19 มกราคม 2549 11:36 น.

ประตู

กรกฎายน

 
ประตู
โดย
กรกฎายน


เข็มนาฬิกากระดิกไปเรื่อย เวลานอนของผมเหลือน้อยลงทุกที 
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าอีกแล้ว หลังไก่ขันผมมักนอนไม่หลับ นกบนต้นไม้นอกหน้าต่างร้องเสียงดัง

ดึกดื่นป่านนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่นะ การบ้านน่ะสิวิชาเลขซะด้วทั้งยากทั้งเยอะ หัวปวดตึ้บไปหมดเลย จนต้องแว่บไปท่องยุทธจักรกับโก้วเล้งเสียพักใหญ่
ทั้ง ๆที่ไม่เป็นวรยุทธ์อะไรเลย 

ในที่สุดก็ต้องคลานออกมาจากโลกจำลองใบนั้นเพื่อพบกับความจริงที่มีแต่โจทย์และตัวเลข เวลาล่วงเลยไปมากแล้วผมจะทำเสร็จทันหรือเปล่าก็ไม่รู้ 
ผมนึกอยากให้คืนนี้ยืดยาวออกไปอีก

พั่บ ! ไม่ไหวแล้ว ผมปิดสมุดวิชาเลข พอกันที นอนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยไปโรงเรียนแต่เช้าหาลอกของเพื่อนดีกว่า
คิดได้อย่างนั้นแล้ว ผมก็วางปากกา ปิดสมุด หนังสือ เดินหายเข้าในห้องน้ำ  ปิดไฟ กระโดดขึ้นเตียง จากนั้นเปลือกตาก็ปิดลง
แกะตัวแรกเดินทางมาถึงแล้ว คืนนี้จะมากันกี่ตัวก็ไม่รู้  กำลังจะอ้าปากนับ แต่แล้วก็ คร่อกกก หลับไปเสียก่อน ไม่รู้แกะจะน้อยใจหรือเปล่า
ที่ผมไม่อยู่คุยด้วย ขอโทษนะแกะ

ผมพบตัวเองยืนอยู่ในความมืด  ท่ามกลางวงล้อมของประตูทั้งสี่ทิศ ไม่รู้ว่าประตูสีอะไรบ้าง  พรึ่บ จู่ๆไฟก็สว่างขึ้น ผมค่อยๆหมุนตัวไปรอบๆปรายตาดูสีสันของประตูทีละประตู

ที่แท้ก็ "ประตูความฝัน" นี่เอง คืนนี้ ประตูบานไหนจะดูดผมเข้าไปล่ะเนี่ย เวลาผ่านไป แปลกจังคืนนี้ไม่มีประตูซักบานมีแรงดึงดูดเลยแฮะ
หรือว่า จะเป็นคืนพิเศษก็ไม่รุ้ บางทีประตูอาจจะต้องการให้ผมเปิดเดินเข้าไปด้วยตัวเองบานไหนก็ได้ตามใจชอบ ...หรือว่าจะไม่เดินเข้าไปดี  ความลังเลตามผมเข้ามาด้วยสะกิดผมถอยหลังกลับ
จะเกิดอะไรขึ้นที่หลังประตู พวกนั้นก็ไม่รู้ ไม่อยากจะเสี่ยงเลย ...แล้วกันความกลัวก็อยู่ด้วยเรอะ

ผมส่งยิ้มให้กับประตูหนึ่ง ไม่รู้ว่าสีอะไร  ประตูบานนั้นยิ้มตอบผมด้วยแน่ะ  รอยยิ้มนั้นดึงดูดผมเดินเข้าไปเหมือนละเมอ ... 


 เฮ่ย อย่าเพิ่ง ! เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว  ผมหยุดกึก สลัดหัวขับไล่มนต์เสน่ห์ของรอยยิ้มนั้น  
 เฮ้อ เกือบไปซะแล้ว ผมถอนหายใจก่อนกัดฟันยกขาเดินเลี้ยวไปเปิดประตูอีกบาน ประตูสีเปลือกมังคุด ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มเหมือนประตูบานอื่น ๆเขาช้อนตาเศร้าสร้อย เหมือนจะถาม  
นายแน่ใจง่ะ  ผมพยักหน้าเอื้อมมือผลักประตู

ข้างในหมอกควันหนาทึบ  ควันเข้าตาแสบจัง จนต้องหลับตาปี๋ ค่อย ๆยกขาเดินฝ่าเข้าไปแล้วก็ 
"ปัง" เสียงประตูปิดไล่หลัง ผมสะดุ้งเฮือก แต่ตัดสินใจก้าวไปข้างหน้า

ผมพบกับตัวเองไม่เหมือนกับตัวเองสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของบรรยากาศหมอกควันหายไปหมดแล้วเห็นเพียงท้องฟ้าสีเทาร่างกายผมถูกคลุมด้วยเสื้อโค้ตตัวหนาตั้งแต่หัวจรดเท้า สวมรองเท้าบูธ สีขาวสีเดียวกับพื้นที่ยืนอยู่  
รอบ ๆตัวเต็มไปด้วยสีขาวพรืดสีขาวที่แสนเย็นเจี๊ยบ

มันเป็นทางรถไฟที่เหยียดยาวสุดตาพาดไปบนพรมสีขาวไปจนจรดขอบฟ้า
อีกด้านหนึ่งไม่มีสถานีไม่มีบ้านคนผมเดินไต่ไปตามรางเรื่อยๆลมเย็นๆพัดผ่านหน้าวูบวาบจนรู้สึกเจ็บชา ไกลออกไปจากรางรถไฟเป็นป่าสน ในป่าสนนั่น อาจจะมี พวกหมาป่า หรือไม่ก็หมี เดินสูดกลิ่นหาอาหารอยู่ท่อม ๆ ผมอาจมาที่นี่เพื่อเป็นอาหารของพวกมันก็ได้

แล้วนี่ผมมาเดินบนรางรถไฟทำไมกันล่ะ แล้วกำลังเดินไปไหนกันแน่  อ้าว นั่นตรงนั้น มีประตูแน่ะ ประตูสีบานเย็นซะด้วย  บนพื้นสีขาว มีแต่ประตูตั้งอยู่โดด ๆ ข้างหลังประตู ไม่ต่างจากหน้าประตู แต่ประตูยิ้มให้ผมแล้ว เฮ้อทำไมพวกประตูชอบยิ้มให้ผมนักก็ไม่รู้ ผมยิ้มตอบประตูแหย ๆ แล้วก็ลองเอื้อมมือไปเคาะประตู  แต่ไม่มีใครออกมาเปิดรับ 

ประตูไม่ได้ล็อค แฮะ ผมเอื้อมมือเปิด แอ๊ด-ข้างในเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ เหมือนหลังประตู บานที่ผมเปิดเข้ามาไม่มีผิด สงสัยจะเป็นประตูทางออก  แล้วนี่ได้เวลาที่ผมจะต้องกลับแล้วเหรอ ยังไม่ทันได้เห็นรถไฟวิ่งผ่านสักขบวน
แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่ายังทำเลขไม่เสร็จ ความคิดที่ว่าจะอยู่ต่อถูกสลัดทิ้งไปคนละทิศละทาง จนผมรู้สึกเสียดาย เสียงไก่ขัน ดั่งแว่วเข้ามาในหู ผมตัดสินใจลืมตา

ผมลุกขึ้นนั่งตรึกตรองความฝันแต่ก็นึกไม่ออกว่าจะตีเป็นเลขอะไรดี
พรุ่งนี้หวยจะออกแล้วด้วย รีบอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนดีกว่า 

แม่กับพ่อเลี้ยงยังไม่ตื่น ผมต้องรีบไปโรงเรียนเสียก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้น  ผมไม่อยากเห็นสีหน้า เย็นชาของชายผู้นั้น 
ผมไม่อยากได้ยินเสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้ง กับเรื่องหยุมหยิมเล็ก ๆน้อย ๆของแม่

แต่งตัวเสร็จแล้ว เหม่อมองประตูสองบาน บานหนึ่งพาออกไปจากบ้าน  บานหนึ่งพาเข้าไปในครัว ผมตัดสินใจเปิดประตูบานที่พาผมเข้าไปในครัว  จัดการใส่สิ่งต่างๆลงไปในท้องจนเต็ม  ทีนี้ก็เริ่มเคลื่อนทัพได้แล้ว

ผมเดินมาถึงโรงเรียนก่อนใครเพื่อนเลยแฮะ หมาในโรงเรียนเห่ารับโบ๊งเบ๊ง เปิดประตูเข้าไปในห้อง เดินตรงไปยังโต๊ะประจำที่แยกตัวออกมาจากโต๊ะตัวอื่น ๆ มันห้อยเป็นไส้ติ่งอยู่ตรงแถวท้ายสุด  ผมนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว
และโต๊ะเองก็คงรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ต่างจากผม เรามีหัวอกเดียวกัน
ผมมักจะพบตัวเองอยู่โดดเดี่ยวเสมอ แม้แต่ในความฝันเมื่อคืน 


ผมหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วก็...

"โอ๊ย" ผมร้องเสียงลั่น ทำให้นกที่ร้องจิ๊กจั๊ก อยู่บนชายคา กระพือปีกพึบพั่บ บินแห่ไปเกาะต้นไม้แทน
 ไอ้พวกเพื่อนสัปดน เอาตะปูเรือใบมาวางไว้บนเก้าอีกอีกแล้ว
ผมนึกด่าคนวางในใจขณะเก็บตะปูใส่ไว้ใต้โต๊ะรวมทั้งต่อว่าเก้าอี้โทษฐานที่ไม่ยอมบอก จากนั้นก็ย้อนกลับมาต่อว่าตัวเองที่ไม่ยอมดูตาม้าตาเรือซะบ้าง
แต่ผมก็ต้องขอบใจพวกมันล่ะ ก็พวกนั้นมันรู้เสียที่ไหนกันล่ะ ว่าผมน่ะแอบสะสมตะปูเรือใบอยู่จะเก็บเอาไว้ทำไมน่ะเหรอ อิอิ ความลับ ๆ

ผมนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้พวกนกตัวเล็กกลับมาเกาะชายคาร้องเหมือนเดิม
อีกแล้ว คงเห็นว่าผมเป็นสัตว์เชื่องๆไม่มีพิษสงอะไร 

ขอบใจนะที่มาอยู่เป็นเพื่อน ผมเอ่ยบอกนกพวกนั้นด้วยสายตา

หลับตานึกถึงภาพความขาวโพลนเมื่อคืน แล้วก็รางรถไฟ ให้ตายเถอะผมอยากเห็นรถไฟเหลือเกิน ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง
อยากจะรู้ว่า ผู้โดยสารบนขบวนรถเยอะหรือเปล่า นัยน์ตาของผู้โดยสารบนนั้นมีสีอะไรบ้าง แววตาหม่นหมองหรือเปล่งประกาย ถ้าผมหันไปสบตากับเขา เขาจะทำหน้าแปลก ๆ หรือว่าจะยิ้มให้ และถ้าหาก ผมยืนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนราง ขณะรถไฟควบมาด้วยความเร็วสูงล่ะ คนขับรถไฟ จะทำหน้าแปลกประหลาดพิสดารแค่ไหน  ผมนึกถึงประตูอีกสามบานที่เหลือ ที่จะเลือกเปิดเข้าไปคืนนี้ 
บางทีผมอาจจะไม่กลับออกมาอีกเลยก็ได้ แม้ว่าไก่จะโก่งคอขันเรียกแล้วเรียกเล่า

ตะวันสายโด่ง ผมเดินไปเปิดหน้าต่างบานหนึ่ง  ไม่ยักเห็นเงาของใครสักคน เห็นแต่หมานอนอาบแดดกันระเกะระกะ  เฮ่ย! ผมเพิ่งนึกอะไรออก เมื่อวานนี้วันศุกร์นี่หว่า ถ้างั้นวันนี้ก็วันเสาร์แล้วตรูเจือกมาโรงเรียนทำไมฟระเนี่ย มองไปที่ประตูห้องเรียนที่เปิดแง้มอยู่น้อย ๆ
ไม่แน่ใจว่า จะเดินออกไปดีหรือเปล่า
เออ แต่ก็ดีเหมือนกัน ห้องเรียนวันเสาร์น่าเรียนเป็นบ้าผมพูดกับเก้าอี้


ลมจากหน้าต่างบานที่เปิดพัดเข้ามาเอื่อย ๆ ห้องเรียนเงียบฉี่  ผมชอบจัง อยากให้ห้องเรียนเงียบแบบนี้ทุกวันเลย 
ไม่ต้องมีครู ไม่ต้องมีนักเรียน ไม่มีตะปูเรือใบ  ผมคิด ๆ ๆๆ ๆ จนกระทั่งหนังตาเริ่มหย่อน และแกะตัวแรกปรากฎตัว
ขึ้นอย่าเงียบ ๆ จากนั้นก็ตัวที่สอง ...ที่สาม..สี่   
ชิ้ว ๆ ผมไล่เบา ๆ แต่แกะก็ยกโขยงกันมา   ...ห้า  ...หก
แล้วก็ ฟึบบบ! ผมหลุดเข้าไปในอึกมิติหนึ่งเรียบร้อย

ประตูสี่บาน ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ประตูสีบานเย็น สีดอกดาวเรือง สีกุหลาบ  สีเปลือกมังคุด  ใช่ สีเปลือกมังคุด ผมตัดสินใจผลักประตูบานนั้นเข้าไปอีกรอบ 

ถัดจากนี้ไป  ไม่รู้ว่าจะได้พบกับประตูอีกสักกี่บานกัน  อาจจะมีประตูสักบานหนึ่งที่พอเปิดเข้าไป ก็เห็นรอยยิ้ม ของแม่ ของพ่อเลี้ยงเผล่อยู่ ถ้าโชคดีหน่อยอาจจะได้พบกับรอยยิ้มของคุณ แต่ยิ้มของคุณคงจะหุบลงอย่างรวดเร็วเพราะว่าผมไม่ได้ยิ้มตอบ

ผมเดินทรงตัวอยู่บนรางรถไฟ หิมะกำลังตกปรอย ๆ  เนื้อตัวผมสั่นสะท้าน
ฟันกระทบกึกกัก 
นั่นไงประตูสีบานเย็นอยู่ตรงนั้น ผมวิ่งปุเลง ๆ ไปหาประตูอย่างเร็วจี๋ 
แต่ผลักก็แล้ว ถองก็แล้ว แต่ประตูไม่ยอมเปิด แถมยังทำหน้าเฉยเมย ไม่รู้ไม่ชี้
ปู๊นนนน
นั่น รถไฟมาแล้ว ยาวเหยียดเลย รถไฟวิ่งตรงมาด้วยความเร็วจี๋ จะรีบไปไหนนะ

ถ้าคุณเป็นคนขับรถไฟล่ะก็ คุณจะจดจำภาพนั้นติดตาไปจนตายทีเดียว
ภาพเด็กวัยเกือบรุ่น  ตัวเล็ก ๆ  ผอม ๆดำ ๆ ตัดกับหิมะสีขาวอย่างชัดเจน
ภาพร่างที่วิ่งออกไปประจันหน้า แลบลิ้นปริ้นตา พร้อมกับชูนิ้วกลางให้กับ คุณยิก ๆ นิ้วกลางอันเบ้อเริ่ม
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกรกฎายน
Lovings  กรกฎายน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกรกฎายน
Lovings  กรกฎายน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกรกฎายน
Lovings  กรกฎายน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกรกฎายน