26 เมษายน 2551 11:07 น.

ทริปนี้...หนีเที่ยว

กชมนวรรณ

 
00174_12.jpg

ทริปนี้หนีเที่ยวเกิดสืบเนื่องจาก เรื่องหมารีสอร์ท สาวใบตอง (bananaleaf ) เห็นบรรยากาศชายทะเล แล้วเกิดมีความอยาก เที่ยวทะเล เพราะอย่างว่า อุทัยฯ ไม่มีทะเล เลยต้องเพิ่งทะเลที่อื่น พอดีกับที่ความรักระหว่าง พี่น้อง กำลังเบ่งบานเต็มที่ ขณะที่คุยกันเล่นๆ กันทางโทรศัพท์ ณ วันหนึ่ง ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าวันที่เท่าไหร่ คุยไปคุยมา อีท่าไหนจำไม่ได้อีกเหมือนกัน จู่ๆ มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อ เราสองคนนัดวันที่จะเจอกันซะแล้ว เอาละสิ10 นาทีถัดมาจึงพร้อมใจกันหยิบปฎิทินหาวันว่างให้ตรงกัน เช็คไป เช็คมา ปรากฏว่าคุณน้องเธอจะเคลียงานให้เสร็จทันในวันที่ 19 แล้วจะบินมาหาดใหญ่ก่อน ตอนที่นัดฉัน คิดในใจว่าอีกตั้งเกือบเดือนเดี๋ยวคุณเธฮคงจะโทรมาบอกว่า พี่รันใบตองไปไม่ได้แล้วนะ  แล้วค่อยหาเวลาเจอกันใหม่น้า แต่.... อีกสักพักได้ยินเสียงโทรศัพท์อ้าว ใบตอง ว่าแล้วว่าต้องโทรมาเลื่อนนัดแน่นอน 
จ้า ใบตอง มีรัยหรอ มาไม่ได้หรอหรือว่าเคลียงานไม่ได้ล่ะ
เปล่าพี่รัน ตองจะโทรมาบอกว่า ตองจองตั๋วเครื่องบินได้แล้วนะ เครื่องออกจาก สุวรรณภูมิ เย็นวันที่ 19 ประมาณทุ่มหนึ่งถึงหาดใหญ่ ประมาณ สองทุ่มครึ่ง พี่รันไปรับใบตองที่สนามบินนะ อ้าวดูมันไอ้น้องคนนี้เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจัดการเสร็จสรรพ ฉันก็ทำแค่รับปากหล่อนไปด้วยความงง กะไม่แน่ใจ ว่า จ้าเอาไว้ใกล้ถึงวันเตือนกันอีกทีเนาะ แถมยังคุณน้องยังบอกอีกว่า วันที่ 19 กลางวันยังมีสอนปรับพื้นฐานเด็กอยู่อีกนะนั่นแล้วจะมาขึ้นเครื่องที่กรุงเทพฯ ทันหรอ เจ้าหล่อนตอบมาด้วยเสียงสดใสว่า 
น่าเดี๋ยวตองจัดการเอง ตอนแรกนัดกันว่าให้ใบตองไปลงที่กระบี่แล้วต่อรถไปที่เกาะลันตาเอง แต่สรุปว่าหล่อนไม่ยอม จะมาหาดใหญ่ให้ได้ บอกจะมาดูฐานะพี่รันก่อนว่าความเป็นอยู่อย่างไร บ้านนอกแค่ไหน อิอิ และคำตอบสุดท้ายที่ได้ยินคือ จะมาถล่มพี่รัน ก่อนไปกระบี่ แหม เศรษฐีจะมาถล่มยาจก ได้ซิเต็มใจ และจึงเกิดแผนการเฉพาะกิจ ที่มีชื่อว่า ทริปนี้...หนีเที่ยว เพราะเหตุผลที่ว่าหนีเที่ยวนี้คือต้องการแต่สาวๆ วัยรุ่น(รุ่นไหน ไม่เกี่ยง) แบบเจี๊ยว จ๊าวกันเฉพาะกิจ หนุ่มไม่เกี่ยว แก่ก็ไม่เจาะจง ว่ากันอย่างนั้น แต่สองคนมันจะสนุกอะไร ต้องมีก๊วนของเราสิ ว่าแล้วจัดการโทรหาก๊วนเฉพาะกิจทันที เพราะงานไหนงานนั้นเรื่องเที่ยวไม่มี คำว่า No และงานนี้ก็เช่นกัน ไม่มีคำว่า No กันอีกตามเคย แต่ขอพ่วงเด็กไปด้วยเพราะไอ้ครั้นจะเที่ยวกันแล้วให้คนที่บ้านดูลูกด้วยมันก็กระไรอยู่  อิอิ  เลยถือเสียว่าต่างคนต่างปล่อยผีกันไป 5555 จึงมีสาวติ๋ม คนนี้ตั้งใจทุกครั้งที่เที่ยวเพราะเป็นแม่ครัวประจำทีมงาน งานไหนงานนั้นคุณเธออยู่ในครัว ค่ะ ฝีมืออาหารใต้ ขอบอกว่า เธอไม่แพ้ใคร  อีกคน คุณลำไย ผู้เป็นคนเอ็นเตอร์เทรน ทีมงาน งานไหนงานนั้นขาดเธอ งานกร่อย สามารถเข้าถึงเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้แก่ เธอมีเรื่องคุยให้เค้าเฮ ได้ทุกงาน และบอกไปว่างานนี้มี โอเกะ มีหรอคุณเธอจะปฎิเสธ  
                  วันที่ 19 มาถึงวันนั้นเป็นอะไร ไม่รู้มันยุ่งทั้งวัน ทำอะไรก็ไม่เสร็จสักอย่าง แม้แต่รีดผ้าจะไปเที่ยวก็ยังไม่จัดการ เช้าเจ้าใบตองโทรมาบอก พี่รัน ตองออกจากบ้านแล้วนะเดี๋ยวถึง สนามบินจะโทรบอก
อ้าว ใบตองบอกว่าวันนี้กลางวันมีสอนไม่ใช่หรอ แล้วเครื่องมันออก ตั้ง เกือบสองทุ่มทำไมรีบออกนักล่ะ
แหะ พอดีลูกศิษย์เห็นใจ อาจารย์ค่ะ บอกไม่ต้องสอนก็ได้ตองเลย แจกชีทให้นักเรียนไปอ่านแทน อุตส่าห์ลงทุนเพิ่มเนื้อหาชีท ด้วยการซีร๊อคเพิ่มนะ บอกนี่ตองต้องยอมลงทุนควักกระเป๋าตัวเองเลยนะพี่รัน
จ้า...แม่ครูผู้เสียสละ 
                 ตกเวลาทุ่มกว่าแล้วฉันก็ยังนั่งรีดผ้าไม่ได้จัดกระเป๋าอีกต่างหาก เฮ้อ ชีวิต ทำไมมายุ่งวันนี้นักนะ เพื่อนถามยุ่งเรื่องอะไร หรอ บอกเดี๋ยวนึกก่อน ผ่านไปสักเกือบ 3 นาที ตอบเพื่อนไปว่า ไม่รู้เหมือนกันว่ะ รู้แต่ว่ามันยุ่งจริงๆ ฮา พอได้เวลา ปุ๊ป รีบอาบน้ำแต่งตัวจับรถไปรับน้องที่สนามบิน นั่งรอด้วยการสั่งน้ำอัดลมในสนามบินมานั่งดูดรอเวลา กะกาแฟ เย็น  1 แก้ว ปาเข้าไป 140 บาท โห รู้งี้แม่แวะซื้อใส่ถุงพลาสติกหิ้วมาเองก็ได้ 10 บาทเองถุงเบอร์เริ่ม เทิ้ม  แต่เดี๋ยวได้เจอใบตองตัวเป็นๆ แล้วหลังจากเห็นกันแค่ในรูป ว่าตัวอ้วนๆ กลมๆ ขาวๆ จนมีพี่ชายตั้งฉายาให้เราสองคนว่า พี่หมีดาม กะหมีขาวแล้ว ได้ยินเสียงประกาศว่าเครื่องเที่ยวที่ใบตองโทรมาบอกลงแล้วใจเต้น ตุ้มๆ ต่อมๆ เดินไปคอยน้อง ที่ประตูทางออกผู้โดยสาร แต่แอบเอาตัวบังเสา ไว้นะ แบบลองดูซิว่าใบตองลงมาแล้วหาไม่เจอ ทำหน้าแบบไหน สักพัก เห็นหมู เฮ้ย ...ไม่ใช่ ผู้หญิงตัวอ้วนๆ กลมกลมใส่แว่นเดินลากกระเป๋าเดินทางมาด้วยมาดมั่นมาก มั่นที่ได้หนีนักเรียนมาเที่ยว แน่นอน ต้องเจ้าใบตองแหง ฉันยืนมองน้องเงียบๆ อย่างส่งกระแสจิตผ่านเสา บังเอิญกระแสจิตมันแรง เสาบังไม่อยู่ (หรือว่าหุ่นแบบบังเสาไม่มิดก็ไม่แน่ใจ)  ใบตองหันมาเห็น รีบเดินเข้ามา ฉันหรอ ตื่นเต้นแค่ยืนรอน้องเดินลากกระเป๋าเข้ามาหาพร้อมยกมือสองมือเพื่อกอดน้อง วินาทีนั้น คนไม่เคยมีน้องอย่างฉันรู้แล้วว่า น้องไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันกับเราทีหลังแต่คนที่เรารักเหมือนน้อง ความรู้สึกห่วงใย และผูกพันไม่ต่างกันเลยสักนิด อ้อมกอดของกันและกันมันอบอุ่นแนบไปถึงหัวใจ แต่มือเรากลับเย็นเฉียบ ผละมองหน้ากันให้ชัดยิ่งขึ้น เจ้าใบตองคว้าหน้าฉันเข้าจุ๊ฟ แก้มซ้ายก่อนบอก อันนี้ฝากลุงเบรฟฯ แล้วจุ๊ฟ อีกข้างบอก ข้างนี้ฝากป้าหวาน ฉันน้ำตาซึมนิดหน่อยตามประสาคนหวั่นไหว ง่าย... ฮา เสียดายไม่ได้พกกล้องไปเก็บความประทับใจเอาไว้ แต่ไม่เป็นไรหรอก มันประทับอยู่ในใจฉันและฉันได้บันทึกมันไว้แล้วตามแบบฉบับของคนชอบบันทึก หลังจากวินาทีตื่นเต้นผ่านไป ฉันลากมือน้องไปยังรถที่รออยู่ ใบตองกะฉันเดินกุมมือกันไป ใบตองถามรถจอดที่ไหนพี่รัน ฉันบอกตามมาเหอะ  พอไปถึงลานจอดรถซึ่งมีรถเก๋งจอดอยู่เพียบ ใบตองคงจะยิ้มในใจนึกว่าฉันจะเอารถเก๋งคนโตไปรับ อิอิ  แต่ฉันกลับเดินไปหารถตุ๊กๆ ของน้องชายคนหนึ่ง บอกเอ้าใบตองขึ้นรถเร็ว ใบตองขึ้นรถตุ๊ก ตุ๊ก พร้อมหัวเราะกร๊าก อย่างสมใจ เพราะไม่เคยนั่งรถตุ๊กตุ๊ก หาดใหญ่ 555 คืนนั้นกว่าจะกลับเข้าบ้านฉันได้ปาเข้าไปอีกเกือบตีหนึ่ง พอถึงบ้านแอบย่องไปเคาะประตู เพราะดันลืมเอากุญแจบ้านออกมา ฮา บอกแล้วว่าการหนีเที่ยวนี่มันมักจะมีอุปสรรคขวากหนามให้เราได้แก้ตัว เฮ้ย...ไม่ใช่...แก้ไขอยู่เสมอๆ  กว่าจะจัดกระเป๋าที่ฉันจับผ้ายัดๆใส่   กว่าจะนอน ปรากฏว่าใบตองอยู่บ้านฉันไม่ถึง 5 ชั่วโมง หกโมงเช้าเรารีบออกจากบ้านกันทันที แวะทานอาหารเที่ยงที่ตรัง และ ต่อรถจากตรังไปเกาะ ลันตา ถึงเกาะประมาณ บ่ายสามโมงเย็น หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีแล้วจัดการแยกย้ายกันเข้าสู่ที่พักพร้อมคิดโปรแกรมเที่ยว แต่ที่แน่ๆ มื้อเย็นนี้ฝีมือแม่ครัว คุณติ๋ม แน่นอนเจ้าค่ะบอกแล้วงานนี้เอามาไม่ผิดคน มื้อแรกของเกาะลันตา รู้สึกเป็นกับข้าว สองสามอย่างง่ายๆ จำพวกกุ้ง หมึก ผัดเผ็ดแบบอาหารใต้ และ ต้มยำ ปลากระป๋อง งานนี้มีฮา มาก เพราะ พวกเล่นหอบปลากระป๋อง อะยัมมาจาหาดใหญ่เป็นโหล และ บะหมี่สำเร็จรูปอีกเป็นแพค ๆ สุดท้ายไม่ได้กินหรอกของที่หอบกันไปนะหอบกลับ และให้น้องๆ ที่รีสอร์ทเค้าไว้ทานกัน ได้ยินใบตองมันบ่น 
อะไร มาเที่ยวทะเลใจคอ จะกินมาม่า กันหรอ เค้าจะกินอาหารทะเล555
         แต่มื้อแรกอาหารทะเลของเจ้าใบตองคือ ต้มยำ ปลากระป๋อง ตราไก่ อิอิ แต่ก็เจริญอาหารดีเหมือนกัน มิน่า หุ่นได้ไม่เปลี่ยนแปลง บอกให้ลดหน่อยหล่อนเป้ปากลดทำไม ลดไปก็ไม่ใช่ใบตองสิ เออแล้วพรุ่งนี้ก็รู้ว่าใบตองจะเป็นใบตองหรือปลาพะยูนเกยตื้น(ส่วนฉันก็ใช่ย่อยเหมือนกัน เล่นพกห่วงยางส่วนตัวไปด้วย แต่หนาน้อยกว่าใบตองนิดหน่อย)  ตอนแรกกะกันว่า พักผ่อนกันก่อนแล้วกะจะข้ามเรือไปเกาะพีพี กันเองแต่ พี่สะใภ้แนะนำให้เหมาเรือ กันไปเรียกว่า one day tour. คือเหมาเป็นรายบุคคล ไปมีอาหารกลางวันเลี้ยง แล้วพาไปแต่ละเกาะ แต่ละอ่าว ที่มีปะการัง และปลาสวยๆอย่างที่เคยเห็นในทีวี  เอาละสิ ตื่นเต้นซะไม่มีเคยแต่ตะกายน้ำ ทะเลอยู่ริมฝั่ง ไม่เคยไปตะกายแถวอ่าวมาหยา ที่เค้าลือกันว่าสวยนักหนา ทีนี้ล่ะ เราจะได้เจอของจริง จะเป็นหมูขาว ดำลอยอืดในน้ำหรือปลาพะยูนเกยตื้นกัน ไปเดี๋ยวได้รู้กันพรุ่งนี้ เรือนัดเวลา เจ็ดโมงครึ่ง ให้เสร็จ ปรากฏว่า เจ็ดโมงครึ่งหลานทำอาหารเช้าให้คนละชุด คนอื่นลงมานั่งทานกันหมดแล้วเหลือแต่ใบตอง รถมารับแล้วเจ้าหล่อนเตรีมตัวยังไม่เสร็จ เพราะมัวแต่จัดห่วงยาง ส่วนตัวให้เป็นระเบียบอยู่ ฮา กลัวไปถึงอ่าวแล้วเกิดไม่มีชูชีพ ให้ก็ใช้ห่วงยางส่วนตัวกันไปเลย (แต่ละคนที่ไปพกไปเองทั้งนั้น แต่ใบตอง กะ คุณติ๋ม พกไปมากกว่าคนอื่นเขา ฉันหรอ พกไปสิ แต่แค่พอเอาตัวรอด ฮา)         



หลังจากทำให้คนขับรถมารับไปขึ้นเรือ หัวเสียพอเป็นกระสัย แล้ว ยายใบตองจอมช้า ก็ทำท่าทางเเอคชั่นได้อย่างหน้าบานตาชื่นอย่างที่เห็นที่แระค่ะเพื่อเตรียมลงเรือไปอ่าวมาหยา เป็นอันดับแรก 


บรรยากาศ ระหว่างทางไปอ่าวมาหยาที่ทะเลเป็นใจ มีน้ำทะเลสีเขียวสวย ใส รับคนอุทัยฯ อย่างเต็มใจ อิอิ

 
00178_10.jpg

นี่คือถ้ำไวกิ้ง (แหะ หากจะไม่ผิดนะค่ะ วันนั้นลืมหยิบสมุดบันทึก ติดไปด้วยเสียดายมากๆ)

 
00180_12.jpg

อีกมุมหนึ่งของถ้ำไวกิ้ง ที่มีรังนกนางแอ่นอาศัยอยู่มาก มองจากภายนอก จะเห็นไม้ไผ่ระโยงระยางเต็มไปเต็ม ดูทึมๆน่ากลัวแต่ได้อีกบรรยากาศหนึ่งค่ะ รู้สึกจะเคยมีละครเรื่องหนึ่งมาใช้เป็นฉากถ่ายทำด้วย วันนั้นทะเลเป็นใจจริงๆ ค่ะ


นี่ก็อีกมุมหนึ่งของหน้าถ้ำ เฮ้ย!!! ไม่ใช่หน้าใบตอง อิอิ แบรคกราวเป็นคนต่างชาติแต่รูปนี้ใบตองเหมือนสาวญี่ปุ่น มาเที่ยวทะเลเนาะ กร๊ากกก แต่ดั้งหายไปนิดเปล่านี่.. 


ด้านล่างเรือก็จะมีที่นั่งให้หลบแดดร้อนเปรี้ยงๆ แต่สองหมูไม่กลัวค่ะ กลัวอายฝรั่งมากกว่า เดี๋ยวจะว่าเราไม่กล้าอาบแดด เลยอาบแดดกันหน่อย เริ่มเห็นความเขียว ของอีกคนชัดเจนขึ้นแล้วใช่ไหมค่ะ แต่แหมหุ่นไม่ต่างกันเลยนะนั่น แถมสียังตัดกันอีกต่างหาก.. 


บรรยากาศท้องทะเล กลางแดดเปรี้ยง แต่ขอโทษก่อนลงน้ำมีการตุนกันเพียบกินกันไม่หยุดหย่อน เพราะเล่นหอบขึ้นเรือเป็นกระสอบ (ของกินเล่นล้วนๆ) แล้วนี่จะลอยตัวกันได้หรอ ดูหุ่นแต่ละคนแล้วกลุ้มใจมาก..


เกาะที่ชี้ในรูปนะเกาะอะไร แล้วใบตอง คำตอบคือ เกาะ เกาะ เกาะ อะไรแล้วไม่รู้พี่รัน ทำไมไม่จำล่ะ อ้าวก็มันหลายเกาะ นี่ งั้นขออนุญาต ใช้เรียกเฉพาะกิจเป็นเกาะ หมูชี้ แล้วกันนะค่ะ ใกล้แล้วค่ะ ใกล้ถึงอ่าวมาหยา อ่าวในฝันกันแล้ว..


 
00180_5.jpg

รูปนี้ต้องขอโทษ ท่านผู้อ่านด้วยรู้ว่ามันไม่สุภาพแต่เจ้าใบตอง เค้าเกิดคิดพิเรนท์ ขึ้นมาบอกยกขาหน่อย เดี๋ยวจะเอาไปตั้งคำถาม ว่าอันไหนขาหมีอันไหนขาหมู หากใครตอบได้ใจใบตองที่สุด เรามีรางวัลให้เป็นขาหมูตุ๋นค่ะ งานนี้รับรางวัลที่ หญิงรพี นะค่ะ.... 

 
00174_12.jpg

ในที่สุดก็มาถึงอ่าวในฝันกันสักที ได้ยินแต่ชื่อกันมานานแล้ว นี่เป็นบริเวณทางเข้าอ่าวมาหยา จะเห็นว่าท้องทะเล เป็นสีเขียวใสมาก หากเพื่อนๆ ที่เคยไปมานานแล้ว เห็นแล้ว อยากจะทบทวนความทรงจำรับรองไม่ผิดหวังค่ะ แค่เรายืนมองจาก ดาดฟ้าเรือ ก็สามารถเห็น ปลาการ์ตูนตัวสวยๆ และปลาอื่นๆ ที่ฉันไม่สันทัดในเรื่องชื่อปลา( ที่จริงไม่สันทัดทุกเรื่องแหละ ถนัดแต่เที่ยวและกิน) ตัวใหญ่ว่ายน้ำอยู่เต็มท้องทะเลไปหมด โดยคนที่ไม่ชอบลงน้ำก็สามารถนั่งชมจากบนเรือ ก็ได้บรรยากาศอีกแบบหนี่งค่ะ แต่ทนร้อนนิดหน่อยอิอิ...

 
00174_10.jpg

ที่เห็นเป็นเงาๆ ในน้ำทะเลนั่นคือปลานะค่ะ พอดีตากล้องเป็นมือใหม่จัดจับ เลยจับภาพลูกสาวชัดกว่าปลาไปหน่อย ไม่ว่ากันค่ะ...

 
00178_13.jpg

ทำประหนึ่งว่า เป็นคนว่ายน้ำแข็งมาก แต่ขอโทษค่ะ กว่าจะได้อย่างนี้กินน้ำทะเล จนในคอขมไปหมด ไม่ยอมใส่หน้ากาก และ หลอดดูด อิอิ เพราะมันอึดอัด มาก แต่หมูอ้วน ไปได้ไกลกว่าค่ะ เห็นล่ำขนาดนั้นลอยไปเกยเต้นโน่นสุด อ่าวโน้น 55555555 

นี่ต้องอาศัยห่วงยางของใบตองช่วยเพื่อให้ลอยตัวได้ค่ะอิอิ ดูไม่จืด ขาวกะดำ ตัดกันโดยมีสีเขียวเป็นขอบ เฮ้อ สงสารตัวเอง...เอ๊ะ ใครหว่าดำได้ใจจริงๆ 


งานนี้มีเฮ เมื่อตอนแรก ทำเป็นไม่กล้าห่างเรือกันสักเท่าไหร่ แต่พอใบตองชักคุ้นกะทะเล เลยว่ายห่างออกไปเรื่อยๆ โดยให้เหตุผลว่า ยิ่งไกลปลายิ่งสวย ประการังก็สวย กว่าจะรู้ตัวโน่น ไปเกยอยู่สุดอ่าวแล้ว เรือก็จะตีออกไปที่อื่นแล้วแต่ใบตองยังพลิกตัวกลับเรือไม่ได้ ฉันสอดส่ายสายตาหาเห็นโบกมืออยู่ลิบๆ โน่น เดือดร้อนเด็กเรืออีกแล้ว ต้องกระโดดว่ายน้ำไปลากปลาพะยูนเกยตื้นกลับขึ้นเรือ เสียดายมากที่ไม่ได้ถ่ายภาพนั้นเอาไว้ เด็กเรือ ตัวไม่ใหญ่มาก ผอมๆ ว่ายน้ำลากวัตถุขาวๆ ใหญ่ ตีน้ำเข้าหาเรือ 5555555 ขำมากจนลืมเก็บภาพไว้ให้เจ้าตัวไว้ดูเล่น ดูไม่จืดจิงๆๆๆ 5555555555


วันนี้ฝากไว้แค่นี้ก่อนนะค่ะ เดี๋ยวค่อยมาต่อที่เกาะลิงกะ เกาะพีพี ในภาคสองใหม่ค่ะ....ขอปิดท้ายด้วยภาพที่ต้องขอบคุณตากล้องที่สามารถทำให้คนขี้เหร่ตัวดำ ดูดีขึ้นมานิดหนึ่งพอจะอวดได้ ว่าแต่เป็นใครหว่า....ไม่เห็นดำเท่าไหร่เลยนิ...(คิดเอาเอง)				
23 มีนาคม 2551 22:55 น.

หมารีสอร์ท

กชมนวรรณ

คำว่า หมารีสอร์ทของฉันมันแปลงมาจาก หมาวัด หมาบ้าน นี่แหละ แต่แทนที่จะเป็นหมาวัด หรือบ้าน มันกลับเป็นหมาที่พี่ชายและหลานสาว ฉันเลี้ยงไว้ในรีสอร์ท ที่เกาะลันตา จึงเป็นที่มาของคำว่าหมารีสอร์ท ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 14 ตัว อันสืบเนื่องจากพี่ชาย และ หลานสาว เป็นคนรักหมามาก จึงมีหมาเต็ม รีสอร์ท ทำกิจการ รีสอร์ท ให้ฝรั่งเช่าด้วยพร้อมร้านอาหารเล็กๆ ที่เจ้าหมารีสอร์ทพวกนี้ยึดเป็นที่รับแขกต่างชาติ เสมือนเป็นพนักงาน ต้อนรับ อย่างไร  อย่างนั้น เจ้าพวกนี้จะแยกกันเป็นกลุ่มๆ ที่แก่หน่อย จะอยู่หลังบ้าน ดูว่ามีใครแปลกหน้า โผล่เข้ามาแบบผิดปกติไหม.? หากมีมันจะเห่าเสียงดัง และทำท่าจะวิ่งเข้าหา (เฉพาะที่มันเห็นเป็นคนไทย) จนคนไทยแถวนั้นกลัว กันเป็นแถว แต่กะฝรั่ง มันกลับนอนดูเฉย ๆ ให้เขาเข้าไปติดต่อที่สำนักงานรีสอร์ท ดีเด่... ส่วนอีกพวกที่อยู่ในวัยน่ารัก กำลังซน หน้าตาดีหน่อย  จะยกพวกไปอยู่กลางลานสนาม และ ภายในร้านอาหาร คอยทักทายกับฝรั่งเข้าร้าน จะกระดิกหาง ตอนรับก่อนพนักงานต้อนรับเสียอีก
หากมันพูดได้ คงทัก  Hello, madam/ morning ไม่ก็   อิอิ ฉันนั่งมองเจ้าพวกนี้แล้วคิดตาม เองนะ เพราะฝรั่งที่เดินเข้าร้าน แทนที่จะทัก คนกลับทักหมา ก่อน ทุกครั้ง wow!  morning แล้วก้มจับลูบหัว  ก่อนที่จะนั่งโต๊ะ สั่งอาหารทาน ถามพี่ชายว่า ทำไมเลี้ยงมาก ขนาดนี้ พี่ชายบอก ก็เจ้าครีมมันชอบและคนแถวนั้นพอหมาที่บ้านคลอดลูกมาก หน่อยก็เอามายกให้เลี้ยง ฝากเลี้ยง เลยทำให้มีเกินทีมฟุตบอลอีก  แต่ดีว่ารีสอร์ท ที่นี่มีแต่แขกฝรั่ง ที่มาพักผ่อนแบบเป็นลูกค้าประจำปีเป็นส่วนมาก แต่ถึงเป็นขาจร ฝรั่งก็รักสัตว์กันทั้งนั้น เลยไม่มีปัญหา กับการรับแขกของรีสอร์ท คลองดาว แห่ง เกาะลันตา อิอิ 
                        ถามครีม ว่าเจ้าพวกนี้ชื่ออะไรกัน มั่ง ครีมจำได้ไหม ว่ามันชื่ออะไร กันมั่ง  เจ้าตัว รีบร่ายยาว ทันที  นี่บ๊อบบี๋  นี่บ๊อบบี้  ตัวนี้ปีโป้  เจ้าแปลก(เหตุเพราะ มีหูที่แปลก ข้างหนึ่งชัน ข้างหนึ่ง ตูบ เลยได้ชื่อ ว่าแปลก)  เจ้าคีโร่ ,คุ๊กกี้, เจ้ามาม่า,เจ้ามูมู่,เจ้าโมโม่,เจ้าโกปี๋,เจ้าเดี่ยว,เจ้าเฉาก๊วย สุดท้าย น้องน้ำผี้ง ค่ะครบยังหว่า หากไม่ครบ ต้องขออภัย เพราะจด มาได้แค่นี้ค่ะ ฉันถามอีกว่าใครเป็นคนตั้งชื่อให้เจ้าพวกนี้  น้องครีม กะ ป๋า เป็นคนตั้งค่ะ  น้องครีมตอบด้วยความภูมิใจ เพราะคนอื่น ไม่ยอมเลี้ยง คนรักหมา ก็ต้องเป็นคนตั้งชื่อสิแต่อย่ามาถาม ว่าชื่อแปลกๆ ที่อ่านไปนี่ แปลว่าอะไรกันมั่ง คนตั้งตามบอกตั้งตามใจคนเลี้ยงค่ะ  ทีนี้น้องครีมก็ต้องรับหน้าที่งานให้อาหารน้องหมา คนอื่นจะไม่ยุ่งด้วยหากน้องครีมกลับบ้าน (หากน้องครีมกลับบ้านวันหยุด พร้อม ป๋า) แต่วันธรรมดาตอนช่วงโรงเรียนเปิดน้องครีมจะอยู่โรงเรียนในเมือง ไม่ได้อยู่ที่เกาะเด็กๆ ในร้านก็ช่วยกันไป แต่มีข้อแม้ว่าอย่าให้น้องหมาตัวไหน เป็นอะไรเด็ดขาด  ขาดหายไปสักตัวก็ไม่ได้แม่คุณจะกลับมาเช็ค ทุกตัว บางวันฉันเห็น เจ้าครีม ยังจับ เจ้าคีโร่ จอมป่วน ขึ้นชั่งน้ำหนักบนตาชั่ง ว่าน้ำหนักเพิ่มหรือลด เอากะแม่สิ เจ้าคนนี้เห็นหงิมๆ ไม่ค่อยพูด แต่ความคิด เลิศมาก 555  (น้องครีมจะกลับเข้า เกาะมาช่วยแม่เย็นวันศุกร์ พร้อมปะป๋า) ถ้าช่วงไฮ ซีซัน จะเป็นงานที่หนักมาก สำหรับแม่น้องครีมแทบไม่มีเวลาทานข้าวกันเลย (งกเงิน) บางครั้งจึงได้พวกหมารีสอร์ทพวกนี้คอยรับแขกด้านหน้ารีสอร์ท พร้อมเด็กในร้าน แต่พวกน้องหมาพวกนี้เป็นแต่ต้อนรับ เสริฟกะรับออร์เดอร์ไม่ได้ อิอิ 
                     วิธีการต้อนรับคือพอฝรั่งเข้าร้านเจ้าพวกมันจะกระดิกหาง ส่งเสียงทักทายฝรั่งให้เค้าลูบหัว จนเป็นที่พอใจแล้วหรือแขกนั่งโต๊ะแล้ว  มันจึง เดินไปอีกด้านหนึ่งก่อนเพื่อรอ แขกคนใหม่ แต่ไม่ลืมหันมามองดูว่าแขกคนก่อนนั่งโต๊ะไหน
(อ้าว จริงๆ ฉันนั่งสังเกต มันเงียบๆ ตลอด สี่วันที่อยู่ที่นั้น)  มันจะรับแขกที่หน้า ร้านอาหาร อยู่อย่างนี้สักพัก กะว่า อาหารโต๊ะไหนเสร็จแล้ว ก็จะเดินกลับไปทักทายพร้อมกับนอนรอที่พื้น เพื่อรอขอ อาหารจากแขก  ก็อย่างที่บอก ฝรั่งเป็นชนชาติที่รักสัตว์อยู่แล้ว เค้าจะไม่โยนของที่เค้าทานเหลือให้เจ้าพวกนี้เด็ดขาด หยิบอะไรทาน หนึ่งคำ ต้องป้อนเจ้าพวกนี้หนึ่งคำ หากเป็นแขกคนไทย คงได้โดน ล้งเล้งไปแล้วว่าร้านอาหารทำไม มีเจ้าสุนัขตัวป่วน มาวิ่งวุ่นเต็มไปหมด ขนาดฉันนั่งมองเจ้าพวกนี้ยังรู้สึกรำคาญ แต่อย่าไปตะโกนไล่เสียงดังโวกเวก เป็นอันขาด เพราะ จะไม่เป็นที่พอใจ ของลูกค้าฝรั่งทันทีรีบปกป้องเจ้าพวกนี้ 
แต่ใช่ว่าพวกมันจะยุ่มย่ามเกินไปนัก โต๊ะหนึ่ง มันจะไปกินของเค้าแค่สองสามคำ แล้วเดินไปโต๊ะอื่นที่มันหมายตาไว้ต่อ 555 รู้จักหากินกว่าคนเสียอีก ดีว่าหน้าตามัน ถึงจะเป็นหมาบ้านแต่มันก็น่ารักหน่อย  เรียกว่าเป็นหมาที่รู้อยู่รู้กิน นะนี่ 
         แต่ก็นั่นแหละใช่ว่าพวกมันจะไม่สร้างปัญหาซะทีเดียว หมาก็ย่อมเป็นหมายิ่งอยู่ในวัยที่กำลังซน ด้วยแล้วปัญหานี้จะมีทุกบ้าน คือ คาบรองเท้าแขก ไปช่วยกันฟัดเล่น นี่แหละปัญหาใหญ่เพราะฝรั่งที่นี่ บอกแล้วว่าบางคนมาประจำจนติดนิสัยคนไทย คือ ถอดรองเท้าไว้ทางเข้า ร้านอาหารและคนอื่นๆ  พอเห็นคนที่มาก่อนถอดรองเท้า ก็ถอดบ้าง เจ้าพวกนี้ก็จัดการ อันคู่ไหนเด็กหันไปเห็นตอนคาบก็จัดการทันแต่คู่ไหนไม่เห็นก็ต้องชดใช้ให้เจ้าของไป ตามระเบียบ (สังเกตจากรูปประกอบด้านบนค่ะ)
                     วันหนึ่งฉันนึกสนุกอยากหัดลองทำพิซซ่า เห็นเด็กในครัวทำ แล้วอยากทำบ้าง เลยเข้าครัวถามเด็กถึงกรรมวิธีการทำ เพราะสังเกตดูไม่น่าจะยาก และมันก็ไม่ยากจริงๆ นั่นแหละ แต่หน้าพิซซ่า ไม่เอาตามเค้านะค่ะ ตามใจตัวเอง  มีอะไรที่อยากกิน แม่จับมาสุมหมด ไม่มีพริกหยวกก็ใช้พริกชี้ฟ้า เม็ดใหญ่ หั่นๆๆ ใส่  หน้าฮาวายเฮี้ยนหรอ ก็ใส่พวก สับปะรด ก็ใส่ แฮม เบค่อนก็ หั่นๆๆ ใส่ หน้าซี้ฟู้ด ก็ให้เด็กลวก กุ้ง หมึกให้ เด็กมันดันลวก ซะล้น หน้า ตกลงไม่รู้หน้าอะไร กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คอลเลสเตอร์รอล เพียบ 5555 เพราะเราเล่น ขูดซีสใส่ แบบ ไม่บันยะบันยัง แถมยังฝานใส่ บางๆ อีก หวังจะให้เหมือนในโฆษณา แบบกัดแล้วมันยืด ประมาณนั้น  พออบสุกเท่านั้น เต็มถาดค่ะ ถามคนโน้น คนนี้ ไม่มีใครอยากกินกะเราสักคน เพราะห่วงหุ่น กันทั้งนั้นไม่เหมือนเราห่วงว่าไม่ได้กิน ไม่ก็เบื่อพวกเด็กก็เบื่อกันเพราะทำให้แขกอยู่ทุกวัน บางคนบอกแค่ได้กลิ่นก็ส่ายหน้าหนีแล้ว (ยิ่งเห็นกรรมวิธีการทำ ของเราเข้าไปอีกเลยขยาดกันมากกว่า) ไม่ง้อก็ได้ แต่คงกินสองคนกะ เจ้าลูกสาว ไม่หมดแน่นอน  แต่มาเจอตัวช่วยเมื่อ ถือจานพิซซ่า ออกจากครัว ทั้งเจ้า เฉาก๋วย  ปี้โป้ ฯลฯ เดินตาม แบบจงรักภักดีมาก ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน ตอนแรกเข้าใจว่ามันคงนึกว่าเป็นประเภท ข้าวไม่กินหรอกพิซซ่า ปรากฏว่าหมาพวกนี้ กินพิซซ่าค่ะ หมากินพิซซ่า 555 กินแบบไม่เลือกกับด้วย พริก หอม กินเรียบ แสดงว่าฝีมือฉันเข้าขั้นทีเดียว เพราะยังไม่ถึงกับประเภทหมายังเมินนี่ยังอดปลื้ม ไม่หายนะนี่ อิอิ
                   มีอยู่ตอนหนึ่งได้ยินเสียงเจ้าครีมส่งเสียง ดัง มาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  ไอ้เราตกใจนึกกว่าหลานเป็นอะไร เดินไปดู เห็นเจ้าครีม ถือ กะลังมัง ใบใหญ่ พร้อม ทัพพี เคาะกะละลัง แล้ว โดนล้อมด้วยเจ้าหมาทั้ง 14 ตัว แทบไม่เห็น ตัวหลาน ที่นั่งลงตักข้าวแบ่ง ให้เจ้าพวกนั้น โอ้แม่เจ้า หลานฉันเป็นไปได้ถึงขนาดนั้นถามหลาน ครีม ทานไร หรือยังลูก 
ยังไม่หิว เลย อารัน ให้พวกนี้กินก่อน น่าน พลางเหลือบดู ว่าน้องครีมทำอะไร ให้น้องๆหมากินน้า แต่ดูไม่ออกเลยถามหลาน
น้องครีม คลุกอะไร ให้หมากิน ลูก
วันนี้ ไม่มีของเหลือจาก แขก อารัน ครีมเลย แกะ ปลาทูน่ากระป๋อง มาคลุก ให้พวกนี้ โอ้ แม่เจ้า อีกครั้ง (คำนี้ติดจากน้องสาวคนหนึ่ง) เจ้าพวกนี้กินปลาทูน่า กระป๋อง(อย่างดี นะค่ะ แบบปลาทูน่าแช่น้ำเกลือ หรือ น้ำมัน กะข้าวหอมมะลิ ที่หุงร้านอาหาร ค่ะ แบบไม่ต้องแบ่งชนชั้น วรรณะ คนหมา กันเลย ไม่ใช่แค่มื้อนี้นะค่ะ ทุกมื้อ ค่ะ หากแขก ทานไม่หมด (ประเภท กุ้ง ปลาเผาหรือทอด นะค่ะก็จะเป็นอาหารเจ้าพวกนี้ค่ะ ไม่ใช่ของเด็กในร้าน เพราะ เด็กในร้านก็เบื่อ เหมือนกัน ส่วนมาก เด็กในร้านจะทำมาม่า กินกัน แล้วแบบกินกันได้แทบทุกมื้อ ด้วย เพราะ อะไร ตอนแรกก็งง เหมือนกัน นึกว่าพี่ชายเค้าตั้งกฎ ไว้แต่พี่เราไม่ได้เป็นคนเหนียว นี่น่า ใจกว้างเหมือนน้ำทะเล แนะ (ปนเค็ม 555 ล้อเล่ง น้อพี่เนาะ)  แม่เจ้าครีมและพี่ชาย เรื่องของกินไม่เคยว่าเด็กในร้านทำส่วนกลางส่วนหนึ่ง เป็นหม้อใหญ่ เพื่อกินกันทั้งร้าน ส่วนอื่นๆ ใครอยากทำอะไรทานก็ทำกัน (แต่ต้องตอนว่างจากแขก) และของแพง ๆ จริงๆ ที่ต้องจำกัดกัน แต่ถึงไม่จำกัด ก็เด็กพวกนี้ไม่กิน หรอก เพราะ ส่วนมาก พวกนี้จะเป็นชาวเล ไงค่ะ สามีออกทะเล ภรรยา มาทำงานร้านอาหาร เบื่ออาหารทะเล ไปเลย กินกันแต่มาม่า เพราะ ได้กินเฉพาะ ตอนเปิดทัวร์เท่านั้น วันหลังจะเขียนเล่าเรื่องชีวิต ชาวเล ที่ชอบกินมาม่า กะ หมู มากๆ)  ตอนเย็นเจ้าครีมชวนลงเล่นน้ำเค็ม(ทางโน้นจะเรียกอย่างนี้) ฉันไม่เท่าไหร่ ชอบเดิน โชว์พุง แถวชายหาดมากกว่า จะลงเล่นน้ำทะเล  แต่สงสารหลานที่อยู่ติดทะเล แต่ไม่ค่อยได้ลงเพราะ แม่ไม่ค่อยอนุญาต เนื่องจากไม่มีเวลา ดูแล และชีวิต ส่วนมากจะอยู่ในตัวเมืองซะมากกว่า เลยเอ้า ไป กัน เตรียมอุปกรณ์ ครบ เดินได้ สักพัก ได้ยินเสียงคราง กะ เสียงหยอกเล่นกัน ของเจ้าหมาหันไปดู ตามหลัง ลงทะเลกันเป็นพรวน เป็นที่สนุกของเจ้าครีม ที่วิ่งไล่จับ ตัวโน้นตัวนี่ โยนลงทะเล แล้วรีบวิ่งไปฟัดกะหมา จนฝรั่งยืน ดู แล้วอมยิ้มกันเป็นแถว เป็นภาพน่ารัก อีกภาพหนึ่ง ที่ฉันบันทึกไว้ในใจ และคิดจะบันทึกเรื่องหมารีสอร์ทแต่ แรงบันดาลใจสูงสุดอยู่ที่เย็นวันหนึ่ง....

 
dscf2557mx2.jpg

ฉันนั่งคุยโทรศัพท์ อยู่กะพี่ริน (ภูโอบดอย) เพลินๆ ได้ยินเสียง  ลูกสาวตะโกน แม่ๆๆๆ มาช่วยน้องครีมหน่อย แม่ ฉันหันไปดูพร้อมบอกพี่สาว รอแป๊บ เห็นแหม่ม อายุสัก 50 คนหนึ่ง ถือถุง อาหารกล่อง มีกล่องอาหารสัก 5 กล่องได้ มั้ง ยืนพูดกะเจ้าครีม ซึ่งยืนเกาหัวแกรกๆๆ อยู่ กะหน้ามุ่ยๆ  ถามลูกสาวก่อน ว่ามีอะไร กันหรอ ลูกสาวบอกไม่รู้เค้าพูดอะไรแม่ช่วยไปแปลหน่อย เอาละซิ ทำไมลูกสาวมันถึงคิดว่าแม่มันเก่ง ถึงขนาดนั้นนะ แต่เพื่อไม่ให้เสียหน้าที่ลูกและหลาน อุตส่าห์ฝากความหวังกะเรา แต่เราก็ใช่ไม่มีความหวังกระซิบบอกพี่ริน ทางโทรศัพท์ พี่รินๆๆ เดี๋ยวช่วยรันฟังหน่อยนะ ว่าเค้าพูดอะไร แล้วบอกรันด้วย ว่าแล้วเราก็เปิดลำโพง โทรศัพท์ใช้ตัวช่วยที่มีอยู่ทันที 555 พลางส่งเสียง ทักทายแบบ งูๆ ปลาๆ
Hello, may I help you madam?
yes, I have foods, chicken,burcer,spaghetti,and bacon.
yes, madam what I do for you? ฉันพูดสุ่มๆ ไปงั้น พลางกระซิบถามพี่ริน ว่าอะไรพี่ริน 
ไม่ได้ยิน เสียงพี่รินตอบชัดเจนแบบช่างเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ อิอิ ตอนแรกฉันคิดในใจว่าแหม่ม คงเอาอาหารพวกนี้มาให้เด็กๆ ทานกันแล้วคำตอบของแหม่ม ทำให้ฉันอึ้ง กิม มี่ 
For dogs. 
พร้อมยื่นถุงอาหารให้ฉัน  ฉันฉีกยิ้มสยามให้แหม่มพร้อมร้อง
Oh thank you madam for dogs ha ha 

"yes, for dogs ha ha  เสียงหัวเราะของฉันกับแหม่มดังขึ้นพร้อมๆกัน แต่เสียงหัวเราะของแหม่ม ดังจากความปลาบปลื้มใจในการกระทำ ส่วนของฉันดังจาก การอิจฉา หมารีสอร์ท 

 
dscf2606xj2.jpg

น้องครีมกะหมารีสอร์ท				
13 มีนาคม 2551 10:17 น.

ที่ผืนสุดท้าย

กชมนวรรณ

 
uxtr7480.jpeg&usg=AFQjCNGgFkeZZ9WYE5WYrT

ออกไปจากที่ดินกู...พวกแกมาทำอะไรกะ ที่ดินกูว่ะ ไป๊ เสียงตาอิน ตะโกนโหวกเหวก พร้อมมือที่กำพร้า กวัดแกว่งไปมา พยายามที่จะไล่พวกเจ้าหน้าที่รางวัด ที่ดินสองคน และ แทรกเตอร์เกลี่ยที่พร้อม คนขับที่พยายามขับรถดันเข้าไป ในที่ผืนสุดท้ายของลุงอิน ชายวัย 65 ปีเศษ 
แต่พวกเรา จะเข้ามาทำรางวัด ที่ดิน เจ้าของที่เค้าจ้าง พวกเรามานะลุง
เจ้าของที่ก็ กู นี่แหละ โว้ย ไป พวกมึงออกไปเดี๋ยวนี้ กูไม่ยอมให้พวก มึงมาทำอะไร กะที่ดิน ผืนสุดท้ายของกู อีกแล้ว น้ำเสียงที่เคยดัง อย่างคนเข้ม แข็ง มาถึงตอนนี้รู้สึก จะค่อยลง เหมือนลุงอิน จะสำนึกเหตุการณ์ใดขึ้นมาได้
แต่ คุณวิวัฒน์ เจ้าของที่เป็นคนจ้างเรานะลุง ลุงจะบอกว่าเป็นเจ้าของได้ยังไง
โว้ย ไอ้วัฒน์ มันจะมาเป็นเจ้าของได้ยังงัยว่ะ พวกแกไปถามชาวบ้านเค้าซิ ทั้งหมู่บ้านเค้ารู้กันหมดว่าที่ตรงนี้ เป็นที่ของกู  กูอยู่ของกูมาจนอายุปูนนี้เข้าไปแล้ว พวกแกอย่ามาหน้าด้าน คงเห็นว่ากูแก่แล้วซิ เชอะ เดี๋ยวกูฟัน กะมีดพร้าไม่รับผิดชอบ นาโว้ย ตรงนี้มันที่ของกู

            ก่อนที่จะมีการประมือกันเกิดขึ้น เสียงรถยนต์คันหนี่งวิ่งมาจอดใกล้กับที่ลุงอิน ยืนอยู่ พร้อมคนขับรถก้าวลงมา เดินมาหาลุงอิน เหมือนกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ ระหว่าง ลุงอินและคนของตน ในมือ ถือเอกสารบางอย่าง เมื่อถึงที่ลุงอินยืนอยู่ .วัฒน์ ก็ยื่นให้ลุงอินพร้อมเสียงกล่าว ที่ทำให้ลุงอินรู้สึก เข่าอ่อนทันที
ลุงอิน ยุพิน เค้าเอาโฉนด ที่ผืนนี้มาตั้งจำนองไว้หลายเดือนแล้ว และมันก็หลุดแล้วด้วย ยุพิน เลยตัดสินใจที่จะขายให้กับผมแล้วครับ ผมจ่ายเงินก้อนสุดท้าย 300.000.- บาทให้ยุพินไปเดือนก่อนแล้วนี่ครับหลักฐาน
แก ไม่ต้องมาโกหก ข้าไอ้วัฒน์ อย่าเห็นว่าข้าเห็นแกเป็นลูกเป็นหลานแล้วจะมาหลอกเอาที่ดินของข้าได้นะโว้ย ลุงอินเปลี่ยนคำแทนตัว จากกู เป็น ข้า เพราะเกรงใจวัฒน์ เด็กหนุ่มรุ่นลูก ที่เวลาเดือดร้อน เรื่องเงิน ชาวบ้านจะพึ่งพา วัฒน์ นี่แหละ เอาของวางบ้าง กู้เงินบ้าง ฯลฯ
ก็ลุงอินดูเสียก่อน แล้วค่อยพูด ที่ผมรับซื้อเพราะเห็นว่าที่ตรง นี้มันติดกับผืนก่อน ที่ยุพิน เค้าขายผมมาแล้วมันจะได้เป็นที่ผืนเดียวกันอีกไง ลุง
ลุงอิน ยื่นมืออันสั่นเทาไปรับเอกสารที่วัฒน์ ยื่นให้ดูทั้งหมดเป็นเอกสารที่ถ่ายเอกสารมาทั้งหมด แต่แสดงความเป็นเจ้าของที่เปลี่ยนเป็นชื่อของวัฒน์ไป เมื่อเดือนก่อนจริงๆ ลุงอินยืนเหม่อสักครู่ แล้วโยนกระดาษทั้งหมดนั้นทิ้งไปพร้อม เดินหันลังกลับบ้าน ตรงไปห้องนอน ในบ้านชั้นเดียว ที่อยู่ติดกับที่ผืนสุดท้ายของแก เปิดตู้ไม้เก่าๆ ที่ไม่มีทั้งกุญแจล๊อค และ มีเพียงชั้นวางด้านบนชั้นเดียวที่แกใช้เก็บ ของสำคัญต่างๆ ไว้ รื้ออยู่นานกไม่เห็นในสิ่งที่ตนหา แกตะโกนเรียก นางทอง ทันที
ทอง ทอง ทองโว้ย มานี่หน่อย นางทองซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ รู้ว่าเกิดอะไรขี้น เดินเข้ามาหาลุงอิน พร้อมบอก
อีนุ้ย มันเอาไป วางเค้าจริงๆ นะแหละพ่อ ที่นี้มันจะหลุดจำนอง มันเลยขายเสีย ก็เงินที่ซื้อรถกะบะ ให้เจ้าวินผัวใหม่มันขับไง ไม่งั้นไอ้วิน มันบอกว่ามันจะเลิก กะอีนุ้ยเรา ถ้าไม่มีรถขับ เพราะอีนุ้ยเรา เป็นแม่หม้ายลูกติด มันเป็นลูกบ่าว เค้า เรื่องรัย จะมารับ เลี้ยงลูกคนอื่นตั้งสามคน 
แล้ว มันเลี้ยงที่ไหนกูนี่เป็นคนเลี้ยงหลานกูเอง แม่มัน ดูแลที่ไหน ได้ผัวใหม่ ก็ทิ้งลูกให้อยู่กะข้า ข้ารับส่งไปโรงเรียนก็ข้า ค่าขนม ก็เงินข้า มันสองคนผัวเมียเคยมาดูแล บ้างไหม? แล้ว ที่อีนุ้ย มันอุ้มท้องอยู่อีกหนึ่งนะลูกมันไม่ใช่หรอ แล้วทำไม ต้องมาผลาญสมบัติกู 
เสียงลุงอินแผ่วเบาลง และเดินไปทรุดตัวนอนบนแคร่ไม้หน้าบ้านหันหลังให้นางทอง พร้อมสมองของชายชรา คิดย้อนกลับไปเมื่อ ลูกสาวคนแรก และคนเดียว แต่งงานครั้งแรกแกปลื้มใจหนักหนา จัดงานแต่งให้ลูกสาว อย่างไม่อายชาวบ้านชาวช่องก็แกมีลูกสาว คนเดียว หนำซ้ำ ลูกสาวยังสวยสมใจพ่ออย่างแก แกยอมทุ่มเท ทำงาน กรีดยาง ส่งเสียให้ลูกสาวได้เรียนหนังสือ โดยหวังใจให้เรียนสูงๆ แกกำลังของแก จะหมด แต่แกก็พร้อมที่จะยอมขายที่สักที่ เพื่อส่งเสียลูกสาวคนนี้ให้ถึงที่สุด แต่ยุพิน เรียนพาณิชย์ได้แค่ปวช. ปีสาม วันหนึ่งเดินเข้ามากับเด็กผู้ชายวัยมากกว่ายุพิน และบอกลุงอินว่า ท้อง ให้พ่อช่วยจัดงานแต่งงานให้หน่อย แม้จะอยากให้ลูกสาวเรียนสูงกว่านี้ แต่เมื่อเป็นแบบนี้ลุงอินก็ยอมรับ ได้เพราะความรักลูกสาวคนเดียวที่แกรัก และคิดว่า เด็กสองคนคงจะช่วยกันทำมาหากิน บนผืนแผ่นดิน มรดกที่แกก็ได้รับ มาจากบรรพบุรุษ อีกทีซึ่งมันคงมีมากพอ ที่จะให้ลูกและหลาน ที่กำลังจะเกิด ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อดำรงชีพต่อไป ในยามที่ไม่มีแกและยายทองแล้ว นอนย้อนคิดพลางน้ำตา ทองอินไหลพราก เอื้อม ดึงผ้าขม้า ที่เอวขึ้นมาเช็ดน้ำตา 
จนยุพิน มีลูกกับสามีคนแรก สองคน ที่ดินที่ลุงอินหวังว่าจะเป็นที่ทำมาหากินของลูกหลาน โดนยุพิน แบ่งขายไปทีละแปลงๆ เพื่อมาเปลี่ยนเป็นรถกะบะให้สามี การงานสองสามีไม่ยอมทำเป็นหลักแหล่ง เมื่อเนิ่นนานมาหลายปีลุงอินเห็นท่าไม่ดี เลย แบ่งเงินที่ยุพิน ขายที่ครั้งนั้น มาปลูกเป็นห้องแถวเพื่อให้ คนอื่นได้มาแบ่งเช่า เพราะตัวแกเองก็ ชรามากแก้วแถม ยังเป็นคนขี้เหล้าในสายตา ของคนในหมู่บ้านอีก น้ำตาพ่อไหล ในใจคิดว่าลูกหนอ ทำกับพ่อได้ ขนาดนี้ ใช่สามีคนแรก ที่เลิกกัน ยุพินได้สามีคนที่สอง ก็แบ่งที่ขายซื้อรถกะบะ ให้สามีคนที่สองอีกครั้งหัวใจพ่อ ที่มองดูการกระทำของลูกรัก ชักเจ็บไร้เรี่ยวแรง แต่ด้วยความรักลูก สงสารลูก ที่ตกเป็นหม้ายสามีคนแรกทิ้ง เลยยอมตามใจลูกสาวอีกครั้ง แต่ยุพิน ก็ไม่สามารถ ที่จะ พาชีวิตคู่ครั้งที่สอง ให้ผ่านพ้นด้วยดีตามความตั้งใจของผู้เป็นพ่อ อีกแล้ว ลุงอินไม่โทษ ลูกสาวอีกตามเคย ได้แต่คิดสงสารในความอาภัพ เรื่องความรักของลูกสาวคนเดียว เฝ้าคอยเลี้ยงหลาน จนโต รับส่งไปโรงเรียน โดยไม่ให้เป็นภาระของลูกสาว จนมาถึงวันนี้ที่ดินแปลงที่ติดกับที่บ้าน ที่อยู่มาโดน ลูกรัก ทำเหมือนก่อน แต่ครั้งนี้ ยุพินไม่ได้ปรึกษาแก ยุพิน กลับขโมย โฉลดปลอมลายมือ พ่อ ลูกรัก แกช่างทำกับพ่อ แม่ได้ถึงเพียงนี้ ตาอินนอนคิดด้วยความระทมใจ

               หลังจากวันนั้น ลุงอิน กลายเป็นคนที่ดื่มเหล้ามากขึ้น และพูดจาพล่ามมากขึ้น กูอยากตาย...ถ้ากูยังอยู่ไปนานกว่านี้...กูจะซุกหัวนอนที่ไหน
            วันหนึ่งอาการลุงอิน หนักขึ้นเรื่อยๆ นางทองเฝ้าโทษที่ตาอิน กินแต่เหล้า ที่สุดก็ต้องถึงมือหมอคุณหมอวินิจฉัย ออกมาว่า ตาอิน เป็นมะเร็ง ตับระยะสุดท้าย ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่ตาอิน บอกกับหมอว่า
ผมยังเหลือ บ้านทื่ซุกหัวนอน คุณหมอ ยังไงผมขอกลับไปนอนที่บ้าน ไม่ขอนอนที่โรงพยาบาลหรอก
ไม่ว่าหมอ หรือ ยายทอง จะทัดทานอย่างไร ตาอิน ยืนยันขอกลับไปบ้านแต่รับปากหมอ ว่าจะมารักษา ตามที่หมอนัด หมอจึงจ่ายยา และ คุยให้ยายทอง พยายามโน้มน้าว ให้ตาอิน มารักษาตัวที่โรงพยาบาลให้ได้ ยายทองได้แต่รับปาก หมอ ไปให้ผ่านๆ เพราะรู้นิสัยของสามีตนดี

                 กลับมาบ้าน ตาอิน ไม่ยอมออกจากห้องนอนของแก ไม่ยอมไปรักษา ตัว นอนอยู่บนแคร่ ไม่ไผ่ หน้าบ้านบางครั้ง คืนหนึ่ง ตาอิน นอนย้อน นึก ไปคราวที่แกแต่งงานกะยายทอง เมื่ออายุ มากแล้ว แต่งกันมาหลายปีไม่มีลูกสักที แกเห็นเพื่อน มีลูก ให้ชมเชย อยากมีลูกมาก แกจึง ยกมือ ขึ้นฟ้า อธิฐาน ข้าแต่ฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ข้าอยากมีลูกหลานสืบสกุล สักคนสองคน ช่วยประทานลูกได้ข้าได้ชื่นใจ หน่อยเถอะ แล้วข้าจะหาหนัง ตะลุงนครินทร์ (ชาทอง) มาเล่นถวาย  ซึ่งในสมัยนั้นเป็นที่นิยม ของคนใต้ และ เป็นคณะหนังที่มีค่าตัวแพง มาก 
ไม่นานยายทอง ก็ตั้งทอง และได้ ลูกสาวคือ ยุพิน มาเป็นขวัญและกำลังใจให้ตาอินและยายทอง เลี้ยงดูอย่างดี
จนมาคืนนี้ ตาอิน คิดได้เพียง ลูกเอ๋ย หากพ่อรู้ว่าจะมีวันนี้ พ่อยอม ที่จะไม่มีเจ้า แต่ไปขอเด็กกำพร้าสักคน มาเลี้ยงพ่อ อาจไม่ต้องเสียใจมากถึงขนาดนี้ เพราะหากเป็นคนอื่น ที่ไม่ใช่ลูกพ่อ คงไม่เสียใจ เท่ากับลูกแท้ๆ ทำกับพ่อ แต่อย่างไร พ่อก็ยังรัก หลานลูกของเจ้า ยังห่วงพวกเขา ไม่หวังอะไรจากเจ้าอีกแล้ว ลูกสาวพ่อ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของตาอิน ล่องลอยออกจากร่าง ไปกับความห่วงใยในหลาน มรดกรุ่นถัดมา ที่ลูกสาวแกสร้างไว้ให้นั่นเอง .....ไปดีเถิดตาอิน สุดท้ายตา ก็ไม่ต้อง อยู่อย่างคนไม่มีที่ซุกหัวนอนอย่างที่ตากลัวนักหนา ตายังได้อยู่ในบ้านที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตาตลอดไป..               


 
1175938880.gif

				
2 กุมภาพันธ์ 2551 14:17 น.

เสียงที่เคยหายไป

กชมนวรรณ

 
Leo_st2.jpg

 สองสามวันมานี่เมื่อเปิดโทรศัพท์มือถือทุกเช้าฉันมักเห็นเบอร์โทรที่คุ้นโชว์อยู่ประจำซึ่งเรียกเข้ามา 4-5 ครั้งที่ไม่ได้รับ เวลาโทรก็ประมาณ สามถึงสี่ทุ่ม ซึ่งเวลานั้นฉันปิดโทรศัพท์ไปเรียบร้อยแล้ว อย่างที่บอกเบอร์นี้ฉันคุ้นเคยกับมันดี รู้ว่าเป็นเบอร์โทรของ "พี่ต่อง" เพื่อนรุ่นพี่ที่คบหากันมานาน ตั้งแต่สมัยฉันทำงานฝ่ายบัญชี ส่วนพี่ต่องเป็นหัวหน้าช่าง ออกนอกพื้นที่ความสนิทของเราสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง พี่ต่องเป็นพ่อหม้ายเมียหนี เพราะรักที่จะร่วมวงสุรามากกว่าร่วมสร้างครอบครัว จากประสบการณ์ชีวิตคู่ที่ล้มเหลวครั้งนั้นมันเป็นความรู้สึกผิดที่ติดตัวพี่ต่องมาจนถึงทุกวันนี้ และพี่แกก็ไม่คิดที่จะแต่งงานใหม่ ทำแต่งาน เลิกงานชวนลูกน้องตั้งวง ใจใหญ่ ฉันรู้ดีว่าพี่ต่อง ยังรักและคิดถึงเมียแกมาก เพราะเวลาน้ำเปลี่ยนนิสัยเริ่มทำหน้าที่ของมัน หากฉันอยู่ด้วย พี่ต่อง จะเริ่มเล่าอดีตรักที่ฝังใจแบบบทบรรยาย บทเดิม ฉากเดิม เพลงประกอบละครเพลงเดิม ตัวละครตัวเดิม แม้กระทั่งความรู้สึก ของพี่ต่องก็ยังเหมือนเดิม แกไม่เคยลืมมันเลย... ไม่ใช่สิ แกไม่เคยคิดจะลืมมันต่างหากจนพวกน้องๆ ช่าง ในวงเหล้ารู้ทันทียามเมื่อน้ำเปลี่ยนนิสัยเริ่มทำหน้าที่ของมัน ไม่มีใครขัดใจขัดคอแก ก็แกเป็นเจ้ามือนี่แค่อมยิ้มแล้วก็กินไปตามเรื่องตามราว จนน้องๆช่างทุกรุ่นจะทราบเรื่องราวชีวิตรักของพี่ต่องทุกรุ่นแต่น้องช่างจะเปลี่ยไปเรื่อยๆ คงเดิมแต่ฉันที่ต้องนั่งทนฟังเรื่องราวหนหลังของแก จนแกหยุดเล่าไปเองเพราะรู้ว่าฉันก็รู้สึกเบื่อ ก็จะไม่เบื่อได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่พวกเขานั่งดื่มกัน ฉันไม่ได้อยู่ด้วย พอน้ำเปลี่ยนนิสัยเริ่มทำหน้าที่ พวกเด็กไม่มีใครฟังเรื่องของแก แกเป็นต้องกดโทรศัพท์ หาฉันเพื่อที่จะเล่าเรื่องเก่า ด้วยเสียงอ้อแอ้ ๆ ๆ บางครั้งฉันยังเสียมารยาท วางโทรศัพท์ให้แกคุยไปคนเดียว ส่วนฉันก็ทำอะไรของฉันไปเรื่อยๆ กะว่าพอแกเริ่มคอแห้ง แล้วหยิบโทรศัพท์บอกพี่ต่อง ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานอีกนะ พี่แกก็แสนดี หรือไม่ก็หมดแรงจะพล่ามต่อแล้วจึงวาง แต่นิสัยที่น่ารักของพี่ต่องก็มีมากกว่าสิ่งที่แกทำให้ฉันรำคาญ มาก เช่น หากแกออกพื้นที่จะกลับมาทันเที่ยงรีบโทรมาบอก 
ปลายเดี๋ยวไม่ต้อง ไม่ซื้อข้าวนะพี่ซื้อไว้เผื่อแล้ว รอก่อนสักครึ่งชั่วโมงถึง 
ไม่ก็ตอนเย็น 
ปลาย เดี๋ยวอย่างเพิ่งกลับบ้านก่อนนะรอก่อน เมื่อกี้ผ่าน ตลาดเห็นขนมน่ากิน พี่ซื้อฝากหลานปลายรอเอากลับไปด้วยนะ หรือ ระหว่างวัน 
เมื่อกี้ไปกินข้าว เห็นขนมนี้น่ากินเลยซื้อฝากเจ้าตาโตมันหน่อย
นี่คือน้ำใจที่พี่แกมีโดยเราไม่เคยร้องขอ แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกัน 
ปลาย เดือนนี้เงินเดือนพี่เบิกล่วงหน้ามากไปเหลือไม่พอจ่าย ค่า เช่าบ้าน โป๊ะ หน่อย" ฉันก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ซึ่งไม่มากมายนักเพราะกำลังสร้างครอบครัวเหมือนกัน พี่ต่องจะเป็นคนน่ารักมาก ถึงเป็นผู้ชายและเป็นช่าง แต่แกจะแทนชื่อแกว่าพี่ต่อง ทุกครั้งที่คุยกะฉัน มีบางครั้งที่ออกผมแต่ไม่บ่อยนัก เวลาอยู่กะลูกน้องเพื่อนวงเหล้าภาษาพูดจะเปลี่ยนไปทันที แต่ให้เมาขนาดไหน พอหันกลับมาคุยกะฉัน ไม่ผม ก็พี่ต่อง เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง 
พี่ต่อง เป็นช่างฝีมือดีลูกค้าติดแกมากฉันสงสัยว่าทำไมพี่ต่องถึงไม่ยอมออกมาเป็นเถ้าแก่เอง ยุก็หลายครั้ง แดกดันก็หลายหนแต่พี่แกบอก 
ชีวิต พี่ขอแค่พอกิน พอใช้ก็พอแล้ว ไม่หวังอะไรมากทำไปเพื่ออะไร ทำเพื่อใครไม่มีสักคน 
คำตอบแกทำให้ฉันรู้สึก โหวงเหวงไปกะแกด้วยซิ .....
จนฉันลาออกจากที่ทำงานเราก็ยังติดต่อ โทรคุยกันเสมอเรื่องเดิม ของแก ที่ฉันฟังจนจำขี้นใจว่าพี่แกมีความหลัง กับเพลง ของธานินทร์ ไม่ชอบเพลง 16 ปีแห่งความหลัง หากวันหยุด พี่ต่องจะโทรมาถาม
"ปลายวันนี้ทำไรกิน เดี๋ยวพี่แวะไปนะ"
แต่พอมาถึงไอ้ที่ถามว่าทำไร กินนะ พี่แกไม่กินเลย กินแต่ของที่แกหิ้วมานั่นแหละ จนบางครั้งต้องเดือดร้อนคนข้างตัวฉันในการขับรถของพี่ต่องและลากพี่ต่องกลับไปส่งที่บ้านเช่าพี่ต่อง ฉันขี่มอไซด์ตามไปรับเขากลับ จนบางครั้งฉันรู้สึก เบื่อพี่ต่องมากๆ ทำไมไม่เปลี่ยนนิสัยสักที จะเลิกคบคงไม่ได้ เพราะคบกันมานานมากจนเหมือนคนในครอบครัวไปแล้ว หากวันไหน คนที่บ้านฉันทดลองดอง ยา ของเขาสูตรทดลอง ซะมากมายจนก็จะโทรเรียก พี่ต่อง บอก 
พี่ต่องวันนี้ มีสูตรเด็ด .....เค้าเพิ่งได้สูตรมากำลังได้ที่พี่เย็นนี้มานะ ไม่ต้องซื้อมาเพิ่มคิดว่าน่าจะพอ แล้ว 
เป็นทางออก ที่ฉันต้องการให้พี่ต่องมาตัดกำลังในการดื่ม ของคนข้างตัวฉัน หรือไม่หากเห็นมีติดบ้านหากว่าผ่านที่ทำงานเดิมฉันก็จะหยิบติดมือ ไปฝากไว้ให้พี่ต่องซะ เป็นการตัดกำลังไปอีกทางพอเค้าถามฉันบอก เอาไปฝากพี่ต่อง ซะแล้ว และก็จะได้รับคำชมกลับมาให้ปลื้มใจในความเป็นคนมีน้ำใจจากสามีว่า
คุณ เนี่ยะเป็นคนใจดี รักเพื่อนจังเนาะ 
ฉันพยักหน้ารับทันทีแต่กลับเกิดอาการหน้าตึงนิดหน่อยเมื่อเค้าหยอดอีกว่า 
แต่ใจแคบกะสามี ที่สุด
แต่ฉันไม่สนใจหรอกเพราะฉันทำไปด้วยความหวังดีของฉันไม่อยากให้เค้าดื่มมาก แต่ฉันกลับเอาสิ่งที่ไม่อยากให้คนใกล้ตัวดื่ม ไปให้เพื่อนรักอีกคนดื่ม ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ดี นี่ฉันรักเพื่อนจริงๆ หรอ? และนั่นคือความสัมพันธ์ ระหว่างฉันกับพี่ต่อง 
เมื่อเช้าวานก็เช่นกัน เมื่อเปิดโทรศัพท์ มีเบอร์พี่ต่องโชว์อยู่สามครั้ง ฉันก็ไม่ได้คิดจะโทรกลับ แต่คำนวณในใจว่า ฉันไม่ได้คุยกะพี่ต่องมา กี่วันแล้วหนอ ครั้งนี้รู้สึกจะนานมากเพราะ ยุ่งๆ หลายเรื่องไหนคุณพ่อนอนโรงพยาบาล ไหนเจ้าตัวเล็กก็เข้าต่อคิว จากคุณตาอีก คงจะนานมากเพราะนึกไม่ออกว่าครั้งสุดท้ายที่คุยด้วยเมื่อไหร่กันแน่ อาจเป็นเดือน สองเดือน สามเดือน หรือ มากกว่านั้นและไม่คิดแม้แต่จะโทรกลับหาพี่ต่อง.....

เมื่อคืนสักทุ่มหนึ่ง ฉันนั่งดู ทีวี อยู่เสียงโทรศัพท์ดังขี้น หยิบโทรศัพท์มาดูเบอร์ อ้าว!!! พี่ต่อง อีกแล้วโดยอัตโนมัติ ฉันเหลือบมองนาฬิกาติดผนังบ้าน ทุ่มกว่าๆ นิดๆ เออ คงยังไม่เมาว่ะ งั้นรับดูซิ 
ว่า ฮายเพ่.!!.. ฉันกวนตามสไตล์ 
ปลาย เหรอ
แล้ว เพ่..โทรหาใครอ่ะ 
พี่ต่องนะ ......................เงียบ 
ฉันรู้สึกเอะใจนิดเดียวแค่นั้น
รู้แล้วเพ่ ....เห็นเบอร์ก็รู้แล้ว ตามนิสัยอีกนั่นแหละ
เออ.....ทำไมติดต่อไม่ได้เลยวะ
อ้าว...หรอพี่ติดต่อมาหรอ ไม่รู้ซิพี่แล้วพี่มีไรหรอแล้วอยู่ไหนเนี่ยะ วันนี้กินกะใครหรอ พี่ต่องเงียบไป 
เงียบจนฉันรู้สึกเกิดคำถามในใจว่าทำไมถึงเงียบขนาดนี้โทรศัพท์แนบติดอยู่ที่หูแท้ๆ แม้ลมหายใจเพื่อนที่คุยด้วย บางครั้งเรายังเคยได้ยินเสียงเลยนี่แต่นี่กลับเงียบ แม้แต่คลื่นรบกวนก็ไม่มี 
พี่ไม่กินเหล้า นานแล้วล่ะ ปลาย 
หลังจากเงียบไปได้สักพักเหมือนตัดสินใจจะบอกอะไรสักอย่าง
น่าน พี่เรา จริงหรอเปล่า หลอกให้น้องดีใจเล่นหรอ หยุดได้รึนั่น นี่ของปลายนะยังไม่หยุดเลย ขนาดปลายบ่นทุกวัน 555555555
จริงซิ พี่ไม่โกหกหรอก 
น้ำเสียงจริงจังอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทำให้ฉันกลับมีความรู้สึกอีกอย่างมาแทนที่จากที่พูดทะลี่งตีงตัง และแซวพี่เล่นไปเรื่อยตามนิสัย มันหายไปทีละนิดๆ ตอบกลับไปเหมือนไม่มีอะไรจะพูดมากกว่า
ดีแล้วล่ะ พี่ พี่ก็อายุมากแล้วนะ รักษาสุขภาพไว้หน่อยเงินนะเก็บไว้บ้าง เดี๋ยวเผื่อต้องใช้เจ็บป่วยขี้นมา จะได้มีเงินรักษาตัวเนาะ เออพี่แล้วพี่ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ รู้สึกว่าอยู่มานานแล้ว นี่
ไม่รู้คิดอย่างไรทำให้ฉันถามคำถามนี้ออกไป คิดเพียงแค่ว่าพี่ต่อง อายุมากกว่าฉันมากนะ แถมยังยังจำได้แกเล่าว่า แกพบและรักกับเมียแกครั้งแรก ตอนฉันอายุ 7 ขวบเองตอนนั้นพี่แกเป็นวัยรุ่นหนุ่มหล่อ เฟี้ยวมาดดีมีสาวมาติดเยอะมาก แต่แกรักภรรยาคนนี้มากจึงไม่สนใจสาวไหน จนได้แต่งงานกัน วันแต่งงานขบวนแห่ขันหมากรถพลิกคว่ำ มีคนตาย 1 คน ตอนนั้นฉันยังแซวตอนที่แกเล่าว่า 
โห ใครหาฤกษ์ให้พี่อ่ะ ทำไมมันซวย อย่างนั้น 
สุดท้ายก็ไม่สามารถอยู่กันได้หลังจากมีลูกชายด้วยกัน หนึ่งคน ก็เหมือนอย่างที่บอก พี่เราหลงตัวเองเกินไป เมียอย่าเสนอหน้าข้าเอาเพื่อนก่อน สุดท้ายคนที่แกไม่ให้เสนอหน้านั่นแหละ ที่เกาะติดอยู่ในใจแกอยู่ตลอดเวลา 
53 แล้วล่ะ ปีนี้
หรอ 
เงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไปแล้วแปลก นะ เพื่อนที่เคยคุยกันได้ทุกเรื่อง หยิบเรื่องอะไรมาคุยกันก็คุยได้นานสองนานแต่ พอเว้นระยะการติดต่อไปกลับกลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน
ปลาย พี่ต่องเจ็บหน้าอกอีกแล้วล่ะ 
พี่ต่องเริ่มบอกเรื่องเดิมอีกแล้วฉันคิดในใจ
ก็พี่แก่ แล้วนี่บอกแล้วว่าอย่ายกของหนัก บ่นมาตั้งแต่รู้จักกัน นี่ 52 แล้วนะ ยังบ่นเรื่องเดิมอีกไม่เบื่อมั่งหรือไงชอบจริ๊ง ไอ้เรื่องพูดซ้ำๆ ซากๆ เนี๊ยะ กลัวเค้าไม่รู้หรอว่าตัวเองแก่แล้วอ่ะ แล้วเป็นไงหาเมียใหม่ได้ยัง
ฉันยังอดแซวเรื่องเดิมไม่ได้ ทั้งๆที่รู้แท้แน่แก่ใจแล้วว่าอย่างไรเสียชาตินี้พี่เราคนนี้คงไม่มีใครอีกต่อไปแน่นอน ช่างเป็นความรักที่หายากนักในสมัยนี้ แต่มันยังคงมีบนโลกที่สับสน วกวน มากไปด้วยมลพิษทางกายและจิตเป็น ที่สุดในความคิดของฉัน 
เงียบอีกแล้ว โทรมาแล้วเงียบแล้วโทรให้เปลืองตังส์ ทำไม? ฉันถาม
ปลาย ไม่ว่างหรอ งั้นพี่ไปก่อนนะ 
ฉันรู้สึกผิดปกติแล้ว ปกติไม่ว่าฉันจะแซวแรงขนาดไหนแกก็จะยอมรับ"เออๆๆ ก็พี่ต่องแก่แล้วจริงนี่ ปลายก็แก่เหมือนกันนั่นแหละ อย่าว่าแต่คนอื่นไปส่องกระจกดูซิ... ฉันรีบเรียกชื่อก่อน ก่อนที่แกจะวางสายไป 
"แล้วพี่ไปหาหมอแล้วยัง ฉันถามอย่างมีเยื่อใยหน่อย
หาแล้ว
แล้วหมอบอกว่า พี่เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บมานานแล้วนะนั่น บุหรี่ก็ไม่หยุด เหล้าก็กิน เครื่องในยังเหลืออีกหรือเปล่าพี่ 
ฉันก็ว่าไปตามอารมณ์ของตัวเองไปเรื่อย
หมอ บอกว่าพี่เป็นมะเร็ง ทรวงอก เงียบ .... ทีนี้แม้แต่ลมหายใจตัวเองซึ่งอยู่ติดกับโทรศัพท์ที่ถือ อยู่ก็มีความรู้สึกว่าประสาทหูไม่ทำงานเหมือนกัน
หรอ...พี่ แล้วทำไงล่ะ นี่ ผู้ชายเป็นได้ด้วยหรอ ฉันถามคำถามที่คิดว่าตัวเองโง่ ที่สุดออกไปก็จะไม่ให้คิดอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อฉันรู้อยู่เต็มอกว่าลุง ฉัน ก็ตายไปด้วยโรคมะเร็งที่ทรวงอกนี่เมื่อเจ็ดปีก่อน 
มันเป็นไปแล้ว เสียงแผ่วๆ ของพี่ต่องบอกมา
หมอบอกต้อง ฉีดยาวันละเข็ม ทุกวันพี่คงอยู่ได้ไม่นานแล้วล่ะ ปลาย เสียงบอกเรื่อยๆ เบาๆแต่มันมีความรู้สึกบีบใจฉันให้รู้สึกจี๊ดๆ ได้
อ้อ เราไม่ได้คุยกันหลายวันปลายคงยังไม่รู้ ตอนนี้แม่ของลูก พี่ต่องกลับมาอยู่กับพี่ต่องแล้วนะ
อ้าว จริงหรอพี่ ดีจังเลย 
ความรู้สึกตอนนั้นมันดีจริงๆ ทำให้รู้สึกว่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องร้ายกันอยู่
เค้า บอกจะดูแล พี่ ส่วนลูกชายพี่แต่งงานแล้วนะปลายลูกพี่อายุ 27 ปีแล้ว พี่มีลูกสะไภ้ เป็นนางพยาบาล ด้วยนะ
ตอนนี้พี่มี ครอบครัวแล้วล่ะปลาย 
เสียงเล่าเบาๆแต่กลับชัดเจนในความรู้สึกของฉัน
ดีจังเลย พี่ปลายดีใจด้วย ในที่สุดสิ่งที่หวังสิ่งที่รอมานาน มันกลับมาอยู่กับพี่แล้ว ฉันตอบพี่ต่องไปพร้อมพยายามที่จะกลั้นสะอื้น สุดๆ
นั่นซิเนาะ พี่ก็ดีใจจริงๆ แม้ว่ามันจะเป็นเวลาสั้นๆ ที่เหลืออยู่ของพี่
เฮ้ย ! อย่าพูดอย่างนั้นซิ เดี๋ยว รักษาก็หาย 
เสียงฉันเป็นเสียงพูดหรือครางฉันชักไม่แน่ใจเหมือนกัน
พี่ต่อง สบายใจแล้วล่ะ ที่ได้คุยกะปลาย ได้บอกปลายเหมือนที่เคยบอกกันทุกเรื่องแล้วตอนนี้พี่อยู่กลับไปอยู่ในสวนแล้วนะ" พี่ต่องหมายถึง บ้านเดิมของแม่พี่ต่องที่ทิ้งไว้นาน ตัวเองมาเช่าบ้านอยู่ในเมือง
"บ้านแม่ของลูก เค้าให้คนเช่า แล้วมาอยู่กับพี่แต่บางทีก็ออกมาอยู่กะลูกชาย เหมือนกัน ลูกชายแม่เค้าสร้างบ้านให้ไปแล้ว แม่เค้าเก่งนะปลายเลี้ยงลูกได้ดีแถมยังมีสมบัติ ให้ลูกอีก พี่ซิ ไม่เคยได้เรื่องสักอย่างมีแต่ทำให้เขาเสียใจ..... ฯลฯ 
พี่ต่องเริ่มคุยเข้าเรื่องเดิม เหมือนตอนที่แกเมาอีกแล้วแต่ครั้งนี้ ฉันฟังเรื่องที่แกเล่าซ้ำโดยไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่นิดเดียวจนวางสาย พี่ต่องบอกค่อยโทรมาหาใหม่ หากว่างจะแวะมานั่งกินเหล้าที่บ้าน หากฉันไปหาแกก็ไปที่บ้านสวน ฉันบอกกับพี่ต่องก่อนวางสายไปว่า ฉันค่อยโทรหาพี่บ่อยๆ เสียงพี่ต่องบอกตอบว่า ไม่เป็นไรพี่ค่อยโทรมาเอง 
"ทีนี้พี่รู้แล้วว่าต้องโทรตอนไหนถึงจะได้คุยกัน" เสียงพี่ต่องย้ำความรู้สึกอับอายให้ฉันอีกครั้ง..... ฉันอยากบอกพี่ต่องกลับไปว่าต่อไปนี้พี่โทรหาปลายตอนไหนก็ได้แล้วล่ะ และครั้งหน้าหากเปิดเครื่องเบอร์พี่โชว์อยู่ฉันจะโทรกลับหาพี่เอง....แต่ไม่หรอกฉันยังไม่ได้บอกแก....คิดว่าค่อยบอกเมื่อคุยกันครั้งต่อไปดีกว่า........

โลกนี้ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนัก
และ...หากฉันเป็นพี่ต่อง........ฉันจะไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว...

    

 
kapookdookdik1262957235qk8.gif

				
1 ธันวาคม 2550 21:29 น.

ทำเพื่อใคร..?

กชมนวรรณ

วันนี้เป็นอีกวัน ที่ทวี หัวฟัดหัวเหวี่ยง เอากับ เนตรดาว ผู้เป็นภรรยา 
บอกว่าไม่กิน หูแตก รึงัย ปล่อยให้กูตาย ๆๆ ไป กูอยากตายโว้ย !!! สิบเดือนมาแล้วที่ทวีเป็นอย่างนี้ ไม่ยอมรับฟังเหตุผลใดๆ ไม่ยอมกินยา เป็นคนฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์ คำพูดคำจาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง  คำแทนตัวจากผม กลายมาเป็น กู  ปัดถ้วยยาแตก เป็นคนเจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวไปทุกเรื่อง จนเนตรดาวต้องร้องไห้ ให้เขาเห็นบ่อยๆ  บางครั้งเขา รู้สึกสงสารเนตรดาว ผู้เป็นภรรยาเหมือนกัน กับอารมณ์อันแปรปรวนของเขา แต่ให้เขายอมรับ สภาพกับร่างกายในปัจจุบัน ที่ต้องนั่งรถเข็น หาหมอ เพื่อทำกายภาพในทุกวัน ถึงหมอจะให้ความหวังว่า เขาจะกลับมาเดินได้อีก แต่ ต้องใช้เวลา ในการฟื้นฟูนาน หน่อย ให้เขาอดทน เขาก็ยังไม่อาจทำใจได้อยู่ดี ทุกวันที่ไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล จะมีพลขับ มารับทวี ที่บ้าน เพราะเนตรดาวต้องไปทำงาน ในหลายครั้ง ที่ทั้งพลขับ และ เจ้าหน้าทีกายภาพ ต้องอดทนกับอารมณ์ ของทวี แต่ทุกคนพยายามเข้าใจในตัวเขา พยายาม พูด ให้เขาอดทน แต่ต้องโดนทวีตวาดกลับเกือบทุกครั้ง
พวกคุณ ลองมาเป็นอย่างผมดู บ้างซิ แล้วจะรู้สึก
พวกคุณ มันดีแต่พูด ลองมาเป็นคนพิการดูเองซิ ทีนี้จะพูดออกอีกไหม
พวกคุณ ไม่ต้องแกล้งมาทำเป็นให้กำลังใจผม หรอก ผมรู้ดีว่าจะต้องเป็นคนพิการ ต่อไปลูกเมียก็ต้องทิ้ง ผมให้อยู่คนเดียว กลายเป็นทหารพิการ ที่คอยแต่รับเงิน บำนาญ กินไปจนตาย โว้ย กู อยากตาย
          ทุกวันทวีจะ นั่งนึกถึงอตีต  วันแรกที่เขาได้รับการติดยศ ร้อยตรี แห่งกองพลทหารราบ เขารู้สึกภูมิใจหนักหนา สมัยเรียนเขาเป็นนักเรียนนายร้อย หนุ่มรูปร่าง สูงสง่า หน้าตาดี แต่นั่นยังไม่ทำให้เขาได้ภูมิใจ เท่ากับเขาได้ รับการติดยศใส่เครื่องแบบปฎิบัติหน้าที่ทหาร อย่างกล้าหาญ จนสามารถเลื่อนยศ รับตำแหน่ง ร้อยเอก พร้อมคำสั่งย้ายไปช่วยราชการ ที่ จ.ปัตตานี
       เหตุการณ์ ในวันนั้น เขายังจำได้ดี เขาและลูกน้องชั้นประทวน 5 นาย กำลังลาดตระเวนอยู่ในตอนเช้าตรู่วันศุกร์ กำลังจะออกเวร ในภาคเช้า ได้รับวิทยุแจ้งเหตุ เกิดระเบิด ที่ตลาด ในตัวเมือง เขาจึงสั่งให้ลูกน้อง รีบรุดไปที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ใกล้กับจุดที่เขากำลังลาดตระเวน อยู่แค่เพียง 5 นาที  เมื่อถึงที่เกิดเหตุ ตอนที่เขาและลุกน้องไปถึงมีฝุ่นฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ เศษมอเตอร์ไซด์ ทั้งเก่าใหม่ กระจัดกระจายระเนระนาด  เป็นเศษส่วนมีรอยไหม้ อีกเศษกระจก สภาพความเสียหายไม่ใช่น้อย  นั่นยังไม่เท่ากับสภาพชาวบ้านและเพื่อนทหารหาญ ด้วยกันที่นอนร้องครวญคราง อย่างเจ็บปวด เลือดแดงฉาด กระจายไปทั่ว เศษเนื้อ และฝุ่น ในขณะที่เขาสั่งให้พลขับจอดรถใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ รถยังไม่ทันได้จอดสนิทดีหูเขาก็ได้ยินเสียงดังกึกก้อง กัมปนาท บึ้มมมมมมมม จากนั้นสติสัมปชัญญะของเขาก็ดับวูบลงทันที ก่อนที่จะช่วยเหลือเพื่อนทหารด้วยกัน แต่ความทรงจำเขายังติดตัวอยู่ในเรื่อง ช่วยเพื่อนทหารหาญ ที่นอนเกือกกลิ้งทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอยู่ บนถนนหน้าตลาด แค่นั้นเอง จำได้ว่าเสียงสุดท้ายที่ตะโกนสั่งลูกน้อง ว่า...
เอ้า รีบลงจากรถ ไปช่วยเคลียร์พื้นที่ และช่วยเหลือคนเจ็บ เสียงทวีตะโกนอย่างสุดเสียง พร้อมลืมตาทำท่าจะก้าวลงจากรถ แต่กลับโดนห้าม
อยู่นิ่งๆ นะค่ะ ผู้กอง ตอนนี้คุณกำลังอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ คุณยังขยับตัวมากไม่ได้นะค่ะ ทวีพยายามหันหน้าไปมองตามเสียง เห็นเจ้าหน้าที่พยาบาลกำลัง ทำแผลบริเวณลำตัวให้เขา และยังจะขาขวาของเขา ที่ต้องใส่เผือกโยงขึ้นไปเหนือเตียงนั่นอีก และวินาทีนั้นเอง ที่ความรู้สึกเจ็บปวดเข้าจู่โจมไปทั่วร่างกาย แต่...มันยังไม่เท่าความรู้สึกหวาดกลัวที่เข้าจู่โจมหัวใจเขาอย่างฉับพลันเช่นกัน 
เกิดอะไรขึ้น เขาว่าเขาได้ส่งเสียงอันห้าวหาญที่สุด เหมือนตอนที่เขาออกคำสั่งกับลูกน้องแล้วนะ แต่หูเขาและความรู้สึก การรับรู้ทางประสาทสัมผัสกลับได้ยินเสียงที่ถามออกไปกลับเป็นเสียงที่เบาหวิว หนำซ้ำมันยังแหบแห้ง เสียจนน่ากลัวว่าเจ้าหน้าที่พยาบาลคนนั้นจะไม่ได้ยินคำถามที่เขาถามออกไป
คุณ โดนระเบิดค่ะ ผู้กอง ได้รับบาดเจ็บสาหัสค่ะ มีแผลตามลำตัว  แขนหัก ส่วนขานี่ กระดูกแตกค่ะ ดีนะค่ะ ที่มันไม่ขาด คุณหมอจัดการให้เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ต้องใช้เวลาหน่อยนะค่ะ ถึงจะกลับมาเดินได้เหมือนเดิม
        และนี่ปาเข้าไป 8 เดือนแล้ว เขายังเดินไม่ได้ เขาต้องเสียลูกน้องคู่ใจ ไปสองคน จากเหตุการณ์ในวันนั้น เพื่อนฝูง ที่เคยมาเยี่ยม ให้กำลังใจ หายไปทีละคนสองคน จนไม่เหลือ ส่วนเนตรดาว เขาไม่รู้ว่าเธอจะ อดทนกับเขาได้เท่าไหร่ ในเมื่อตัวเขาทำตัวให้เอาแต่ใจตัวเองที่สุด เพราะเหตุผลเดียว คือ ทำใจให้ยอมรับเป็นคนพิการ และนั่งบนรถเข็นไม่ได้ เขารู้สึกว่าประสาทสัมผัสที่ขามันส่งไปไม่ถึงปลายขา มันไม่มีเรี่ยวแรง ที่พอจะพยุงตัวให้เดินได้ด้วยตัวเอง หรือแม้แต่ จะใช้ไม้เท้าเข้าช่วย ก็ยังไม่พยุงตัวเองได้ไม่นาน เพียงครู่ต้องนั่งบนรถเข็นที่เขาแสนจะเกลียดมัน เขาเกลียดเจ้ารถเข็นคนนี้ เขาอยากไปนั่งบนรถถัง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ เหมือนเดิม แต่ผลจากแผลตรงลำตัวด้านหลังที่โดนสะเก็ดระเบิดซึ่งเป็นเศษเหล็ก ที่คนร้ายใช้ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ทำใส่ไว้กับระเบิดมันฝังเข้าไปที่ใกล้บริเวณสันหลัง มันจึงมีผลกับเขา มากจนถึงทุกวันนี้ 
             เขาคิดไว้แล้วหากเนตรดาว จะไปจากเขา เขาคงจะปล่อยเธอไปเพราะคงไม่มีใครที่จะทนกับคนพิการเจ้าอารมณ์ได้ เขาเองยังทนตัวเองไม่ได้  หากเธอมีทางเดินที่ดีกว่า เขาก็พร้อมจะปล่อยเธอไป สิบเดือนแล้วเขายังทำได้แค่เข็นรถเข็นที่ตัวเองนั่ง ไปตามทิศทางที่ต้องการเท่านั้น เขาคิดแต่ว่าจะต้องคนพิการตลอดชีวิต แล้วทุกคนต้องหนีเขาไปหมด ผมเผ้าเดี๋ยวนี้ก็ไม่หวี ตั้งใจที่จะประชดชีวิตให้เต็มที่  วันนี้ก็เช่นกันเขาไม่ยอมไปทำกายภาพบำบัดส่วนเนตรดาว น้อยใจเขาออกจากบ้านไปทำงาน แล้ว เมื่ออยู่คนเดียว ความคิดทำร้ายตัวเองผุดเข้ามาในสมองเป็นระยะๆ จนเขาเครียด มากจึงหาวิธีผ่อนคลายด้วยการเปิดทีวี ภาพในทีวีเบื้องหน้าทำให้เขา ต้องตะลึงและจ้องแน่วแน่อยู่ที่หน้าจอพร้อมน้ำตาก็ค่อยๆ เอ่อไหลออกมาด้วยความปลื้มปิติ  มันไหลออกมาช้าๆ แต่แปลก สมองที่มันตึงเครียดเหมือนมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆเมื่อสักครู่ ค่อยๆ คลายตัวลง ทีละน้อย ๆๆ เขายกมือขี้น
พนมไว้โดยไม่รู้สึกตัว ความปลาบปลื้ม ปิติแผ่ขยายไปทั่ว สารพางค์กาย เขานั่งมองการถ่ายทอด พิธีถวายสัตย์ปฎิญาณตน และการสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ที่สวยงาม ภาพเหมือนตอนที่เขาได้รับการติดยศใหม่ๆ วิญญาณ ทหารไม่เคยหมดไปจากร่างกายที่มันเกือบจะพิการ เขาได้คำตอบในตอนนี้เองว่า หากเขาจะพยายามที่จะรักษาตัวให้หาย ความอดทนและ ความพยายามครั้งนี้เขาทำเพื่อใคร.. เขาจะต้องใส่เครื่องแบบที่เขารักให้ได้อีกครั้งเขาสัญญากับตัวเอง และ พ่อ....

 
275px-021249_01.jpg

ภาพองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงมีพระชนม์มายุ มากแล้วแต่เพื่อแผ่นดินไทย เพื่อพสกนิกรชาวไทย ท่านยังทรงงานไม่มีวันหยุด แม้จะทรงรักษาพระอาการประชวรในโรงพยาบาล และองค์สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่เป็นแม่พระของแผ่นดิน ภาพของทั้งสองพระองค์ ทำให้เขาปลาบปลื้มยิ่งนัก

 
180px-Thai_people_in_front_of_Chitlada_P

ภาพพสกนิกร ของพระองค์ที่หลั่งไหลกันเข้าเฝ้า ทั้งสองพระองค์อย่างไม่ยอมย่อท้อ แม้แดดจะแรง ฝนจะตก ในทุกคราทุกที่ที่พระองค์ทรงเสด็จ เพื่อที่จะเก็บไว้เป็นบุญกับตัวอันประเสริฐ สุดสักครั้งในชีวิตนี้ ที่ได้เข้าเฝ้าพระราชาองค์นี้.....และสุดท้ายเสียงกล่าวถวายสัตย์ปฎิญาณ อันเข้มแข็ง และองอาจ ของเหล่าทหารหาญรักษาพระองค์ที่ได้กล่าวพร้อมกันว่า....
ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า............... ขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณ ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า 
	ข้าพระพุทธเจ้า จะยอมตายเพื่อรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า 
	ข้าพระพุทธเจ้า จะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่ 
	ข้าพระพุทธเจ้า จะเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์
ทั้งจะปฏิบัติตน ให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ 
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ........

ครั้งหนึ่งเขาก็ได้เคยกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ เหล่านี้มาแล้วเช่นกัน พร้อมกับก้มกราบสดุดี แด่สองพระองค์ ด้วยความเคารพเทิดทูล สุดชีวิต......

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า  กชมนวรรณ ขอถวายความจงรักภักดี ตราบจนชีวิตจะหาไม่เช่นกัน...
 
kapook42412br9.gif

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกชมนวรรณ
Lovings  กชมนวรรณ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกชมนวรรณ
Lovings  กชมนวรรณ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกชมนวรรณ
Lovings  กชมนวรรณ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกชมนวรรณ