21 กุมภาพันธ์ 2550 12:40 น.

การลอยจากไปของรองเท้าสีฟ้า

กรกฎายน

 
ไม่น่าเลย  ทำไมต้องเป็นผมด้วย  ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับผม  ทำไมไม่เกิดกับคุณ
ผมอยากรู้จังว่าถ้ามันเกิดกับคุณ   คุณจะจัดการกับปัญหานี้ยังไงไม่ทราบ


ผมป่วยผมมีอาการแปลก ๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แปลกจนผมเองก็อธิบายอาการของโรคไม่ถูก
ไม่เป็นไร  ผมจะลองตั้งสติ  อธิบายให้คุณลองฟังดู
เผื่อคุณจะเคยเป็น

เสียงของผมใช่ครับ  เสียงของผม   จากที่เคยห้าวหาญ  ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้เสียงผมเริ่มแหลมเล็ก
มันค่อย ๆเป็นค่อยๆไป   จากที่ร้องเพลง  ของน้องต่ายไม่ได้   ตอนนี้กลับร้องได้เหมือนเปี๊ยบ

หนวดทีเคยดกดำ  เรียวงามค่อยๆร่วงๆวันละเส้นสองเส้น
จนตอนนี้ไม่เหลือแล้ว  เช่นเดียวกับขนหน้าแข้ง
ผิวของผมจากที่เคยหยาบกร้านก็กลับกลายเป็นนุ่มชุ่มชื้น  เปล่งปลั่ง  มีน้ำมีนวล

ที่น่าตกใจก็คือหน้าอกหน้าใจ   โอย  ทำไมมันถึงใหญ่โตขึ้นทุกวัน
จนผมต้องไปหายกทรงมาใส่  แถมยังต้องเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อย ๆ

เอวที่ล่ำหน้าของผมกลับกลายเป็นคอดกิ่ว  สะโพกผายออก   บั้นท้ายของผมทำไมมันบึ้บบั้บขนาดนั้นนะ
จนผมใส่กางเกง  ยีนส์ตัวเก่ง  ตัวนั้นไม่ได้แล้ว   หรือว่าผมต้องเปลี่ยนไปใส่กระโปรงแทน

ตรงนั้นเหรอครับ  โอย   อย่าให้ผมพูดถึงเลย    ผมอายจัง    อะไรนะ  คุณอยากจะดูเหรอครับ
อย่าเลย  ไม่กลัวเป็นตากุ้งยิงเหรอ


 นี่ผมไปติดโรคนี้มาจากใครกัน


เมื่อคืนเชื้อโรคมาเข้าฝันผม
ผมขอหวยเชื้อโรค  แต่เชื้อโรคไม่ให้
ผมแหกปากขับไล่เชื้อโรคให้ออกไป ๆ
แต่เชื้อโรคทำเป็นหูทวนลมไม่รู้ไม่ชี้
บอกว่ายังมีอีกหลายล้านเสียงสนับสนุนให้อยู่ต่อ

โอยผมจะทำอย่างไรดี  ผมจะบ้าตาย
ในฝันผมวิงวอนทั้งน้ำตาบอกให้เชื้อโรคออกไป
แต่เชื้อโรคไม่ยอมใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย
พวกเม็ดเลือดขาวกำลังทำอะไรอยู่


เชื้อโรคบอกว่ามีทางเดียวที่ผมจะหายจากโรค
ก็คือไปมีอะไร ๆกับผู้ชายซะ
แล้วเชื้อโรคจะย้ายที่อยู่  แล้วผมจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
เชื้อโรคขู่บอกว่า  อย่าไปหาหมอนะ ไม่งั้น  เจอดีแน่


ไม่ๆๆๆๆ ยังไงๆผมก็ไม่ยอมมีอะไรแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันหรอก
ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย   เอ๊ะ หรือว่าชอบ
นี่มันยังไงกันล่ะ
หรือว่าตอนนี้รสนิยมผมเปลี่ยนเสียแล้ว
เป็นไปไม่ได้
ผมยอมไม่ได้
ผมได้เก็บตัวอยู่ในห้องเงียบกริบ  ไม่ออกไปพบแม้  ดาว  เดือน
เธอ   คนรักของผม  จะยังรักผมอยู่ไหมเมื่อรู้ว่าผมกลายสภาพไปเป็นเช่นนี้
ตายเสียยังจะดีกว่า
ผมตายดีกว่า


ใช่  ผมจะต้องตาย    ตายไปเสียให้พ้นๆ
อย่างน้อยถ้าผมตาย  เจ้าเชื้อโรคจะต้องตายด้วยแหละ
เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันแพร่ออกไปสู่คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ผมทำไม่ได้หรอก
สู้เราตายไปพร้อมกันยังจะดีซะกว่า

ดังนั้นผมจึงเริ่มคิดถึงวิธีการฆ่าตัวตาย
ผมเริ่มออกไปข้างนอกห้องเช่าตอนที่ทุกคนในละแวกนอนหลับกันหมดแล้ว
แต่พวกหมายังตื่นกันอยู่ตลอด
พวกหมายังจำผมได้แฮะ
พวกมันกระดิกหางให้
ทำไมพวกมันยังกระดิกหางให้
ในเมื่อสารรูปผมเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้
หรือว่าพวกมันสามารถมองเห็นถึงจิตวิญญาณภายใน
ผมอยากกระดิกหางตอบพวกมันบ้างจัง  ถ้าผมมีหางล่ะก็..
แต่นี่ผมไม่มีหาง  ผมเลยได้แต่ ยกมือขึ้นลูบหัวลูบหางพวกมันแทน


แล้วการเดินทางไปสู่ความตายก็เริ่มต้น
เจ้าพวกหมากลับเดินตามผมไปเป็นพรวน
"ชู้ว ๆ"  ไม่ว่าผมจะไล่มันอย่างไร  พวกมันก็ไม่กลับไป
พวกมันดื้อด้านเหมือนเจ้าเชื้อโรคร้ายของผมเลย
ผมบอกพวกมันว่า  นี่มันปีหมูแล้วนะ   พวกเอ็งยังจะตามข้ามาอีกเหรอ
กลับไปซะเถอะ  อีกสิบเอ็ดปีโน่นค่อยพบกันใหม่
พวกหมาบอกก็ได้ๆแต่ขอเดินไปส่งที่หน้าปากซอยละกันนะ
เพราะซอยนี้แสนเปลี่ยว  ถ้าผมถูกวัยรุ่นหน้ามืดลากเข้าป่าไปล่ะก็เสร็จกัน


แล้วผมก็จากพวกหมามา
ผมเดินสโลเสลลับหายไปจากสายตายของพวกมัน
พวกมันได้แต่หอนโบร๋ว ๆไล่หลังด้วยความอาลัย
   
โน่นแน่ะสะพานข้ามแม่น้ำ
นึกออกแล้ว
ผมเดินอ้าวๆไปที่สะพาน
ยังคงมีรถแล่นข้ามเป็นระยะ ๆ
ผมเริ่มสำรวจตัวเอง
นี่มันอะไรกันเนี่ย
ทำไมผมถึงกลายเป็นผู้หญิง
แถมสวยเสียด้วย
"โอ้โฮ "   ผมถึงกับอุทานเมื่อก้มลงไปมองหน้าอกหน้าใจ
ผมจำได้นี่ว่าแม่ไม่ได้ให้ผมมา
หรือว่าแม่เกิดเปลี่ยนใจ


ผมเหวี่ยงรองเท้าลงไปในแม่น้ำก่อน
สายน้ำกำลังไหลค่อนข้างเร็ว
รองเท้าสีฟ้า  ลอยตะคุ่มๆลับหาย
ผมปีนขึ้นไปบนราวสะพาน
ลมพัดเสื้อผ้าพึ่บพั่บ  
ผมจะกระโดดล่ะนะ
คุณอย่าห้ามนะ
คุณอย่ากระโดดลงไปช่วยผมนะ
แล้วผมก็กระโดด
เปล่า
ไม่ได้กระโดดลงน้ำ
แต่กระโดดกลับลงมา
ได้ยินเสียงร้องเท้าร้องเรียกวู้ๆแว่วๆอยู่ไกลออกไป   ๆ
ผมน้ำตาไหลร  "โถ  รองเท้าที่น่าสงสาร"


ไม่สำเร็จ  เป็นอันว่าผมตายไม่สำเร็จ
ผมฆ่าตัวตายไม่ลง
ผมสงสารตัวเอง
ทำไมต้องตายไปพร้อมกับเจ้าเชื้อโรค
แล้วผมจะทำยังไงดี  ผมจะกำจัดมันให้พ้นไปจากชีวิตผมได้อย่างไร
หรือว่าผมต้องอยู่ร่วมกับมัน
หรือว่าผมต้องยอมรับสภาพกับความจริงที่เปลี่ยนไป 
 บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว


ผมเดินเท้าเปล่า  ข้ามสะพานต่อไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
ที่ตีนสะพานมีร้านขายรองเท้ายี่ห้อดัง
ผมเดินตรงเข้าไป
มีร้องเท้าแตะ   รองเท้าผ้าใบ   รองเท้าส้นสูง
ผมชี้ไปที่ร้องเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง  คนขายหยิบให้   ผมลองใส่  พอดีเลยแฮะ
เหมือนรองเท้าคู่นี้กำลังรอผมอยู่เลย
ผมก้มมองเท้าตัวเองแล้วก็ตะลึง
นี่มันเท้าใครกันหว่า
นี่เท้าใครมาอยู่ที่ผม
แล้วเท้าผมไปอยู่ที่ใคร

คนขายก้มลงมองเท้าผมบ้างถึงกับเอ่ยปากชมเปาะว่าเท้าผมสวยมาก  เหมาะสมกับรองเท้าคู่นี้มาก
ผมหลับตาพริ้มถอนหายใจ  คิดถึงรองเท้าแตะ  สีฟ้า ที่ ลอยหายไปกับสายน้ำต่อหน้าต่อตา
ขอให้มีใครสักคนเก็บได้ด้วยเถิด


ผมไม่เคยใส่รองเท้าส้นสูงมาก่อน
จึงโดนขโยกเขยก  จะล้มมิล้มแหล่
แต่พอเดินๆไป   ก็เริ่มทรงตัวได้ดีขึ้น
เริ่มเข้าขากับรองเท้า
เริ่มเป็นอันหนึ่งเดียวกัน
แหม่คนเราก็มีการปรับตัวกันได้บ้างแหละ
ผมเริ่มรู้สึกสนุกสนานกับรองเท้าส้นสูง
จนลืม

ใช่แล้วผมลืมไปสนิท
นี่ผมออกมาข้างนอกนี่เพื่อฆ่าตัวตายนี่นา
แล้วนี่ผมกำลังทำอะไร
มาเดินเฉิดฉายอยู่แถวนี้ทำไม

เดินใจลอยไปลอยมา   จนชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
เขาเป็นชายหนุ่ม   
อะไรวะเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยเหรอวะ
คนทั้งคนเดินชนเฉย  ผมยั๊วะ
แต่พอเงยหน้ามองชายหนุ่มคนนั้น กับตะลึงงัน
เหมือนได้พบคนที่รอคอยมาตลอดชีวิต

"ผมขอโทษที่เดินชนคุณนะครับ"
"  มะ มะ  ไม่เป็นไรค่ะ"   ผมตอบ  เฮ้ยผมพูดค่ะด้วย  เป็นได้...
"แล้วนี่คุณกำลังจะรีบไปไหนเหรอคะ "  ผมลอยหน้าลอยตาถามต่อ  เออ  เป็นไปแล้วก็เป็นไปแล้ว
"คุณอยากรู้จริงๆเหรอ  ทำไมล่ะ"  ชายหนุ่มย้อนถาม   นัยน์ตาคมเข้มไม่หลบไปจากใบหน้าผมเลย
ชายหนุ่มคนนั้นหน้าตาคุ้นๆจัง  เหมือนเคยเจอที่ไหน  เอ...เคยเจอที่ไหน
ใช่แล้วในกระจก
ผมเคยเจอหมอนั่นนกระจก
เฮ้ยนั่นมันกูเอ้ย..ผมนี่หว่า
"  แปลกจัง  คุณรูปร่างหน้าตาเหมือนฉันเมื่อก่อนเลยค่ะ" ผมเพ้อ
"คุณก็หน้าตาเหมือนผมเมื่อก่อนครับ"



แปลกจัง  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกหว่า
ทำไมผมกลายร่างเป็นหล่อน  ทำไมหล่อนกลายร่างเป็นผม  มันจะมากไปหน่อยแล้วเจ้าเชื้อโรค
"คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่า คุณกำลังจะรีบไปไหนคะ"  ผมแย้บต่อ

"ไปที่สะพานนั้นครับ"  ชายหนุ่มพูดพลางพยักเพยิดไปทางสะพานที่ผมเพิ่งก้าวข้ามมาแหม่บๆ
"ฉันก็มาจากฝั่งโน้นค่ะ"  
"แต่ผมไม่ได้คิดจะข้ามไปฝั่งโน้นหรอกครับผะะผม  ตั้งใจจะไปแค่ตรงกลางสะพานเท่านั้นแล้วก็....."

"กระโดดลงไปเหรอคะ..!   "  ผมพูดแทรก  "ตะกี้นี้ฉันลองแล้วล่ะค่ะ ...แต่ไม่สำเร็จ
เราฆ่าชีวิตที่เรามีอยู่ไม่ลงหรอกค่ะ"
"ยังไงผมก็จะต้องไป  ผมตั้งใจแล้ว   "  แววตาของเขายังแสดงความมุ่งมั่นว่าจะตายให้ได้

ไม่ผิดแล้ว  เขาก็คือ  ผมนั่นเอง  เขาเป็นคนเดียวกับคนที่อยู่ในกระจก  ทุก ๆบาน   
 ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองส่องกระจกอยู่เลย  แต่คราวนี้ประหลาดกว่าทุกครั้ง 
 เพราะคนในกระจก  สนทนากับผมด้วย   เขามีชีวิตเป็นของเขาเอง
คนในกระจกยังหน้าตาเหมือนเดิม   ผมต่างหากที่เปลี่ยน

"เชื่อฉันเถอะค่ะ  ฉันผ่านมันมาก่อน  ถ้าคุณไม่เชื่อ   คุณจะเสียรองเท้า   แล้วที่สุดคุณก็จะต้อง
เสียเงินซื้อรองเท้าคู่ใหม่"


"นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับทำไมคุณกลายเป็นผม  แล้วผมกลายเป็นคุณได้"  เขาพูดเซ็งๆ
"เพราะเจ้าเชื้อโรคไงล่ะคะ  ฉันนึกว่ามันมาเข้าฝัน  คุณแล้วซะอีก"  ผมย้อนเข้าให้

ก่อนหน้านี้  ผมโกรธเจ้าเชื้อโรคมาก  ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้  แต่ตอนนี้ความรู้สึกเปลี่ยนไปแล้ว
ดูเหมือนความรู้สึกของหล่อนในร่างผมก็เปลี่ยนไปด้วย
ถ้าผมจะมีอะไรๆกับผู้ชายก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ
ก็เพราะชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมนี้เป็นผมเอง  และเป็นชายหนุ่มที่ผมรักมาตลอดชีวิต

อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้กันล่ะ   ผมขอไม่บอกได้ไหม    พวกคุณอย่าตามผมมานะ 
 ปล่อยพวกเราให้อยู่กันตามลำพัง
คุณกลับไปเถอะครับ  กลับไปยังที่ที่คุณมา  กลับไปสำรวจตัวเอง  คุณอยู่ใกล้พวกเราเสียจน
อาจจะได้รับเชื้อโรคเข้าให้แล้ว

แต่
อย่ากังวลเลย  กลับไปนอนเสียเถิด   เจ้าเชื้อโรครอพบคุณ อยู่แล้วในฝัน

สวัสดีราตรี
บางทีสายน้ำอาจจะกำลังรอ  



รอพบรองเท้า คู่ใหม่


รองเท้าของคุณสีอะไรล่ะ
สีฟ้าเหมือนกันป่ะ

พวกมันจะลอยไปพบกันป้ะ.

   				
8 กุมภาพันธ์ 2550 13:22 น.

The mirror : สาวน้อยในกระจก

กรกฎายน





มาลี  สาวน้อย   ไม่สวย  
มาลีสาวน้อยช่างฝัน
นั่งส่องกระจกตาแป๋ว
มาลีคุยกับกระจก
คุยกับคนในกระจก
คนในกระจกแสนสวย

ก่อนนอนมาลีมักจะสวดมนต์ก่อนนอน
เปลี่ยนบทสวดทุกคืน
เปลี่ยนศาสนาทุกคืน

แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสวดมนต์
ตอนนี้เป็นเวลาส่องกระจก
คนในกระจกหน้าตาไม่สวยเลยในสายตาคนอื่น
แต่ในสายตามาลีแล้ว  คนในกระจกสวยไปอีกแบบหนึ่ง
มาลียิ่งส่องกระจกก็ยิ่งหดหู่
ทำไมนะ  ๆ  
ทำไมถึงไม่มีใครเห็น

มาลีหน้าตาไม่สวย
ไม่มีหนุ่มๆมาตอม
ไม่มีผีเสื้อรุมตอม
มีแต่แมลงหวี่แมลงวันรุมตอมเต็ม

แต่มาลีก็ยังยิ้มได้
มาลียิ้มให้แมลงหวี่แมลงวันทุกตัวได้
ได้ไง!?
  

รอยยิ้มของมาลแลเผินๆ น่ากลัว  น่าเกลียด น่า..
แต่ถ้ามองลึกๆ  จะกลายเป็นคนละเรื่อง

และตอนนี้มาลีกำลังยิ้ม
ยิ้มให้กับคนสวยในกระจกเงา
คนสวยในกระจกเงาก็ยิ้มตอบมาลี

กระจกเงาของมาลีไม่ได้เป็นแค่กระจกเงาอย่างเดียว
กระจกเงาของมาลียังทำหน้าทีแทนสมุดบันทึก
มาลีจะคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้คนสวยในกระจกเงาฟังเสมอ
คนสวยในกระจกเงาก็ช่างแสนดี
รับฟังทุกเรื่องราวที่มาลีเล่า








"....อีกหนึ่งสัปดาห์จะวันวาเลนไทน์
ตื่นเต้นจังเลย  ฉันจะได้ดอกกุหลาบกี่ดอกนะ
แล้วใครจะเป็นคนให้  เขา....เขา....เขา....หรือว่าเขา
อิอิ  ต้องเป็นเขาแน่ๆ
เอ....หรือว่าเขา


ถึงแม้ไม่มีใครให้ดอกกุหลาบฉันก็ไม่เป็นไร
ให้ดอกอื่นก็ได้  ดอกบัว   ดอกมะลิ  ดอกหน้าวัว  ดอกบานไม่รู้โรย
ดอกหญ้าฉันก็รับนะ
ดอกอะไรก็ได้ที่ขึ้นอยู่ในใจของคนให้

อีกเจ็ดวันจะถึงวันวาเลนไทน์
จะคิดปลูกดอกไม้ในวันนี้ก็คงจะไม่ทันแล้ว
แต่ทำไมวันวาเลนไทน์ของเราต้องเหมือนคนอื่นด้วย
จะเป็นยังไงถ้าวันวาเลนไทน์ของฉันจะสี่ปีมีครั้งหนึ่ง
เออ...ดีเหมือนกัน  เหมือนวันที่  29 กุมภาฯเลย

อีกกี่ปีนะที่ดาวหางดวงนั้น  จะเดินทางเข้ามาใกล้โลกอีก
จะเป็นยังไงถ้ามีวันวาเลนไทน์เจ็ดสิบกว่าปีต่อครั้ง
ทำให้ในชีวิตหนึ่ง  เราอาจจะมีวันวาเลนไทน์กันชีวิตละสองครั้ง
หรือหนึ่งครั้ง แต่บางชีวิตก็อาจจะอาภัพหน่อย
เพราะจะไม่ได้พบกับวันวาเลนไทน์สักวันเลย

ฉันก็เหมือนกัน
ฉันไม่เคยมีวันวาเลนไทน์กับเขามาก่อน
เพราะฉันไม่เคยมีใครกระมัง
แต่ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ฉันจะมีวันวาเลนไทน์เสียที
แม้ไม่มีใครให้ดอกไม้ฉัน
แต่ฉันจะลองมอบดอกไม้ให้ตัวเองดูบ้าง


ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก
ฉันจะไม่ซื้อดอกไม้
ใช่ฉันจะไม่ซื้อดอกไม้  เพราะฉันไม่ชอบซื้อดอกไม้
แต่ฉันจะเดินไปหาดอกไม้ด้วยตัวเอง
เอ...จะไปหาดอกไม้อะไรดีนะ


นานมาแล้วฉันเคยนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาริมน้ำ  ของวัดแห่งหนึ่ง
ที่นั่นมีดอกดาวกระจายสีเหลืองสดใส
บางทีดอกดาวกระจายอาจจะเหมาะกับฉัน
แต่นั่นมันก็หลายปีมาแล้ว
ป่านนี้ดาวกระจายกอนั้นจะยังอยู่หรือเปล่า


เป็นอันว่าอีกเจ็ดวันข้างหน้าฉันจะเดินเท้าไปหาดอกดาวกระจาย
เผลอๆอาจจะได้พบรักกับผีเสื้อสักตัว

แต่ถ้าไม่มีดอกดาวกระจายแล้วล่ะ
ก็ไม่เป็นไร
ใช่ไม่เป็นไรหรอก
บางทีแถวนั้นอาจจะมีดอกไม้อื่น
อาจจะเป็นบานชื่น
บานเย็น  บานเช้า  บานบุรี   บาน...
อิอิ  มันต้องมีสักบานสิน่า


แต่ถ้าไม่มีดอกอะไรเลยจริงๆล่ะ
ก็ไม่เป็นไรอีกนั่นแหละ
เพราะฉันจะนั่งรอ
บางทีฉันอาจจะไปที่นั่นกับหนังสือสักเล่ม
นั่งรอดอกไม้สีฟ้า ลอยมาตามแม่น้ำ


บางทีฉันอาจจะกระโดดน้ำ  ว่ายไปดูดอกไม้สีฟ้าใกล้ๆ
บางทีฉันอาจจะเอื้อมมืดเด็ด
ไม่ๆๆ ฉันจะต้องไม่เอื้อมมือเด็ด
ฉันจะดูเฉยๆ
ฉันจะดูเฉยๆก็แล้วกัน

บางทีฉันอาจจะว่ายน้ำตามดอกไม้สีฟ้าไปเรื่อยๆ
เรื่อย ๆ
ถึงไหนถึงกัน

แล้วถ้ามีหมาเน่าลอยตุ๊บป่อง ๆอยู่แถวนั้นด้วยล่ะ


เยี่ยม

ถ้าเป็นนั้นจริงๆล่ะก็
คงเป็นวันวาเลนไทน์ที่สมบูรณ์แบบมาก




แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่ว่า  กลางเดือนกุมภาพันธ์  ผักตบชวาเจ้าจะออกดอกไหม"




จบแล้ว   มาลีพูดจบแล้ว
มาลียิ้มให้คนในกระจก
คนในกระจกก็ยิ้ม
ทั้งสองกล่าวราตรีสวัสดิ์กันและกัน

ไม่
ไม่
เราจะไม่ตามไปฟังว่าคืนนี้มาลีจะสวดมนต์บทไหน
เราจะไม่ตามเข้าไปในความฝันของมาลี
เราจะถอยออกมาจากชีวิตของมาลี
เราจะตัดภาพไปที่....




				
1 กุมภาพันธ์ 2550 14:48 น.

House of D เพื่อนต่างเวลา

กรกฎายน

House of D  เพื่อนต่างเวลา
โดย"หางดารา"


   

แอ็คชั่น...


เด็กหนุ่มคนนั้น  ทำให้ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
ขอบคุณที่ในห้องแคบเล็กยัง มีกระจก
ทำให้ฉันไม่รู้สึกว่ามีเพียงตนอยู่ลำพัง
อย่างน้อยยังมีนังคนนั้นในนั้น
หลายคราเราสบตากัน  สนทนากันแผ่วเบา ถึงเรื่องราวความหลังไกลออกไป  ไกลออกไป  ไกลโพ้น
ฉันเคยพูดกับกระจก เหมือนกับแม่มดในเรื่องสโนไวท์พูดกับกระจกวิเศษ
ฉันเป็นคนดำ  แต่ฉันไม่คิดว่าผิวดำไม่สวย  ฉันสวยในแบบของฉัน  
แต่ฉันซวย  !
ใช่ฉันซวยที่มาติดแหง็กอยู่ในนี้
ฉันทำความผิด  ความผิดที่ฉันไม่อยากพูดถึง
การถูกขังอยู่ที่นี่ทำให้ฉันมีโอกาสได้ทบทวน
ชีวิตมีโอกาสหยุดพักผ่อน
แทนที่จะถูกผีห่าซาตานเข็นไปเรื่อย ๆ  ไม่สิ้นสุด
ฉันจะถือเสียว่านี่เป็นการลาพักร้อน
ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีโชคสินะ



2.นอกจากจะมีกระจกแล้ว  ยังมีหน้าต่างบานเล็ก ๆ
ที่แสงแดดข้างนอกพอที่จะลอดเข้ามาได้
มันเป็นแสงสว่างแห่งความอบอุ่นและความหวัง
แต่หน้าต่างเล็กเกินไป 
ฉันทำได้เพียงยื่นมือออกไปสัมผัสลม
ไม่อาจโผล่หน้า
แต่ยังได้เห็นเมฆลอย
ได้เห็นนกบิน
ฉันกระซิบบอกตัวเองให้อดทน
วันหนึ่งหล่อนจะกลับออกไปข้างนอกและสามารถเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางแสงสีทองอย่างเต็มที่อีกครั้ง
ไม่หรอกฉันไม่กลัวว่าผิวตัวเองจะดำไปมากกว่านี้อีก
ยิ่งดำสิดีฉันไม่เห็นว่าจะชอบผิวสีขาวตรงไหน




3.ฉันยังมีเพลงเป็นเพื่อน  มันเป็นเพลงที่ฉันจดจำได้  สมัยอยู่ข้างนอก
ฉันร้องเพลงให้หัวใจตัวเองเต้นรำ   ฉันร้องเบา ๆ  แต่ดูเหมือนเพื่อนในห้องขังข้าง ๆกำลังเอียงหู
ดูเหมือนพวกเขาจะเคลิบเคลิ้ม  หัวใจติดปีก  บินร่อน  ลอดรูลูกกรง  หน้าต่างออกไป
ลืมเลือนไปหมดสิ้นว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ฉันจึงกลายเป็นนักร้องจำเป็นของที่นี่ไป พวกเขาบอกว่าชอบเสียงของฉัน    
 เสียงของฉันสามารถทำให้ชีวิตด้านในของพวกโลดแล่นกระโจนทะยาน



4.ฉันทำกระจกหลุดมือตกแตกเป็นสองเสี่ยงวันนี้   
ฉันลองนำมันมาประกบกัน  แต่  ไม่ติด
ฉันยกซีกหนึ่งให้เพื่อนห้องข้างๆ
ยังเหลือกระจกอีกซีกหนึ่ง
กระจกแตกเหมือนกับที่ใจฉันเคยแตก
ฉันเดินไปที่หน้าต่างในมือถือเสี้ยวกระจก  
ฉันยกกระจกในมือขึ้น  สอดออกไปนอกลูกกรง ทำท่าจะหย่อน
แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า  ถ้ามันถูกหัวใครเข้าล่ะ
ฉันอยากจะขอบคุณพระเจ้า ที่ทำให้ฉันยังมีความรู้สึกห่วงใยในสวัสดิภาพของเพื่อนร่วมโลกอยู่
อีกครั้งหนึ่งที่ฉันได้สัมผัสกับความวิเศษของหัวใจ
ที่แท้หัวใจฉันไม่ได้ดำเหมือนร่าง
หัวใจของคนทั้งโลกเป็นสีเดียว



5.ภาพของผู้คนเบื้องล่างกำลังเคลื่อนไหว
หัวใจฉันเต้นแรง
คนข้างล่างเงยหน้าขึ้นมา
ฉันรีบหดมือกลับ
หลับตาเห็นกระจกของพระเจ้าบนสรวงสวรรค์

ทีนี้ฉันก็จะใช้กระจกวิเศษส่องดูผู้คนบ้างล่ะแทนที่จะส่องดูแต่หน้าดำๆของตัวเองแต่เพียงอย่างเดียว
หน้าของหล่อนบางทีก็ทำให้ฉันเหม็นเบื่อ
ฉันอยากเห็นหน้าของคนอื่นบ้าง
ฉันอยากเห็นหน้า ของนกที่อยู่นอกกรง
ฉันอยากเห็นประกายตาของพวกมันยามถูกแสงจากกระจกส่อง



6. ฉันยื่นมือที่กำกระจกเสี้ยวออกไปนอกหน้าต่างเป็นอีกครั้งด้วยมืออันสั่นเทาเพราะตื่นเต้น
ที่จะได้เห็นโลกข้างนอก  ข้างล่าง   ข้างบน
ทันทีที่มือยื่นออกก็ได้สัมผัสกับไออุ่นของแสงแดด  สายลมอิสระพัดผ่านสัมผัสมือ
เกือบไปแล้วฉันเกือบทำกระจกลื่นหลุด
กระจกจะแตกออกเป็นกี่เสี่ยงถ้าร่วงหลุดลงไป
ใครจะเจอะแจ๊คพ็อต



7. แทนที่จะไปเที่ยวเตร่เถลไถลกับ  เพื่อนในวัยเดียวกัน  แต่เขากับคบหากับเพื่อนต่างวัย 
 ดูแววตาที่พวกเขามองกันสิ
ไม่มีกำแพง  ไม่มีหุบเหวกั้น  แนบสนิทชิดใกล้เหลือเกิน  
วันนี้เขามาที่นี่คนเดียว   ข้างกายไม่มีสหายคนเก่า  ท่าทางของเขาค่อนข้างยุ่งยาก 
 เพื่อนต่างวัยที่ถูกหยุดเวลา
คงช่วยอะไรหนุ่มน้อยไม่ได้มาก  ฉันจะลองดู
  ฉันจะลองทอดสะพานออก 
 ฉันจะพยายามจูนคลื่น 
 หากโอกาสยังมาเยือนอีก



8.  เด็กหนุ่มคนนั้น  ซ่อนอะไรไว้ตรงมุมตึกข้างล่างนั้นนะ  โอ..ฉันแอบรู้ความลับของเขาเข้าแล้ว
ลองแหย่เขาเล่นหน่อยดีกว่า  ดูซิเขาจะว่าอย่างไร  หนุ่มน้อยน่ารักยังบริสุทธิ์อยู่มาก
คงยังถูกเพื่อนร่วมโลกทำร้ายไม่เท่าไหร่ก
เขาคุยตอบฉัน  เขารับลูกเสิร์ฟที่ฉันส่งไป เขาเงยหน้าขึ้นมา   แววตาของเขาเหมือน ๆ..ๆ
เหมือนกับใครสักคนที่ฉันรู้จักมาก่อนนานแล้ว โอ..นานมากเหลือเกิน
 เด็กหนุ่มได้สะกิดความทรงจำส่วนนั้นของฉันสะดุ้งตื่น
เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันไม่ใช่สิ  มองกระจกเสี้ยวต่างหากกระจกในมือดำ ๆ
วูบแรก   ฉันรู้สึกว่ามือที่ยื่นออกไปนอกกรงหน้าต่างเป็นมือของซาตาน  แต่ก็เพียงวูบเดียว
เพราะความรู้สึกได้เปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม



9. ฉันไม่เคยบอกชื่อเขา  แต่เขาเรียกเขาว่าคุณสุภาพสตรี  ช่างให้เกียรติเหลือเกิน  เหมือนว่าฉันเป็นนางฟ้าเลย
ทั้งๆที่ฉัน  เป็นเพียงนังมืดขี้คุก   เขาเห็นว่าฉันเป็นเพื่อนของเขาแน่ะ 
 เวลามีเรื่องทุกข์ใจเขาจะมาหาฉัน  ส่งเสียงที่เพิ่งแตกหนุ่มขึ้นมา  ว่า  "เลดี้ๆ "
หัวใจฉันกระตุกกึก  เปลี่ยนจังหวะใหม่  จากบลูส์  เป็นป๊อบ...
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่กล้าหาญเขากล้าพูดคุยกับผู้หญิงที่ผู้คนข้างล่างรังเกียจโดยไม่อาย

ช่วงนี้หัวใจฉันเต้นแรงเหลือเกิน  เลือดสูบฉีดไปได้ทั่ว   ชีวิตกลับมาแล้วสินะ   เจ้าหนุ่มน้อยที่น่าเอ็นดูเอ๋ย
บางทีในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ  พระเจ้าอาจจะเลือกให้ฉัน  ทำหน้าที่หนึ่ง   ขอบคุณพระองค์
ขอบใจเจ้าหนุ่ม  ที่ทำให้  รู้สึกถึงคุณค่ามหาศาลของชีวิต 
ดูสิปีกของฉันกำลังงอกยาวขึ้น  ๆ...ๆ ......ๆ



10.รักแรกของเด็กหนุ่มช่างงดงาม   เหมือนกับรักแรกของฉันเลย  น่าเศร้าที่คนเราส่วนมากไม่ได้หยุดอยู่ที่รักแรก
รักแรกของฉันผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว   ฉันจะไม่พูดถึงมันดีกว่า มันตายไปแล้ว  

ฉันเองก็รู้สึกรักเด็กหนุ่มแต่ไม่ได้รักอย่างหนุ่มสาว
 แต่เป็นรักที่เหมือนกับต้นไม้มีต่อนกสักตัว   
ฉันไม่รู้สึกปรารถนาจะครอบครองเจ้าหนุ่ม  ฉันเพียงคิดว่าฉันอยากจะให้  ให้สิ่งที่ฉันพอจะมี



11.หนุ่มน้อยกำลังมีรักแรก  กับสาวน้อย
แต่กำลังขาดความเชื่อมั่น  ฉันจะลองช่วยเขาดู   เพราะชีวิตที่ขาดความเชื่อมั่น
จะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้   เขาเป็นวัยที่จำเป็นต้องก้าวต่อไปข้างหน้า
 อายุ  13 เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ  ถ้าเขาต้องการพี่สาวสักคน.... สักครู่
ถ้าเขาต้องการเพื่อน  ต้องการที่ปรึกษา  ฉันจะลองเป็นฉันคิดว่าฉันพอเป็นได้ อยู่  
ฉันกระซิบบอกพระเจ้า ว่า"เจ้าค่ะ ๆ  ตกลงฉันรับบทนี้เจ้าค่ะ"




12. ฉันได้รู้ความเป็นไปของเขา  เขาตะโกนคุยกับฉัน  โดยที่ไม่ถามสักคำว่าฉันเป็นใคร  ต้องคดีอะไร
เขาสนใจแต่  มือสีดำ  ที่ถือกระจกวิบวับยื่นออกมากจากหน้าต่าง  และเสียง...ใช่สิ
ดูเหมือนเขาจะชอบเสียงของฉันด้วย   ใครๆก็ชอบเสียงฉัน  เสียงฉันเปล่งออกมาจากวิญญาณ

 เวลาพูดกับฉัน  เขาจะแหงนหน้าขึ้นมา  จนคอตั้งบ่า
เราไม่ได้กระซิบคุยกัน  เราตะโกนคุยกัน  บทสนทนาของเราไม่ใช่ความลับ  หลายหูกำลังผึ่ง
หัวใจของเขาเปิดประตูผลัวะออก หิ่งห้อยบินเข้าไปเป็นแถว
กระจกในมือสีดำมีแสงสะท้อน




13. ตัวเท่านั้น  แต่เขาก็มีปัญหามากมายเสียแล้ว  
 มันเริ่มต้น  ตั้งแต่   พ่อ ที่ควงกับมะเร็งจากไป  และต่อมาก็กำลังจะเป็นแม่
ต่อมารักแลก ก็หลุดลอย
  บางทีรักมีไว้เพื่อรักเท่านั้น
เด็กหนุ่มแทบไม่เหลือใครอีก    นอกจากความฝัน ที่กำลังตะโกนกู่ก้อง 
ปีกของเขาเรียวยาว  ขนเต็ม  พร้อมบิน


เพื่อนต่างเวลาของเขาคนนั้นอายุ  41ปี แต่คล้ายเขาติดอยู่ที่อายุ  12มานานเนิ่น
ชีวิตถูกหยุดเวลา
เหมือนฉัน  ฉันก็ถูกหยุดเวลา
 แต่เวลาชีวิตของเด็กหนุ่ม ไม่ใช่
เขาจำเป็นต้องล่วงหน้าไป   



12.เขามาพบฉันครั้งสุดท้ายในสภาพที่น้ำตานองหน้า  
 เขาบอกว่าไม่เหลือใครที่เข้าใจเขาแล้ว  แต่ยังเหลือฉัน
เขาอยากจะโบยบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังที่แสนไกล  แต่เขาอยากจะเห็นหน้าฉัน 
 อยากพบ เขาอยากจะรอฉันก่อน 
รอจนปีกฉันงอกยาว จนกลับมาบินได้  แล้วค่อยบินไปด้วยกัน

 แต่ฉันปฏิเสธ  หนทางที่ทอดข้างหน้า  กำลังรอ
หนทางข้างหน้าต้องการตัวเขาเดี๋ยวนี้
แต่หนทางยังไม่ต้องการตัวฉันตอนนี้
หนทางของเขากำลังดึงดูดชีวิตเขา  และฉันก็คงจะดึงดูดชีวิตเขาด้วย 
 แรงดึงดูดทั้งสองกำลังยื้อกันอยู่เหมือนชักเย่อ
แล้วฉันก็ตัดสินใจเขวี้ยงกระจกเสี้ยวออกไปนอกหน้าต่าง   
 นกน้อยนอกหน้าต่างตกใจกระพือปีกบินเตลิด
เสียงกระจกแตกเพล้ง  
สำเร็จ!....โลกหลุดออกจากดวงจันทร์
ฉันทรุดตัวลงหลับตานับจำนวนสะเก็ดกระจก  
น้ำพุร้อนผุดพุ่งถึงฟ้า


คัต.



ขอบคุณ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกรกฎายน
Lovings  กรกฎายน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกรกฎายน
Lovings  กรกฎายน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกรกฎายน
Lovings  กรกฎายน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกรกฎายน