20 มิถุนายน 2554 23:24 น.

ที่หลังประตูสีฟ้าบานนั้น

กระบี่ใบไม้

อาทิตย์บ่ายคล้อยต่ำลงใกล้ค่ำแล้ว ทางเข้าบ้านของน้องปรางมืดสลัวลงทุกที ความคับข้องใจในเหตุการณ์เมื่อยามเช้าเกาะกินใจข้าพเจ้าอยู่นานจนไม่อาจสลัดให้หลุดไปจากความคิดคำนึงได้
เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่ข้าพเจ้าต้องจากเด็กสาวคนนั้นไปเพื่อไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ น้องปรางเป็นผู้หญิงผิวขาวผมยาว ตัวเล็ก ๆ แววตาแจ่มใสน่ารัก ถ้าใครไม่สังเกตจะไม่มีทางรู้เลยว่าเธอนั้นเป็นคนตาบอด
ข้าพเจ้ายังจำวันนั้นได้อยู่ วันที่เราพบกันวันแรก ในวันที่มีฝนพรำ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงไวโอลินที่ไพเราะที่สุดในชีวิต ดังแว่วมาจากชายคาร้าน จำได้ว่า ณ วินาทีนั้น ผู้คนทั้งร้านพากันเงียบสนิท ศิโรราบให้กับคีตกานต์ที่ไพเราะประหนึ่งบทเพลงที่บรรเลงจากสรวงสวรรค์
นักดนตรีเปิดหมวกน่ะพี่ แกมาเล่นแถวนี้เป็นประจำ เก่งนะ รู้สึกว่าจะตาบอดด้วยนี่เป็นข่าวสารของบริกร ที่แวะเวียนมาบอกข่าวให้หลังจากที่เสียงไวโอลินนั้นจบลง
ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าข้าพเจ้าตอบบริกรผู้นั้นอย่างไร จำได้แต่ว่าหลังจากเช็คบิลแล้วข้าพเจ้ารีบวิ่งไปทำความรู้จักกับเจ้าของเสียงเพลงทันทีตามประสาของผู้ที่รักและเลือกเรียนในทางดนตรี
เราพูดคุยกันหลายเรื่อง และสนิทกันอย่างรวดเร็ว เพราะมีดนตรีเป็นตัวเชื่อมประสาน ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงน้ำอุ่น ๆ ขวดนั้น ที่เจ้าของมีไมตรีจิต เข้าไปอุ่นให้จากร้านเซเว่น แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า นั่นก็คือวิธีการจับคันชัก และกดสายไวโอลินของเธอประหลาดพิสดารไม่เหมือนคนทั่วไปที่เขาเรียนมาเลย เธอบอกว่าเธอชอบเสียงไวโอลิน เธอจึงหัดเรียนด้วยตัวเองจากไวโอลินตัวน้อยที่พ่อเธอซื้อให้ โดยเธอเปิดเพลงทุกเพลงที่เธอชอบและค่อย ๆ แกะโน้ตแต่ละตัวออกมา ทุกครั้งที่เธอเล่นเพลงใดเพลงหนึ่งได้ นั่นแหละคือความสุขสูงสุดในชีวิต
หลังจากนั้นที่บริเวณร้านอาหารแห่งนี้ก็มีนักดนตรีเปิดหมวกมาเล่นเพิ่มอีกหนึ่งคน โดยข้าพเจ้าจะหิ้วกีต้าร์คู่ใจมาร่วมเล่นด้วยทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เธอทำให้ข้าพเจ้ารับรู้ว่าความภาคภูมิใจของนักดนตรีเปิดหมวกนั้นไม่ได้อยู่ที่เศษเงินเล็ก ๆ น้อย ที่มีผู้คนหยิบยื่นให้ แต่ความสุขที่แท้จริงของนักดนตรีอยู่ที่การได้แบ่งปันสิ่งที่ตนเองรักให้คนอื่น ๆ ร่วมชื่นชมด้วยมากกว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างเราขยับใกล้ชิดขึ้นอีกขั้น เมื่อข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมบ้านกลางสวนของเธอ ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงทางเข้าที่ดูร่มรื่นแต่ค่อนข้างไกล(ปกติคุณพ่อของเธอจะเป็นคนขับรถไปส่งเธอทุกครั้งที่เธอไปเล่นดนตรี) ข้าพเจ้าได้รับการต้อนรับขับสู้ที่ค่อนข้างดีจากคุณพ่อคุณแม่ของเธอ ท่านเล่าว่าน้องปรางเป็นลูกสาวคนเดียวที่ท่านรัก เมื่อน้องปรางบ่นว่าอยู่บ้านคนเดียวเบื่อ ๆ อยากไปลองเป็นนักดนตรีเปิดหมวกดูบ้างแม้ไม่เห็นด้วยนักแต่ก็อนุโลมให้ไปเล่นได้
ที่บ้านน้อยกลางสวนหลังนี้ มีประตูรั้วบ้านที่เป็นไม้สีฟ้าอ่อน ตัดขอบด้วยลายเส้นสีแดงเป็นช่อง ๆ ตารางดูน่ารัก เมื่อเปิดเข้าไปในบริเวณบ้านก็จะเจอบ้านปูหลังน้อยล้อมรอบด้วยไม้สวนนานาพันธุ์มากมาย 
ในวันนั้นเองที่ริมท้องร่องเล็กๆ ใต้ต้นมะปรางต้นใหญ่ เราปูเสื่อนั่งเล่นดนตรีกันพร้อมให้อาหารปลาอย่างมีความสุข ที่สวนแห่งนี้ดูสงบและร่มรื่น มีไม้ดอกมากมาย เต็มไปด้วยผีเสื้อและแมลงปอ ณ เวลานั้น เหมือนกับเวลาได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะ และคลับคล้ายกับว่าเราได้ยินเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน
บรรยากาศยามเช้าวันนี้สวยจังนะเจ้าของร่างเล็ก ๆ นั้นเอ่ยขึ้น
สวย? ข้าพเจ้ามองหน้าเธออย่างฉงน เธอมองเห็นด้วยหรือ?
คนตาบอดก็มองเห็นได้นะเธอยื่นมือมาจับหน้าอกข้างซ้ายของข้าพเจ้าพร้อมกับยิ้มอย่างมีปริศนา
ถ้าเราหยุดเวลาเอาไว้ได้ก็คงจะดี
ข้าพเจ้าตอบเธอไปอย่างนั้น

ข้าพเจ้าเร่งฝีเท้าไปตามทางเดินนั้นอย่างสับสน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้คืออะไร? ที่หลังประตูไม้บานนั้น ร่างเล็ก ๆ ร่างนั้นยังอยู่ในชุดเดิมก่อนที่เราจากกันไม่เปลี่ยนไปเลย วันแรกวันนี้ที่กลับจากต่างประเทศกับสองปีที่ผ่านมาทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม
เรายังนั่งให้อาหารปลา และดูผีเสื้อใต้ต้นมะปรางใหญ่ต้นนั้นอยู่ แต่ที่ต่างออกไปก็คือเธอบอกว่า มองเห็นแล้ว เธอไม่บอกว่าเธอมองเห็นได้อย่างไร เพียงแต่เธอยื่นมือมาแตะที่อกข้างซ้ายของข้าพเจ้าพร้อมบอกกับข้าพเจ้าว่า 
เธอมองเห็นแล้วและเธอก็มองเห็นอยู่เสมอมา!

พี่ว่าพี่เจอน้องปรางเมื่อเช้านี้เหรอบริกรคนเดิมมองหน้าข้าพเจ้าอย่างพิศวง คล้าย ๆ กับจะช็อคสุดขีด
เธอถูกรถชนตายเมื่อประมาณเดือนก่อนนี้เอง งานศพน้องเค้าผมยังไปมาเลยเสียงสั่น ๆ ของบริกรท่านนั้นคล้ายเสียงที่ดังมากับสายลม
น่าสงสารพ่อแม่น้องเค้านะ คงเสียใจมากจนทนไม่ได้ก็เลยย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว

ที่ประตูไม้สีฟ้าอ่อนยามใกล้ค่ำวันนี้แลดูเก่าหมองกว่ายามเช้ามากมาย แต่ก็ยังตัดขอบด้วยเส้นสีแดงเล็ก ๆ เป็นช่อง ๆ และยังดูน่ารักอยู่เหมือนเดิม ข้าพเจ้ายืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่หน้าประตูบานนี้ ความทรงจำหลายหลากวิ่งผ่านไปมาในหัวของข้าพเจ้า
เธอยังไม่ตาย ต่อให้ใครหลายคนที่ข้าพเจ้าโทรไปตรวจเช็คแล้วยืนยันว่าเธอ ตายแล้วก็ตาม แต่เมื่อเช้านี้ข้าพเจ้าก็ยังมองเห็นเธอมีชีวิตอยู่...เธอยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นเหมือนเดิม!
มือเธอยังนิ่ม ๆ ลมหายใจเธอยังอุ่น ๆ ตัวเธอยังมีกลิ่นหอม แล้วเธอจะตายไปได้อย่างไรกัน?

แสงสว่างยามเย็นลดน้อยลงทุกที แต่ที่ประตูสีฟ้ากลับดูสดใหม่และกระจ่างขึ้นอย่างไม่เคยคิดว่าจะใหม่เท่านี้มาก่อน เส้นสีแดงเล็ก ๆ ที่ตัดขอบประตูช่างคล้ายกับด้ายแดงแห่งพรหมลิขิตอะไรปานนั้น ความรู้สึกบางอย่างบอกกับตัวข้าพเจ้าว่า เธอยังอยู่ที่หลังประตูและยังคงเฝ้ารอคอยข้าพเจ้าอยู่อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปไหนเลย 
เพียงแค่ข้าพเจ้าผลักประตูบานนั้นและเดินผ่านเข้าไป 
....เวลาในโลกแห่งความรักของเราทั้งสองจะถูกหยุดนิ่ง และมีความสุขอยู่ในโลกใบนั้นชั่วกาลนาน....

และในทางกลับกันเพียงแค่ข้าพเจ้าเดินหันหลังกลับจากประตูบานนั้น 
.......เวลาของเราทั้งคู่จะถูกแยกให้ขาดจากกันชั่วดินฟ้า.....

ประตูสีฟ้าบานนั้นอยู่ใกล้เพียงชั่วเอื้อมมือ แต่เหมือนอยู่ห่างไกลลิบลับ


เราพร้อมที่จะทอดทิ้งซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อคนที่เรารักหรือไม่?
เพียงแค่เอื้อมมือไปให้ถึงที่ประตูสีฟ้าบานนั้น.....				
1 มีนาคม 2554 19:47 น.

สิ้นเดือนที่แสนเศร้า(เรื่องเล่าจากแบ็งค์ ก.ไก่)

กระบี่ใบไม้

28 กุมภา ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ของผู้ใด แต่เป็นวันโชคร้ายของข้าพเจ้า
เหตุการณ์นี้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ข้าพเจ้าเริ่มไปทำธุรกรรมทางการเงินที่แบ็งค์ ก.ไก่(นามสมมติ)วันนี้เอง 

เย็นย่ำอาทิตย์อัศดง ข้าพเจ้าถือสมุดคู่ฝาก(ถือมาปรับบัญชี)ยืนอยู่หน้าแบ็งค์ด้วยความเศร้าโศก(แบ็งค์แถวนิคมอุตสาหกรรมเลิกค่ำเป็นปกติ)

โอ...ฟ้าส่งข้าพเจ้ามาเกิดแล้ว ทำไมต้องทำให้ข้าพเจ้าลืมเอาบัตร ATM มากดเงินด้วย... 

หลังจากที่ยืนทำใจมองธนาคารเล็ก ๆ แต่แออัดไปด้วยผู้ใช้บริการแห่งนั้นเกือบ 5 นาที ข้าพเจ้าก็ทำตัวเป็นแมลงสาบสอดแทรกตัวไปยังพื้นที่อันน้อยนิดเป็นผลสำเร็จ

อะโห คิวที่สี่ร้อยหกสิบเอ็ด พระเจ้า แล้วกระผมจะมีโอกาสได้ใช้บริการกับเขาไหมเนี่ย....

เร็วเท่าความคิด ข้าพเจ้าฉกตัวเข้าไปยังตู้บัตรคิวอย่างรวดเร็ว

โอ้แม่จ้าว ห้าร้อยสาม ห้าร้อยสามทีเดียวหรือนี่ชีวิตฉันข้าพเจ้าส่งเสียงร้องด้วยความรันทดสุดห้วงดวงจิต 

โอ...มหาชนผู้ทุกข์ยาก ทำไมจึงมากมายเยี่ยงนี้หนอ?ข้าพเจ้าพยายามสะบัดความขมขื่นออกไปตามประสาของคนสู้ชีวิต

เอ...ทำไมเราต้องยืนแกร่วรอคิวในแบ็งค์แน่น ๆ อย่างนี้ด้วยล่ะ หะหาเรายังมีอย่างอื่นที่ต้องทำฆ่าเวลาไปก่อนก็ได้นี่ อย่างเช่นไปซื้อคอนแท็คเลนและจ่ายค่าโทรศัพท์ก่อนเป็นต้นวิญญาณส่วนที่มองโลกในแง่ดีกระซิบกระซาบ

เอาเถอะ ยังไงก็เหลืออีกตั้งสี่สิบคิว รีบไปตอนนี้ก็ยังไม่สายหลังจากที่ข้าพเจ้าไปเข้าคิว(อีกแล้ว)จ่ายค่าโทรศัพท์มาเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็รีบกลับมาที่แบ็งค์แห่งเดิมเพื่อชะเง้อชะแง้เหลียวแลดูเลขที่คิวของตัวเองอย่างคนมีความรับผิดชอบ

สี่ร้อยแปดสิบสาม เวลายังเหลืออีกเพียบเลยนะเนี่ย เอาเถอะแวะไปซื้อลูกกะตาสำรองถอดเก็บได้(คอนแท็คเลน)ก่อนก็น่าจะทันนะหลังจากที่ข้าพเจ้าวิ่งเฟี้ยวฟ้าว ไปหาซื้อของกลับมา ข้าพเจ้าก็มายืนอยู่น่าเค้าน์เตอร์อีกครั้ง

...ขอเชิญหมายเลข สี่ร้อย...เก้า...สิบเจ็ด มารับบริการที่ช่อง...สอง...ค่ะ....ขอเชิญหมายเลข....ข้าพเจ้าฟังเสียงเรียกจอมปลอมที่เปล่งจากปากของเครื่องจักรกลที่ไร้สมองเหล่านั้นอย่างผาสุก

เกือบสองชั่วโมงของข้าพเจ้า ในที่สุดก็ใกล้เดินทางมาถึงแล้ว ฮ่าฮ่า

...ขอเชิญหมายเลข สี่ร้อย...เก้า...สิบแปด มารับบริการที่ช่อง...หนึ่ง...ค่ะ....ขอเชิญหมายเลขสี่ร้อย...เก้า...สิบเก้า มารับบริการที่ช่อง...สอง...ค่ะ....

ข้าพเจ้าลุกยืนอย่างผึ่งผาย(ก็มันมีอยู่แค่สองช่องเองนี่)

ห้าร้อยสาม ห้าร้อยสามข้าพเจ้านับถอยหลังอย่างเริงร่า

...ขอเชิญหมายเลข ศูนย์...หนึ่ง มารับบริการที่ช่อง...หนึ่ง...ค่ะ....

เอ๋ ไม่สิ ไม่ๆๆๆๆ ไม่ใช่มั๊ง มันอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้ ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งช่องเชียวนะ

...ขอเชิญหมายเลข ศูนย์...สอง มารับบริการที่ช่อง...สอง...ค่ะ....

เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว!!!ข้าพเจ้าลุกพรวด เหมือนสุนัขถูกรถเหยียบหาง

นี่ๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อนครับ ทำไมสี่ร้อยเก้าสิบเก้า แล้วกลายเป็นศูนย์หนึ่ง ศูนย์สองเลยล่ะ แล้วห้าร้อยมันหายไปไหน(ไอ้ห้าร้อยละลายเอ้ย/ข้าพเจ้าคิด)

ขอโทษค่ะ เลขห้าร้อยมันไม่มีหรอกค่ะเสียงหวานๆจากเคาน์เตอร์ดังสวนกลับมาฉับพลัน ท่ามกลางคลื่นความตกตะลึงของมหาชน(ห้าร้อยแม่งละลายหายไปจริง ๆด้วย)

ก็นี่ไงครับ เลขที่ห้าร้อยสามของผมเนี่ยมันจะไม่มีได้ยังไงข้าพเจ้าพยายามสะกดคำว่า แหกตาดูสิโว้ยไม่ให้หลุดออกจากปากอย่างยากเย็น

ขอโทษค่ะ ระบบคงขัดข้อง รบกวนลูกค้าไปกดบัตรคิวใหม่นะค่ะพนักงานท่านนั้นพยายามคลี่คลายสถานการณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่(ตำรวจ)ประจำแบ็งค์ช่วยอารีกดบัตรคิวให้ใหม่

ยี่สิบเอ็ด หมายเลขยี่สิบเอ็ด คุณจะบ้าเหรอ ผมรอคิวมาเกือบสองชั่วโมงแล้วนะ คุณจะให้ผมรอคิวใหม่อีกยี่สิบเอ็ดคิวเชียวเหรอ คุณจะมาทำอย่างนี้กับผมไม่ได้นะขีดสุดแห่งความอดทนขาดผึงโดยฉับพลัน บรรยากาศภายนอกเริ่มมืดแล้ว หิวข้าวก็หิวเพราะมัวแต่รอ(พวกมึง)มาตั้งสองชั่วโมงกว่า

ขอโทษครับ ผู้จัดการแบงค์อยู่ที่ไหน ผมขอเจรจาด้วยหน่อยซิข้าพเจ้าพยายามเดินเข้าไปยังจุดที่คาดว่ามีผู้จัดการแบ็งค์นั่งอยู่

เดี๋ยวคุณลูกค้านั่งทำรายการโต๊ะนี้เลยก็ได้ค่ะ เชิญค่ะพนักงานท่านหนึ่งพยายามตะล่อมบอก

...เก้า....แปด....เจ็ด...เรามาดีนะ เรามาดี ไม่ได้มาหาเรื่อง....ข้าพเจ้าพยายามนับถอยหลังเพื่อสะกดอารมณ์

...หก....ห้า...สี่....สาม...ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไรของมันผิดพลาดกันได้....ข้าพเจ้าบอกตัวเองเช่นนั้นก่อนส่งมอบสมุดคู่ฝาก พร้อมใบฝากกับใบโอนอย่างละใบวางไว้ที่น่าเคาน์เตอร์

ขอโทษที่นะคะ ที่ให้บริการขัดข้องพนักงานท่านนั้นออกตัวอย่างจืดๆ

ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรขานี้ก็พยายามรักษามารยาทอย่างสุดฤทธิ์เช่นกัน

ข้าพเจ้าจับตาดูการคีย์ข้อมูลของพนักงานท่านนั้นเขม็ง(เชื่อเหอะ พนักงานและลูกค้าทั้งแบ็งค์ก็จับตามองเราสองอยู่ด้วยเช่นกัน)

รายการเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ค่าโอนเงินสดสองพันสองร้อยบวกค่าธรรมเนียมห้าสิบ ยอดถอนทั้งหมดหนึ่งหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยห้าสิบบาทค่ะเสียงขานรายการดังเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย

เดี๋ยวๆๆๆๆ ถ้าทางคงจะมีการเข้าใจผิดกันแล้วล่ะครับผมชะโงกหน้าไปค้านอย่างเร่งด่วน

โอ.เค. ดูใบถอนนี่นะครับ ผมต้องการถอนเงินสดสองหมื่นสองพันบาทออกจากบัญชีนี้ข้าพเจ้าพูดเสร็จก็หยิบใบโอนขึ้นมา

และผมก็ขอโอนเงินอีกสองพันสองร้อยบาทจากในบัญชีนี้ไปยังอีกบัญชีนึงด้วยข้าพเจ้าเน้นถ้อยคำอย่างชัดเจน พร้อมสบตาทุกครั้งที่พูด 

ก็นี่ไงคะ คุณถอนเงินสดจากในบัญชีสองหมื่นสองพันบาทพร้อมโอนเป็นเงินสดสองพันสองร้อยบาทบวกค่าธรรมเนียมอีกห้าสิบบาท คงเหลือเป็นเงิน....

เดี๋ยวๆๆๆๆ คุณฟังผมอีกครั้งนะ คือว่าวันนี้ ผมต้องการใช้เงินสดสองหมื่นสองพันบาทข้าพเจ้าชี้ไปที่ใบเบิก

และ นี่ ผมต้องการโอนเงินจากบัญชีนี้...ข้าพเจ้าชี้ไปที่รอยขีดในช่องเงินโอนของใบโอน

ผมต้องการโอนเงินจากบัญชีนี้ ไม่ใช่จากเงินสด คุณเข้าใจมั้ยว่าผมไม่ได้ติ๊กช่องเงินสดข้าพเจ้าพยายามสะกดความรู้สึกขุ่นมัวที่ทะยานพุ่งปรี๊ดอย่างสุดความสามารถ

แต่มันก็มีค่าเท่ากัน....

มันไม่เท่ากันหรอก(โว้ย)คร๊าบ เพราะผมต้องการใช้เงินสองหมื่นสองพันบาทวันนี้ ไม่ใช่หมื่นเก้าอย่างที่คุณเข้าใจ

โอ.เค.งั้นคุณเขียนใบเบิกอีกใบใหม่ข้าพเจ้าหัวเราะหึหึ จรดปลายปากกาเขียนใบเบิกใหม่อีกรอบ

แต่เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ เมื่อกี๊คุณว่าค่าโอนเท่าไหร่นะ

ห้าสิบบาทค่ะ

ห้าสิบบาท...ค่าโอนมะเขืออะไร(วะ)ตั้งห้าสิบบาทเสียงข้าพเจ้าดังลั่น มันไม่ใช่ความรู้สึกโกรธแล้ว แต่เป็นความรู้สึกตกใจที่สุดในโลกมากกว่า

ค่ะ ห้าสิบบาท ถ้าคุณถอนเงินในนี้ แต่ถ้าคุณใช้บัตร ATM กดเงินจากภายนอกจะถูกกว่านี้ค่ะในหัวข้าพเจ้ามองเห็นบัตร ATM กำลังนอนเยาะเย้ยข้าพเจ้าอยู่ที่บ้าน พร้อมด้วยดวงวิญญาณครึ่งหนึ่งของเงินห้าสิบบาทกำลังลอยละล่องโบยบินจากไป

ท่านอาจจะรู้สึกแปลกใจ ทำไมข้าพเจ้าไม่วีนใส่พนักงานแบ็งค์ผู้นั้น ทั้ง ๆ  ที่ข้าพเจ้ากำลังโกรธ แบ็งค์ ก.ไก่ อย่างเหลือล้นพ้นประมาณ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของพนักงานที่ปล้นเงินจากความไม่รู้ในกระเป๋าของข้าพเจ้า มีความผิดพลาดต่างๆ มากมายเกิดขึ้นในแบ็งค์แห่งนี้ แต่ทุกความผิดพลาดที่เกิดขึ้นข้าพเจ้าเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของพนักงาน  ข้าพเจ้าอาจโมโหพนักงานเหล่านั้นบ้าง แต่ไม่ใช่ความโกรธเด็ดขาด แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกโกรธแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้โกรธพนักงาน(ที่เป็นพนักงานกินเงินเดือนเหมือนข้าพเจ้า) แต่ข้าพเจ้ากำลังโกรธธนาคาร ก.ไก่ !!!

คุณปล้นเงินของประชาชน คุณปล้นเงินจากความไม่รู้ของประชาชน วันวันหนึ่งคิดเป็นกี่สิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน แล้วตอนนี้ สคบ.ไปซุกหัวอยู่ที่ไหน ทำไมไม่คิดจะ(แหก)ตาดูบ้าง ว่าการที่ธนาคาร(ที่มีรัฐบาลเป็นประกัน) แอบงุบงิบขึ้นค่าธรรมเนียมธุรกรรมลักษณะเดียวกัน ต่างกันก็แต่โอนแบ็งค์กับโอนตู้โดยไม่แจ้งให้ประชาชนทั่วไปรับทราบได้ถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น จัดเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ ถ้าคุณ(มึง)แน่จริง ทำไมไม่ติดประกาศหน้าธนาคารไปเลยล่ะว่าค่าธรรมเนียมที่แบ็งค์กับที่ตู้ไม่เท่ากัน ปัดโธ่เอ้ย ไอ้ธนาคาร ก.ไก่...
 

มืดแล้ว ข้าพเจ้าออกไปเกือบเป็นคนสุดท้ายของแบ็งค์ แต่ความขุ่นมัวคงติดตาตรึงใจของข้าพเจ้าไปอีกนาน ขอบอกเลยว่าความซวยของข้าพเจ้ายังมีอยู่ไม่หมดสิ้นแต่เพียงเท่านี้ เพราะความฉุนขาดของข้าพเจ้าเลยเผลอลืมคอนแท็คเลนไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ธนาคารแห่งนั้นด้วย วันนี้คงไปเอาไม่ทันแล้ว พรุ่งนี้คงหน้ามืดตามัวเหมือนเคยไปทั้งวัน				
27 กันยายน 2553 21:37 น.

สวนของคุณยาย

กระบี่ใบไม้

ณ สวนหย่อมเล็ก ๆ ของเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีผู้คนมากมายคราคล่ำในวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุประมาณ 7  8 ขวบคนหนึ่ง กำลังนั่งกินขนมอยู่บนตักของคุณแม่ ผมเปียน้อย ๆ ของเธอแกว่งไกวไปตามจังหวะทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหว

คุณแม่ขา ทำไมสวนหย่อมแห่งนี้ถึงเรียกว่าสวนของคุณยายล่ะจ๊ะเด็กน้อยเอียงคอถาม ดวงตาคู่น้อยเป็นประกายใสแจ๋วด้วยความใคร่รู้

หนูเห็นต้นไม้ที่อยู่บนเนินนั่นมั้ยจ๊ะ นั่นแหละเคยเป็นที่อยู่ของคุณยายคุณแม่ชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพร้อมโอบกระชับร่างเล็ก ๆ นั้นไว้

เอ๋ ทำไมคุณยายต้องไปอยู่ตรงต้นไม้นั้นด้วยล่ะคะเด็กน้อยเอียงคอถาม

เรื่องนี้มันมีตำนานจ้ะ ถ้าหนูอยากรู้แม่จะเล่าให้ฟังนะจ๊ะ
 

.........................................................................................................................
		
ครั้งหนึ่งที่สวนแห่งนี้เคยกว้างใหญ่กว่านี้มาก ดอกไม้เล็ก ๆ ระบายบางสลับกับท้องทุ่งหญ้าที่เขียวขจี หมู่ดาวยังคงพราวพร่างเปล่งประกายหยอกล้อไปกับแสงจันทร์กระจ่างฟ้า เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จอมซนคนหนึ่งหนีคุณแม่ออกมาหาจับหิ่งห้อยในยามค่ำคืน 

ขณะที่คนตัวเล็กกำลังค้นหาหิ่งห้อยอยู่นั้นเอง ก็สังเกตเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ร่างหนึ่งกำลังปีนอยู่บนต้นไม้ ด้วยความอยากรู้เจ้าตัวเล็กจึงค่อย ๆ คลานไปยังโคนต้น หวังจะสังเกตดูให้รู้แจ้งว่าสิ่งนั้นคืออะไร?

ขณะที่กำลังค่อย ๆ ย่องไปอยู่นั้นเอง ร่างเล็ก ๆ ที่สูงกว่าหน่อยร่างหนึ่งก็กระโดดมายังโคนต้น 

โอ้ย...กระโดดลงมาไม่ดู เกือบจะทับเค้าแล้วนะเด็กหญิงร้องโวยวาย

ชู่วววว์ อย่าเสียงดังไปสิ ประเดี๋ยวมันก็ไม่มาหรอกเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุไม่เกินสิบขวบ ส่งเสียงกระซิบแผ่วเบา

เอ๋ คุณพี่มาแอบหาอะไรหรือจ๊ะเด็กผู้หญิงตัวน้อยกระซิบถามด้วยความอยากรู้

นกการะเวก น่ะ มันอาจจะบินมาเล่นน้ำแถวนี้เด็กชายร้องตอบ

นกการะเวกมันเป็นอย่างไงหรือจ๊ะคนตัวเล็กกว่าเอียงคอถาม

มันเป็นนกสวรรค์น่ะ พี่เคยอ่านในหนังสือเค้าเขียนไว้ว่านกการะเวกเป็นสัตว์หิมพานต์ บินสูงเหนือเมฆ ไม่ค่อยมีใครเห็นตัว กินลมเป็นอาหาร เสียงของมันไพเราะมากเลยนะ ใครก็ตามได้ยินเสียงร้องของมันจะต้องหยุดชะงักฟังด้วยความจับใจเลยทีเดียวเชียวล่ะคนตัวโตกว่ายืดอกตอบด้วยความภาคภูมิ

โอ้โห มันคงสวยมากเลยใช่มั้ยคะคุณพี่เด็กผู้หญิงส่งเสียงร้องด้วยความทึ่ง

ใช่แล้ว ขนของมันเป็นของวิเศษด้วยนะ พี่กำลังมารอเก็บขนของมันอยู่

เก็บขน พี่จะไปเก็บมันยังไงเหรอคะเด็กผู้หญิงร้องถามด้วยความกระตือรือร้น

เก็บได้สิ พี่เอาขันใส่น้ำไปขัดไว้บนยอดไม้ ประเดี๋ยวตอนดึก ๆ เจ้านกการะเวกก็จะมาเล่นน้ำในขัน แล้วมันจะทิ้งขนเอาไว้หนึ่งเส้นเสมอ ขนของมันถ้าเก็บไว้นาน ๆ จะกลายเป็นทองด้วยนะจ๊ะเด็กผู้ชายตอบ

ว้าวววว จริงหรือคะ คุณพี่ต้องแบ่งให้หนูเส้นหนึ่งนะคะ

ได้สิ แต่พี่ต้องได้สองเส้นก่อนนะจ๊ะคนตัวโตกว่าตอบขึ้นด้วยความเอ็นดู

แต่ตอนนี้เราต้องกลับกันก่อนล่ะ ถ้านกการะเวกรู้ว่ามีคนอยู่มันจะไม่มา

พรุ่งนี้เช้าพี่จะมาเก็บขนนกการะเวกใช่มั้ยจ๊ะ

ใช่สิจ๊ะ

คุณพี่ต้องรอหนูด้วยล่ะ หนูขอมาดูด้วยคนนะ นะ นะ.......

 
.........................................................................................................................
 
คืนวันผันผ่านแม้ไม่มีวี่แววของขนเจ้านกการะเวก แต่ความสัมพันธ์ของเด็กน้อยทั้งคู่กลับมีความผูกพันสืบเนื่องเรื่อยมา เด็กผู้หญิงร่างกายอ่อนแอ บอบบางและเป็นโรคหัวใจ กับเด็กผู้ชายที่รู้ตัวเองมาโดยตลอดว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือด ทั้งคู่มีเวลาให้แก่กันและกันอย่างเต็มที่เพราะไม่ต้องไปเรียนหนังสือให้มากมายเหมือนเด็กคนอื่น ๆ

คุณพี่ขา คุณพี่ว่าเจ้านกการะเวกจะมีจริงไหมคะ?เด็กสาววัยรุ่นเอ่ยปากถาม

มีสิจ๊ะ เพียงแต่เรายังไม่มีโอกาสเจอมันเท่านั้นเอง

เสียงมันไพเราะมากไหมคะร่างบอบบางแต่นัยน์ตาเพ้อฝันนั้นนอนหนุนตักพี่ชาย

ไพเราะมากเลยล่ะ แต่มันต้องมีเป็นคู่นะ ถ้าลำพังมันตัวเดียวจะไม่ส่งเสียงร้องเด็กผู้ชายร่างสูงโปร่งรุ่นราวคราวเดียวกันส่งเสียงตอบด้วยความเอ็นดู

คุณพี่คะ นกการะเวกนี่เป็นอมตะมั้ยคะ

นกการะเวกเป็นนกสวรรค์ก็ต้องเป็นอมตะสิจ๊ะเด็กชายวัยรุ่นคนเดิมตอบ

หนูอยากให้หนูกับพี่ชายเป็นนกการะเวกค่ะ หนูกับพี่จะได้อยู่คู่กันตลอดไป

เด็กผู้ชายเบือนหน้าหนี ซ่อนน้ำตาของตนไว้ให้พ้นจากแววตาที่ช่างเพ้อฝันคู่นั้น เนื่องด้วยเวลาที่ยังเหลืออยู่ของเขาเหลือน้อยลงทุกวัน

เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่เด็กหนุ่มทะเลาะกับคนที่บ้านเพียงเพราะเขาปฏิเสธที่จะเข้าทำการรักษาตัว ที่โรงพยาบาล เพราะเขาอยากใช้เวลาทุก ๆ นาที ที่เหลืออยู่ใกล้ชิดกับน้องสาวตัวน้อย ๆ ของเขาคนนี้ให้มากที่สุด โรคมะเร็งเม็ดเลือดที่ไม่มีวันรักษาหาย  และทุกลมหายใจของเขาก็ไม่มีวันลืมน้องสาวของเขาคนนี้ได้ด้วย ตลอดกาล!!!

		
.........................................................................................................................
		
ในวันที่สายฝนเพิ่งหยุดตก ริบบิ้นเจ็ดสีทอประกายอยู่ที่บนฟากฟ้า หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังนั่งมองสายรุ้งเส้นนั้นจากที่โคนต้นไม้ต้นเดิม ชายหนุ่มพยายามข่มมือที่สั่นระริกเพื่อกุมมือน้อย ๆ ข้างนั้นเอาไว้

พี่คะ นกการะเวกกับนกฟีนิกซ์ใช่นกตัวเดียวกันมั้ยคะ

น่าจะเป็นตัวเดียวกันมั้งจ๊ะ ก็มันเป็นนกสวรรค์เหมือนกันนี่ชายหนุ่มพยายามข่มเสียงตอบ 

ดีจังนะคะคุณพี่ นกฟีนิกซ์นะเวลามันรู้ว่ามันกำลังจะตาย มันจะบินเข้าไปในกองไฟแล้วเกิดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง

เจ้าของเสียงที่เพ้อฝันนั้นพยายามเบียดร่างตัวเองเข้าซบกับอ้อมอกของพี่ชาย จึงไม่ทันเห็นเลือดที่เริ่มไหลซึมจากการกัดริมฝีปากของตัวเขาเอง ใบหน้าที่ขาวอันซีดเกิดจากการข่มความรู้สึกให้พ้นจากความเจ็บปวดที่กำลังท่วมท้น เวลาสุดท้ายใกล้จะหมดลงทุกที เขาจะแสดงความเจ็บปวดให้คนที่อยู่ข้าง ๆ นี้เห็นไม่ได้เลย เขาจะยอมให้คนที่เขารักที่สุดเจ็บปวดไม่ได้ เป็นอันขาด

นกฟีนิกซ์ตัวนี้บินสู่ไฟแห่งความเจ็บปวดแล้วจะเกิดใหม่ได้อีกฉันใด?

น้องน้อยของพี่...ชายหนุ่มพยายามข่มอารมณ์เอ่ยขึ้นอย่างยากเย็น

ขา...คนในร่างน้อยนั้นตอบรับอย่างแผ่วเบา

พรุ่งนี้...พี่จะต้องเดินทางไกลแล้ว...พี่จะไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ

แล้วพี่จะหายมั้ยคะคนน้องหัวใจหายวูบ

หายสิ ก็พี่เป็นนกฟีนิกซ์นี่จ๊ะคนเป็นพี่ชายตอบอย่างร่าเริง

พี่จะไปนานแค่ไหนคะหญิงสาวถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา 

ไม่นานหรอกจ้ะชายหนุ่มพยายามพูดขึ้นพร้อม ๆ กับน้ำเสียงที่กลั้วหัวเราะ

ต่อให้เหลือเพียงวิญญาณ พี่ก็จะกลับมาหาน้องให้ได้อย่างแน่นอน
 

.........................................................................................................................
 
คืนวันหมุนเวียนเปลี่ยนไป  ใบไม้จากต้นไม้ต้นเดิมร่วงหล่นใบแล้วใบเล่า ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ชายก็ยังคงหายลับไปไม่หวนคืนมา พ่อแม่และคนรอบข้างของหญิงสาวทุกคนต่างรับรู้โดยทั่วกันว่า ชายหนุ่มตายแล้ว 

แต่คนเดียวที่ไม่เคยรับรู้และยอมให้รับรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ก็คือหญิงสาวคนนั้น  เป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะให้หญิงสาวคนหนึ่งที่ร่างกายอ่อนแอและเป็นโรคหัวใจต้องมารับรู้ความจริงว่า คนที่เธอรักสุดจิตสุดใจคนนั้นตายแล้ว

วันแล้ววันเล่าที่หญิงสาวยังคงเฝ้ารอคอยอย่างโดดเดี่ยว มือน้อย ๆ คู่นั้นมีเอาไว้เพื่อโอบกอดและลูบไล้ต้นไม้ เสมือนพี่ชายของเธอยังคงอยู่ตรงหน้า หูของเธอคู่นั้นมีเอาไว้เพื่อคอยเงี่ยฟังเสียงนกการะเวกที่สุดแสนไพเราะและหวานซึ้ง อีกทั้งแววตาคู่นั้นก็มีเอาไว้เพื่อรอคอยจ้องมองเผื่อคนผู้เป็นที่รักจะหวนกลับมา

		
กว่าสิบปีมาแล้วที่หญิงสาวคนเดิมแวะเวียนมาที่สวนหย่อมแห่งนี้ เฝ้ารอคอยอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นนี้ วันเวลาที่เหลืออยู่ ภาพที่ทุกคนเห็นชินตาคือหญิงสาวที่โดดเดี่ยวและรอคอย ผมของเธอค่อย ๆ ซีดขาวและสูงวัยอย่างรวดเร็ว

กว่าสิบปีมานี้เองที่คนทั่วไปพากันเรียกขานสวนหย่อมแห่งนี้ว่าสวนของคุณยาย

 
.........................................................................................................................
 
คุณแม่ขา แล้วตอนนี้คุณยายคนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะจ๊ะเด็กหญิงเอียงคอถาม

คุณยายไปอยู่ตรงนั้นแล้วล่ะจ้ะคุณแม่ชี้นิ้วไปบนท้องฟ้าพร้อมบรรจงหอมแก้มของแม่หนูตัวน้อย
 

.........................................................................................................................
 
ในค่ำคืนหนึ่งที่แสงจันทร์เต็มดวงทอประกายสดใส คุณยายผู้อ่อนวัยค่อย ๆ ทรุดตัวลงนอนใต้ต้นไม้ต้นเดิมอย่างอ่อนล้า ในภาพตระการแห่งความฝัน เส้นผมที่เคยขาวโพลนเปลี่ยนมาเป็นสีดำสนิท ร่างน้อยที่บอบบางเข้าสู่อ้อมแขนของคนที่คุ้นเคย

และที่คืนเดียวกันนั้น มีผู้เห็นนกสวรรค์สองตัวพากันบินว่อนเวียนวนมาล้อเล่นกับแสงจันทร์ ขนหางของมันเปล่งประกายสายรุ้งทอดยาวไกล สดใสระยิบระยับ เสียงร้องของมันไพเราะและหวานซึ้งกว่านกตัวใดในแหล่งหล้า

ผู้คนมากมายต่างก็พากันเล่าขานถึงตำนานสวนของคุณยาย ตราบจนเท่าทุกวันนี้				
12 พฤษภาคม 2552 21:15 น.

กวีคนสุดท้าย

กระบี่ใบไม้

.                  ครั้งหนึ่งเมื่อครั้งบ้านนอกยังเป็นบ้านนอก ท้องนายังเป็นท้องนา ในทุ่งนายังมีฝูงวัวควายแทะเล็มหญ้าอยู่อย่างนั้น  
พ่อเฒ่ากำลังสั่งเสียบุตรชายเพียงคนเดียวของตนที่กำลังตัดสินใจไปเผชิญโชคในโลกกว้าง
		ลูกเอ๋ยเมืองกรุงนั้นน่ากลัวนัก ยังไงเสียมันก็คงไม่มีความสุขเหมือนบ้านเราดอกหนา เมื่อเจ้าจากบ้านไปแล้วเจ้าต้องระวังตัวให้มาก ๆ ทุกฝีก้าว นะลูกนะ
		ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ ผมจะไปเป็นกวี ผมจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้เสรีแห่งอักษรา ไปฝากยังเมืองใหญ่แห่งนั้น และผมก็จะนำความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้กลับคืนสู่ผืนนาบ้านเราด้วย ผมจะทำให้พ่อได้ปลาบปลื้มใจให้ได้ในสักวันชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยหัวใจที่ฮึกเหิมและลุกโชติช่วงด้วยไฟฝัน
		กวีหนุ่มกราบกรานบิดาของตนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหอบหิ้วต้นฉบับบทกวีมากมายเดินทางจากไป

.........................................................................................................................

		แสงตะวันทอประกายสดใสเหมือนหัวใจชายหนุ่ม เสียงรถไฟดังฉึกฉัก ๆ จากท้องทุ่งนามุ่งตรงสู่มหานครใหญ่
		อา...เราจักไปนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราขับกล่อมปวงประชาแลผืนดินฟ้าชั่วกาลนิรันดร์กวีหนุ่มยิ่งคิดก็ยิ่งชุ่มชื่นหัวใจนัก
		แล้วหมอนรถไฟอันทอดยาวก็พากวีหนุ่มไปถึงมหานครใหญ่แห่งนั้นจนได้ มหานครที่มีรถยนต์วิ่งกันขวักไขว่ไปมาแต่ไม่มีหัวใจเหมือนกับวัวควายแถวบ้าน 
กวีหนุ่มมองมหานครที่น่าตื่นตาอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะหอบต้นฉบับเดินมึนงงลงจากขบวนรถไฟแห่งนั้นไป
		ก่อนอื่นเราต้องหาบ้านพักเล็ก ๆ สักแห่งหนึ่ง ก่อนจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราไปขับกล่อมปวงประชาแลผืนดินฟ้าชั่วกาลนิรันดร์กวีหนุ่มบอกกับตัวเอง
		ค่าห้องพักเดือนละพันห้าค่ะรวมค่าน้ำค่าไฟด้วย แต่คุณต้องจ่ายค่าเช่าก่อนสามเดือนนะคะ เราถึงจะอนุญาตให้คุณพักอยู่ได้หญิงเจ้าของห้องเช่าบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
		กวีหนุ่มเช็ดเหงื่อมองห้องเช่าเท่ารังหนูหลังนั้นพร้อมกับค่อยๆบรรจงนับธนบัตรที่มีอยู่อันน้อยนิดจ่ายค่าเช่าห้อง
		เอาเถอะ พวกเขายังไม่เห็นคุณค่าของเราว่าสำคัญสักเพียงไหน วันหนึ่งเมื่อผลงานแห่งกวีของเราปรากฏ พวกเขาทั้งหลายจักต้องพากันแซ่ซ้องและจ้องมองเราด้วยสายตาแห่งความเลื่อมใสเป็นแน่แท้
		ขณะที่กวีหนุ่มกำลังหาอาหารตามสั่งกินอยู่นั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ
		ท่านเป็นใครหรือ ทำไมจึงมายืนจ้องมองเราอยู่อย่างนี้?
		เราคือ ความเหงา น่ะ เราจะมาขออาศัยอยู่กับท่านด้วยชายผู้ทำหน้าเศร้าผู้นั้นกล่าว
		ขออยู่ด้วยรึ?กวีหนุ่มย้ำถามด้วยความงงงัน
		ทำไมเราต้องให้ท่านอยู่ด้วยล่ะ?
		ท่านต้องให้เราอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเราจะมาเป็นเพื่อนแท้ของท่านตลอดไปความเหงาตอบ
		กวีหนุ่มผู้มีจิตใจดีก็พยักหน้ารับในที่สุด

		หลายวันมานี้ ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่านในท้องทุ่งหมอกควันแห่งมหานครใหญ่ กวีหนุ่มก็ค้นพบว่าผู้คน ณ ที่แห่งนี้ต่างคนต่างไม่มีใครสนใจซึ่งกันและกันเลย ไม่มีใครสนใจชายหนุ่ม ผู้จะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราไปขับกล่อมปวงประชาแลผืนดินฟ้าชั่วกาลนิรันดร์เลยแม้แต่เพียงผู้เดียว
		กวีหนุ่มพบเพียงความเหงาที่คอยเดินตามเขาทุกฝีก้าว ขณะที่กวีหนุ่มกำลังหอบหิ้วต้นฉบับเดินทางค้นหาสำนักพิมพ์สักแห่งหนึ่งเพื่อจะเสนอผลงานของเขาอยู่นั้น เขาก็พบชายอีกผู้หนึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่
		ท่านเป็นใครกันหรือ มายืนจ้องมองเราทำไม?
		เราคือ ความขมขื่น เราจะมาขออาศัยอยู่กับท่านด้วยชายผู้ทำหน้าอมทุกข์และเจ็บปวดกล่าวขึ้น
		ขออยู่ด้วย?กวีหนุ่มย้ำถาม
		แล้วทำไมเราต้องให้ท่านอยู่ด้วยล่ะ?
		ท่านต้องให้เราอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเราจะมาเป็นเพื่อนแท้ของท่านตลอดไปความขมขื่นตอบ
		กวีหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะหอบหิ้วต้นฉบับเดินดุ่ม ๆ พาสหายทั้งสองเดินทางเพื่อค้นหาความฝันต่อไปตามเมืองใหญ่

		ณ ที่ในห้องแอร์อันเย็นฉ่ำแห่งหนึ่ง ชายร่างใหญ่ผู้เป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์สูงศักดิ์มองดูสารรูปการแต่งกายของกวีหนุ่มด้วยความเหยียดหยาม
		คุณเคยได้รับรางวัลจากที่ไหนมาบ้างรึเปล่า คุณเคยมีผลงานได้รับการตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ มาบ้างไหม?
		ไม่เคยเลยครับ ผมเพิ่งเอาบทกวีมาหาที่ตีพิมพ์ที่นี่เป็นครั้งแรก
		งั้นคุณก็ออกจากห้องนี้ไปได้เลย สำนักพิมพ์ของเราไม่รับบทกวีโนเนมอย่างนี้เป็นอันขาด มันเสียสถาบันของผมหมดบก.ผู้นั้นผลักต้นฉบับของกวีหนุ่มกลับคืนมาโดยไม่ชายตาแลเลยแม้แต่สักเพียงนิดเดียว
		นี่คุณจะไม่อ่านกวีผมสักนิดหนึ่งเลยหรือ?  งานของผมจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษรามาสู่สำนักพิมพ์คุณเชียวนะ
		บอกว่าไม่รับก็ไม่รับสิ ไว้คุณไปได้รางวัลอะไรจากที่ไหนมาสักอย่าง หรือเคยมีชื่อตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ จากที่ไหนมาสักที่ ค่อยเอาผลงานมาเสนอผมอีกครั้ง ตอนนี้พวกคุณออกจากห้องผมไปได้แล้วพูดจบก็เอ่ยปากขับไล่คนทั้งหมดอย่างไม่ใยดี กวีหนุ่มและสหายทั้งสองจึงต้องเดินหน้าเศร้าออกจากที่แห่งนั้นไป
		
		จากนั้นทั้งสามคนก็เดินมาถึงสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่มีป้ายอันใหญ่โตว่าสำนักพิมพ์กระซู่พับลิชชิ่ง หัวหน้ากอง บก.ใส่เสื้อสีฉูดฉาดกำลังนั่งตะไบเล็บอยู่
		ต๊าย บทกวีหลงยุคมาจากที่ไหนกันนี่ยะ เดี๋ยวนี้เค้าอินเทรนด์กันแล้วทั้งนั้นบก.โยนต้นฉบับลงบนโต๊ะด้วยท่าทางขยะแขยง
		นี่ ๆ มันต้องเป็นบทกลอนรักเบาสมอง ลีลาหวานฉ่ำอย่างนี้ เขียนได้ไหม พ่อไดโนเสาร์เต่าล้านปี...เอ้ย...พูดจบก็โยนหนังสือบทกลอนฉบับวิบัติฉันทลักษณ์ไทยที่เขียนด้วยลายเส้นการ์ตูนตาหวานมาให้ดูเป็นตัวอย่าง
นี่คุณจะไม่พิจารณาบทกวีของผมสักนิดหนึ่งเลยหรือครับ งานของผมจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษรามาสู่สำนักพิมพ์คุณเชียวนะ
บอกว่าไม่เอาก็ไม่เอาสิยะ ออกจากห้องชั้นไปทั้งหมดเดี๋ยวนี้ เก็ทเอ๊าท์ ๆ แล้วไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะยะเสียงตวาดแว้ดดังแปดหลอด พาเอากวีหนุ่มและสหายกระเจิงออกจากห้องนั้นแทบไม่ทัน
พวกเราจะไปที่ไหนต่อกันอีกดีหนอ?กวีหนุ่มบ่นกับสหายทั้งสองที่เดินตามอยู่ด้วยความเศร้าสร้อย

และในเย็นย่ำของวันนั้นเอง กวีหนุ่มและสหายก็พาเดินทางมาถึงสำนักพิมพ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่มีชื่อกะทัดรัดติดไว้ที่หน้าสำนักพิมพ์ว่าสำนักพิมพ์แบ่งฟาก
แม้จะมีคนไม่เยอะนักแต่บรรยากาศในการทำงานก็เป็นไปด้วยความคร่ำเคร่งและจริงจัง ชายหนุ่มผู้เป็น บก.เดินมาทักชายผู้เป็นกวีอย่างมีอัธยาศัย
อื้ม....ช่างเป็นงานเขียนบทกวีที่ดีมาก ๆ เลยนะ  ทั้งแง่คิดและมุมมองแหลมคมเฉียบลึกแต่แสดงออกมาด้วยความละมุนละไม...บก.กล่าวชม ทำเอากวีหนุ่มยิ้มแป้น
อ้อ ผมลืมถามอะไรคุณไปอย่างหนึ่ง...ไม่ทราบว่าคุณมีแง่คิดทางการเมืองฝ่ายไหนครับเนี่ย?บก.ถาม
เอ๊ะ กวีต้องมีแนวคิดทางการเมืองด้วยเหรอครับ?
หา...คุณไม่มีแนวคิดทางการเมืองหรือนี่? ไม่ได้นะครับ สำนักพิมพ์เรารับแต่คนนิยมพรรคการเมืองสีเขียวเท่านั้น
แต่ว่าบทกวีของผมเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราที่ไม่เลือกฟากเลือกฝ่ายการเมืองนะครับกวีหนุ่มตัดพ้อ
คุณนำผลงานคุณกลับไปเถอะครับ ที่นี่รับแต่คนที่นิยมแนวคิดทางการเมืองพรรคสีเขียวเท่านั้น...

.........................................................................................................................

ดวงตะวันสีแดงเข้มใกล้จะลาลับจากเมืองใหญ่ไปแล้ว กวีหนุ่มพาร่างกายและจิตใจอันเหนื่อยล้าของตนกลับสู่ที่พัก มีความเหงาและความขมขื่นคอยประคับประคองเพื่อนแท้เอาไว้ไม่ไกลห่าง
ขณะที่กวีหนุ่มกำลังเอามือล้วงไปในกระเป๋าที่เปล่าโล่งอยู่นั้นเอง ชายหนุ่มผู้มีร่างกายอันผอมซีดอีกผู้หนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้า
ท่านเป็นชายผู้เขียนบทกวีใช่ไหมครับ?
ใช่แล้ว ทำไมรึ?
		ผมชื่อ ความหิว จะมาขอเป็นเพื่อนแท้ของคุณครับ!				
11 เมษายน 2552 21:37 น.

ดินก้อนนี้มีสีอะไร?

กระบี่ใบไม้

.         วันนี้คือวันที่ 6 เมษายน เป็นวันหยุดคล้ายวันขึ้นครองราชของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระปฐมกษัตริย์จักรีวงศ์แห่งราชอาณาจักรไทย
          ข้าพเจ้าพาร่างกายและจิตใจที่อ่อนล้าจากการทำงานกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว 
          ยามเช้า ณ ท้องทุ่งนาที่แห้งแล้งและกว้างใหญ่แห่งนี้ ข้าพเจ้าถือโอกาสออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์และรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเลี้ยงวัวตัวน้อยๆ เที่ยววิ่งเล่นไปทั่วตามท้องทุ่ง
          อรุณรุ่งอันอบอุ่นระคนอ่อนโยนยังคงคลี่ห่มรัศมีไปยังท้องทุ่งนา ละลายสายหมอกยามเช้าให้สิ้นสูญไปพร้อมรับวันใหม่ที่ยังคงหอมกรุ่นสดชื่น
          หวัดดีครับลุง สบายดีมั้ยครับ ยังจำผมได้รึเปล่า?
          ข้าพเจ้าร้องทักชายสูงอายุคนหนึ่งที่เคยคุ้นหน้า แกคงนั่งเลี้ยงวัวอยู่ที่กระท่อมหลังโย้เย้ที่กลางทุ่งนา ข้าพเจ้ามองเลยไปยังวัวพันธ์ไทยตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ ที่กำลังเล็มหญ้าอยู่สามสี่ตัว
          ข้าพเจ้าจำได้ว่าแกชื่อลุงหยัด มีบ้านอยู่แถวคุ้มร้อยเอ็ดนี้เอง
          ยังเลี้ยงวัวอยู่เหรอครับลุง?ข้าพเจ้าถือวิสาสะนั่งลงคุยข้างๆแก ชายผู้สูงอายุกว่าขยับตัวและยิ้มให้อย่างมีอัธยาศัย
          อ้าว....มึงลูกใครล่ะเนี่ย.....คุ้น ๆ หน้าอยู่
          ผมชื่อ........ ลูกแม่.............ที่อยู่บ้านสวนนี่ไง เมื่อก่อนนี้ผมมาเลี้ยงวัวอยู่ยังเคยเจอลุงอยู่เลย ลุงจำผมไม่ได้เหรอ?
          อ้าว....บัก..........เองเหรอ เอ้า มามานั่งก่อน แม้ ไม่เจอมึงนานเลย ไปทำอะไรที่ไหนมาเนี่ย....ทำงานทำการอะไรวะลุงหยัดรับไหว้ข้าพเจ้า พร้อมทักทายอย่างดีใจ
          อ๋อ.....ผมเรียนจบทำงานแล้วครับ อยู่บริษัท..........นี่เอง แล้วลุงละครับ สบายดีมั้ยครับ?
          ก็เรื่อยๆ ว่ะ ไอ้หนูเอ้ย...แกพูดจบก็พ่นควันยาสูบที่มวนด้วยใบจากออกมาเป็นสีเทาขโมง
          ตอนนี้วัวราคาดีมั้ยครับลุง?ข้าพเจ้าชวนคุยไปเรื่อย
          โอ้ยยย มันจะดีอะไรล่ะ ขนาดตัวแม่(ตัวเมีย)ยังแค่ตัวละสามสี่พันบาทเอง วัวน่ะมันถูกนักลูกเอ้ย...
          ฮ้า...ตัวนึงราคาแค่นี้เองเหรอครับ ผมเห็นเนื้อวัวในแผงที่ตลาดโลนึงก็ตกร้อยกว่าแล้ว...
          ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ...ลุงเป็นคนเลี้ยงเอง ยังไม่ค่อยได้มีโอกาสซื้อเนื้อวัวกินซักเท่าไหร่เลย
          เออ ลุง นุ กับ ยุทธ ลูกลุงยังอยู่มั้ยครับข้าพเจ้าถือโอกาสถามคร่าวคราวเพื่อนเก่า ที่เคยวิ่งเล่นเป็นเด็กเลี้ยงวัวด้วยกัน
          อ้ายนุมันหายไปเป็นปีแล้วล่ะลุงหยัดพูดพร้อมกับแววตาที่เศร้าสลดลง 
          เค้าพามันไปประท้วงอะไรกับกลุ่มเสื้อแดงเสื้อเหลืองก็ไม่รู้ ตอนแรกเห็นว่าเค้าให้วันละห้าร้อยบาทนี่แหละ นี่ก็ปีกว่าแล้วมันยังไม่กลับมาเลย กูก็ไม่รู้ว่ามันเป็นตายร้ายดียังไง
          อ้าว มันไม่เคยติดต่อมาเลยเหรอครับข้าพเจ้าร้องถามอย่างงง ๆ
          ฮื้อ ส่วน อ้ายยุทธมันก็อยู่บ้านเรานี่แหละ นี่ก็ตีกันบ้านแตก อ้ายผัวก็ข้างสีแดง อีเมียก็ข้างสีเหลือง เฮ้อ เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ ไอ้พวกที่กรุงเทพฯตีกัน ไม่ว่าฝ่ายไหนแพ้ชนะกูก็เห็นที่บ้านเรายากจนอยู่เหมือนเก่า.....
                                
          ตอนนี้เป็นยามสายมากแล้ว ข้าพเจ้าเดินผ่านท้องนาที่ยังคงแห้งผากกลับบ้านอย่างช้า ๆ  แสงแดดยามสายสะท้อนรอยแตกของผืนแผ่นดินที่กลางท้องนาให้เห็นอย่างชัดเจน ข้าพเจ้ามองรอยแยกที่เห็นอยู่นั้นคล้ายกับว่า มันได้ระบาดขึ้นมาแล้วอยู่บนหัวใจคน
          วันนี้คือวันที่ 6 เมษายน เป็นวันหยุดคล้ายวันขึ้นครองราชของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระปฐมกษัตริย์จักรีวงศ์แห่งราชอาณาจักรไทย 
แต่หัวใจที่ล่องลอยของข้าพเจ้ากลับกำลังคิดไปว่า แผ่นดินที่ข้าพเจ้ากำลังเดินอยู่นี้ ใช่ผืนแผ่นดินเดียวกันกับที่บรรบุรุษของเราได้เสียเลือดเสียเนื้อแลกมันมาหรือไม่?
          สายลมร้อนพัดผ่านมาวูบหนึ่งพร้อมดอกหญ้าและเศษถุงพลาสติกที่ปลิวว่อน
          ข้าพเจ้าก้มลงหยิบแผ่นดินที่ยังคงแตกระแหงขึ้นมาแผ่นหนึ่ง พร้อมกับพยายามพินิจดูให้รู้ชัดว่า....
          ...แผ่นดินที่กำลังถืออยู่ในมือนี้ แท้ที่จริงแล้ว มันคือสีอะไรกันแน่?......
 
ที่ระลึกคล้ายวันจักรี
วันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2552
เขียนที่ บ้านเหล่าอ้อย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระบี่ใบไม้
Lovings  กระบี่ใบไม้ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระบี่ใบไม้
Lovings  กระบี่ใบไม้ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระบี่ใบไม้
Lovings  กระบี่ใบไม้ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกระบี่ใบไม้