30 มิถุนายน 2550 20:35 น.

แผลเป็น

กชมนวรรณ

ทุกคนมีแผล    

    ทุกคนมีแผลที่รักษาไม่หายทั้งนั้น 
 บางคนมีรอยแผลเป็นให้เห็น
 บางคนมีแผลเป็นอยู่ในใจ...ไม่มีใครเห็น
เราไม่ได้มีรอยแผลเป็นไว้ตอกย้ำความเจ็บปวด
เรามีรอยแผลเป็นไว้คอยย้ำเตือนว่า 
 เราก็เป็นคนธรรมดา
ที่สะดุดล้ม และตกสะเก็ดได้
อย่าแกะแผล
เพราะมันจะทำให้เป็นรอยใหญ่และหายยาก
ปล่อยให้มันเป็นไป...

       เป็นอีกบทความหนึ่งของคุณ ต้นหญ้า นัยนา จากหนังสือที่เขียนชื่อ ฉันมีความสุข ทำให้ฉันต้องคิดตามและสำรวจตัวเองว่าฉันมีแผลเป็นที่ไหนบ้างพอค้นเจอปรากฎว่า...มันเยอะกว่าที่คิดเสียอีก ทั้งทางกายที่มองเห็นและทางใจ ซึ่งไม่มีใครมองเห็นและพวกเขาส่วนมากมักจะแกะแผลทางใจฉันโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว แต่ฉันซึ่งเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย มักจะบงการให้ สมองอันสารพันคิดของฉันทำร้ายจิตใจของฉันให้รู้สึกเจ็บได้ตลอด โดยที่อื่นเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำให้ฉันเจ็บ  โดยเฉพาะคนใกล้ตัวเรา.   

 *-  เพราะฉนั้น...จากนี้ไปฉันจะลำดับสมองของฉันเสียใหม่ไม่ให้มันทำให้ใจฉันเจ็บปวด...เพราะความคิดของฉันเอง  และจะพยามและระวังไม่ไปสะกิดแผลในใจของใครด้วย.......				
27 มิถุนายน 2550 00:23 น.

ที่นี่...ประเทศไทย ภาคที่ 1

กชมนวรรณ

"กริ๊งงงงงงงงงงงง"
                         "สวัสดีค่ะ..........ยินดีรับใช้ค่ะ"
                          "แจ้ง โทรศัพท์เสียหน่อยค่ะ"
                          "ได้ค่ะ เบอร์อะไรค่ะ"
                           "เบอร์.............ค่ะ ช่วยเร่งให้หน่อยนะค่ะ พอดีเป็นของบ้านพ่อ-แม่ พี่นะค่ะ อยู่กันแต่คนแก่ ต้องติดต่อกับลูกหลาน ตลอดค่ะ"
                            "ค่ะ แล้วจะ แจ้งช่างให้ด่วนนะค่ะ"
                               "ขอบคุณ ค่ะ" 
                     .....................................................
3   วันผ่านไป
                                "กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง"
                               "สวัสดีค่ะ..............ยินดีรับใช้ค่ะ"
                               "น้อง ค่ะ เบอร์โทรเบอร์...........เสียพี่แจ้งมา 3 วันแล้วค่ะยังไม่มีใครมาซ่อมเลยค่ะ เช็คให้หน่อยซิค่ะ"
                                 "ได้ค่ะ พี่ เดี๋ยวนะค่ะ"
ประมาณ 3  นาที         
                              "เออ พี่ค่ะ พอดีมันติดวันแรงงานนะค่ะ เลยไม่มีช่าง เดี๋ยววันนี้ช่วงบ่ายช่างจะเข้าไปค่ะ"
                                   "ขอบคุณ ค่ะน้องแล้วพี่จะรอนะค่ะ"
ช่วงบ่ายวันนั้น มีช่างเข้ามาในบ้าน สัก 5 นาทีเสียงโทรศัพท์ช่างดังขี้น
                                    "กริ๊งงงงงงงงง" "คับ คับ คับ"
                            "เอ่อ ป้าคับ พอดี สัญญาณสาย อีกทีมันล่ม คับหัวหน้าให้ผมไปทำที่โน้นก่อน เพราะมันสำคัญกว่า คับ"

3  วันผ่านไป
                                      "กริ๊งงงงงงงงงงง"
                                "สวัสดี ค่ะ .................ยินดีรับใช้ค่ะ"
                                "น้องค่ะ เบอร์โทร.............ที่บ้านแม่พี่ยังไม่มีช่างมาซ่อมนะค่ะ ช่วยเช็คให้หน่อยค่ะ หลายวันแล้วนะค่ะ"
เงียบไป 5 นาที
                               "ยังไม่มีช่างไปอีกหรอค่ะ พี่"
                               "มาแล้วค่ะ แต่เค้าบอกที่อื่นสัญณาณ มันล่มต้องไปก่อนแล้วหายไปเลย ค่ะ"
                                "เอา งี้นะพี่ วันนี้หนูรับเรื่องไว้ก่อน แล้วจะตามให้ ทีหลังพี่โทรไปเบอร์นี้นะค่ะ............................."
                                "ค่ะ ขอบคุณค่ะ"

3  วันผ่านไป

       กดเบอร์ใหม่ที่พนักงานให้มา  "กริ๊งงงงงงงงงงงง"
                              "สวัสดีครับองค์........................"
                                "แจ้ง โทรศัพท์เสียค่ะเบอร์...............แล้วแจ้งมาหลายครั้งแล้วด้วย เช็คประวัติแจ้งซ่อมหน่อยซอค่ะ ทำไมถึงมาซ่อมไม่ได้สักที"
                             "แล้วช่างไม่ได้เข้าไปดูหรอ ครับ"
                             "เข้ามาแล้วค่ะ เห็นบอกที่ไหน สํญญาณ ล่มต้องรีบไปแล้วหายไปเลย นี่ค่ะ ทำไมต้องรอให้ล่มทั้งระบบ หรอค่ะ ถึงจะแก้ให้ ที่บ้านนี่ ก้อคนแก่อยู่กัน 2 คน ลูกหลานจะได้โทรถาม สารทุกข์ นี่ต้องรอ อะไรหรอค่ะ"
                              "เสียง น่ากลัวจัง ครับแล้วผมจะตามให้นะครับ"
                             "เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งวาง มีเบอร์โทร หัวหน้าโดยตรงไหมค่ะ
ที่รับผิดชอบทางนี้โดยตรงนะค่ะ "
                              "มี ครับ เบอร์..............นี้ครับ ขอสาย คุณ สามารถ นะครับ"
                            "ขอบคุณ ค่ะ" (ที่ให้เบอร์คนรับผิดชอบ)

2  วันผ่านไป

                             "กริ๊งงงงงงงงงงงง"
                             " ขอสายคุณ สามารถ ค่ะ"
                              "กำลัง พูดสายครับ"
                              "โทรแจ้ง โทรศัพท์เสียค่ะ เบอร์.....................แจ้งมาหลายครั้งแล้วนะค่ะ ทำไมหรอค่ะ เบอร์นี้ค้างค่าโทรศัพท์กี่เดือนค่ะ แล้วทำไมต้องรอให้สายล่ม ก่อนหรอค่ะ ถึงจะซ่อมได้  ช่วยเช็คหน่อยค่ะ ว่ายอดค้างเท่าไหร่"
                             "ไม่มีครับ เดี๋ยวผมจัดการ ให้นะครับ"
                               "ขอบคุณ ค่ะ" (ในใจภาวนาขอให้เป็นครั้งสุดท้าย)
วันรุ่งขึ้น ในช่วงบ่าย     "กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง"
                                    "ฮัลโหล" เสียงคนแก่รับสาย
                                   "สวัสดีค่ะ นี่เบอร์โทร...................ใช่ไหมค่ะ"
                                   "ช่าย ลูก"
                                   "โทรศัพท์ ใช้ได้แล้วนะค่ะ ชัดไหมค่ะ"
                                   "ชัด ลูก"
                                   "ขอบคุณ ค่ะที่ใช้บริการเรา" พร้อมเสียงวางหู
คนแก่ ที่รับโทรศัพท์   "!!!!!!!!"  พลางนึกในใจ "มันเข้ามาซ่อมตอนไหนหว่า ตูไม่เห็นมันเข้ามาซ่อมเลย ทำไมโทรศัพท์ถึงไช้ได้หว่า"...............				
19 มิถุนายน 2550 16:25 น.

แค่ ขำ...ขำ

กชมนวรรณ

แค่ขำ...ขำ     คำๆ นี้ฉันมักจะได้ยินบ่อยๆ แต่ไม่ใช่จากเพลงที่ฟังหรอกนะ แต่จากน้องชายคนหนึ่ง ซึ่งพอฉัน แซวเขาเรื่องผู้หญิงเขามัก จะบอกฉันว่า "แค่ขำ...ขำนะ พี่รัน" ตอนนี้พอฉันเผลอบอกว่าฉันมีหลานสาววัยเดียวกัน  ที่นี้มันไม่อยากเป็นแล้วน้องชายฉัน บอกอยากเป็นหลานมากกว่า ดูมัน.....
     เมื่อก่อนพอฟังเค้าพูดคำนี้แล้วไม่รู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อเช้าฉันเข้าไปทำความสะอาดห้องนอนลูกสาว ฉันเจอกระดาษแผ่นหนึ่งพับไว้อย่างดีที่ใต้หมอน ฉันเปิดอ่านดูเพราะสโลแกนของฉันก้อบอกอยู่แล้วว่า สนจัยในทุกเรื่องที่ลูกสนใจ ในกระดาษเขียนว่า.....
                            เรารักคัยรักจิง  รักจิงหวัง แต่ง   
                            รักคัยไม่ทิ้ง ของจงเชื่อจัย
                            ถึงเทอไม่เชื่อ ก้อไม่เปงไร  
                             ของรู้ไว้ว่าเรารักแก
                             ถึงเทอจะเชื่อว่าเรามี กิ๊ก    
                             ของจงรู้ไว้ว่าเราไม่มี
                             เรา อ่ะ รักแกคนเดียว         
                             รักมากที่สุดจนรักมากมาย
                             เราไม่พูดแต่ปากแต่พูดจากจัย   
                             ถ้าเทอไม่เชื่อก้ออย่ารักกันเลย....
ฉันอ่านครั้งแรกไม่รู้สึกอะไรมาก แค่นึกเออลูกสาวฉันเป็นสาวแล้วหรอ มีหนุ่มส่งกลอนมาจีบซะแล้ว  และฉันก้อพอรู้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็น คัย (ไช้ภาษาวัยรุ่นมั่ง) เพราะเขาเคยเช็ทมาถามฉัน ว่า คุณเคยคิดว่าคุณมีลูกสาวสวยเปล่า แล้วบ้านที่เค้ามีลูกสาวสวยนะเค้ามัก ชอบเขียนป้ายว่า "สนุขดุ" ใช่เปล่า  เอากะเค้าซิเด็กสมัยนี้รู้จักใช้สื่อ จริงๆ ไม่มาเจอหน้า เช็ทมาถามที่ตัวเองสงสัยเลยเยี่ยม!  ดีนะที่แม่ใช้เป็น ไม่งั้นไม่รู้จะถามมาทางไหน ไม่รู้จะบุกมาถามฉันถึงบ้านหรอเปล่า  ฉันก้อตอบเค้าไปว่า ฉันไม่เคยเห็นว่าลูกสาวฉันสวยเลยเพราะจริงๆ ฉันมองกี่ครั้ง กี่หนก้อไม่เคยเห็นความสวยงาม ของลูกสาวคนนี้เลยเห็นบ้างก้อความน่ารัก เวลามันมาประจ๋อประแจ๋ จะขออะรัยสักอย่างนั้นแหละถึงจะเห็นความน่ารัก ของมัน นอกนั้น ไม่อยากจะพูด ก้อคิดดู ห้องนอนฉันต้องเข้าไปจัดให้ทุกครั้ง นี่ขนาดมีหนุ่มมาเหล่แล้วนะ
          อ่านครั้งที่ 2 ฉันรู้สึก แค่ ขำ ขำ จริงๆ ก้อจะไม่ให้ฉันขำได้งัย ดูกลอน เอ๊ะ กลอนหรือเปล่า ถ้าเขียนส่งที่บ้านกลอนคงเป็นกลอนตามใจฉันแน่ ๆ ดูที่เขียนดิ มันคล้องจองกันก้อไม่มี ความสละสลวยก้อไม่มี มีแค่ความหมายว่า ถ้าเธอไม่เชื่อ ฉันว่าฉันไม่มีใครนอกจากเธอ ก็อย่ามารักฉันซิ ทีหลังขอแนะนำนะหน่ม ว่าให้เขียนเป็นจดหมายดีกว่านะ มันง่ายกว่า แล้วก้อไม่ต้องคิดมากอีกด้วย อิอิ เอ๊ะรึว่าเขียนเป็นกลอนนี่แหละจะได้หัดไปในตัวและมาเขียนบ้านกลอนกันดีกว่า
            อ่านเสร็จทำให้ฉันนึกถึงวันแม่ในปีที่ผ่านมา เย็นก่อนวันแม่ลูกสาวฉันเอาการบ้านมาถามฉัน 
           "แม่ แม่ ครูให้แต่งกลอนวันแม่  แม่ช่วยคิดหน่อยดิ"
 เออ มันคิดกับแม่มันยังไงหว่า  ถึงให้แม่คิดกลอนวันแม่ไปส่งครู ด้วยความรู้สึกที่ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร บอกลูกไปว่า แกคิดว่าแม่เป็นงัยก้อเขียนไปซิ ฉันบอกรัยได้หมดแหละไม่ต้องมาเขียนว่าแม่ฉันดีอย่างนั้น อย่างนี้หรอก  เห็นหน้าง้ำ ไป พร้อมบ่นว่า"ยาก จะตาย จะแต่งงัยดี" เออฉันก้อหันมามองตัวเองพร้อมคิดว่ามันไม่มีความรู้สึก อะไรกับแม่บ้างหรอที่จะพอเขียนออกมาสัก ประโยคสองประโยค ทั้งๆ ที่เค้าจะชอบติดฉันตลอดอะไรก้อแม่ แม่......จะกินข้าวยังบอกแม่....กินข้าวนะ    แม่...กินขนมนะ จะทำนั่นนี่จะตะโกนบอกฉันตลอด จนฉันเคยตวาดกลับไปว่าอะไรเรื่องแค่นี้ทำต้องบอก จะกินก้อกินซิ มันบอกเดี๋ยวแม่ไม่รู้เหล่า เรียกให้กินอีก เอากะมันดิ อยู่กันมาก้อจะ 14 ปีแล้วมันยังไม่เห็นว่าแม่มีอะไรที่น่าเขียนถึงอีกหรอ   เฮ้อลูกหนอลูก เออฉันก็ลืมขอดู ตกลงว่าวันนั้นมันได้เขียนกลอนส่งครูเปล่าไม่รู้ หรือว่ามันจะไปลอกเพื่อนส่งครูหว่า  555   แล้วหนุ่มน้อยคนนี้ล่ะ เค้าได้เขียนกลอนวันแม่หรือเปล่า?  ฉันชักอยากอ่านซะแล้วซิ  ว่างๆก้อส่งมาให้อ่านบ้างนะหนุ่มนะ    
             เออ! อยากจะบอกน้องชายฉันว่า นี่เรื่องนี้ซิเรื่อง แค่ ขำ...ขำ เรื่องจริง ไม่เชื่อเอากลอนบทนี้มาอ่านตอนอายุเท่าเธอซิ!!!!
ส่วนลูกสาวฉันคิดว่าฉันก็จะเก็บไว้ให้เขาอ่านในวันที่เขา รับปริญญา   ถ้ามีวันนั้น....นะ
				
14 มิถุนายน 2550 17:01 น.

ไหว้คุณครู ผู้จากไปไกล.........

กชมนวรรณ

เมื่อบ่ายวาน ฉันเห็นเด็กนักเรียนวิ่งหาดอกไม้เพื่อทำพานไหว้ครู กันวุ่นแล้วทำให้นึกถึงช่วงตอนวัยเรียนช่วงหนึ่งซึ่งเป็นช่วงที่ประทับใจที่สุดอาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกกับพวกเราว่า
       "ขอให้พวกเธอ จงจำช่วงเวลานี้ของวัยไว้ให้ดี ต่อไปเมื่อพวกเธอมีภาระหน้าที่และวัยที่มากขึ้น พวกเธอจะมีความทรงจำที่งดงามยามที่คิดถึงเสมอ"
มาถึงวันนี้ ศิษคนนี้เป็นแบบนั้นแล้วค่ะอาจารย์อยากจะบอกอย่างนี้ แต่ไม่ได้บอกเพราะอาจารย์จากพวกเราไปไกลแสนไกล...
          คืนวันนั้น เป็นวันเข้าค่ายเนตรนารี ครั้งแรกของฉันอาจารย์ให้หัดเดินทางตอนกลางคืน โดยใช้เส้นทางถนนสายใหม่ที่เพิ่งตัดเสร็จใหม่ๆ ยังไม่เปิดใช้เป็นทางการในช่วงนั้น เรา 3 หมู่เนตรนารี เดินตามแผนที่ที่ได้รับโดยกลุ่มของฉันเดินรั้งท้ายและฉันเดินท้ายสุดเพราะเป็นรองหัวหน้าหมู่ ฉันเดินไปกลัวไปเพราะเดินท้ายสุด สักพักมีมือมาสะกิดที่หลังฉัน หนัก ๆ ฉันหันไปมองโดยอัตโนมัติ แล้วฉันโปงสีขาวโพลน อยู่ข้างหลัง ฉันร้อง "กรี๊ด........"  สุดเสียงพร้อมทิ้งตัวลงนั่งร้องโฮๆๆๆ   เพื่อนๆ ก้อพากันตกใจ ครู่เดียวฉันรู้สึกมีคนมากอดแล้วลูบหัวแรง ๆ เพื่อเรียกสติ พร้อมได้ยินเสียง
          "ไม่ต้องกลัว ๆ นี่ครูเองนะ ไม่ต้องกลัว นี่ครูเอง"
ฉันลืมตาขึ้นมองเห็นอาจารย์ภิญโญ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่คุมการเข้าค่ายครั้งนี้ของเรานั่งหน้าขาวโพลน พร้อมจับหัวฉันลูบอยู่ ทั้งได้ยินเสียงหัวเราะของท่านและเพื่อน อย่างสนุกสนานบนความกลัว...อย่างแรง...ของฉัน
               ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาจารย์ก็เอาเรื่องนี้ของฉันมาล้อในห้องเรียนบ่อย ๆ จนกลายเป็นเรื่องขำของเพื่อนๆ เรื่องน่าอายของฉันไปเลยทีเดียว    อาจารย์ภิญโญ เป็นผู้ชายร่างสันทัด ผอม ใบหน้าจะมีรอยยิ้มตลอดสอนวิชาคณิตศาสตร์และมีภรรยาเป็นอาจารย์สอนคณิตฯ ที่นี่เหมือนกัน  มีเรื่องขำ ขำ
มาเล่าในชั้นเรียนบ่อย ๆ เป็นอาจารย์ที่มีอารมณ์ดีมากๆ แม้เวลาท่านจะด่าก็ด่าแบบอารมณ์ดี เจ็บๆ แสบๆ คันๆ แต่จำไปนานทีเดียว เวลาสอนบางวันเข้ามาก็สอนตัวอย่างก่อน แล้วสั่งให้พวกเราทำแบบฝึกหัด แล้วอาจารย์ก็ลงไปนั่งขายของที่ห้องสหกรณ์ ก่อนพอจะหมดคาบเรียนท่านขึ้นมาสั่งการบ้านแล้วเลิกชั้นเรียน พวกเรามักเอาเรื่องนี้มาแซวอาจารย์เล่นเหมือนกัน ทำให้ความผูกพันระหว่างกลุ่มเราและอาจารย์ผูกพันกันมากยิ่งขี้น บางวันตอนพักเที่ยงทานข้าวเที่ยงกันเสร็จพวกเราก็จะไปช่วยอาจารย์ขายของในห้องสหกรณ์ พร้อมรับแจกขนมเล็กๆ น้อยๆ จากอาจารย์ แต่ทำให้พวกเราอิ่มและมาจนถึงทุกวันนี้   พวกเราแต่ละคนจะได้รับฉายาจากอาจารย์กันทุกคน เช่น ไอ้ลูกหนุนกุด,ไอ้ดำตับเป็ด แล้วแต่คำที่อาจารย์จะนึกว่าคนไหนมีบุคลิกอันน่ารักแบบไหน จนบางคนกลายเป็นชื่อเล่นไปก็มี แบบถ้าเอ่ยชื่อนี้จะนึกได้ทันทีว่าเป็นคนนี้โดยไม่ต้องเอ่ยชื่อจริงกันเลย ฮา
                  พวกเราเรียนหนังสือที่นั่นถึง 6 ปีทั้งทำกิจกรรม ทัศนศึกษาร่วมกับอาจารย์จนสนิทและผูกพันกันมากขึ้น สามารถปรึกษาอาจารย์ได้ในทุกเรื่องจนพวกเราเรียนจบ ม.6  ออกมาพร้อมวุฒิ ม.6 และรูปถ่ายอันสุดหล่อของอาจารย์พร้อมลายเซ็นและคำอวยพรอันประเสริฐของอาจารย์คนละใบ ฉันเอามาเก็บไว้อย่างดี แต่ปี 43 น้ำท่วมหนัก บ้านฉันก็โดนเสียหายไปเกือบทั้งหลัง รวมทั้งรูปถ่ายของอาจารย์ด้วย น่าเสียดายมากๆ พอจบ ม.6  ฉันและเพื่อนสนิทหันมาเรียนการบัญชี เรียนได้ปีหนี่งได้รับข่าวร้ายของอาจารย์ภิญโญ ว่าท่านป่วยเป็น" โรคลูคีเมีย"   มะเร็งเม็ดเลือด! พวกเราตกใจมาก มีคนข้างบ้านก็เพิ่งจะเสียไปด้วยโรคนี้ด้วยในตอนนั้น ทำให้ข่าวนี้ช๊อก พวกเรามาก เลยนัดกันไปเยี่ยมอาจารย์ในวันรุ่งขี้น หลังเลิกเรียนเพราะโรงเรียนกับโรงพยาบาลอยู่ใกล้กัน
                      พอพวกเราไปถึงที่เตียงที่อาจารย์นอนรักษาตัวอยู่ อาจารย์หันมาเห็นรีบลุกขึ้นนั่ง พร้อมรอยยิ้มฉีกกว้างมากๆ (ฉันยังจำได้ดี) พร้อมเล่าถึงอาการป่วยของอาจารย์ และสรุปให้พวกเราฟังด้วยว่า 
                     "หมอ บอกว่า ครูต้องหายแน่นอน นี่หมอรับรอง 80% เลยนะดีนะที่มาเจอในระยะแรก รับรองครูหายแน่นอน"
                     "การแพทย์เดี๋ยวนี้ก็ ก้าวหน้าไปเยอะ หายแน่ๆ"
วันนั้นพวกเรากลับบ้านพร้อมด้วยความคิดที่ว่าอาจารย์ต้องหายแน่ๆ ตามที่บอกหลังจากวันนั้น พวกเราก็ไม่ได้ไปเยี่ยมอาจารย์อีก ต่อมาสักเดือน กว่าๆ จากวันนั้นพวกเราได้รับข่าวใหม่ของอาจารย์ที่ชีอก กว่าครั้งแรกอีกว่า อาจารย์ภิญโญ เสียแล้ว พวกเราอึ้งพร้อมรู้สึกผิดว่าไปเยี่ยมอาจารย์แค่ครั้งเดียว ทั้งที่โรงพยาบาลกับที่เรียนไกล้กันนิดเดียว...
                      เรานัดกันไปงานศพ อาจารย์ฉันจุดธูปกราบอาจารย์พร้อมคำถามในใจว่า "เห็นอาจารย์บอกพวกเรา ว่าหายแน่นอนนี่ค่ะ แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้" พร้อมทั้งขออโหสิกรรมต่ออาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายเพราะพวกเราอาจล่วงเกินอาจารย์ไปบ้างโดยไม่รู้ตัวและด้วยวัยที่ยังเยาว์อยู่ในตอนนั้น...ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่อาจารย์สอนให้พวกเราให้รู้จักการจากไปของบุคคลอันเป็นที่เคารพรัก อีกแบบ ซึ่งมันเศร้าไม่แพ้การจากของบุคคลอันเป็นที่รักของเราคนอื่นๆ เลย...
                         วันนี้ตอนเช้าฉันลุกขึ้นเตรียมของพร้อมตักบาตร อุทิศส่วนกุศลให้กับอาจารย์ภิญโญ ที่ฉันยังระลึกถึงและยังฝันถึง อยู่เสมอ ถ้าอาจารย์ยังอยู่หนู(ยังติดคำนี้อยู่ค่ะ) ขอใช้วันนี้และโอกาสนี้ไหว้คุณ คุณครูแม้จะช้าไปนิดสำหรับการไหว้ครูในช่วงเช้าแต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทำให้ได้ทำในช่วงบ่ายแต่คิดอยู่ตลอดเวลาค่ะ  ในปีนี้ฉันดีใจที่ได้ระลึกถึงคุณ คุณครูเป็นตัวอักษร ด้วยค่ะถ้าอาจารย์ยังอยู่ขอให้อาจารย์จงตกอยู่ในที่สุข ค่ะ
                                                        รักและอาลัยยิ่ง				
11 มิถุนายน 2550 10:43 น.

หลอน....

กชมนวรรณ

"จริง ๆ นะพี่ หนูเจอมาจริง ๆ" 
             "เจอมากะตัวเองเลย...ไม่ได้ฟังใครเค้าพูด...แต่หนูจะเล่าให้พี่ฟัง แม้!ว่าจะไม่เล่าแล้วนะ มันอดใจ ไม่ได้ มันอึดอัด" เสียงแม่น้องฟ้า ซึ่งพาน้องฟ้า มารักษาตัวด้วยโรคลูคีเมีย บอกฉันด้วยเสียงอัน ตื่นเต้นถึงเรื่องราวที่ได้เจอในวันนั้น หลังจากที่เราเคยเจอกันที่โรงพยาบาลนี้ 2-3 ครั้ง แต่ครั้งนี้เราอยู่เตียงติดกัน สนิทกันยิ่งขึ้น จากที่เมื่อก่อนแค่ยิ้มทักทายธรรมดา ทักกันเล็กน้อยพอเป็นพิธี แต่วันนี้เรานั่งคุยกันหลายเรื่องจนมาถึงเรื่องนี้ซึ่งฉันไม่อยากฟังเล้ย..จริงๆ
แต่ปากก้อดันพูดว่า 
                "แล้ว เป็นไง หรอค่ะ น้อง เล่ามาเลยค่ะ พี่อยากฟัง" นั่นไม่อยากฟังแต่สมองมันไม่รับ มันสั่งแต่ว่าอยากรู้ค่ะ
                 "คืน นั้น นะพี่นะ หมอไม่รู้คิด ยังไง โทรมาสั่ง ตี 2 แล้วให้เอาน้องฟ้าไปเอ็กซ์เรย์ ตรวจกระดูก ก่อนให้ คีโม หนูก็ต้องตามลูก ไปด้วยตอนเจ้าหน้าที่เปลเค้ามารับ ตอนไปนะพี่ไม่เป็นไรหรอก แต่สักพักเค้าบอกให้หนู กลับมารอที่ตึกเพราะ คิวยาว เดี๋ยวเค้าจะเอาน้องฟ้ามาส่งเอง หนูนะอยากกลับพร้อมลูกแต่อยากนอนด้วย เลย นะกลับ ก็กลับ"
                   "ค่ะ น้อง ต่อเลยค่ะ"
                   "ทีนี้นะพี่ ว่าจะเดินขึ้นทาง บันได แต่ ชั้น 6 เรามันนานนะพี่แล้วกลัวเจอ รัย รออยู่บนบันได ด้วยกะว่าเอาเร็ว นะพี่ใช้ลิฟ นี่แหละชั้น 6 เองกลั้นใจแป๊บเดียว"
                    "พอ กดลิฟ นะ มันเปิดออก ช้า ๆ หนูเข้าไปกดชั้น 6 นะ พอประตูปิดนะพี่ มันขึ้น พรวดเลยนะ เร็วมาก แต่มันไม่หยุด ชั้น 6 นะพี่ไปหยุดชั้น 8 เลยพี่ พอหยุด ชั้น 8 ประตูไม่เปิด นะ หนูเลยกดลง ชั้น 6 อีกมันลงพรวดเลย แต่ไม่หยุดชั้น 6 นะไปหยุดชั้น G เลย พี่ก็รู้ชั้น นี้เป็นที่เก็บศพ หนูใจเสียหมดแล้วนะพี่ จะออกก็ออกไม่ได้ ต้องกดขึ้นอีก ชั้น 6 มันก็ขึ้นชั้น 8 อีกกดลงมันก็ลง ชั้น G อีกแล้วไฟในลิฟ นะพี่ มัน ติดๆ ดับๆ ด้วยหนูจะชีอค อยู่แล้ว นะ ทีนี้มันเปิดชั้น 6 พี่หนูรีบวิ่งออกมาเลย หันเห็นแมวดำวิ่งตามหลังออกมาด้วย ตัวหนึ่ง หนูรีบวิ่ง เข้าตึกเลย"
                    " ไม่เอาแล้ว พี่หลังจากนั้น นะหนู ไม่ใช้แล้วลิฟ คนเดียวไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เดินขึ้นบันไดนี่แหละยังไง ได้วิ่ง ฝ่ามันได้แต่ในลิฟ พี่คิดดูนะ วิ่งไปทางไหนก็ไม่ได้ ตายกะตาย"  "หลาบแล้วพี่เฮ้อ" แม่น้องฟ้าสรุปพร้อมถอนหายใจ อย่างโล่งที่ผ่านคืนวันนั้นมาได้ โดยหัวไม่โกร๋น ไม่งั้นใคร ๆ คงคิดว่ามารักษาตัวเองแน่ ไม่ใช่พาลูกมารักษา
                        ฉันฟังเรื่องของแม่น้องฟ้าแล้ว มันคอยคิดอยู่ตลอดเวลาเพราะฉันนะเรื่องกลัว ผี นะรักษายังไงก็ไม่หาย หลอกตัวเองว่าไม่มีก็ไม่ได้ ไม่คิดถึงมันก็ไม่ได้อีกเพราะต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลบ่อยแล้วที่จอดรถของฉันนะติดกับชั้น G แหละที่สะดวกสุดแล้ว เพราะชั้นนี้นอกจากเป็น ที่ของห้องเก็บศพแล้ว
ยังเป็นที่ตั้งของโรงอาหารอีก ซุปเปอร์อีก เรียกว่าไม่จำเป็นก็ต้องจำเป็นต้องลงชั้นนี้แหละ แล้ววันละหลายๆ รอบด้วย เพราะเจ้าตัวเล็กของฉันที่มารักษาตัวด้วยเดี๋ยวจะเอานั่น แม่ เดี๋ยวจะเอานี่แม่ จะกินนั่นแม่ จะกินนี่แม่ (ฉันรู้ว่าเค้าไม่อยากอยู่แต่ในห้องรักษา อยากเดินเล่นมากกว่า ของที่บ่นอยากได้อยากกินนะซื้อมาตั้งถ้าของกินฉันต้องกินเอง ถ้าของเล่นก้อถือติดมือเดี๋ยว เดียว ฉันต้องเก็บใส่ถง ไว้ตอนออกก็ โอนให้เด็กๆ เตียงอื่นไป เพราะที่บ้านจะรกไปด้วยของเค้าที่ขยันซื้อ แต่ไม่ขยันเก็บและเล่นต่อเลย) แต่คิดตั้งใจไว้ว่า ทีนี้ถ้าจะ ซื้ออะไรจะต้องซื้อตอนกลางวัน ไม่ลงตอนกลางคืนแล้ว แต่ต้องลงจนได้ บอกแล้วอย่าไปฟัง อย่าไปฟังก็ไม่เชื่อ รันเอยรัน ตายแน่ตู
                         คืนนั้น หลังจากหมด เวลาเยี่ยมตอน 1 ทุ่มน้องฟ้าก็เอาบะหมี่ถ้วยมากิน(เด็กพวกนี้ หมอจะไม่ให้กินของพวกนี้นะค่ะ แต่พวกเค้าจะทานอะไรไม่ค่อยได้ เป็น 4-5 วันเราพ่อ แม่ กลัวลูกหิวไม่มีอาหารลงท้องบางครั้งก้อต้องยอมตามใจเค้าค่ะ ถึงหมอบางคนก็เหมือนกัน ถ้าดูชาร์ดของเด็กบางคนที่แม่ไม่ได้มาเฝ้าแล้วเด็ก ไม่ทานอะไร เวลาให้คีโมนะ หมอจะปลีกเวลามานั่งข้างเตียงแล้วคุย บอกให้กินอาหาร อยากกินแบบไหน เดี๋ยวหมอจะสั่งให้ เอาข้าวต้มไหมเอากับข้าวแบบไหน คือยังไงก็ได้ ขอให้เด็กได้ทานสักหน่อย สุดท้ายถ้าเด็กเบื่ออาหาร โรงพยาบาลจริง ๆ ไม่ยอมทานอะไร ก็ต้องยอมให้เค้ากิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่แหละค่ะ แล้วไม่รู้ทำไมเด็กพวกนี้จะทานได้นะค่ะ พวกนี้นะ อาจจะพอชงร้อนๆ แล้วมันหอมน่ากินก็ได้) ที่นี้ พอเจ้าตัวเล็กเห็นพี่ฟ้ากิน อยากกินบ้าง บอกให้ฉันลงไปซื้อ ที่ซุปเปอร์ฉันบอกค่อยกินพร่งนี้นะ แม่จะซื้อมาไว้หลายถ้วยเลยหลายรสด้วย เค้าไม่พูดค่ะว่ายอมเปล่า แต่วิธีการแสดงของเค้าทำให้ฉันทนนั่งเฉยไม่ได้ ต้องรีบลงไปซื้อให้เค้า คือเค้าจะนั่งขัดสมาด บนเตียงแล้วหันมองพี่ฟ้านั่ง กินเฉย ๆ พร้อมไม่พูดอะไรเลย เป็นคุณต่อให้ใจแข็งอย่างไรก็ต้องไปค่ะ
                         ฉันคว้ากระเป๋า ได้รีบไปเลยพอเดินถึงหน้าลิฟ เอาวะ จะ กดชั้น 1  แล้วเดินลงชั้น G ดีหรือว่าลงชั้น G  เลยแล้วรีบเดินไปซื้อแล้วรีบกลับ ฉันเลือกวิธีหลังค่ะ พอลิฟ เปิดชั้น G ปุ๊บฉันกระโดด ออกปั๊บ เหมือนกันรีบก้มหน้าเดิน พอถึงหัวโค้งทางแยก นั่นไงเจ้าหน้าที่แปลเข็นเห็นฝ่าเท้าขาวๆ มาแล้วพร้อมด้วยญาติ 2 คนเดินร้องไห้ตามหลังมา ฉันรู้ด้วยประสบการณ์แล้วว่าเค้าจะไปไหนกัน พยายามไม่มอง แต่ในใจบอก ขอให้เป็นสุข เป็นสุขเถิด แล้วไปที่ชอบนะค่ะ ถึงไม่รู้จักกันแต่ฉันจะทำอย่างนี้นี้ทุกครั้งที่เจอคนตาย ที่ไม่รู้จักกัน
                            พอซื้อเสร็จรีบกลับมากดลิฟ ขึ้นหาลูกป่านนี้คงคอยแล้วกดเรียกลิฟ ลิฟมาพร้อมเปิดฉันเดินเข้าพร้อมกด ชั้น 6 พยายามไม่คิดเรื่องที่แม่น้องฟ้าเล่า แต่สมองไม่ทำงานอีกแล้ว เอาแต่จะคิด ๆ ๆ พร้อมไฟในลิฟ ดับพรึบ สนิทเลยค่ะ เอาแล้ว เอาแล้ว เอาแล้ว ฉันคิดพลางสั่นพลาง รีบหยิบมือถือมาจะกด อ้าว ตายละหว่า ทำไม ไม่มีสํญญาณเลยว่ะ ตายแน่ ลิฟก็ดังกึก กึก กึก ก็มันไม่เดินนี่ น่าจะประมาณชั้น 3-4 นี่แหละ กึก กึก กึก ทั้งเสียงลิฟ และเสียงหัวใจของฉัน พรึบ ไฟติดขึ้นมา พร้อมลิฟกระชากขึ้นหยุดกึกในทันทีประตู เปิดออกชั้นรีบกระโดดแต่ไม่กลับไปหาแมวดำหรอกนะค่ะ แล้วไม่ค้นหา ความเร็วด้วยว่าฝีเท้าใครจะเร็วกว่ากันระหว่างฉันกับแม่น้องฟ้า คิดอย่างเดียวค่ะ พร่งนี้ตูไปเปลี่ยนซิม แล้วโว้ย เอาที่มันมีสัญญาณ ในลิฟ แล้วจะขอเบอร์พยาบาลในหวอดไว้ทุกคนด้วย..............				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกชมนวรรณ
Lovings  กชมนวรรณ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกชมนวรรณ
Lovings  กชมนวรรณ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกชมนวรรณ
Lovings  กชมนวรรณ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกชมนวรรณ