24 กันยายน 2553 15:31 น.

โครงการหนึ่งความดีเพื่อพ่อหลวง

กระต่ายใต้เงาจันทร์

โครงการหนึ่งความดีเพื่อพ่อหลวง ครั้งที่ 1

ขอเชิญร่วมบริจาคสมทบทุนจัดซื้ออุปกรณ์ช่วยรบ (เสื้อเกราะ เครื่องตัดสัญญาณ
โทรศัพท์ เวชภัณฑ์ วิทยุสื่อสาร ฯลฯ) มอบให้กับเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่
ปฎิบัติภารกิจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่
เจ้าหน้าที่ผู้เสียสละ ร่วมแบ่งเบาภาระในการปฎิบัติหน้าที่และเสริมสร้างกำลังใจ
ให้แก่วีรบุรุษนักรบของชาติในยามที่พวกเขายังมีลมหายใจอยู่..
เนื่องจากมีหลายท่านสนใจแต่ยังไม่ทราบช่องทางที่จะช่วยเหลือได้ ขออนุญาต
เรียนให้ทราบรายละเอียดดังนี้ค่ะ
เพื่อนๆ สมาชิกและผู้สนใจทั่วไปสามารถช่วยได้ ดังนี้ค่ะ
1. ช่วยประชาสัมพันธ์
Generated by Foxit PDF Creator © Foxit Software
http://www.foxitsoftware.com For evaluation only.
2. ช่วยรับเป็นสายเสื้อเกราะ 1 ตัว 6,000 บาท หลายๆ คนรวมกันมาก็ได้ค่ะ
3. ช่วยบริจาคสมทบค่าเวชภัณฑ์, แว่นตานิรภัย, ผ้าห้ามเลือด, สายรัดห้ามเลือด,
ของเล่นเพื่อเด็กๆ ฯลฯ
4. ร่วมบริจาคฟิล์ม x-ray ที่ไม่ใช้แล้ว หรือแนะนำหน่วยงานให้ทางเราติดต่อก็ได้
ค่ะ เพราะเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตเสื้อเกราะค่ะ
5. เข้าร่วมทำกิจกรรมกับโครงการในกิจกรรมย่อยต่างๆ (ติดตามได้ใน ผลงานที่
ผ่านมา ที่ www.virtue4theking.org ค่ะ)
6. อื่นๆ ตามความถนัดเพื่อนๆ
หลังการบริจาครบกวนส่งสลิปการโอนเงิน ที่ slip@virtue4theking.org พร้อม
แจ้งชื่อผู้โอน จำนวนเงินและรายชื่ออุปกรณ์ช่วยรบที่สนับสนุน ลงบนสลิป
หลังจากได้รับสลิปโอนเงินจากท่านแล้วทางโครงการฯ จะตอบอีเมลกลับพร้อมทั้ง
แจ้งลิงค์ให้ตรวจสอบสลิปและบัญชีการรับบริจาคอีกครั้งหนึ่ง
ปีนี้โครงการฯ ตั้งเป้าหมายจะส่งเสื้อเกราะ 100-200 ตัว ให้ 4 หน่วยงาน คือ สน.
บันนังสตา, ตชด พลร่ม 443 , กรมทหารพรานที่ 41 ยะลา และ กรมทหารพรานที่
43 ปัตตานี
เหตุผลที่ทางโครงการฯ ต้องระบุ 4 หน่วยงานนี้ เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนค่ะ
1. สน. บันนังสตา เพื่อตอบแทบความดีของจ่าเพียร ซึ่งมีหลายหน่วยรับปากช่วย
โน้น ช่วยนี่ แต่ความช่วยเหลือ ยังไปไม่ถึง กลางเดือนหน้าโครงการ จะส่งเสื้อ
เกราะงวด 2 จำนวน 25 ตัวให้ลูกน้องจ่าเพียร ท่านจะได้หลับสบาย
2. ตชด พลร่ม 443 หน่วยนี้สูญเสียวีรบุรุษไปสองนาย คือผู้กองแคน หมวดตี้
ปัจจุบันกำลังพล 360 นายก็แทบยังไม่มีเสื้อเกราะใส่กัน เราไม่อยากได้วีรบุรุษคน
ต่อไปจากหน่วยนี้อีกแล้ว เราจึงมองเป็นหน่วยหลัก ที่เราอยากจะช่วย
3. ทหารพราน เป็นหน่วยที่อาภัพที่สุด เงินเดือนก็น้อย รบกันก็อยู่แนวหน้า โดน
โจมตีทุกวัน เครื่องป้องกันแทบไม่มี ดังนั้นโครงการ จึงให้ความสำคัญมาก
ปล. ทหารหน่วยอื่นปีที่แล้ว เราเคยส่งไปแล้ว 100 ตัว หากปีนี้ได้ยอดเกิน
เป้าหมาย จะจัดส่งไปให้อีกหน่วยงานค่ะ
หรือท่านสามารถบริจาคฟิล์มเอ็กซ์เรย์ เพื่อใช้ทำเสื้อเกราะพระเจ้าตาก ทาง
โครงการฯ มีความยินดีรับบริจาคแผ่นฟิล์มเอกซ์เรย์จากทุกท่าน ทั้งในหน่วยงาน
ของรัฐ บริษัท ห้างร้าน โรงพยาบาล และบุคคลทั่วไป เพื่อนำมาสร้างเสื้อเกราะ
Generated by Foxit PDF Creator © Foxit Software
http://www.foxitsoftware.com For evaluation only.
พระเจ้าตากให้กับทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด ครู และบุคคลากร
ทางการแพทย์ ที่ปฎิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่านที่สนใจบริจาค
ฟิล์ม กรุณาส่งฟิล์มเอ็กซ์เรย์ทางไปรษณีย์ไปยังที่อยู่ด้านล่างนี้นะคะ ขอบพระคุณ
มากค่ะ หรือถ้ามีจำนวนมาก ทางทีมงานจะพยายามจัดรถไปรับค่ะ
โครงการหนึ่งความดีเพื่อพ่อหลวง ตู้ปณ. 112 ปณศ. คลองหลวง
ปทุมธานี 12120
(ถ้าจะกรุณาทีมงาน กรุณานำกระดาษห่อฟิล์มเอ็กซ์เรย์ออกให้ด้วยน่ะค่ะ)
ส่วนท่านที่สนใจจะบริจาคเงินร่วมทุน ทางโครงการฯเปิดรับบริจาคตั้งแต่
วันนี้ และจะปิดรับบริจาควันสุดท้ายในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ชื่อบัญชี โครงการหนึ่งความดีเพื่อพ่อหลวง
เลขที่บัญชี 178-2-21361-8
บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย สาขาคลองหลวง
กรุณาส่งสลิปการโอนเงิน ที่ slip@virtue4theking.org
พร้อมแจ้งชื่อผู้โอน จำนวนเงินและรายชื่ออุปกรณ์ช่วยรบที่สนับสนุน ลง
บทสลิป แล้วถ่ายรูป หรือสแกนสลิปส่งมาให้แผนกการเงินของโครงการฯ
หลังจากได้รับสลิปโอนเงินจากท่านแล้วทางชมรมจะตอบอีเมลกลับพร้อม
ทั้งแจ้งลิงค์ให้ตรวจสอบสลิปและบัญชีการรับบริจาคอีกครั้งหนึ่งค่ะ
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
http://www.virtue4theking.org/ หรือส่งอีเมลมา
ที่ info@virtue4theking.org
หรือ http://www.facebook.com/home.php?#!/pages/khorngkar-hnung-khwam-dipheux-
phx-hlwng/107683929261368?v=wall&ref=ts__				
24 กันยายน 2553 15:21 น.

ดร.เอ็มเบ็ดการ์"บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย"

กระต่ายใต้เงาจันทร์

ดร.เอ็มเบ็ดการ์"บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย"


ผมอยากจะขอร้องและวิงวอนเพื่อนๆ อย่าเอาอย่างผม ผมขอโทษที่ทำให้สถาบันเสียชื่อเสียง ทำให้ประชาชนเดือดร้อน


            ผมกราบขอโทษ ผมผิดไปแล้ว  ผมเสียใจ 


            คำเหล่านี้ได้ฟังครั้งแล้วครั้งเล่าจากนักเรียนในคราบนักเลงอันธพาล เมื่อไปทำอันตรายผู้อื่น ได้รับบาดเจ็บ หรือถึงขั้นเสียชีวิต เมื่อถูกจับได้ก็จะสำนึกผิด และขอร้องเพื่อนๆไม่ทำตาม แต่ไม่นาน ข่าวการทำร้ายกันของนักเรียนจากสถาบันชื่อดังก็เกิดขึ้นอีกในหน้าหนังสือพิมพ์


            คนเหล่านี้โชคดีที่เกิดมาเงินได้เรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง อยู่ในสังคมที่หรูหราอยากเป็นวีรบุรุษ อวดสาวๆ แต่กับทำตัวให้สังคมเดือดร้อน เป็นรังเกียจและเหยียดหยามของคนในสังคม


            ในขณะที่เด็กชายคนหนึ่งในประเทศอินเดียเกิดมาถูกสังคมดูถูกเหยียดหยาม แต่ด้วยความมุ่งมานะและเพียรพยายามอย่างหนักตลอดชีวิต ทำให้ท่านกลายเป็นวีรบุรุษของคนอินเดียทั้งประเทศ


     ท่านผู้นี้เกิดมาในตระกูลจัณฑาลที่ยากจนที่สุดตระกูลหนึ่งของอินเดีย ในเมืองนาคปูร์ รัฐมหาราษฎร์ ทางตอนกลางของอินเดีย เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๓๔ พวกเขาได้รับความเดือดร้อนทั้งจากการเหยียดหยามของพวกพราหมณ์และทางเศรษฐกิจ แม้จะยากจนขนาดไหน แต่บิดาก็พยายามส่งเสียบุตรชายให้ได้เรียนจนจบประถม ๖ เมื่อจบแล้วบิดาก็ไม่มีปัญญาส่งต่ออีก เมื่อทางมหาราชาแห่งบาโรดาทราบจึงสนับสนุนให้ศึกษาต่อจนจบปริญญาตรี ในช่วงที่เรียนได้รับการรังแกจากเด็กวรรณะสูงอย่างหนัก แต่โชคดีเป็นของเอ็มเบ็ดการ์ ได้มีพราหมณ์ใจบุญคนหนึ่งทนเห็นความลำบากของเขาไม่ไหว จึงให้ใช้นามสกุลซึ่งเป็นวรรณพราหมณ์ว่า เอ็มเบ้ดการ์ 
     เมื่อจบปริญญาตรีแล้วเขาพยายามหาทุนต่ออีกครั้งและโชคดีเป็นของเขา มีผู้ใจบุญมอบทุนการศึกษาในระดับปริญญาโท เมื่อสำเร็จแล้วก็พยายามจนได้ไปศึกษาต่อปริญญาเอก สาขาปรัชญา และกฎหมายที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย อเมริกา 
     เมื่อจบแล้วกลับอินเดียมาเป็นทนายความช่วยเหลือคนวรรณะศูทร จนมีชื่อเสียงโด่งดัง จึงตั้งพรรคการเมืองและลงเลือกตั้ง ส.ส. สุดท้ายได้รับการเลือกตั้งพร้อมด้วยสมาชิกหลายท่าน 
     เมื่ออินเดียได้เอกราช เนห์รูจึงตั้งรัฐบาลขึ้นได้เชิญพรรคของเขาร่วมรัฐบาล เขาตกลงเพราะจะได้ทำการปฏิรูปสังคมอินเดียอย่างที่เขาฝันไว้หลายอย่าง ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญของประเทศ เมื่อถึงตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำโอกาสก็มาถึงแล้ว นั้นคือ การห้ามยึดถือวรรณะในสังคมอินเดีย ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่ให้มีศาสนาประจำชาติ เพราะถ้ามีศาสนาฮินดูคงเป็นศาสนาประจำชาติ คนวรรณะต่ำก็ยิ่งลำบากมากขึ้น ในบทบัญญัติ ได้ห้ามกระทำพิธีกรรมอื่นใดที่เป็นผลเสียต่อแม่น้ำลำคลองหรือธรรมชาติ เพราะชาวฮินดูนิยมโยนศพคนตายลงตามแม่น้ำลำคลอง เช่น คงคา ยมุนาเป็นต้น แม้จะโดนต่อต้านอย่างหนัก แต่เหตุผลของเขาเป็นสากลที่ผู้มีการศึกษาก็ยอมรับ สุดท้ายรัฐธรรมนูญก็ผ่าน 
     ท่านจึงได้ชื่อว่า "บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย" เพราะเหตุที่โดนเบียดเบียนอย่างหนักจากฮินดู สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนศาสนา เมื่อพ.ศ.๒๔๙๙ ก่อนหน้านี้ได้มีผู้นำหลายศาสนาส่งจดหมายมาเชื้อเชิญให้นับถือศาสนาของตน เช่น อิสลาม ซิกส์ คริสเตียน โซโรอัสเตอร์ เป็นต้น แต่ก็ไม่ตอบรับศาสนาใด ความจริงเมื่อสมัยที่เขาเป็นนักศึกษาอยู่นั้น เขาได้ศึกษาทุกศาสนารวมทั้งพุทธศาสนาด้วย แต่สุดท้ายก็เกิดความซาบซึ้ง ในพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ได้ประกาศให้ผู้ใดทราบ 
     จนกระทั่งเมื่อรัฐบาลอินเดียจัดฉลองพุทธชยันตี เขาจึงได้ชักชนชนวรรณะจัณฑาลราว ๕ แสนคน ปฏิญาณตนเอง เป็นพุทธมามกะ ที่เมืองนาคปูร์ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๐๐ (ตรงกับ พ.ศ.๒๔๙๙ ของไทย) เป็นอันว่าพุทธศาสนาก็กลับมายังมาตุภูมิอีกครั้ง ผู้ที่สาบานตัวเป็นชาวพุทธ ได้กล่าวคำปฏิญญา ๒๒ ข้อของ ดร.เอ็มเบ็ดการ์ดังนี้


          ๑. ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป
          ๒. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระรามและพระกฤษณะเป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป
          ๓. ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป
          ๔. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป
          ๕. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าอวตารมาของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้นก็คือคนบ้า
          ๖. ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาต (แบบฮินดูต่อไป)
          ๗. ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
          ๘. ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างต่อไป
          ๙. ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน
          ๑๐. ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน
          ๑๑. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน
          ๑๒. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศให้ครบถ้วน
          ๑๓. ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก
          ๑๔. ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น
          ๑๕. ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม
          ๑๖. ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด
          ๑๗. ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา
          ๑๘. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในฌาน ศีล ภาวนา
          ๑๙. ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ
          ๒๐. ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นเป็นศาสนาที่แท้จริง
          ๒๑. ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง
          ๒๒.ตั้งแต่นี้เป็นต้น ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด


     หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว เขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน"


     เมื่อนักหนังสือพิมพ์ ถามเหตุผลในการนับถือศาสนาพุทธ เขากล่าวว่า "เพราะการกระทำอันป่าเถื่อนของชาวฮินดู ที่มีต่อวรรณะหริจันทร์เช่นเรามานานกว่า ๒๐๐๐ ปี" พร้อมกันนั้นท่านกล่าวต่อว่า "พอเราเกิดมาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นวรรณะหริจันทร์ซึ่งมีค่าต่ำกว่าสุนัข อะไรจะดีเท่ากับการผละออกจากลัทธิป่าเถื่อน ปลีกตัวจากมุมมืดมาหามุมสว่าง พุทธศาสนาได้อำนวยสุขให้ทุกคนโดยไม่เลือกหน้า โดยไม่เลือกว่าเป็นวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ความจริงข้าพเจ้าขอกล่าวว่าระบบวรรณะควรจะสูญไป จากอินเดียเสียที แต่ตราบไดที่ยังนับถือพระเวทอยู่ ระบบนี้ก็ยังคงอยู่กับอินเดียตลอดไป อินเดียก็จะได้รับความระทมทุกข์ ความเสื่อมโทรมตลอดไปเช่นกัน พวกพราหมณ์พากันจงเกลียดจงชังพุทธศาสนา แต่หารู้ไม่ว่าพระสงฆ์ในพุทธกาล ๙๐% เป็นคนมาจากวรรณะพราหมณ์ทั้งนั้น ข้าพเจ้าอยากจะถามพวกพราหมณ์ในปัจจุบันว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือ"


     หลังจากประกาศตนเป็นพุทธมามกะได้ ๓ เดือน ดร.บาบา สาเหบ เอ็มเบ็ดการ์ ก็ถึงแก่มรรณกรรม เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๐ (ตรงกับพ.ศ.๒๔๙๙ ของไทย) สร้างความยุ่งเหยิงให้แก่คนวรรณะต่ำเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้นำทางพวกเขาเดินยังไม่ถึงจุดหมายก็พาลสะดุดเสียก่อนเหมือนเรือขาดหางเสือ


            ปัจจุบันพวกอธิศูทรให้มีฐานะ สูงขึ้นในอินเดียจึงมีบทสวดต่อจากสังฆรัตนะว่า พิมฺพํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าของถึงพิมเป็นที่พึ่ง (พิมเป็นชื่อเดิมของดร.เอ็มเบ็ดการ์) อินเดียก่อนได้รับเอกราชมีชาวพุทธไม่ถึงแสนคน จนในปัจจุบันมีประมาณสิบล้านคนเศษ เป็นเพราะผลพวงของการปฎิญาณตนเป็นชาวพุทธของ ดร. เอ็มเบ็ดการ์ นั้นเอง ส่วนสถานการณ์พุทธศาสนาในปัจจุบัน เหมือนคนที่ฟื้นไข้ยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องการแรงพยุงเกื้อหนุน จากชาวพุทธทั่วโลก เพื่อให้พวกเขามีความภูมิใจในศาสนาของเขาเพราะส่วนมากเป็นคนวรรณะต่ำที่ถือตามดร.เอ็มเบ็ดการ์บิดาผู้นำชาวพุทธยุคปัจจุบัน				
24 กันยายน 2553 13:38 น.

วัด พระ และ เด็กผู้หญิง

กระต่ายใต้เงาจันทร์



วัด  พระ  และ  เด็กผู้หญิง
เมื่อวานรับโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งได้คุยกัน     หลายเรื่อง  แต่ประเด็นหนึ่งที่กระทบใจคือ  พ่อ    ทำให้ข้าพเจ้าเองต้องกลับมาเปิดดูสมุดบันทึกของพ่อ   ที่เก่าจนซีดเป็นสีน้ำตาลไหม้ถ้าจับแรงคงจะกรอบและผุ  ตามกาลเวลา
พ่อคือคนที่ฉันรักมากที่สุดในที่สุดในชีวิตเหนืออื่นใด   ผู้ผู้ปกป้องลูกสาวคนนี้คนนี้จนวินาทีสุดก่อนลมหายใจจะสิ้น...วิญญาณลอยล่องออกจากร่างกายจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย
น้ำตาของตัวเองค่อยๆรินหลั่งอยู่บนสมุดบันทึกเล่มนั้น
มีคนเคยบอกฉันว่า    เอาบันทึกของพ่อมาเขียนเป็นเรื่องราวส่งผ่านเพื่อเสนอเป็นงานเขียนออกหนังสือ   ภาษาไม่จำเป็นต้องสวย   แต่บันทึกของพ่อมีหลายเรื่องราวที่นำนำออมาเผยแพร่แล้วจะกระทบกับบางเรื่องทั้งในการเมืองและชีวิตส่วนตัวของฉันเองที่ต้องการชีวิตที่สุขสงบ
ความรักของพ่อในบันทึกหน้านี้   ที่ฉันนำมาเขียน   เป็นเรื่องราวในวัยเด็ก  ที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ซุกซน  ชอบซักชอบถาม
พ่อมักพาฉันเข้าวัดทุกวันพระสมัยพ่อมีชีวิตอยู่ ฉันจะนั่งมองพระพุทธรูปอยู่อย่างนั่นในทุกวันพระ อย่างสงสัย  จนวันหนึ่ง เก็บไว้จนทนไม่ได้   เมื่อหลวงพ่อขึ้นเทศน์จนจบ   ข้าพเจ้าชี้ไปที่เศียรพระ   พนมมือ   เอียงคอถามหลวงพ่อว่า   หลวงพ่อคะ  หนูอยากรู้   ที่ปุ่มๆบนหัวพระนั่นคืออะไรคะ    หลวงพ่อหัวเราะด้วยเสียงดัง
แต่แม่ชีกลับตีแขนฉันเบาๆ  และทำตาเขียวใส่    ว่าเป็นเด็กผู้หญิง  ถามยังงั้นได้ไง    เข้าใกล้พระได้ยังไงเป็นเด็กผู้หญิงมันไม่เหมาะไม่งาม   ผู้หญิงไมทำกัน
ข้าพเจ้าเลยถามกลับไปว่า  พระคือตัวอันตรายเหรอคะ  หนูถึงเข้าใกล้ไม่ได้  วัดหนูก็มาไม่ได้สิเพราะที่นี่มีแต่พระ
เลยโดนแม่ชีอีกสองสมาคนบอกให้พ่อเอาฉันกลับบ้านไป
ความคิดตอนนั้น    ทุกเช้าเคยตามพ่อออกมาใส่บาตร ข้าพเจ้าไม่มาอีกเลยเพราะสับสนและคิดว่ายุ่งยาก ไม่เข้าใจ   หนูผิดอะไร  ก็หนูไม่รู้แค่ถาม  แล้วไม่ยอมตามพ่อไปวัดอีกเลย
จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อเข้ามาบอก   กระต่ายน้อย  หลวงพ่อถามหาหนูแน่ะ   หลวงพ่อฝากขนมและนิทานเล่มเล็กๆมาให้   เดี๊ยวก่อนนอนพ่อจะอ่านให้ฟังนะลูก
หนูไม่ไปวัดหลายวันพระ  ไม่ใส่บาตร  วิธีนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนะลูก  หนี คือไม่ใช่วิธีที่ดี  เงียบก็ไม่ใช่วิธีที่ถูก   ไปกราบลูกหลวงพ่อกันน่ะลูก
เพราะหลวงพ่อเป็นพระที่ใจดีมีเมตตา     กรุณา    ทำให้ข้าพเจ้าไม่กลัวพระอีกต่อไป  หลวงพ่อว่า   เราน่ะ ช่างถาม   ผิดกับเด็กหลายๆคน    ที่เศียรพระพุทธรูปน่ะปุ่มที่หนูถามคือปัญหาร้อยแปดอย่าง  โตกว่านี้หนูจะเข้าใจ   หลวงพ่อให้นิทานอีกหลายเล่มให้ฉัน และบอกว่า ให้โยมพ่ออ่านให้ฟังน่ะ   พร้อมกับเสียงหัวเราะ
พ่อค่อยๆสอนซึมซับแต่เรื่องดีงามสอดแทรกไว้ในนิทานแต่ละเรื่อง  พร้อมกับจูบแก้มใสๆกอดจนฉันหลับไปทุกครั้งเสมอ
คิดถึงพ่อขึ้นมาจับใจ     พ่ออยู่ตรงไหนของฝากฟ้าคะ   อยู่ดาวดวงไหน   โปรดมอบพลัง  ความเข็มแข็ง  ความกล้าหาญคืนมาให้ฉันสักครั้ง     ตอนนี้ความเข็มแข็งค่อยๆเลืนลายความอ่อนแอคลุกคลืบเข้ามาทำร้ายจนหัวใจลูกสาวคนนี้เจ็บไปหมด
พ่อคือพ่อ    พ่อคือทุกสิ่ง   พ่อคือผู้ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในหัวใจลูกสาวคนนี้ตลอดกาล


				
16 กันยายน 2553 20:03 น.

ความรักความหลังฝั่งทะเล

กระต่ายใต้เงาจันทร์


  มาถึงทะเลที่เดิม  กับความรู้สึกเดิมๆ ฉันปล่อยความคิดให้เรื่อยไหลไปตามความรู้สึก   ฉันกลับมาที่นี้   กี่ครั้งแล้วน่ะ  ท้องทะเลแห่งหนึ่งกับหยดน้ำตาที่รดรินกับความรอคอยที่เจ็บปวด   เคยคิดว่าถึงเวลากลับมาไม่เจอใครอีกคนที่เคยบอกไว้ในหลายปีที่ผ่าน
ฉันจะชินและชาจนลืมความเจ็บปวด  เปล่าเลยมีประโยชน์อันใดหัวใจกลับเจ็บหนักกว่าเก่า   จนรู้สึกเหมือนใจจะขาด  หายใจหอบถี่  ท้องทะเลช่างอ้างว้าง  หวาดหวั่น    จุดหมายปลายทางอยู่จุดใด   ทำไมฉันมองไม่เห็น  ทำได้เพียงปลอบใจตัวเองเสมอ คนอีกคนต้องมีชีวิตอยู่    พลังแห่งรัก  พลังแห่งความห่วงหา  คงมีอาณุภาพพอ   ที่จะส่งถึงคนอีกคนที่อยู่ปลายฝั่งหนึ่งของฝากฟ้า   ต้องกลับมา    ต้องกลับมา    
เวลาเลือนหายผ่านไปหลายปีเต็มทนแต่หัวใจฉันยังคงเรียกร้อง   เพราะอะไรกระนั้นหรือ   ฉันก็แค่....  ฉันก็แค่....อยากรู้ว่าคนอีกคนเป็นอย่างไรบ้าง   การรอคอย ทำให้ฉันความหวังแม้มันช่างเลือนรางหริบรี่เต็มทน
การรอคอยค่อยๆคลุกคลืบทำร้ายและทำลายหัวใจฉันให้ย่อยยับแหลกเหลวลงไปทีละเล็ก  ทีละน้อย   โดยเจ้าของหัวใจไม่สนใจที่จะไปดูแลมันปล่อยให้มันเจ็บและเจ็บอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานวัน
ฉันมองทะเล  ที่เดิม   อยากท้องทะเลรักษาใจที่ปวดช้ำ โรคหรืออาการ  เหล่านี้ให้จางหายตรงไหนกันที่ช่วยรักษา     แสงสีนวลของพระจันทร์  หรือหาดทรายที่สะท้อนเงาล้อเล่นหยอกเย้ากับแสงสีนวล   หรือจะเป็นเม็ดทราย   ที่มีอณูเม็ดเล็กละเอียด   ซึมซึบความอ่อนหวาน    อยู่ในเม็ดทรายเหล่านั้น    หรือท้องทะเลสีฟ้าที่เปล่งประกายระยิบระยับสวยจับตาสะท้อนเงา   เป็นคลื่นที่ผิวน้ำ   หรือแม้กระทั่งบรรยากาศรอบๆที่อยู่ทั่วตัวเรา

ไม่ทราบว่า  มีกี่คนกัน  ที่ได้กลิ่นน้ำทะเล   โรคร้ายที่เกาะกุมหัวใจ  จะเบาบางไปได้   หรือทำให้เรา  หลงลืมได้ชั่วขณะ

คงแล้วแต่อาการ  ความรู้สึก  ความผูกพัน  หรือแม้กระทั่งบาดแผลของคนแต่คนละคน   เวลาอยู่ที่ท้องทะเล บางคน ได้ชื่นชมบรรยากาศมีแต่ความสุข   มีสิ่งดีๆให้ชีวิตมากมาย  บางคนมองเผื่อค้นปรัชญาความหมายในชีวิต   บางคน กลับหงอยเหงา   โดดเดี่ยว  อ้างว้าง  และซ่อนความเศร้า    และ  ความอาลัยอาวรณ์  
แต่ท้องทะเลมักมีเสน่ห์น่าค้นหาและลึกลับอยู่ในตัวเองจนทำให้ฉันกลับมาที่นี่ทุกครั้ง
ในส่วนที่ฉันบาดเจ็บบอบช้ำแต่ความสวยงามลึกลับของท้องทะเลกับทำให้ฉันหลงมนต์เสน่และค้นหาสิ่งดีๆในแฝงในพลังธรรมชาติมาบำบัดรักษาใจในบางส่วนได้อย่างประหลาดล้ำ

สำหรับฉันเองคิดว่าจุดที่สวยที่สุด     คือเรานั่งมองทะเลอยู่อย่างนั่น   จนสุดปลายของเส้นขอบฟ้า    ซึ่งไม่รู้ว่าขอบฟ้ากับเส้นของขอบทะเลบรรจบกันตรงไหน

เหมือนไม่สิ้นสุด    เหมือนเราแสวงหาความต้องการ   ของจิตใจ   แต่สุดท้าย   สิ่งที่ต้องการคือ   การปลดปล่อย     หรืออยากทิ้งสิ่งเลวร้ายลงไป   จะอาจจะเป็นได้ว่า  เก็บซึมซับสิ่งดีๆซ่อนไว้ในความทรงจำตลอดไปชั่วชีวิต


ทะเลคงเป็นสิ่งเดียว   ที่เราทิ้งอะไรลงไป    แล้วไม่มีใครหาเจอ   เหมือนความลับที่ฉันเก็บไว้คู่กับทะเล

คงจะมีแต่ฉันกับท้องทะเล    เท่านั้นที่จะรู้
				
16 กันยายน 2553 19:01 น.

นิทานธรรมบท(เรื่องที่9 ท้าวสักกะ)

กระต่ายใต้เงาจันทร์

เรื่องที่  ๙  ท้าวสักกะ
	ความพิสดารว่า  เจ้าลิจฉวีนามว่ามหาลิ  อยู่ในเมืองเวสาลี  พระองค์ทรงสดับธรรมเทศนาในสักกปัญหาสูตรของพระตถาคตแล้ว  ทรงดำริว่า  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ย่อมตรัสสมบัติของท้าวสักกะไว้มากมาย  พระองค์ทรงเห็นแล้วจึงตรัสหรือว่าไม่ทรงเห็น  ทรงรู้จักท้าวสักกะหรือไม่หนอ  เราจักทูลถามพระองค์ดู	
	ครั้งนั้น   เจ้าลิจฉวีพระนามว่า  มหาลิ  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแระทับอยู่  ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว   จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลพระศาสดาว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ท้าวสักกะจอมแห่งเทพทั้งหลาย  พระองค์ทรงเห็นแล้วหรือ  มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  อาตมภาพเห็นแล้ว  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ท้าวสักกะนั้น  จักเป็นท้าวสักกะปลอมเป็นแน่  เพราะว่าบุคคลอื่นเห็นได้โดยยากเหลือเกิน  พระพุทธเจ้าข้า  มหาลิ  อาตมภาพรู้จักท้าวสักกะและธรรมที่ทำให้เป็นท้าวสักกะ  ท้าวเธอสมาทานธรรมชนิดใด  ธรรมชนิดนั้น  อาตมารู้จักดี
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  เมื่อครั้งเป็นมนุษย์มีชื่อว่ามฆะ  เพราะฉะนั้น  เขาจึงเรียกว่า  ท้าวมฆวา  
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  เมื่อเป็นมนุษย์ได้ให้ทานก่อนคนอื่น  เพราะฉะนั้น  เขาจึงเรียกว่า  ปุรินททะ  
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้ให้ทานโดยเคารพ   ฉะนั้น  เขาจึงเรียกว่า  สักกะ
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้ให้ที่พักอาศัย  ฉะนั้น  เขาจึงเรียกท่านว่า  ท้าววาสวะ  
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  ทรงดำริข้อความตั้งพันได้โดยครู่เดียวฉะนั้น  เขาจึงเรียกว่า   สหัสสเนตตะ
	มหาลิ  นางอสุรกัญญา  ชื่อสุชาดา  เป็นศรีภรรยาของท้าวสักกะ  ผู้เป็นจอมแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย  ฉะนั้น  เขาจึงเรียกท่านว่า   ท้าวสุชัมบดี
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย  เสวยราชสมบัติ  อันเป็นอิสสริยาธิปัตย์  แห่งเทพทั้งหลายในชั้นดาวดึงส์   ฉะนั้น  เขาจึงเรียกท่านว่า   เทวานมินทะ
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  พระองค์ทรงบำเพ็ญวัตตบท  ๗  ประการให้บริบูรณ์แล้ว  ก็วัตตบททั้ง  ๗  นั้น  มีอยู่ดังต่อไปนี้
	เราพึงเป็นผู้เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต  เราพึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลเป็นนิตย์  จนตลอดชีวิต  เราจะพูดจาอ่อนหวานและอ่อนโยนตลอดชีวิต  เราจะไม่พูดส่อเสียดต่อผู้อื่นตลอดชีวิต  เราจะมีจิตปราศจากมลทิน  คือความตระหนี่  มีเครื่องบริจาคอันสละแล้ว  มีฝ่ามืออันล้างสะอาดดีแล้ว   ยินดีแล้วในอันเสียสละ  ควรแก่การขอ  ยินดีในการจำแนกแจกจ่ายทาน  พึงอยู่ครอบครองเรือตลอดชีวิตเราจะกล่าวแต่คำสัตย์ตลอดชีวิต  เราจะเป็นผู้ไม่โกรธตลอดชีวิต  ถ้าความโกรธพึงเกิดขึ้นแก่เรา  เราพึงหักห้ามมันเสียโดยเร็วทีเดียว
	พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  มหาลิ  กรรมนี้ท้าวสักกะทรงกระทำไว้ตั้งแต่ครั้งยังเป็นมฆมาณพ  ดังนี้แล้ว  อันเจ้ามหาลิใคร่จะทรงสดับข้อปฏิบัติของท้าวสักกะนั้นโดยพิสดาร  จึงทูลถามโดยความเคารพอีกว่า  มฆมาณพปฏิบัติอย่างไร  พระเจ้าข้า ?  จึงตรัสว่า  ถ้าอย่างนั้น  ขอมหาบพิตรจงตั้งในฟังต่อไปเถิด  เจ้ามหาลิตั้งใจคอยฟังต่อไปด้วยความเคารพ
	ในกาลล่วงมาแล้วช้านาน  มาณพชื่อฆมะ  อาศัยอยู่ในบ้านอจลคาม  ในแว่นแคว้นมคธ  ไปสู่สถานที่ทำงานในบ้าน  พร้อมด้วยเครื่องมือหลายอย่างผลุงผลัง  พอไปถึงสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง  ซึ่งเห็นว่าพอจะทำให้เป็นที่พักพาอาศัยแก่คนอื่นได้แล้ว  เป็นต้องลงมือทำลงไปโดยทันที  พอลงมือทำเสร็จแล้วเท่านั้น   คนอื่นมาเห็นก็แบ่งเอาของแกไปแกน่าจะโกรธให้แก่เขาคนนั้น  แต่แล้วมาณพผู้นี้หาได้แสดงอาการโกรธขึ้นมาแม้แต่น้อยไม่  ยินดีสละให้แล้ว  ตนเองก็ไปทำสถานที่อื่นต่อไป  แกตั้งใจทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายวัน   เมื่อบุรุษคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นก็รู้สึกสงสัยในการกระทำของเขาครั้งนี้   จึงตรงเข้าไปถามว่า  เพื่อน ..............นั้น แกทำอะไร  มาณพรีบตอบอย่างไม่ได้คิดว่า  ถากถางหนทางไปสู่สวรรค์  บุรุษผู้นั้นได้ยินเพียงคำว่า   สวรรค์เท่านั้น  ก็มีจิตเลื่อมใส  ขอเข้าร่วมทำงานชิ้นนี้ต่อไป  ผลสุดท้ายมาณพนี้ได้เพื่อนร่วมงานถึง  ๓๓ คน  เพื่อนเหล่านั้น  ต่างคนต่างก็ตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง  เพราะมุ่งที่จะไปสู่สวรรค์กันทั้งนั้น  ครั้นต่อมาวันหนึ่ง  มาณพเหล่านี้ได้พร้อมใจกันทำงานอยู่  ณ  ที่แห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นสถานที่ใกล้บ้านอจลคาม  นายคามโภชกะชักไม่พอใจ  และไม่เห็นชอบด้วยในการกระทำของมาณพเหล่านี้  จึงได้นำตัวของมาณพทั้งหมด  เข้าไปเฝ้าพระราชา  พระราชาโดยที่ไม่ได้คิดหาเหตุผลอะไร  จึงใช้ให้นายคามโภชกะ  พร้อมด้วยราชบุรุษ  นำช้างไปเหยียบพวกมาณพเหล่านั้น  แต่แล้วช้างหาได้เข้าใกล้มาณพพวกนั้นไม่  เพราะอาศัยอานุภาพเมตตาของมาณพ  ถึงแม้จะใช้ความพยายามสักแค่ไหน  และโดยวิธีใด  ช้างก็หาได้เหยียบพวกมาณพนั้นไม่  ด้วยความแค้นใจ  นายคามโภชกะ  ก็ได้นำเอาข้อความนั้นมากราบทูลแก่พระราชา  ท้าวเธอก็รับสั่งให้เรียกพวกมาณพเหล่านั้นให้เข้ามาเฝ้า  ตรัสถามความเป็นไปนั้นทั้งหมดมฆมาณพผู้เป็นหัวหน้า  จึงได้กราบทูลเรื่องที่เป็นมาแล้วทั้งหมดถวาย   พระราชาทรงเลื่อมใสในกิจการงานนั้น  จึงทรงมอบช้างเชือกนั้น   พร้อมทั้งนายคามโภชกะให้เป็นข้าทาสบริวารต่อไป   เมื่อเสร็จจากกิจนี้แล้ว   เหล่ามาณพก็ได้กราบทูลพระราชาไปปฏิบัติกิจ  อันจะนำประโยชน์มาให้แก่ตนและคนอื่นต่อไป  ต่อเมื่อได้ช้างมาแล้ว  จึงปรึกษากันที่จะสร้างศาลาให้เป็นที่พักของผู้สัญจรไป ๆ มา  ๆ  และให้เป็นประโยชน์แก่ผู้จะไปสู่ทิศานุทิศ  เมื่อตกลงกันเป็นเอกฉันท์แล้วก็ได้ลงมือสร้างศาลาตามความประสงค์ของตน  แต่ศาลาหลังนี้เป็นหลังใหญ่   จำเป็นต้องว่าจ้างให้นายช่างมาทำ  พอนายช่างสร้างศาลาจวนจะเสร็จแล้ว   จึงได้ทักท้วงขึ้นว่า  อุ๊ย ............ตาย ?  ขาดช่อฟ้า   พวกมาณพตกใจในเสียงของเขา  จึงรีบเข้ามาถามว่า  เป็นไรไปหรือนายช่าง ?  นายช่างจึงอธิบายให้มาณพเหล่านั้นเข้าใจความสำคัญของช่อฟ้า  และในที่สุดก็ใช้ให้พวกมาณพไปมาหา   แต่จะหาได้จากที่ไหนเล่า ?  นอกจากเรือนของนางสุธัมมาเท่านั้น  แต่แล้วมาณพกลับไปบอกแก่นายช่าง  และนายช่างเตือนต่อไปว่า   อย่าเลยมาณพเอ๋ยเว้นเทวโลก  พรหมโลกเสีย   ที่ไหนเว้นสตรี  สถานที่นั้นก็เป็นป่าช้า   หาความสนุกสนานมิได้เลย   เมื่อเป็นเช่นนี้  พวกท่านจะทำอย่างไร ?  พวกมาณพเกิดน้อยใจ  กลัวศาลาจะไม่เรียบร้อย  จึงพร้อมใจกันไปเอามาจากเรือนนของนางสุธัมมา  ตามาคำบอกของนายช่าง  เมื่อศาลาสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว   ปรากฏว่ามีแต่ชื่อนางสุธัมมาเท่านั้น  ส่วนมาณพ  ๓๓  คน  หาได้ปรากฏชื่อไม่  อาศัยผลกรรมที่ตนได้สะสมไว้เป็นอันมาก   ครั้งตายแล้วก็ได้ไปบังเกิดในดาวดึงส์โดยพร้อม ๆ กันทั้ง  ๓๓  คน  ส่วนช้างก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร  ซึ่งมีนามว่า    เอราวัณ  สำหรับมฆมาณพเล่า  เมื่อจุติจากมนุษย์โลกแล้ว  ก็ได้บังเกิดเป็นใหญ่กว่าเทพเจ้าทั้งหลายในชั้นดาวดึงห์  มีพระนามว่า   ท้าวสักกเทวราช มีเอราวัณเทพบุตรเป็นพาหนะ
	ส่วนนางสุธัมมา  อาศัยว่าตนเป็นผู้มีความฉลาด  จึงได้สร้างช่อฟ้า  ร่วมบุญกุศลกับพวกมาณพเหล่านั้น  เมื่อละอัตตภาพ  ความเป็นมนุษย์แล้ว  ก็ได้ไปบังเกิดในดาวดึงสพิภพเช่นกัน  และศาลาก็ปรากฏขึ้นไปเกิดให้แก่นางด้วย  ซึ่งมีนามว่า  ศาลาสุธัมมา  ฉะนั้น  พอถึงวันธัมมัสสวนะเทพเจ้าทั้งหลาย  จึงเอาสถานที่นั้นเป็นที่ฟังธรรม
	ฝ่ายนางสุนันทา  คิดว่าตนเองมิได้ทำอะไรให้เป็นบุญกุศลร่วมในศาลาหลังนี้   ส่วนนางสุธัมมา  เขามีปัญญามากจึงได้ทำช่อฟ้าปลัง  แต่เรานี้สิโง่   จึงไม่ได้ทำอะไร  เอกเถอะเราจะจ้างคนให้มาขุดสรวะไว้ใกล้  ศาลาหลังนี้  เผื่อมาพักอาศัย  ก็จะได้ลงอาบน้ำให้สบายใจ  เมื่อนางทำเสร็จแล้ว  ก็ได้อุทิศให้เป็นส่วนกุศลเฉพาะตน  อาศัยบุญกุศลมีประมาณเท่านี้  ครั้งนางตายแล้วก็ได้ไปเกิดในดาวดึงส์ร่วมกับสามีของตน  ซึ่งได้นามว่า  สระโบกขรณีศระสุนันทา   เป็นที่อาบและที่เล่นของพวกเทพเจ้าเหล่าเทวดาทั้งหลาย
	ฝ่ายนางสุจิตราภรรยาคนที่  ๓  ของมาณพเล่า  สร้างบุญกรรมอะไรไว้  เปล่าเลย   นางไม่ได้ทำอะไร  แต่นางมาคิดว่า  นางสุธัมได้สร้างอะไรหนอ  จึงจะมีประโยชน์แก่เราและคนอื่น  เอาละ   เราจะสร้างสวนดอกไม้ให้มีนานาชนิด  เมื่อคนมาพักศาลา  ลงอาบน้ำแล้ว  ต้องเข้าไปเที่ยวชมสวน  เพื่อเลือกเก็บดอกไม้ต่าง ๆ มาประดับ  บุญก็จะเกิดแก่เรามิใช่น้อย  จึงไปว่าจ้างให้ช่างมาทำสวนดอกไม้   ไม่นานนักก็สำเร็จสมดังความปรารถนา  นางก็ได้อุทิศส่วนบุญกุศลให้มีแก่ตนและคนทั่วไป  พอสิ้นบุญกรรมของนางเท่านั้น  ก็ได้ไปเกิดร่วมสามีบนดาวดึงส์เหมือนกัน  ส่วนสวนของนางก็ปรากฏว่าไปบังเกิดให้นางเช่นกัน   และมีชื่อว่า   สวนจิตราลดาวัลย์   เป็นสถานที่ตกแต่งประดับประดาของเหล่าเทพเจ้า
	ส่วนนางสุชาดาศรีภรรยาของมฆมาณพคนที่  ๔  นั่นเองนางได้สร้างสมบุญกุศลอะไรไว้บ้าง ?  เปล่าเลย  นางไม่ได้ทำอะไรไว้  ได้แต่คิดว่า  สามีของเราทำแล้ว  ก็เป็นอันแล้วไป  เราไม่ต้องทำละ  นางแต่งเนื้อแต่งตัวโดยไม่ต้องทำอะไรไว้เลย  ครั้นตายแล้วก็ไปเกิดเป็นนางนกยางอยู่ที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง  ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาไม่น่าดูเลย  และไม่เป็นที่ปรารถนาของคนทั่งไป  เรื่องนี้ทำให้เดือดร้อยไปถึงท้าวสักกะผู้เป็นสามี  ท้าวเธอจึงได้จำแลงแปลงกายไปหานางนกยางด้วยความสงสารเอ็นดู  และได้ทรมานนางหลายอย่าง  มีให้นางอดอาหาร  รักษาศีล๕  นางได้ไปบังเกิดเป็นลูกสาวของนายช่างหม้อ  อยู่ในกรุงสาวัตถี  อาศัยนางใช้ความพยายามรักษาศีลมิได้ขาด  เมื่อจุติจากชาตินั้นแล้ว  ก็ได้ไปบังเกิดเป็นลูกสาวของอสูรในภพอสูร   เมื่อนางมีอายุ  ๑๕  ๑๖  แล้ว  บิดาก็จัดการให้มีการเลือกคู่ครองแก่นาง  ในขณะนั้น  ท้าวสักกะเทวราช  ก็ได้ปลอมแปลงเป็นอสูรแก่ไปอยู่ท้าย ๆ ของเหล่าอสูร  พอลูกสาวอสูรเห็นได้ที  ก็ทิ้งพวงมาลัยไปยังอสูรแก่  เมื่ออสูรแก่ได้โอกาสก็รีบนำอสูรกัญญาสุชาดาไปสู่ภพของตน  ทำให้อสูรหนุ่มทั้งหลายต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน  เพราะเหตุอะไรหรือท่าน  ก็เพราะเหตุว่า  ปุพเพกตปุญญตา  ไงเล่า ?   ผลสุดท้าย  นางก็ได้ไปอยู่ในอ้อมกอดของสามีด้วยความสุขารมย์   พร้อมด้วยศรีภรรยาทั้ง  ๓  คือ  สุธัมมา  สุนันทา   สุจิตรา  และมีสุชาดาเป็นคนสุดท้าย
	พระศาสดาตรัสว่า  มหาลิ  มฆมาณพปฏิบัติอัปปมาทปฏิปทาอยู่อย่างนี้  ก็แลมฆมาณพไม่ประมาทอย่างนี้  จึงถึงความเป็นใหญ่เห็นปานนี้  ทรงเสวยราชย์ในเทวโลกทั้ง  ๒  ชื่อว่าความไม่ประมาทนั้น  บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้ว  เพราะว่า  การบรรลุคุณวิเศษ  ซึ่งเป็นโลกิยะและโลกุตตระแม้ทั้งหมด  จะมีได้ก็เพราะอาศัยความไม่ประมาทอย่างเดียว   ดังนี้แล้ว  ทรงตรัสพระคาถานี้ว่า
	ท้าวมฆวะ  ถึงความเป็นผู้ประเสริฐกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย  เพราะความไม่ประมาท  บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท  ความประมาท  อันท่านติเตียนแล้วทุกเมื่อ
คติจากเรื่องนี้
ความขวนขวายในการบำเพ็ญประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น  โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ  และชาติภาษา  แม้จะไม่พบความร่ำรวยเป็นเศรษฐี  ในปัจจุบันก็ตาม  แต่นักปราชญ์ไม่ได้ประณามว่าประมาท  ปล่อยชีวิตให้เป็นหมันกลับสรรเสริญว่า  เป็นการเสริมสร้างความไม่ประมาท  เขาผู้นี้จักถึงความเป็นผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์  และเทพเจ้าเพราะความขวนขวาย  บำเพ็ญประโยชน์สาธารณะนั้นโดยไม่สงสัย				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกระต่ายใต้เงาจันทร์