาฉันไปไหน" เมื่อมาถึงเราสองต่างสบตากันนิ่ง 
วินาทีนั้นผมพร่ำคำรักต่อเธอเหมือนคนบ้า 
ผมไม่อยากให้เวลาผ่านเลยไปอีกแล้ว
ผมบอกเธอว่าผมปรารถนาเธอเพียงใด คิดถึงเธอมากเพียงใด 
ความหวั่นไหวในใจของผมที่เกิดจากเธอมีมากขึ้นทุกนาที
และอีกมากมายที่ผมบอกเป็นเหตุผลไม่ได้ แต่ผมรู้ว่าผมรักเธอ 
เธอยังคงนิ่งงัน แววตาเธอดูสับสน "ฉัน..."  สิ้นสุดความอดทน
โดยที่เธอไม่ทันจะพูดอะไร ผมดันตัวเธอชิดกำแพงเบียดเสียดกายชิดแน่น 
ไซร้เธอด้วยรอยจูบ ไล่ถึงริมฝีปากบางประกบกันอย่างเร่าร้อน 


คืนนั้นผมพาเธอไปที่บ้าน เราแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม 
ผมประคองเธอไปที่เตียง ผลักเธอลงนอน
แล้วตามขึ้นซ้อนกายเธอไว้ ผมค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าเธอ 
กายเธอสั่นไหวยิ่งทำให้ใจผมเต้นแรง ครั้นเมื่อเผยให้เห็นเรือนร่างเธอ
ผมยิ่งพลุ่นพล่านผมสำรวจทั่วร่างเธอด้วยรอยจูบ 
แนบกายทับสัมผัสกับอกเปลือยเปล่าขาวคู่นั้นอย่างแผ่วเบา 
แล้วค่อยเร่าร้อนตามลำดับ  กายท่อนล่างขยับสอดคล้อง 
ก่อนจะดำเนินไปตามจังหวะของมัน เสียงของเธอครางกระเส่าร่วมกับผม 
กายของเธอเบียดเสียดจนแทบเป็นกายเดียวกันกับผม
ลมหายใจเธอเหนื่อยหอบเป็นเช่นเดียวกันกับผม 
เสียงร้องของเธอรัญจวนใจยิ่งนัก  ทำให้ผมปรารถนาเธอมากขึ้น 
ผมลูบไล้ไปตามเนินเนื้อที่เว้าโค้งได้รูปของเธอ 
คืนนั้นเราเป็นของกันและกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง 
ไฟพิษสวาทกำลังหลอมเราให้ละลายไปกับบทรักที่ร้อนแรง 
ดื่มด่ำรสรักจนเกือบรุ่งเช้า เธอแอบอิงซบไหล่ผม ผมโอบกอดเธอไว้ 
เมื่อสิ้นสุดบทเพลงรักครั้งสุดท้าย  เราสบตากันนานเนิ่น คนที่ผมรัก
บัดนี้อยู่ตรงหน้าผม แววตาคู่สวยโศกกำลังสะท้อนภาพผม  
เธอจูบผมอย่างแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวาน 
อบอุ่นผิดไปจากครั้งแรกยิ่งนัก
"คุณ...." เธอเงียบไปอย่างใคร่ครวญคำถาม 
"คุณรักฉันจริงๆเหรอ" ผมตอบคำถามเธอด้วยโอบกอดแนบอิงใบหน้า
เธอไว้ในอ้อมอกผมเธอยันกายลุกขึ้น โน้มหน้าลงมาจ้องตาผม
"ฉันเคยเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก"  เธอดึงผ้ามาคลุมกาย 
ก้าวลงจากเตียง เดินตรงไปหยิบเก้าอี้ และลากมานั่งตรงข้างๆผม
เธอยิ้มนิดๆ "คิดว่าเป็นนิทานก็ได้นะ พ่อที่คุณ..."  
"ทิน เรียกผมว่าทินเถอะ" "คนที่ทินเห็นไม่ใช่พ่อของแก้วหรอก 
ตอนที่แก้วยังเด็กครอบครัวเรามีความสุขมาก ถึงคุณพ่อ 
จะยุ่งอยู่กับงานแต่ก็มีเวลาให้ครอบครัว ถ้าสุดสัปดาห์ไหน
คุณพ่อว่าง พ่อจะเข้าครัวทำกับข้าวแทนคุณแม่ ทำงานบ้าน 
เล่นกับแก้ว พ่อบอกเสมอไม่อยากเลี้ยงแก้วด้วยเงิน 
เพราะถ้าวันไหนเงินหมดพ่อมีทางหามันได้ใหม่ 
แต่สำหรับความรัก ความผูกพัน ถ้าเราสูญเสียไป
ไม่ว่าจะมีเงินมากมายเท่าไหร่ก็ไม่มีทางซื้อกลับมาได้ 
พ่อไม่มีวันยอมสูญเสียแก้วตาของพ่อ พ่อจะปกป้องดูแลลูก
จนกว่าจะมีคนที่รักลูกได้เท่าที่พ่อรัก เป็นประโยคที่พ่อบอกฉันเสมอ
และทุกครั้งหลังประโยคนั้นพ่อจะกอดแก้วไว้เป็นอ้อมกอดที่เต็มไปด้วย
ความอบอุ่นแต่แล้ว...."เธอก้มหน้า เอ่ยต่อด้วยเสียงสั่นเครือ
"เมื่อตอนแก้วอายุ 14 ปี คุณพ่อก็จากไป  วันนั้นเป็นวันที่แก้ว
แข่งกีฬาชนะแม้จะเป็นเพียงแค่กีฬาโรงเรียน
แต่คุณพ่อบอกว่าเป็นก้าวแรกที่แก้วทำสิ่งที่ตั้งใจสำเร็จ
คุณพ่อรีบกลับมาเพื่อลูกสาวคนนี้  ระหว่างทางขับรถกลับบ้านมี
ขี้เมาตัดหน้ารถคุณพ่อหักหลบแต่โชคไม่ดี..."  เธอนิ่งเงียบไปชั่วขณะ 

"คุณแม่เสียใจมากท่านกลายเป็นคนไม่รับรู้เรื่องราว 
แล้วตอนนั้นผู้ชายคนนี้ก็เข้ามา" นัตย์ตาเธอลุกวาวด้วยความเคียดแค้น
ชิงชัง "มันเอาอกเอาใจแม่ ป้อนคำหวานอยู่นานปีจนแม่ตายใจย
อมให้มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมันค่อยๆเข้าควบคุมกิจการของคุณพ่อ
ในที่สุดมันก็ได้ไปทุกอย่าง  หน้าฉากมันแสดงเป็นพ่อเลี้ยงรักครอบครัว 
แต่หลังจากที่มันได้ทุกอย่างจากครอบครัวเราไป 
ความชั่วช้าของมันก็เผยออกมา มันบีบบังคับแม่ให้โอนทุกอย่าง
เป็นกรรมสิทธิ์ของมันจนในที่สุดแม่ทนไม่ไหวตรอมใจตาย 
ทิ้งฉันให้เผชิญกับเดนมนุษย์นั่นเพียงลำพัง" เธอร้องไห้ไหล่เธอไหวระริก
ผมลุกขึ้นโอบปลอบเธอ "คืนที่แสนเลวร้ายคืนนั้น มัน....." 
ผมรู้ทันทีสิ่งที่เกิดกับเธอมันต้องบัดซบจัญไร
" ไม่ต้องพูดถึงมันอีกแล้วแก้ว "ผมกระซิบแผ่วเบา 
"แก้วอยากไปไห้พ้นจากมัน แต่ไม่เคยทำได้ นับจากวันนั้น
แก้วจึงทิ้งทุกอย่าง มีชีวิตอย่างที่ทินเห็น มองเรื่องเซ็กซ์เป็น
เรื่องธรรมดาแลกกับมันเพื่ออิสระชั่วคืน 
ที่แก้วออกมาได้เพราะยอมนอนกับลูกน้องมัน 
ทุกเดือนมันจะต้องไปเล่นพนันที่บ่อน" เธอเอ่ยชื่อบ่อนเถื่อน
ที่ละลายเงินเศรษฐีหน้าโง่ที่คิดว่าโชคคือการเสี่ยง 
" มันเองก็อยากให้ตามไปเป็นนางบำเรอ " เธอเหยียดยิ้มหยันตัวเอง  
"แต่ฉันก็ไม่ยอม"  ท่าทางเธอ เปลี่ยนไปเหมือนคืนแรกที่เราพบกัน 
"รู้มั้ยคุณ ฉันยอมนอนกับลูกน้องมันเพื่อแลกกับการออกมาข้างนอก 
มันพาฉันไปที่นั่นแหล่ะ"เธอหันมามองผม 
" ว่าไงล่ะ ทีนี้ยังบอกได้ไหมว่าคุณยังรักฉันอยู่ ยังรักผู้หญิงที่มันไม่มี
ยางอายคนนี้ ผู้หญิงร่านที่เต็มไปด้วยตันหาอย่างฉัน 
ว่าไงล่ะคุณ!!! ว่าไงล่ะทิน!!!" เธอตะโกนถามผม แล้วหัวเราะเหมือนไร้สติ
"ว่าไงล่ะ คุณจะยังรักฉัน โอบกอดฉันอยู่ได้มั้ย คุณจะช่วยฉันได้ไหม" 
แล้วเปลี่ยนเป็นร้องไห้ดังเด็กน้อยที่ต้องการความช่วยเหลือ 
ผมตัดสินใจ "คุณอยากจะไปให้พ้นมั้ย" "คุณว่ายังไงนะ"
 "ผมถามว่าคุณต้องการไปให้พ้นจาก ที่นี่มั้ย"  
เธอมองอย่างไม่อยากเชื่อ  "ไปกับผม"  "คุณต้องถูกพ่อฉันไล่ฆ่าแน่" 
"อยู่โดยไม่มีคุณ  ก็เท่ากับผมตายไปแล้ว" "คุณแน่ใจเหรอ... ทิน" 
เธอเอ่ยชื่อผมด้วยเสียงแผ่วเบา.. 

เราสองคนเก็บข้าวของที่จำเป็น ผมเอาเสื้อยืดกับกางเกงเลย์ให้เธอเปลี่ยน 
"ใส่แบบนี้ไปก่อนนะแก้ว แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปหาซื้อเปลี่ยน" 
ผมไปโดยไม่บอกปั๋งตั้งใจว่าจะโทรมาบอกมันทีหลัง 
"ป่านนี้พวกมันคงตามหาแก้วกันอยู่ อีกอาทิตย์พ่อเลี้ยงถึงจะกลับจากบ่อน" 
"ถึงตอนนั้นเราคงไปถึงที่หมายแล้ว" เธอเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ 
"ขึ้นมาเถอะ" ผมบิดกุญแจพาหนะคู่ชีพแล้วทะยานออกไปสู่ทางข้างหน้า 
ที่มีจุดมุ่งหมายคือความรักและเราสองคนเป็นผู้เดินทางไปไขว่คว้า....

ระหว่างทางเรามีจอดแวะทานข้าว ซื้อเสื้อผ้าที่จำเป็น 
แก้วบอกมีเงินติดตัวมาไม่มากนัก ผมเพียงแต่ยิ้มไม่ได้ว่าอะไร 
ตลอดทางแก้วดูมีความสุขแม้จะมีบ้างที่จมอยู่ในโลกของเธอ 
แต่นั่นเพียงชั่วขณะเท่านั้น เราถึงที่หมายเกือบพลบค่ำ 
ผมลัดเลาะไปตามทางอย่างชำนาญ จนมาถึงบ้านเดี่ยว ชั้นเดียว
มีสวนเล็กๆเป็นฉากหน้า แก้วดูชอบใจกับบรรยากาศทิวทัศน์รอบข้าง 
เธอก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ เดินไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลับตาพริ้ม 
ผมตามไปโอบกอดเธอจากด้านหลัง "บ้านของทินเหรอ" 
"บ้านของแม่น่ะ ทินไม่คิดว่าจะได้กลับมาอีก" 
ผมคลายวงแขนเดินเหยียบบันไดเล็กๆ
ไขประตูสีฟ้าอ่อนตัดกับกำแพงขาว "ที่นี่มีความทรงจำมากมาย 
ที่ทั้งสวงงามและหดหู่มันเยอะจนทำให้...ทินทนอยู่ที่นี่เพียงลำพังไม่ได้" 
ผมเดินกลับมาจูงมือเธอ เข้ามาในตัวบ้านตรงไปที่ห้องนั่งเล่น
เดินไปเปิดผ้าม่านกระจกบานใหญ่ เห็นทิวทัศน์อันสวยงามภายนอก
ภายใต้แสงตะวันที่ใกล้ลับเพื่อให้พระจันทร์ขึ้นมาทำหน้าที่แทน
"ทำไมทินถึงอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้"  ผมหลบสายตาเธอ
เพื่อซ่อนความอ่อนแอในใจ แก้วเดินมากุมมือผมไว้ 
"เล่าให้แก้วฟังมั่งสิ เรื่องของทิน เรื่องราวของคนที่รักแก้ว"  
ผมยังคงนิ่งงัน "ทินตอนนี้เราเป็นคนคนเดียวกันแล้ว เราใช้ใจร่วมกัน 
ให้แก้วได้แบ่งเบาความเศร้าในตาทินบ้างเถอะนะ" 
"แม่ทินเป็นเมียน้อย" ผมพูดประโยคแรกอย่างลำบาก 
"บ้านหลังนี้คือชีวิตของแม่ พ่อทินเป็นคนที่อยู่ในแวดวงการเมือง 
แต่แม่ไม่เคยคิดจะเรียกร้องสิ่งใดจากความร่ำรวยของพ่อ 
ที่แม่ต้องการคือเศษความรักจากพ่อที่แบ่งปันมา ในที่สุดก็ออกมาเป็นทิน 
พ่อซื้อบ้านหลังนี้ให้แล้วใส่ชื่อเป็นชื่อแม่เป็นสิ่งเดียวที่แม่ต้องการ 
แม่บอกอย่างน้อยเราสองแม่ลูกจะได้มีที่ซุกหัวนอน 
แม่บอกว่าพ่อรักพวกเราแต่คนเราไม่มีทางที่จะได้ทุกอย่าง  
พ่อเลือกที่จะรักษาชื่อเสียง และเลือกใช้เงินดูแลผมกับแม่ 
แม่เก็บเงินทุกบาทส่งผมเล่าเรียนแม่บอกเสมอว่าทิน
คือลูกที่เกิดจากความรัก ทั้งที่ทินคิดเสมอว่าทินเกิดจากความใคร่
ของชายคนหนึ่งเพียงเท่านั้น"  "ทิน"  
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนเธอจูบปลอบขวัญผมที่เปลือกตา  
"ทินไม่เป็นไรหรอกแก้ว เพราะความรักของแม่ทำให้ทินเข้มแข็ง 
แม่ไม่เคยทำให้ทินรู้สึกขาด ทินมีทุกอย่างเหมือนที่คนอื่นมี 
ทินได้เล่าเรียนอย่างที่ใจทินต้องการ แต่เช้าวันหนึ่งแม่จากไปด้วยโรคร้าย 
ทินจำได้ว่าร้องเรียกแม่เท่าไหร่ แม่ก็ไม่ตื่น ไม่ลืมตามาพูดกับทินอีก  
งานศพแม่เป็นไปอย่างรวดเร็ว จนทินไม่เชื่อว่าแม่ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว"  
แก้วบีบมือผมไว้แน่นเราต่างสบตาอย่างเข้าใจกันและกัน 
"ทินไปเช่าบ้านอยู่ และปิดตายบ้านหลังนี้ เพราะทินอยู่
แล้วรู้สึกเคว้งคว้าง เรามีกันสองแม่ลูก เมื่อไม่มีแม่อยู่ด้วย
บ้านหลังเล็กๆนี้กลับดูกว้างใหญ่ขึ้น แต่..."  
"เวลานี้ผู้หญิงที่ทินรักอยู่ตรงหน้า ผู้หญิงที่ทินคิดว่า
เธอคงรักทินเช่นกัน" เธอซับน้ำตาผมด้วยคำพูดคำเดียว 
"แก้วรักทิน"ผมลูบไล้เธออย่างแผ่วเบา ดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด 
และคืนนั้นเราสองคนหลับไหลไปพร้อมความรัก.......				
10 สิงหาคม 2545 07:10 น.

คือความรัก (บทเริ่มต้น)

zonkung

ในค่ำคืนแห่งแสงสี เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งของเหล่านักท่องราตรี ผมได้พบกับเธอ ผู้ซึ่งเปลี่ยนชีวิตผมจาก เรียบง่าย เป็นเร่าร้อน บ้าคลั่งตามแต่ใจเธอจะต้องการ

ผมนั่งมองเธออย่างนิ่งงันดังมนต์สะกดเธอสวยแต่ดูเศร้าในแววตา  เธอคงรู้สึกถึงการจ้องมอง   เธอหันมาเห็นแล้วจึงเดินมาใกล้ เราสบตา กันเพียงครู่ 
เธอประทับริมฝีปากอย่างรวดเร็ว  เนิ่นนาน หอมหวานแต่กลับรู้รสถึงความเย็นชา ผมผละจากเธอหลังจากได้สติ เธอชิงตอบแววตาสงสัยของผม
"นี่ ไม่ใช่หรือคือสิ่งที่คุณต้องการ" เธอยิ้มอีกครั้ง " รางวัลที่คุณจ้องมองฉัน" แล้วจึงเดินจากไป  "เดี๋ยวก่อน" เร็วเท่าความคิดผมฉุดข้อมือเธอไว้
เราสบตากันอีกครั้งแต่ครั้งนี้ที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มต้น ผมกระชับร่างเธอไว้ในอ้อมแขน ในใจผมเต้นแรงอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน กับผู้หญิงคนหนึ่ง 
ที่เพิ่งพบกัน ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ "ผมรักคุณ" คำสั้นๆ แผ่วเบา แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะจากเธอ เธอยิ้มก่อนที่จะผละไปจากอ้อมกอดของผม
ทิ้งผมไว้ท่ามกลางความงุนงงของผู้คน แต่เพียงไม่นานเขาเหล่านั้นกลับไปสนุกสนานเฮฮาต่อไป คงเหลือแต่เพียงผมที่ยืนบ้าใบ้อยู่เพียงคนเดียว........

ผมตื่นมาในตอนสายๆของอีกวัน ในใจยังงงงันกับเรื่องเมื่อคืน ผมไม่ได้ดื่มมากมายนัก มันจึงไม่ใช่เพียงเรื่องเพ้อฝัน หากเป็นเช่นนั้นทำไมผมถึงรู้สึกรักเธอ
ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ผมรู้เพียงอย่างนึง อาจจะเป็นแววตาของเธอกระมัง กระด้างเย็นชาแต่กลับ เศร้าโศก ..... เสียงเครื่องสื่อสารดังขึ้นทำลายความคิดอันฟุ้งซ่าน 
แต่ตอนนี้ผมไม่อยากรับมันไม่อยากพูดคุยกับใคร ผมตัดสินใจกดสายทิ้ง ปิดเครื่อง แล้วนั่งค้นหาคำตอบในเรื่องเมื่อคืนต่อไป.....แต่สุดท้ายมันกลับไม่ได้อะไรขึ้นมา
มีเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้กระจ่างชัดในความรู้สึกของผม ผมต้องไปหาเธออีกครั้งในค่ำคืนนี้ ผมเฝ้ารอเวลาที่ความมืดจะมาเยือน เพื่อที่จะไปพบเธออีกครั้ง
"เฮ้ย ไอ้ทิน เมื่อตอนบ่ายๆทำไมเอ็งไม่รับโทรศัพท์ข้าวะ แถมยังปิดเครื่องอีก" ปั๋งเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าผม 
"เมื่อคืนข้าไปห้องน้ำ เอ็งดันหนีกลับก่อน ข้าจะโทรไปถาม..." ผมขัดขึ้นก่อนที่ปั๋งจะร่ายยาวไปกว่านี้ "เออ ข้าขอโทษ แต่ข้าเบื่อๆเลยกลับก่อน" 
ผมยังไม่อยากเล่าเรื่องวุ่นวายในใจให้ปั๋งฟัง ด้วยรู้ดีว่ามันก็คงหัวเราะผมเหมือนผู้หญิงคนนั้นคนที่ผมหลงรักทั้งที่ไม่รู้จักกันแม้แต่นิดเดียว
"แล้วเรื่องโทรศัพท์ล่ะ" ผมถอนหายใจ "ก็ข้าบอกว่าข้าเบื่อไง" ผมหันไปมองหน้าเพื่อนทีดูจะหงุดหงิดกับคำตอบของผม
 "เฮ้ยปั๋งคืนนี้จะไปอีกมั้ย" ผมเป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นบ้าง
 คำตอบคือเรา 2 คนมาถึงร้านเดิม ในเวลาเกือบ 3 ทุ่ม วันนี้ผู้คนดูหนาตากว่าเมื่อวาน เราจึงจำเป็นต้องนั่งโต๊ะที่จัดไว้นอกร้าน 
ผมนั่งดื่มไปเรื่อยๆ ขณะที่ปั๋งออกเต้นรำอย่างสุดเหวี่ยงเสียงเพลงที่เร่าร้อน มันคงเทียบไม่ได้กับความรู้สึกในใจของผมเวลานี้ 
"เฮ้ยทิน มาเต้นบ้างสิวะ" ปั๋งวิ่งมาดึงผมให้เข้าไปเบียดเสียดกับคนมากมาย พลันสายตาผมก็เห็นคนที่ผมมองหามานานนับชั่วโมง
"เอ็งไปเต้นเถอะว่ะปั๋ง" ผมเดินแทรกผู้คน เพื่อจะไปพบคนที่ต้องการเมื่อเห็นเธออยู่ตรงหน้า ผมปรารถนาให้เวลาหยุดลง
"คุณ .... ติดใจงั้นหรือ" เธอดึงผมไปใกล้ "แต่คราวนี้ไม่ใช่ของฟรีแล้วนะ" เธอกระซิบ พร้อมเอื้อมมือมาสัมผัสหน้าท้องของผม
ลูบไล้ลงต่ำไปเรื่อยๆ ก่อนที่มันจะมากไปกว่านั้น ผมถอยหลังออก "คุณจะทำอะไร" "ทำในสิ่งที่คุณต้องการ" "สิ่งที่ผมต้องการ"
"ใช่ สิ่งที่ผู้ชายทุกคนต้องการจากผู้หญิง" เธอจ้องมองผม "มันจะไปมีอะไรนอกเหนือจากเรือนร่าง จะมีอะไรนอกเหนือไปจาก เซ็กซ์" ผมยืนนิ่ง
"คือเหตุผลทำให้คุณตามหาฉันในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่เหรอ" "ไม่ใช่" เธอเลิกคิ้วสงสัย "ผมตามหาคุณ เพราะผม..." 
"พอแค่นั้นแหล่ะไอ้หนุ่ม" เสียบเรียบๆทรงอำนาจของชายวัยกลางคน "แก้วมานี่" เธอเดินไปอย่างว่าง่าย
 "พ่อเคยบอกใช่มั้ยว่าไม่ให้มาที่แบบนี้" "กลับถึงบ้านเราจะต้องคุยกันยาว" "ส่วนแก" เค้ามองผมอย่างเย็นชาก่อนจะสั่งลูกน้องลากผมไปยังตรอกเล็กๆแถวนั้น..

เมื่อผมลืมตาอีกครั้งพบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย "เฮ้ยฟื้นแล้วเหรอวะ" เสียงปั๋งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น "เอ็งสลบไปเกือบอาทิตย์" "ข้านึกว่าเอ็งจะไม่รอดซะเเล้ว"
"ผมอยากจะขอบคุณปั๋งแต่ร่างกายผมกลับไม่ทำงานเอาเสียเลย "เอ็งยังขยับไม่ได้นะ" ปั๋งบอกเมื่อเห็นผมทำท่าขยับ "หมอบอกอย่างน้อยๆต้องอีก 2 อาทิตย์กว่าจะเริ่มเดินได้"
ผมปล่อยให้วันเวลาดำเนินต่อไปตามทางของมัน แต่ไม่ลืมภาวนาให้มันเร่งวันเร่งคืนจนถึงวันที่หมอกำหนด ในใจผมตอนนี้ยิ่งร่ำร้องถึงเธอหนักขึ้น ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงสนใจ
เธอนัก เพราะแววตาของเธอซ่อนความร้าวลึกไว้ ทำให้ผมอยากค้นหาความหมายหรืออาจจะมีอะไรที่มากไปกว่านี้อีก ผมต้องหาคำตอบให้พบ
  
วันนี้จะเป็นวันครบกำหนด ที่หมอจะอนุญาติให้ผมกลับบ้านได้ หมอกำชับให้ผมอย่าเพิ่งหักโหมทำอะไรหนักๆ มันจะส่งผลต่อความบอบช้ำของร่างกาย ผมกลับถึงบ้านโดยมีปั๋งมาส่ง
"เฮ้ยข้าว่าจะย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนเอ็ง จนกว่าเอ็งจะหายดี" ปั๋งบอกความต้องการ ซึ่งผมไม่คิดจะขัด เพราะนอกจากปั๋งซึ่งเป็นทั้งเพื่อน และเป็นเหมือนครอบครัวคนเดียวที่ผมมีมาตลอดชีวิต
ผมเองก็ไม่มีใครอีกแล้ว "ทิน บอกข้าได้มั้ยคืนนั้น เอ็งไปทำอะไรมา" มันจ้องถามด้วยสีหน้าจริงจัง ผมตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมด รวมทั้งความรู้สึกของผมต่อ แก้ว ผู้หญิงที่ผมหลงรัก
"ข้าจะบอกอะไรให้ฟังนะ เลิกยุ่งกับเธอซะ" "ไม่มีผู้ชายคนไหนที่เข้าใกล้เธอได้ และถึงแม้จะได้ ก็แค่ชั่วครู่เท่านั้น" ปั๋งถอนหายใจก่อนจะเล่าต่อ "ส่วนมากเจอแบบเอ็ง ก็ถอยห่างกันหมด"
"ทำไมเอ็งรู้เรื่องดีนักวะ" "ในหมู่นักเที่ยวเค้าเล่ากันไว้นี่หว่า ใครจะไปเหมือนเอ็งไปถึงนั่งกินแต่เหล้าไม่พูดจากับใคร" "แต่ข้าก็รู้เพียงแค่นั้นแหล่ะ เธอเองก็ เอ่อ ..." ปั๋งมองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ
"เจอใครก็สนุกกับเค้าไปทั่ว เอ็งเข้าใจความหมายนี้ใช่มั้ย ทิน  คงเป็นเหมือนพวกคุณหนูใจแตกทั่วๆไปนั่นแหล่ะออกมาสนุกกับโลกโลกีย์ เห็นว่า อายุยังแค่20 ต้นๆด้วยซ้ำ"
ผมนิ่งงัน ฟังด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เธอรู้จักยั่วเย้าอารมณ์คนมาตั้งแต่ตอนไหนนะ สิ่งที่เธอทำในคืนนั้น มันเข้าขั้นมืออาชีพ เข้าขั้นคนที่ผ่านเวทีโลกีย์มานักต่อนักนับไม่ถ้วน.....

การพักฟื้นร่างกายเป็นไปอย่างดีจาการช่วยเหลือของปั๋ง ไหนจะเรื่องงานที่คอยเป็นธุระแทนให้ 
 "อีกไม่นานคงไปรับวาดรูปได้เหมือนเดิมแล้วล่ะ โชคดีนาที่เอ็งมีงานเก็บไว้บ้างไม่งั้นตายห่ะ ไม่มีอะไรยาไส้กันทั้งคู่" ปั๋งบอกพร้อมหัวเราะ "ข้าว่าถ้าไม่มีเอ็งก็หามาจนได้แหล่ะว่ะ" ผมตอบกลับ
มันเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น ผมดึงปั๋งเข้ามากอด "ขอบใจว่ะ มีแต่เอ็งเท่านั้นแหล่ะที่เป็นห่วงข้า" "เฮ้ยๆ ขอบใจเฉยๆก็พอว่ะ เดี๋ยวฟ้าผ่ากลางวันแสกๆหรอก" สิ้นประโยค เราต่างขำจนท้องแข็ง
จนผมเองเจ็บแผลแต่มันก้อหยุดขำไม่ได้...  


โปรดติดตามตอนต่อไปของ คือความรัก(เริ่มต้นความผูกพัน) 
"คุณอยากจะไปให้พ้นมั้ย" "คุณว่ายังไงนะ" 
"ผมถามว่าคุณต้องการไปให้พ้นจาก ที่นี่มั้ย" 
เธอมองอย่างไม่อยากเชื่อ  "ไปกับผม"  
"คุณต้องถูกพ่อฉันไล่ฆ่าแน่"
" อยู่โดยไม่มีคุณ  ก็เท่ากับผมตายไปแล้ว"				
29 กรกฎาคม 2545 11:24 น.

ผมอยากจะเขียน

zonkung

เช้าๆของชีวิตเด็กหนุ่มคนนึง ตื่นมาก็กดสวิตซ์เจ้าตู้เหลี่ยมๆ เหมือนกลัวใครมาแย่งกด ทั้งที่ใช้อยู่คนเดียว นั่งกดนั่งจิ้มเป็นเวลานาน เข้าหน้าต่างนู้น ไปหน้าต่างนี้ เรื่อยๆ 
ย้อนไปเมื่อ 1 ปีก่อน ในค่ำคืนแห่งการค้นหา หนุ่มน้อยเพิ่งได้เจ้านี่มาไว้ในครอบครองพร้อมเบอร์โทรศัพท์ใหม่เอี่ยม 1 สาย ให้ออกไปท่องโลกกว้าง ทั้งๆที่นั่งอยู่ในบ้านไม่ได้ขยับแข้งขาสักกะติ๊ด แล้วค่ำคืนแห่งความสนุกก็เริ่มขึ้น
"หวาจะเข้าไปไหนดีล่ะเนี่ย เข้าที่ดังๆก่อนละกัน เอ พิมพ์.... " หนุ่มน้อยบ่นงึมงำ ก่อนจะค้นหาหน้าต่างบานใหม่เพื่อท่องเที่ยว ตื่นตาตื่นใจได้สักแป๊ปหนุ่มน้อยก้อเริ่มเบื่อ 
" พรุ่งนี้ไปหาคู่มือดีกว่า ว่าหน้าต่างบานไหนมีที่เที่ยวดีๆมั่ง "
หนุ่มน้อยคิดในใจ ก่อนปิดการทำงานเจ้าตู้สี่เหลี่ยม รอวันใหม่ที่เขาจะได้ค้นหาอะไรสนุกๆในโลกกว้างใบนั้น
มาถึงอีกหนึ่งค่ำคืน การท่องเที่ยวเป็นไปเรื่อยๆ หน้าต่างโลกดนตรีเด็กหนุ่มก้อไปไม่ว่าจะป็นค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ไปเที่ยวชมหมดแล้ว หน้าต่างท่องเที่ยว หน้าต่างกีฬา หน้าต่างเกมส์ จนหน้าต่างสุดท้ายในวันนั้นหนุ่มน้อยก็มาโผล่ที่
"อ๋าหย๋า มีแต่ภาพโป๊ อืม ถึงชอบแต่ มะเอาดีก่า เก็บไว้ก่อน ใครตื่นมาเห็นล่ะยุ่ง ปิดๆ อิอิ" หลังจากผ่านหน้าต่างระทึกขวัญก็ยังไม่ง่วง (เจอหน้าต่างแบบนี้ตาสว่างเลย) เลยเปิดคู่มือเพื่อหาหน้าต่างบานใหม่ ไปสะดุด อยู่ที่หน้าต่างบานนี้และจากนั้นกลายเป็นว่าเป็นหน้าต่างที่เด็กหนุ่มโปรดปรานมากที่สุด
หน้าต่างบานนี้ สร้างเพื่อนให้ สร้างรอยยิ้มได้ ที่สำคัญสร้างงานเขียน ที่ค่อยๆเติบโตตามวันเวลา ตามผู้เขียนอย่างผม ผมมาสัมผัสงานเขียนยาวๆครั้งแรก ในเมื่อหน้าต่างบานนี้เปิดโอกาส ไว้ให้แล้ว ผมก็ควรได้หยิบมาใช้ หลังจากนั่งใคร่ครวญว่าจะเขียนอะไร จึงค้นพบว่าผมน่าจะเขียนเรื่องใกล้ตัว ในหัวใจ ในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก แล้วก็ออกมาเป็นเรื่องนี้ เข้าออกหน้าต่างบานนี้เป็นเวลาแรมปี ผมมีแต่เรื่องที่น่ายินดีทั้งนั้น อืม ผมบอกเเล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไร แค่ความในใจเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ขอบคุณครับที่ติดตาม อิอิ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟzonkung
Lovings  zonkung เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟzonkung
Lovings  zonkung เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟzonkung
Lovings  zonkung เลิฟ 0 คน
  zonkung
ไม่มีข้อความส่งถึงzonkung