30 พฤษภาคม 2552 16:51 น.

ทัณฑ์ใจ

กฤตศิลป์ ชินบุตร

กลิ่นควันธูปลอยอ้อยอิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่รูปร่างประหลาด ไทรต้นนี้มีใบเรียวยาวคล้ายเส้นผมของสตรี กิ่งสาขายื่นยาวออกมาดุจแขนและมือ ลำต้นเองก็มีรอยขีดเป็นแนวยาวเหมือนขามนุษย์ เมื่อใครพบพานจำนึกเป็นอื่นมิได้เลย นอกจากกำลังประจันหน้ากับยักษ์หรือภูตผี หากเป็นกลางดึกมีสายลมหวีดหวิวพัดผ่านให้ขนลุกซู่ คงวิ่งหนีจนป่าราบแน่นอน นอกจากความประหลาดตามธรรมชาติแล้วบริเวณแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยความประหลาดสุดพรรณนาจากน้ำมือมนุษย์ ทั้งผ้าเจ็ดสีหลายร้อยผืนกลืนเกลียวเป็นผ้าผืนหนาๆโอบมัดโคนต้น มีชุดผ้าไหมผ้าแพรวางซ้อนกันราวกับวางขายในตลาดสด เช่นเดียวกับผลสูกลูกไม้อาหารหวานคาวกองพะเนินเทินทึกทั่วบริเวณ 

	             เจ้าแม่ไทรทองเจ้าค่ะ ดิฉันมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจมากเหลือเกิน คือสามีดิฉันไม่ยอมกลับบ้านเป็นอาทิตย์แล้วเจ้าค่ะ ดิฉันอยากให้เจ้าแม่ช่วยดลใจให้เขากลับมา ถ้าเขากลับมาดิฉันจะยอมเขาทุกอย่าง จะไม่จู่จี้ขี้บ่น จะเลิกเล่นการพนัน ดิฉันจะดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ ถ้าเขากลับมาในวันพรุ่งนี้ ดิฉันจะถวายชุดไหม ผ้าเจ็ดสีและอาหารหวานคาวเจ้าค่ะ 

                                 หญิงวัยกลางคนพินอบพิเทาต่อต้นไทรเบื้องหน้าหรือที่ผู้คนขนานนามว่าเจ้าแม่ไทรทอง ซึ่งมีสรรพคุณครบครัน ทั้งเรียกผัวตามเมีย หาคู่ดวงสมพงศ์ ขอทายาทสืบสกุล บนบานศาลกล่าว และที่ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องหวยเรื่องเบอร์ ทุกคนที่เคยเวียนวนมาล้วนการันตีปากต่อปากถึงความศักดิ์สิทธิ์ ระยะหลังจึงมีคนเรียกต้นไทรต้นนี้ว่า ต้นสารพัดนึก หรือ เจ้าแม่สารพัดนึกตามความเชื่อเรื่องไตรภูมิ

                               วันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาเพื่อกราบไหว้วิงวอนต่อต้นไทรด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย แล้วจากไปด้วยแววตาแห่งความหวังที่กำลังก่อรูปร่างอีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องพิสดารเอาการทีเดียวสำหรับโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่สรวมครอบตรรกะโลกานุวัตรไว้ มีเทคโนโลยีสมัยใหม่กำเนิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในทุกด้าน จนมีผู้คนมากมายอหังการว่าตนอยู่ได้โดยปราศจากธรรมชาติ แต่จำนวนคนอีกมากยังเชื่อเรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติ ปราศจากตรรกะใดๆ ไม่มีเจ้านักคิดทฤษฎีอธิบายรองรับ หลายคนอาจมองว่าเป็นความเหลือมล้ำทางการศึกษา เป็นความแตกต่างระหว่างปัญญาชนกับคนด้อยการศึกษา หรือเป็นความกดขี่บีฑาจากประเทศมหาอำนาจที่หลงคิดว่าตนเองครอบงำโลกด้วยการแหกตาทาสประเทศ แต่ท้ายที่สุดแล้วปุถุชนบนพื้นพิภพย่อมมีจุดอ่อนเหมือนๆกัน นั้นคือจิตใจ ต่อให้ยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง ร่ำรวย มีอำนาจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลานุภาพแห่งจิตใจได้เลย หากเปรียบเทียบจิตใจเหมือนสิ่งก่อสร้างได้ฉันใด ไม่ว่าตึกสูงใหญ่ไพศาลตระการตา หรือแค่กระท่อมหัวไร่ปลายนาก็ตั้งอยู่บนผืนโลกเดียวกัน เกิดแผ่นดินไหวใหญ่น้อยก็สะเทือนสะท้านเท่าถึงกันฉันนั้น

                                        ชายหนุ่มภูมิฐานหน้าตาหล่อเหลาปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชน มือของเขาเผยรูปเส้นเอ็นบางๆ ขณะกำธูปไว้แน่น สายตาหม่อมองไปยังสามีภรรยาคู่หนึ่งที่กำลังไหว้วอนขอประทานลูกจากเจ้าแม่ไทรทอง ขณะที่จิตใจเขาว้าวุ่นครุ่นคิดว่าทำไมเขาต้องมาที่แห่งนี้

                                        ขอให้ลูกรักกันมากๆ ทะนุถนอมน้ำใจกันดีๆ และมีหลานให้แม่อุ้มเร็วๆ เสียงคุณนายสมรศรี เศรษฐีนีแดนอีสานกังวานในโสตของจักรภพ ในวันแต่งงานเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด ใครเล่าจะเชื่อว่าลูกชายชาวนาอย่างเขาจะคว้าดอกฟ้านามวิลาวัลย์มาเชยชมได้ ทั้งคู่รู้จักกันสมัยเรียนปริญญาตรีในฐานะเพื่อน อันที่จริงจักรภพก็แอบชอบวิลาวัลย์ตั้งแต่แรกเห็น และเคยคิดที่จะบอกความในใจให้เธอรู้หลายครั้ง แต่ด้วยความใกล้ชิดที่วิลาวัลย์มอบให้บริสุทธิ์เกินกว่าที่เขาจะคิดเป็นอื่น อีกทั้งฐานะทางบ้านแตกต่างกัน เขาจึงอหังการที่จะรักเธอเพียงฝ่ายเดียว ขอมีความสุขยามชิดใกล้ในฐานะเพื่อนที่แสนดี เป็นที่ปรึกษาหัวใจยามเธอมีปัญหาด้วยปรารถนาดี แม้นบางทีอาจรู้สึกขื่นขมระทมใจก็ตาม สี่ปีผ่านพ้นไปด้วยรสชาติของชีวิต ทั้งสุขทุกข์ หัวเราะร้องไห้ สมหวังผิดหวัง มีอดมีอิ่ม  วันหนึ่งวิลาวัลย์นัดเขาไปทานข้าว เธอดูเศร้าผิดสังเกต เมื่อซักถามจึงได้ความว่าเธอตั้งท้องอ่อนๆ และพ่อของเด็กก็ไม่รับผิดชอบ ซ้ำร้ายยังบอกให้เธอไปเอาเด็กออก เธอไม่อยากทำเพราะยังไงเขาก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาเข้าใจเธอดีว่าเจ็บปวดแค่ไหน และ
ก็พร้อมที่จะช่วยเธอแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มใจ

                                  สามีภรรยาคู่นั้นเดินจากไปอย่างนอบน้อม จักรภพขยับไปข้างหน้า ระหว่างเขาและต้นไทรมีคณะรำที่กำลังกรีดกรายอ่อนช้อยขั้นกลางเท่านั้น

                                  วันปัจฉิมหรือวันสุดท้ายในฐานะนักศึกษาปริญญาตรี จักรภพควงวิลาวัลย์อย่างออกหน้าออกตา ทำเอาเพื่อนๆงงเป็นไก่ตาแตกทีเดียว ใครเล่าจะคาดคิดว่าจู่ๆเส้นขนานอย่างพวกเขาก็ตีโค้งหักฉอกมาบรรจบกันได้ บางคนหลงเข้าใจว่าพวกเขาเล่นละครเพื่อสร้างสีสันตั้งนานสองนาน จนกระทั่งมีรายการแจกการ์ดนั่นแหล่ะถึงออกอาการงวยงง

                                คุณครับ ๆ คนข้างหลังเขารอนานแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะที่จะให้คุณมานั่งเหม่อลอยนะครับ ถ้าไม่กินก็อย่างทำเป็นหมาหวงก้างเลย ชายวัยกลางคนที่นั่งด้านหลังปลุกจักรภพจากคำนึงด้วยน้ำเสียงตำหนิ 
                             ขอโทษครับ ผมไม่ได้นอนทั้งคืน เลยเผลองีบไป เขาตอบแก้เกี้ยว 
                             งั้นก็รีบๆตื่นเสียสิ ชายคนดังกล่าวต่อว่า
                             ครับ เขาตอบโดยไม่หันไปมอง

                               เบื้องหน้าจักรภพคือ ต้นไทรประหลาด เขาได้ยินเพื่อนที่ทำงานเล่าว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ใครขออะไรได้หมด ตอนแรกเขานึกขันว่างมงาย แต่พอเพื่อนคนนั้นถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง เขาจึงเริ่มไขว่เข และคุณนายสมรศรีก็เร่งเร้ากับเขามาหลายครั้ง เขาจึงต้องมานั่งที่นี้ในเวลานี้

                                  จักรภพจ้องมองไปยังต้นไทร บนหน้าอกเขามีธูปที่กำลังเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านและอายควัน เขาตั้งสมาธิเท่าที่จะรวบราวกลับมาได้ และเริ่มตั้งสัจจาอธิฐานอ้อนวอนเจ้าแม่สารพัดนึก โดยไม่คาดหวังผลมากนัก ที่เขามาวันนี้ก็เพื่อตอบตัวเองว่า อย่างน้อยเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ต่อแต่นี้ย่อมแล้วแต่บุญกรรมที่กระทำมา เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่อาศัยโชคดีอย่างเดียว เขาลดมือลงหลังจากอธิฐานอ้อนวอนเสร็จ พลันรู้สึกว่ามีลมเย็นปะทะร่างเขา เขารีบหันกลับไปดูข้างหลัง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบไม้สงบนิ่ง ฝูงชนยังพัดวีคลายร้อนตามร่มไม้ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าแม่ไทรทองต้องการจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้เขาประจักษ์ หรือเจ้าแม่ลงโทษที่เขาไม่เชื่อในตัวเจ้าแม่ หรือเขาแค่คิดไปเอง แต่กระนั้นก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยรู้สึกว่าโลกที่เขาแบกไว้ได้มลายไปกับสายลมเมื่อครู่ ความหวังเหมือนดังหวังเริ่มวกกลับมาสู่จุดสูงสุดเมื่อครั้งเขากลับวิลาวัลย์ปลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

                                 เป็นครั้งแรกของจักรภพที่ได้อยู่สองต่อสองกับวิลาวัลย์อย่างใกล้ชิด เขารู้สึกเคอะเขินอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่จริงเขากับเธอก็เคยอยู่สองต่อสองหลายหน เคยโอบกอดปลอบประโลม แต่นั้นเป็นหน้าที่ของเพื่อนที่สงสารเพื่อน ยามเพื่อนทุกข์เราสุขใจหาใช่เพื่อน ยามเพื่อนติเตียนเราโกรธโทษคือเรา ยามเพื่อนสุขเราทุกข์คือความขลาดเขลา ยามเพื่อนโกรธเราโกรธตอบชอบคือเพื่อน เมื่อฐานะความเป็นเพื่อนเลื่อนสัมพันธ์เป็นคำว่าแฟน ก็ยากที่จะอรรถาธิบายต่อประชาชีว่าตลอดระยะเวลาสี่ปีที่เขาเฝ้าทำดีต่อเธอ หาได้มีเจตนาบริสุทธิ์ เป็นเพียงมายาภาพที่เขาสร้างขึ้นเพื่อใกล้ชิดเธอเท่านั้น
                                     อย่าคิดมากเลย ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แค่เราเข้าใจกันก็พอแล้ว วิลาวัลย์ปลอบจักรภพ
	                  คนอื่นนั้นผมไม่ใส่ใจหรอกนะ ลิ้นไม่มีกระดูกจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ที่ผมกังวลมากที่สุดคือคุณจักรภพตอบตามซื่อ
	                ถ้าคุณรังเกียจฉัน ทำไมต้องฝืนใจทำตัวเป็นสุภาพบุรุษด้วยวิลาวัลย์ตอบแล้วเบือนหน้าหนี มองไปยังผ้าม่านที่กำลังโบกพลิ้วริมหน้าต่าง
	                  คุณกำลังเข้าใจผมผิดนะ ผมไม่เคยคิดรังเกียจคุณเลยสักนิด แต่ที่ผมกังวลใจนั้น เพราะกลัวคุณจะรังเกียจผมต่างหากจักรภพเอนหลังพิงหัวเตียง
	                   ผมรู้ว่าหัวใจคุณบอบช้ำมากแค่ไหนจากคนที่คุณรัก และผมเป็นเพื่อนที่คุณไว้วางใจมากที่สุด กลับกำลังตอบแทนน้ำใจด้วยการกระทำย่ำยีจิตใจคุณซ้ำอีก แล้วผมจะยังหาญกล้ามองหน้าคุณอีกต่อไปได้อย่างไร แล้วผมจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้คุณเข้าใจได้อย่างไร 
	                     คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยมีมาวิลาวัลย์ละสายตาจากหน้าต่างกลับมาจ้องมองใบหน้าชายที่ได้ชื่อว่าสามีถูกต้องตามกฎหมายและจารีตประเพณี
	                     ฉันต่างหากที่เห็นแก่ตัว เอาความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง รู้ทั้งรู้ว่าคุณรู้สึกกับฉันยังไง ยังเฝ้าเอาเรื่องต่างๆมาย่ำยีบีฑาหัวใจคุณ แรกๆฉันหวังจะให้คุณหวงฉันบ้าง ห้ามปรามฉันบ้าง แต่คุณกลับไม่แสดงอาการใดๆออกมาให้ฉันมั่นใจเลยว่าคุณรักฉัน ไม่มีแม้นเสียงกระซิบ จนฉันเข้าใจไปว่าฉันคิดผิด คุณไม่เคยรักฉันเลย หรือไม่ก็รักแบบพี่ชายที่ปรารถนาต่อน้องสาวด้วยบริสุทธิ์ใจเท่านั้น ฉันพยายามตีห่างออกจากเธอหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่พยายามกลับรู้สึกว่าจิตใจฉันนั้นศัลย์โศกมากแค่ไหน จึงต้องกุเรื่องสารพัดสาระเพมาอ้างเพื่อให้ได้ใกล้ชิด
	                   คุณพยายามปลอบผมใช่ไหมจักรภพไม่อยากเชื่อว่าที่วิลาวัลย์พูดมาจะเป็นเรื่องจริง
	                    เปล่า ทุกถ้อยคำที่ฉันพูดล้วนเป็นสัตย์จริง
	                     ทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ หลังจากที่คุณรู้ว่าผมรักคุณ
	                  ฉันขลาดเกินไป ฉันกลัวว่าหากเราคบกันเป็นแฟน ไม่คุณก็ฉันที่อาจเปลี่ยนไป สู้เก็บความรู้สึกดีๆ เป็นมิตรภาพให้ทรงจำ แม้นจะจากกันนานเพียงไร แต่ใจเรายังมิเคยพรากจากกันสักวินาทีเดียววิลาวัลย์ตอบเสียงเศร้าสร้อย
	                 ผมเข้าใจคุณแล้ว ไม่ต้องเล่าต่อก็ได้จักรภพสัมผัสหลังมือหญิงสาวแผ่วเบา 
	                 ไม่ได้ คุณมีสิทธิ์ที่จะรู้ทุกเรื่องของฉัน ก่อนที่จะตัดสินใจเดินข้ามสะพานต่อไปหรือจะย้อนกลับวิลาวัลย์อธิบายต่อพร้อมกับขยับมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม
	                   หลังจากที่ฉันตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะห้ามปรามตัวฉันมิให้เผลอใจไปกับคุณ ฉันจึงคบกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เพื่อหวังที่จะลืมคุณ ก็อย่างที่รู้ความรักที่ฉันเจอนั้นเรียกว่าขมขื่นเสียยิ่งกว่ายาต้มหม้อใหญ่ มันจึงไม่ง่ายเลยที่ฉันจะลืมคุณได้ จนกระทั่งเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตบังเกิดขึ้น พรหมจรรย์ที่ฉันรักษาไว้ถูกพรากไป แรกทีเดียวฉันเข้าใจว่ารุ่นน้องคนนั้นจะรักฉันมากขึ้น แต่เปล่าเลยเขาก็เหมือนผู้ชายเลวๆคนหนึ่งนี่เอง พอได้ในสิ่งที่ต้องการก็จากไปโดยไม่เคยเหลียวกลับมามองเศษซากมาลีที่เขาขยี้ลง
	               พอเถอะ ผมไม่อยากฟังอะไรอีกแล้วจักรภพห้าม
	                 อดีตของคุณหรืออดีตของผม ก็เป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรมันได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะมารื้อฟื้นมันขึ้นมา ผมขอบอกคุณจากใจจริงเลยว่า ผมไม่เคยเสียใจแม้นแต่วินาทีเดียวที่รู้จักกับคุณ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ดูแลคุณให้มากกว่านี้ จักรภพโอบกอดวิลาวัลย์อย่างทะนุถนอม ทั้งคู่ได้ยินเสียงหัวใจสองดวงเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
	                    เราจะหายใจพร้อมกัน ยืนหยัดต่อสู้ด้วยกัน สร้างฐานะด้วยกัน และจะปกป้องกันและกัน สองชีวิตบนเส้นขนาน ผสานเป็นเส้นชีวิตเพื่อดำเนินต่อไป 

	                        สถานีบริการขนส่งยามเย็นดูวุ่นวายด้วยผู้คน บางคนกลับถึงบ้าน บางคนกำลังจากไป และอีกหลายคนก็กำลังหารถราเพื่อเดินทางต่อ จักรภพนั่งบนม้านั่งอย่างสงบ เอนหลังพิงพนัก และเฝ้ามองชีวิตที่เป็นจริง เขาเห็นความรักของชายหญิงคู่หนึ่ง ทั้งสองเกาะกุมมือกันและกันไว้แน่น ดุจเกรงว่าการจากครั้งนี้จะพรากกันชั่วนิรันดร์ เวลาเพียงเสี้ยววินาทีมีค่าที่จะส่งทอดความรู้สึกมากมาย ก่อนปลายมือจะหลุดพ้นจากกัน เขาไม่รู้หรอกว่าชายหญิงคู่นั้นเป็นใคร แต่ก็เข้าใจหัวอกการพลัดพรากดี เขารู้ว่าการห่างจากคนที่เรารักเจ็บปวด แต่ที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกไหม เมื่อไหร่ ในสภาพยังไง หรือแม้แต่ในสถานภาพใด รถปรับอากาศพาชายผู้นั้นออกจากสถานี ความมืดกลืนสตรีผู้นั้นเลือนหาย จักรภพยังคงนั่งรอรถต่อไป

	                      โทษทีครับ คุณจะเข้ากรุงเทพใช่ไหมครับจู่ๆชายแปลกหน้าเข้ามาทัก เขาไม่ยากสนทนาด้วยเลย เพราะช่วงนี้มิจฉาชีพมีทุกรูปแบบ ทุกเพศวัย ซึ่งเป็นปัญหาสังคมอันดับต้นๆไม่แพ้ปัญหาการล่มสลายของสถาบันครอบครัว ลำพังจะโทษพวกเขาก็ไม่ถูกนัก เพราะไม่มีใครอยากเกิดมาเป็นคนเลวหรอก ลองนึกย้อนดูสิ สมัยเด็กๆทุกคนมีความฝันกันทั้งนั้น ฉันฝันอยากเป็นครู หนูอยากเป็นหมอ อยากเป็นเหมือนพ่อ อยากเรียนต่อสูงๆ อยากให้มีเพื่อนฝูงนับถือ อยากมีชื่อเสียงโด่งดัง และสาระพันร้อยแปด แต่พอโตขึ้นน้อยนักที่จะมีใครตามฝันมาสรรค์สร้างต่อ หลายคนท้อถอยปล่อยวางชีวิตตามยถากรรม มีกระแสสังคมกำหนดวิถีชีวิต ดุจสำเภาเคว้งคว้างกลางมหาชล แต่จะโทษสังคมทั้งหมดก็ใช่ถูกต้องนัก เพราะแม้นฝาแฝดคลานตามกันมายังมีนิสัยแตกต่างกัน คนในสังคมจึงย่อมมีดีชั่วเป็นธรรมดา 
	               ครับจักรภพตอบเสียงเรียบ
	               ผมก็เหมือนกัน แต่ยังติดต่อญาติที่จะมารับไม่ได้เลยชายแปลกหน้าลดน้ำเสียงลง
	                ทำไมล่ะ
	                แบตโทรศัพท์หมดชายคนนั้นชูโทรศัพท์ยี่ห้อดัง ราคาแพงให้เขาดู
	                จักรภพเข้าใจแล้วว่าชายคนนั้นมีเป้าประสงค์ใด จึงยื่นโทรศัพท์เขาให้ ซึ่งเป็นรุ่นที่ด้อยกว่าของชายคนนั้น 
	              เกรงใจคุณจริงๆครับ
	              ไม่เป็นไร คนเดินทางด้วยกัน ขาดเหลือก็ช่วยกันไป ไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอก
	              ขอบคุณมากครับ
                                    ชายคนนั้นรับโทรศัพท์จากเขาไปจึงกดหมายเลข แล้วยกโทรศัพท์แนบหู เหมือนไม่มีสัญญาณตอบรับ เขาจึงทำซ้ำๆหลายรอบ แต่ทุกครั้งผลก็เหมือนเดิม 
                              ใช้ไม่ได้เหรอครับจักรภพอดถามไม่ได้
                               ครับ เหมือนไม่มีสัญญาณเลยชายคนนั้นยื่นโทรศัพท์ให้เขาดู
                              จริงด้วย แปลกจริงๆ เมื่อกี้ผมยังใช้อยู่เลยเขาคิดในใจว่า กลับไปคราวนี้จะต้องชื้อเครื่องใหม่เสียแล้ว
                              ผมเดินออกไปนอกอาคารได้ไหม เผื่อจะมีสัญญาณบ้าง
                             ได้ครับเขาอนุญาตเพราะโทรศัพท์เก่าๆของเขาคงไม่เป็นที่หมายปองของชายที่แต่งตัวภูมิฐาน และมีโทรศัพท์รุ่นดังๆอย่างชายแปลกหน้าคนนี้

                               จักรภพสังเกตชายคนนั้น เขากำลังคุยกับคู่สายสนทนาอยู่ริมถนน แสดงว่าโทรศัพท์มีสัญญาณแล้ว ครู่ใหญ่เหมือนชายคนนั้นเห็นว่าเขามองดู จึงส่งยิ้มมาให้ เขากำลังจะยิ้มตอบ พอดีรถประจำทางคันใหญ่เคลื่อนตัวช้าๆผ่านตรงหน้า พอรถผ่านไปก็ไม่เห็นชายคนนั้นเสียแล้ว เขารออยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่มีวี่แวว จึงรู้ตัวว่าโดนหลอกเสียแล้ว

                             หนึ่งเดือนหลังจากแต่งงาน ชีวิตของจักรภพและวิลาวัลย์มีความสุขดี เขาและเธอทำหน้าที่ฉันสามีภรรยาที่พึงกระทำต่อกัน จะมีบ้างที่ฝ่ายชายทำตัวเสมือนอยู่เหนือฝ่ายหญิง นั้นเป็นเพราะความเคยชินสมัยเรียน เรื่องเด็กในท้องก็ไม่มีปัญหาอะไร คุณนายสมรศรีเชื่อสนิทใจว่าลูกในท้องวิลาวัลย์เป็นของจักรภพ เธอยังบอกอีกว่าท้ายปีให้มีข่าวดีเช่นนี้อีก เรื่องราวเหมือนจะราบรื่นดุจท้องทะเลที่ราบเรียบ ฉับพลันก็เกิดพายุให้ท้องทะเลปั่นป่วน วิลาวัลย์หน้ามืดหกล้มในห้องน้ำ โชคดีที่เธอไม่เป็นอะไร แต่โชคร้ายเมื่อลูกในท้องไม่อาจลืมตามาดูโลกที่พ่อกับแม่ของเขาสร้างไว้ให้ วิลาวัลย์เศร้าจับจิต จักรภพเองก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้นจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข แต่เขาก็รักเสมือนหนึ่งสายโลหิต คุณนายสมรศรีตั้งสติได้ก่อน จึงเตือนพวกเขาให้เดินต่อไป คิดเสียว่าลูกเขาทำบุญกับเรามาแค่นี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะอาลัยอาวรณ์กับเหตุการณ์ในอดีต เมื่ออนาคตเรายังสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้เกิดขึ้นมาได้ บาดแผลภายนอกใช้ยารักษาได้ แต่บาดแผลภายในต้องให้เวลาเยียวยาเท่านั้น

                                จักรภพเลือกชื้อขนมขบเคี้ยวที่ตนโปรดปรานหลายอย่างรวมถึงน้ำอัดลม พอเสร็จก็เดินออกมาจากร้านสะดวกชื้อ เพื่อกลับไปนั่นคอยรถต่อ เขาได้เห็นเด็กสองคนนั่งจับมือกันที่ม้านั่ง คนหนึ่งตัวโตผิวดำอายุน่าจะประมาณหกเจ็ดขวบ ส่วนอีกคนเป็นเด็กตัวเล็กๆผิวขาวน่ารัก อายุราวสามสี่ขวบ เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเด็กทั้งคู่จึงมานั่งอยู่ในสถานที่แบบนี้เพียงลำพัง ด้วยความเป็นห่วงเขาจึงปรี่เข้าไปหา
                           หนูชื่ออะไรครับเขาถามด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น
                           ผมชื่อแมน น้องผมชื่อไก่ครับเสียงเด็กตอบอย่างประหม่า
                           ทำไมมานั่งอยู่ที่นี่ในเวลาแบบนี้ล่ะ แล้วพ่อกับแม่ไปไหนเด็กนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม
                           แล้วบ้านอยู่ที่ไหน ใครจะมารับเขาถามต่อ
                            พ่อจะมารับ แม่ให้รอพ่อที่นี่ครับเด็กที่ชื่อแมนตอบ
                             ทำไมแม่ไม่รอเป็นเพื่อนล่ะ ปล่อยให้พวกเราอยู่อย่างนี้ได้ยังไง ไก่กลัวไหมเขาหันไปถามเด็กชายอีกคน เด็กชายไม่ตอบแต่พยักหน้า
                           ให้น้าอยู่เป็นเพื่อนไหมแม้นไม่มีคำตอบจักรภพก็นั่งลงข้างๆเด็กพร้อมกับยื่นขนมให้ ทีแรกพวกเขาปฏิเสธ คงเป็นคำสั่งของแม่
                           กินเถอะ น้าไม่ได้ใส่ยาพิษลงไปหรอก นี่น้าจะกินให้ดูว่าแล้วจักรภพก็แกะขนมกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่นานนักสามชีวิตก็รู้สึกผูกพัน ชายหนึ่งดุจพ่ออาทรลูก สองชีวิตน้อยๆเล่าอบอุ่นราวกับอยู่ในอ้อมกอดมารดายามรัตติกาลอันเหน็บหนาว เขาเผลอคิดไปว่าหากวิลาวัลย์ไม่แท้งลูก ป่านนี้อายุคงไล่เลี่ยกับแมนที่กำลังเล่นเกมกด หรือหากเขามีความสามารถอย่างชายทั่วไป ลูกของเขาคงตัวเท่าไก่ที่กำลังหนุนตักเขาหลับปุ๋ย เขาอยากให้เด็กทั้งสองคนนี้เป็นลูกของเขาจริงๆ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ 

                                ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด พ่อของเด็กก็เดินเข้ามา ดูจากลักษณะการแต่งตัวแล้ว อาชีพของเขาคงเป็นกรรมกรในเขตเมืองแห่งนี้ 
                           คุณเป็นพ่อของเด็กสองคนนี้ใช่ไหมจักรภพถาม
                            ใช่ครับ ผมต้องขอโทษจริงๆ และก็รู้สึกเกรงใจมากที่ต้องมาเสียเวลากับปัญหาครอบครัวของผมชายคนนั้นตอบเศร้าๆ 

                        เสียงเขาปลุกไก่ให้ตื่น พอเขาเห็นพ่อก็กระโดดเข้ากอดด้วยความคิดถึง 
                           พ่อมารับช้าจัง ผมรอตั้งนานผู้เป็นพี่ถามพ่อ
                          พ่อขอโทษลูก วันนี้พ่อทำโอทีถึงสองทุ่ม เสร็จแล้วเลยแวะชื้อกับข้าวของโปรดลูกไงเขายื่นถุงกับข้าวให้ลูกดู พร้อมอวดฟันขาวใต้หนวดดกดำ
เหมือนเขานึกได้ว่ายังมีอีกชีวิตอยู่ในโลกของเขาสามคน ผู้เป็นพ่อจึงนั่งลงม้านั่งตรงหน้า
                               คุณจะเข้ากรุงเทพฯเหรอ เที่ยวนี้สายประจำ กว่าจะถึงก็อีกสิบนาทีโน่นแหล่ะ เดี๋ยวผมกับลูกจะรอส่งคุณขึ้นรถ
                                ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณพาเด็กๆกลับเถอะพวกเขาคงหิวข้าวแย่แล้วจักรภพบ่ายเบี่ยงทั้งๆที่เขาเองก็อยากให้สามพ่อลุกอยู่เป็นเพื่อนเขา ไม่ใช่ด้วยเพราะกลัว แต่เพราะเขามีความสุขที่ได้ใกล้ชิดพวกเขา
                             ผมไม่หิว กินขนมอิ่มแล้ว ผมจะอยู่เป็นเพื่อนน้าแมนโพล้งขึ้น 
                              ผมก็จะอยู่ครับพ่อไก่เสริม

                                วันเวลาผ่านไป ความโศกเศร้าจากหายไป จักรภพและวิลาวัลย์ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เพื่อเป็นรากฐานให้ลูกที่จะเกิดขึ้นจากความรัก แต่รอแล้วรอเล่า ปีแล้วปีเล่า ก็ไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะมาเติมเต็มโลกใบนี้ให้สมบูรณ์สักที ลำพังเขาสองคนอาจไม่เดือดเนื้อร้อนใจนัก แต่คุณนายสมรศรีหาสารพัดวิธีมาช่วย ทั้งอาหารเสริม ยาบำรุงกำลัง แม้กระทั่งสั่งให้พวกเขาลาพักร้อนไปฮันนีมูนอีกรอบ วันดีคืนดีก็มีของศักดิ์สิทธิ์ มีเคล็ดวิชามาแนะนำ สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าทุกครั้ง คุณนายเคยพูดเปรยๆว่า ฉันชักหมดความอดทนกับพวกเธอแล้วนะ นี่ถ้าไม่เคยตั้งท้องมาก่อน ฉันรับประกันได้เลยว่า ใครคนใดต้องเป็นหมันแน่นอนแล้วคุณนายก็หัวเราะก่อนจากไป โดยหารู้ไม่ว่าตนเองได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ ถ้าเกิดวันดีคืนดีคุณนายเพี้ยนจัด จับพวกเขาไปตรวจ มีหวังความแตกแน่ 
                        ผมสงสัยจังว่าผมอาจผิดปกติจริงๆก็ได้จักรภพปรับทุกข์กับภรรยา
                        ไม่หรอก คุณออกจะแข็งแรง ฉันว่าเป็นฉันเองที่ผิดปกติ หลังจากแท้งลูกคราวนั้น ฉันก็รู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกเลยวิลาวัลย์แย้ง
                        เราไปหาหมอกันดีไหม จะได้รู้สาเหตุ และหาทางแก้ไขจักรภพเสนอ
                         ไม่ต้องหรอก แค่เรามีเราก็พอแล้ว อนาคตปล่อยให้เวรกรรมกำหนดก็แล้วกันวิลาวัลย์สรุปพรางซบใบหน้านวลผ่องกับแผ่นออกกำยำของผู้เป็นสามี

                           บรรยากาศบริเวณสถานีขนส่งเงียบผิดปกติทั้งที่ผู้คนก็ยังเดินกันไปมา อากาศก็ดูจะร้อนอบอ้าวเท่าทวี ทั้งที่อาทิตย์อัสดงไปนานแล้ว 
                           ขอโทษนะครับ คุณกับภรรยามีปัญหาอะไรหรือจักรภพเป็นห่วงเด็กทั้งสองคน
                      เรื่องมันยาวครับ เราทั้งคู่มีปัญหาระหองระแหงมานานแล้ว
                       ธรรมดาแหล่ะครับ ลิ้นกับฟัน อยู่ด้วยกันก็กระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ยังไงก็ต้องพึ่งพากันอยู่ดี ลิ้นทำหน้าที่แทนฟันไม่ได้ ขณะที่ฟันเองก็ไม่สามารถรับรสโภชน์ภุญช์อันเอมโอชจักรภพเอ่ยปรัชญาเพื่อให้ชายคนนั้นได้สติก่อนจะตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต
                        ที่คุณพูดมาก็ถูก ลิ้นกับฟันย่อมกระทบกระทั่งกัน แยกจากกันไม่ได้ แต่คุณไม่เคยสนใจความรู้สึกของลิ้นเลย ทุกครั้งที่กระทบกัน ฟันไม่เคยเจ็บ แต่ลิ้นนี่สิร้าวรวดปวดเจ็บจนน้ำตาซึม แล้วเวลาคุณร้อนใน ลิ้นเป็นแผล ฟันก็ยังทำหน้าที่โดยไม่ยี่หระว่าใครจะเป็นยังไง แต่พอฟันมีปัญหา กลับพาลให้ระบบต่างๆระบมไปด้วย แล้วอย่างนี้คุณยังจะให้ผมอดทนได้อย่างไรสิ้นคำพูดของชายคนนั้นแล้ว แต่จักรภพกับเหมือนกำลังเริ่มต้นที่จะคิด ชีวิตของเขาคงไม่ต่างจากลิ้นที่ต้องจำยอมให้ฟันกระทำย่ำยีเรื่อยไป และก็ไม่สามารถเรียกร้องใดใดได้เลย
                       แต่คุณก็อยู่มาได้ไม่ใช่หรือ
                       ผมจำเป็นต้องทนต่างหากชายคนนั้นตอบ  
                       แสดงว่าคุณไม่ได้อยู่ด้วยความรัก มีเพียงพันธะที่พันธนาการคุณไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณก็ไม่สมควรที่จะได้ครอบครองความรักที่งดงาม
                      ที่คุณพูดมาก็ถูก แต่ไม่ทั้งหมด จริงที่ชีวิตคู่ของผมเริ่มต้นจากการเสียสละ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเสียสละนั้นมิใช่ความรัก ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งใหญ่กว่าความรักเสียอีก เพราะถ้าคนเราใฝ่ใจที่จะรักหรือปรารถนาที่จะครอบครองเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นก็มิต่างจากการบำรุงบำเรอกิเลสตัณหาที่สรวมครอบในวิญญาณปุถุชน แต่ถ้าคุณมอบรักด้วยการให้หรือการเสียสละแล้ว นั่นย่อมหมายถึงวิถีทางวิญญูชนผู้เจริญแล้วต่างหาก 
                    ข้อนี้ผมไม่แย้ง แต่คำพูดกับการกระทำของคุณกำลังสวนทางกันมิใช่หรือจักรภพสงสัย
                       จริงของคุณ สิ่งที่ผมพูดมันคืออุดมคติ เป็นมโนนึกที่ยากจะเป็นจริง และไม่อาจสถิตถาวรกับใครได้ตลอด และตัวผมเองก็เป็นกรรมชนเดินดินธรรมดา ย่อมมีกิเลสตัณหาดุจมนุษยโลกทั่วไป จะแตกต่างก็เพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น
                      ยังไง ผมไม่เข้าใจ
                      ชีวิตคู่ของผมเริ่มต้นด้วยการเสียสละ เพื่อปกป้องพันธะบริสุทธิ์จากครหา ซึ่งฟังดูแล้วยิ่งใหญ่ แต่จริงๆก็เคลือบแฝงด้วยความรักใคร่ปรารถนา ซ้ำร้ายคล้ายดังการฉกฉวยโอกาสเสียอีก
                      แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกคุณระหองระแหงกันล่ะจักรภพเหลือบมองเวลาที่ฟ้องว่ารถกำลังจะมาถึง
                       แรกทีเดียว ผมเข้าใจว่าเวลาจะเยียวยาทุกอย่างได้ เราจะลืมอดีตเพื่อมาสร้างโลกใบเล็กๆไว้รอเจ้าตัวน้อยที่จะลืมตาดูโลก เราจะมีลูกด้วยกันสักคน เขาทั้งคู่จะเป็นเด็กที่น่าอิจฉาที่สุด แต่โลกใบเล็กๆพลันสะดุด เมื่อผมทราบว่าตนเองไม่สามารถมีลูกได้ อย่างไรก็ตามโลกใบเล็กๆนี้ก็ยังประคับประคองกันมาได้หลายปี จนเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้บังเกิดขึ้น คือภรรยาเข้ามากระซิบว่าเธอตั้งท้องได้สองเดือน ตอนนั้นผมไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี จึงได้แต่ยิ้มด้วยความขมขื่นเกินบรรยาย แม้นผมจะไม่บอกเรื่องจริงให้เธอและลูกของเธอรู้ แต่ผมก็ไม่สามารถลบรอยร้าวของโลกใบเล็กๆที่สู้อุตส่าห์ปั้นแต่งมากับมือ กัมปนาทลูกสุดท้ายสนั่นก้องพร้อมกับความแหลกลาญของโลกใบเล็กของเรา
                      แสดงว่าแมนกับไก่ก็...จักรภพไม่สามารถพูดตามที่เขาคิดออกมาได้
                      ถูกต้อง แต่ผมจะเลี้ยงดูให้ดีกว่าแม่และพ่อแท้ๆของพวกเขาเสียอีกชายคนนั้นเหลียวมองไปยังเด็กสองคนที่กำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย
คุณเป็นผู้ชายที่หายากที่เดียวครับ ผมยินดีมากที่ได้สนทนากับคุณ ข้อคิดต่างๆในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ผมจะเก็บไปใช้นะครับ
                       ผมเองก็เช่นเดียวกัน ไม่ค่อยเจอคนดีๆอย่างคุณสักเท่าไหร่ นี่อาจเป็นครั้งแรกละครั้งเดียวที่เราได้พบกัน ผมหวังว่าชีวิตคู่ของคุณจะไม่เป็นเหมือนผมนะครับ

                          รถมาแล้วๆเด็กทั้งสองคนร้องอย่างดีใจ
                           ผมคงต้องลาแล้ว วันหน้าถ้ามีโอกาสคงได้พบกันเขาเดินจากไปทันทีที่พูดเสร็จ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่รบกวนจิตเขาอยู่ มีบางอย่างที่เขาควรต้องทำ แต่ทำไมเขาไม่ทำล่ะ นั่นสิทำไมเขาไม่ทำ พลันเขาก็เอี้ยวตัวกลับ สายตาดวงใสสองคู่จ้องเขาไม่กระพริบ แล้วอ้อมกอดแห่งอาทรก็บังเกิด แม้นจะเป็นเพียงเสี้ยววินาที แต่อานุภาพนั้นกำซาบใจไม่รู้ลืม
                           เป็นเด็กดี ดูแลกันและกัน เชื่อฟังพ่อให้มากๆ โตขึ้นต้องดูแลพ่อให้ดี เพราะพ่อเขารักพวกหนูมากแล้วหนึ่งชีวิตที่บังเอิญมาพบพาน ต้องพลัดพรากด้วยจำใจ 

                             สายลมเย็นจากช่องแอร์ด้านบน ทำให้จักรภพห้วนนึกถึงลมเย็นซ่านจากเจ้าแม่ไทรทองเมื่อเช้า ตอนนั้นเขาปรารถนาที่จะมีลูกกับวิลาวัลย์จับจิต แต่ตอนนี้เขากลับกลัวขึ้นมาจับใจ ถ้าย้อนเวลาได้ เขาจะไม่เอ่ยขอสิ่งใดจากเจ้าแม่ แต่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยเหตุและผลของมันเอง

                            คุณ ฉันท้องได้สองเดือนแล้ววิลาวัลย์ยิ้มแฉ่งอย่างมีความสุข แต่ตัวจักรภพไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี จึงได้แต่ยิ้มด้วยความขมขื่นเกินบรรยาย				
30 พฤษภาคม 2552 09:57 น.

ผีตาแฮก

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ดึกสงัดหน้าร้อน ไร้สายลมเคลื่อนไหว มีเพียงดวงจันทร์สีเหลืองหม่นส่องสว่างยังพื้นโลก เงาตะคุ่มเล็กๆโซซัดโซเซตามถนน อาการนี้ชี้ชัดว่า เจ้าของร่างมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายมาก จนระบบการทรงตัวผิดปกติ ร่างนั้นเดี๋ยวเดินเดี๋ยวถอยประดุจว่ามีบางสิ่งรั้งไว้ จนในที่สุดเขาก็ยอมศิโรราบกับอำนาจที่ไม่มีวันรู้จัก 

	เดินตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ถึงบ้านสักทีว่ะ เสียงพึมพำจากร่างที่นั่งอยู่ริมถนน แม้นจะพูดยานคางแต่ก็กังวานใส จึงคะเนได้ว่าเจ้าของร่างเป็นชายวัยรุ่น 

                      แสงจันทร์สะท้อนโครงหน้าชายคนนั้น เขาดูหล่อเหลาเอาการทีเดียว ผนวกกับร่างกายกำยำแห่งวัยหนุ่ม จึงธรรมดาที่บุรุษนายนี้จะเป็นที่หมายปองของสาวเล็กสาวใหญ่ในตำบล นี่กระมังเป็นสาเหตุให้หนุ่มนายนี้เป็นเจ้าสำราญประจำหมู่บ้าน งานการไม่ทำเอาแต่กินเหล้าเมาหยำเปแทบทุกวัน ดีหน่อยที่ทางบ้านมีฐานะดี จึงไม่เดือดร้อนกับการถลุงเงินของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ทำนองว่าลูกคนเดียวขัดใจได้ที่ไหน อยากได้อะไรเพียงกระดิกนิ้วไม่นานก็สมปรารถนาแล้ว 

                 ชายคนนี้เพิ่งกลับมาจากเที่ยวงานบุญที่หมู่บ้านอื่น เปล่าหรอก เขาไม่ได้ไปคนเดียว ยังมีเพื่อนๆร่วมวงอีกประมาณสิบกว่าคน แต่พวกนั้นกลับมาก่อน เขาไม่ได้กลับด้วย เพราะกำลังสนุกกับเพื่อนใหม่ในจากวงเหล้า บรรดาสตรีต่างบ้านที่ได้ยินกิตติศัพท์ของหนุ่มรูปงามผู้นี้ มีหรือจะปล่อยตัวง่ายๆ ยิ่งความเป็นกันเองไม่ถือตัวและเพียบพร้อมทุกอย่างของเขา วงเหล้าจึงดำเนินไปโดยหามีที่สิ้นสุด 

                      เขารู้ตัวอีกทีก็ดึกสงัด บรรดาเครื่องมหรสพสมโภชสงบ มีเพียงความมืดแวดล้อม สมองของเขามึนซาไร้ความรู้สึก อาจเป็นเพราะเหล้าที่กินเข้าไป ซึ่งมากกว่าครั้งไหนๆ 

                         เมื่อร่างกายถูกหลอกว่ามีปริมาณน้ำในร่างกายมากเกินควร ระบบปรับสมดุลจึงกระตุ้นเตือนสมองอันเฉื่อยชาให้รู้หน้าที่ ร่างอันอ่อนปวกเปียกจึงค่อยๆแบนหน้าลงข้างทาง เพื่อเผด็จศึกเจ้ากระต่ายผู้โชคร้าย 
เสียงน้ำกระทบสังกะสีดังขึ้น พร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ที่ทำให้มันเกิด เขารู้สึกว่ามีเข็มนับร้อยทิ่มแทงยังกล่องดวงใจ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึก แทรกซึมทุกอณูเซลล์ ทุกประสาทสัมผัส เขาเริ่มรับรู้แล้วว่าได้ทำอะไรลงไป ความรู้สึกผิดค่อยๆถาโถมดังรอยรั่วเล็กๆในทำนบ ก่อนจะสำแดงพลานุภาพให้ประจักษ์ เป็นการพังทลายของทำนบนั้น 

                      เขาพาร่างกายอันอ่อนล้าและบอบช้ำ กลับสู่เคหะสถานอย่างเงียบๆ คงไว้เพียงความมืดแห่งราตรี และอาถรรพ์ที่เขาได้ลบหลู่ โดยหารู้ถึงฤทธานุภาพ ด้วยเพียงเพราะความเมา
ตะวันแดงโล่นำพาความสว่างมายังผืนโลก กลบแสงจันทร์ให้เลือนหายภายใต้ฟ้าผืนเดียวกัน
 
                    ลูกนัท ตื่นเถอะ ตะวันจะครึ่งฟ้าแล้ว ข้าวปลายังไม่ตกท้องเลย แม่เตรียมกับข้าวดีๆไว้ให้ รีบลุกขึ้นมากินนะ เสียงแม่ปลุกด้วยความห่วงใย 
ไม่มีเสียงตอบจากลูกชาย ผู้เป็นแม่สังเกตเห็นความผิดปกติ แต่ไหนแต่ไร ต่อให้นัทเมาหัวราน้ำเพียงใดก็ไม่เคยตื่นสายขนาดนี้ พอตะวันโผล่ขึ้นมาไม่นาน เขาต้องลุกมาอ้อนแม่ บ่นว่าปวดหัว หิวข้าวหิวน้ำ และแม่จะคอบประคบประงมป้อนข้าวป้อนน้ำราวลูกน้อยบอบบาง

                    ด้วยความห่วงใยของแม่ เธอไม่อาจทนรอได้ จึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป หัวใจผู้เป็นแม่แทบสลาย เมื่อเห็นสภาพบุตรอันเป็นดวงใจอยู่ในสภาพไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ดวงตาเหม่อลอย ริมฝีปากบวมเป่งมีเลือดกลัดหนองซึมออกมา  ตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนพกช้ำดำเขียว นางแทบไม่เชื่อสายตาเลยว่าคนหรือร่างที่นอนแผ่หลาตรงหน้าคือบุตรชายผู้มีผิวพรรณขาวผ่อง เรือนร่างหน้าตาเป็นที่ปรารถนาของบรรดาสาวๆและบรรดาบุรุษเพศที่แปรพักตร์ต่อธรรมชาติ

                           มันลบหลู่ข้า มันบังอาจนัก มันลบหลู่ข้า มันต้องตายเสียงแหบพร่าและแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปากอันบวมเปล่ง เลือดกลัดหนองซึมไหลออกมาทุกครั้งที่พูด 

                          ผู้เป็นแม่ปรี่เข้าไปหมายจะประคองร่างลูกรัก ความเจ็บปวดที่ลูกได้รับคงไม่เท่าที่แม่รู้สึกในขณะนี้ น้ำตาแห่งความอาทรไหลอาบหน้าโดยหารู้ตัวไม่ 

                     ลูกนัท ๆๆๆ เป็นอะไรไป ใครใจร้ายทำลูกได้เพียงนี้ บอกแม่มาสิลูก แม่จะเอาคืนให้หนักกว่าที่ลูกได้รับหลายเท่าเชียว บอกมาสินัท นัทลูกแม่ นัท เสียงฟูมฟายประดุจบ้าของผู้เป็นแม่เรียกพ่อเข้ามา
                     อย่าเข้ามานะ ไอ้นี่มันลบหลู่ข้า ข้าจะเอามันไปรับใช้ เสียงจากบุตรชาย ทำให้ผู้เป็นพ่อหน้าถอดสีทันที 
                    แม่มึงเอ๋ย ไอ้นัทมันโดยดีเข้าแล้ว ผู้เป็นพ่อพูดแค่นั้นก็รีบจากไป 
 
                  ไม่นานนัก พ่อก็กลับมาพร้อมกับคนเฒ่าคนแก่ หนึ่งในนั้นมีพ่อหมอประจำหมู่บ้าน ไม่ใช่สิต้องเป็นพ่อหมอระดับจังหวัด เพราะในเขตจังหวัดนี้ชื่อของท่านเป็นที่เลื่องลือ แม้แต่ต่างจังหวัดอื่นไกลก็ยังเคยมารับตัวท่านไปทำพิธีบ่อยๆ จึงมีคนขนานนามให้ท่านว่า เทพปราบผี

                    ออกไปให้หมด ริมฝีปากนัทยิ่งเปรอะไปด้วยเลือดกลัดหนอง กระนั้นผู้เป็นแม่ก็ไม่อาจเข้าใกล้บุตรชายได้ ด้วยเพราะหากมีใครไปแตะต้องเรือนร่างของนัท ตัวเขาก็จะสั่นพร้อมคำขู่สารพัด แน่นอนว่าทุกอาการที่กล่าวข้างต้นล้วนสร้างความเจ็บปวดสยดสยองให้แก่ผู้แวดล้อมทั้งสิ้น
                      ท่านเป็นใคร เด็กคนนี้ได้ลบหลู่อะไรท่าน เทพปราบผีเริ่มสนทนาอย่างหยั่งเชิง
                         ข้าคือผีตาแฮกที่สถิตท้ายหมู่บ้าน คอยเฝ้ารักษาข้าวกล้านาดอนให้พวกเจ้า แต่ไอ้คนนี้บังอาจมาฉี่รดบ้านของข้า มันสมควรรับโทษทัณฑ์แล้ว เองอย่ามาข้อร้องอ้อนวอนให้ข้าปล่อยมันเลย ไม่มีวันหรอก
                   โอ้เด็กคนนี้ช่างกล้ากระทำการอันดูหมิ่นหยามเหยียดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราทุกคนเคารพ จะทำการกิจใดในไร่นาก็ต้องอัญเชิญท่านมารักษาดูแล ก็สมควรแล้วที่ได้รับโทษประการนี้เทพปราบผีกล่าวเห็นด้วย ทำเอาบรรดาญาติๆที่รายล้อมตระหนกตกใจเป็นการใหญ่ 
                    แต่เด็กหนุ่มนี้ก็รับโทษทัณฑ์สาสมกับความผิดที่ก่อแล้ว พวกเราผู้ซึ่งเคารพก้าวไหว้ท่านยิ่งกว่าสิ่งใด ขอให้ท่านโปรดละชีวิตบุรุษหนุ่มผู้นี้ด้วยเถิด เขาทำไปเพราะความไม่รู้ หาใช่เจตนาลบหลู่ดูหมิ่นประการใด เมื่อหายดีแล้วจะให้สร้างที่อยู่ใหม่แก่ท่านเป็นการไถ่โทษเทพปราบผีอ้อนวอนเสียงแผ่วเบา
สายตาหม่อลอยจากเด็กหนุ่มหยุดนิ่งตรงใบหน้าชายชรา
                        พวกแกก็ดีแต่พูด อ้างความเคารพโน่นนี้ อันที่จริงก็ไม่ต่างจากเด็กคนนี้หรอก ในที่แจ้งก็เคารพกราบไหว้ ลับหลังแล้วหากลัวเกรงไม่ ดูอย่างเครื่องเซ่นที่นำมาให้ข้าสิ บอกให้ดูแลนาข้าวให้จะให้สี่เกวียน เมื่อเก็บเกี่ยวก็เอาใบตองเล็กๆมาทำเป็นกระทง แล้วบอกว่านี้คือข้าวสี่เกวียน ทำยังกะข้าโง่เง่าจนแยกแยะขนาดไม่ออกเชียวหรือ แต่เอาเถอะข้าเองก็ไม่อยากสร้างเวรกรรมมากไปกว่านี้ บทเรียนครั้งนี้ ขอมอบให้พวกเจ้าทุกๆคน เพื่อระลึกถึงเสมอว่าการลบหลู่ดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ครั้งต่อไปคงไม่มีใครโชคดีอีกแล้ว ร่างบอกช้ำสั้นเทาก่อนจะค่อยๆสงบลง

                             เรื่องราวการลบหลู่ผีตาแฮกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จึงธรรมดาที่ถนนท้ายหมู่บ้านจะร้างผู้คนตั้งแต่หัวค่ำ ใครจำเป็นต้องเดินทางผ่านไปมา จะต้องเร่งให้พ้นจากบริเวรนี้ก่อนแสงอาทิตย์สุดท้ายจะลับขอบฟ้า คงไว้เพียงศาลเพียงตาเด่นสง่าในความสลัวของค่ำคืน และผ้าหลากสีสะบัดเงาไหวๆอันน่าพรั่นพรึง

                     วงเหล้าหรือวงสนทนาที่บรรดาคอทองแดงทั้งหลายให้ฉายาโก้หรูว่า วงเล่า เริ่มต้นตามปกติ
                   นัท แกไปทำอีท่าไหนล่ะ ถึงโดนเล่นงานซะเกือบเสียผู้เสียคนขนาดนั้นเพื่อนคนหนึ่งโพล้งขึ้นกลางวง ทำเอาเสียงอื้ออึงสบันลง
                   ข้าว่าพูดเรื่องอื่นกันดีไหม นัทคงไม่อยากเล่าเหตุการณ์อันเสมือนการย้อนเวลากลับไป เพื่อรับเอาความรู้สึกอันเจ็บปวดนั้นอีกแล้วเพื่อนอีกคนแย้งขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าผู้ถูกถามไม่ค่อยสู้ดีนัก

                          แก้วสีขาวไร้การแต่งแต้มจรดริมฝีปากที่มีรอยขีดขาวจางๆเป็นแนวยาว เหมือนเวลาจะลบเลือนบาดแผลให้จางหายได้ แต่บาดแผลภายในใจกลับปรากฏเด่นจนยากจะเลือนลบไป
                    ไม่เป็นไรหรอก ถ้าพวกแกอยากฟัง ข้าก็จะเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นนัทตอบด้วยเสียงเรียบหลังธารเหล้าไหลรินลงกระเพราะเรียบร้อย
                      แกแน่ใจหรอเพื่อนย้ำ
                       ใช่ ฉันแน่ใจนัทสำทับคำตอบ
                       หลังจากพวกแกกลับไม่นาน สาวสวยก็ทยอยกลับบ้านกัน วงเหล้าเล็กลงเรื่อยๆจนเหลือเพียงไม่กี่คน เหล้าไม่มีรสชาติแล้ว ฉันจึงขอตัวกลับ ทีแรกพวกนั้นอาสาจะมาส่ง แต่ฉันปฏิเสธเพราะรู้ว่าพวกนั้นต้องการอะไร นัทกรอกเหล้าที่เพื่อนยื่นให้เข้าปากอย่างคล่องแคล่ว
                      แล้วพวกนั้นยอมปล่อยแกง่ายๆเหรอ ดูแต่ละคนก็ใช่ย่อย ยังกะแร้งอดอยากจ้องทึ้งอาหารขนาดนั้น คนรินเหล้าแย้งขึ้นเพื่อเรียกเสียงฮาจากมวลสมาชิกผู้รู้ใจ

                         ธรรมดาวงเหล้าคือเรื่องเล่า เมื่อเริ่มตั้งวงใหม่ๆ เครื่องยังไม่เดินเต็มที่ ประเด็นสนทนาจะเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสำคัญเช่นเหตุบ้านการเมือง พอสักพักเครื่องเริ่มเดิน เลือดสูบฉีดเต็มที่  ประเด็นสนทนาปราศรัยจะแคบเข้า เป็นเรื่องใกล้ๆตัว คำพูดคำจาก็จะเปลี่ยนระดับ สุภาพก็กลายเป็นสัปดนสองแง่สามง่ามไป 
                  แกพูดถูก พวกนั้นไม่ยอมปล่อยง่ายๆหรอก ตั้งท่าจะมาส่งให้ได้ ฉันไม่มีเหตุผลดีพอที่จะทานทัดก็เลยให้พวกเธอมาส่ง พอออกจากหมู่บ้านแล้วก็ให้พวกเธอกลับนัทรับแก้วเหล้าจากเพื่อนอีกครั้ง
                     แกเล่ายังไม่หมดนี่เพื่อที่นั่งตรงข้ามมองนัทอย่างมีเลศนัย สายตาทุกดวงจ้องดวงตาคู่เดียวเสียนาน จึงเห็นรอยยิ้มเล็กๆใต้ดวงตาคู่นั้นปรากฏ 
                       พวกแกนี่ ไม่เคยมองข้าในแง่ดีเลยหรือไง นัทพูดอย่างอายๆ แต่เป็นที่รับรู้กันว่าหมายถึงอะไร

	           เมื่อจำนนด้วยสัญชาตญาณดิบแห่งมนุษย์ปุถุชน ผู้ที่ยังเวียนว่ายในกิเลสตัณหา  บทสังวาสจึงก่อกำเนิดอย่างเร้าร้อน ปานประดุจเกรียวคลื่นบ้าคลั่งกลางมหาสมุทร โชคร้ายที่เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่มุ่งหน้าเข้ามาท้าทายอำนาจใต้เงามฤตยูแห่งเวิ้งน้ำไพศาล แม้นเรือที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ก็ไม่อาจทานอำนาจแห่งท้องมหาสมุทรได้ เรือที่เคยโลดแล่นบนผืนน้ำอย่างสง่า จึงเสียท่าดำดิ่งสู่เบื้องลึก ความมืดกลืนสิ้นเรือเดินสมุทรผู้ยิ่งใหญ่ 

	                   เหล้าขมปร่าทันที เมื่อนัทนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เขาได้เพียงหวังว่าเวลาจะเยียวยาจิตใจห่อเหี่ยวได้ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะลืมในสิ่งไม่ปรารถนาจำ และก็ไม่ง่ายเช่นกันหากจะจดจำสิ่งไม่ปรารถนาลืม 

	พวกแกทุกคนกำลังสงสัยว่าฉันเสร็จผู้หญิงพวกนั้นแล้วใช่ไหม ไม่มีทางเสียหรอก คนอย่างฉันไม่มีทางเสียรู้ใครง่ายๆหรอก นัทเสียงแข็ง

	        เราก็ไม่ได้ว่าแกเป็นไก่อ่อน แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทั้งบรรยากาศ สถานที่ เวลา มันต่างเอื้อไปทำนองนั้น ฉันว่าต่อให้อินทร์ให้พรหมก็ยากที่จะฝืน หรือถ้าฉันเป็นแกคงได้เมียเป็นโหลไปแล้ว คนรินเหล้าพูดจบ เสียงเห็นด้วยเริ่มสอดรับจับผสานกับรูปการในอดีต จนนัทไม่อาจปล่อยให้เพื่อนๆเข้าใจไปอย่างที่คิดอีกต่อไป

	        พวกแกก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไป จริงที่ว่าฉันไม่ใช่คนดีเลอเลิศ แต่ฉันก็ไม่ได้เลวบัดซบจนแยกแยะดีชั่วไม่ออก ฉันไม่ยากพูดมาก พวกแกคงรู้ดีว่าฉันหมายถึงอะไร ของแบบนี้ต้องเกิดมาจากการสมยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย ไม่งั้นก็จบกัน
	        แล้วแกทำอีท่าไหนล่ะถึงได้สาหัสสากรรจ์จนแทบเอาชีวิตไม่รอด คนรินเหล้าแย้งเหตุผลเพราะเขาไม่เชื่อว่าผีตาแฮกซึ่งเป็นผีดีนั้นจะทำร้ายคนได้ 

	      ก็เจ้านัทมันไปลบหลู่ผีตาแฮกนี่ คนเขาลือกันใหญ่ ยิ่งใครที่เห็นสภาพมันตอนนั้น พูดได้คำเดียวว่าสยดสยองเพื่อนสนิทของนัทออกความเห็น
	    ฉันได้ยินว่าผีตาแฮกคอยดูแลนาให้เรามิใช่หรือ แล้วผีจะทำร้ายคนได้ขนาดนี้เชียว และต่อให้เป็นผีตาแฮกจริง มันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า บาดแผลที่นัทมันได้รับเกิดได้อย่างไรเขายื่นเหล้าให้นัท

	        สายตาทุกดวงจ้องมองลูกกระเดือกเลื่อนขึ้นลงของนัท คำตอบทั้งหมดอยู่ที่เขา หากวันนี้ไม่สามารถลดคลางแคลงใจของเพื่อนได้แล้ว เสียงกระซิบกระซาบจากมุมมืดจะส่องสว่างเป็นข้องเท็จจริง ความชอบธรรมในตัวเขาก็จะลดลง ดอกไม้ที่ได้รับจักกลายเป็นก้อนหินข้างปา เขาไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้นเป็นแน่

	     พวกแกกำลังคิดว่าฉันกุเรื่องขึ้นมาใช่ไหม ลองคิดแบบตรรกะหน่อยสิ ใครมันจะทำร้ายตัวเองจนปางตายนัทเริ่มมีอารมณ์ในน้ำเสียง
	ใจเย็นๆ เราไม่ได้หมายความอย่างนั้น เพียงแต่เสียงกระซิบมันดังขึ้นทุกที เราจึงอยากรู้เหตุการณ์จริงๆเท่านั้น ซึ่งก็เป็นผลดีกับแก หากปล่อยเวลาผ่านไปโดยไม่ทำอะไร ท้ายสุดเสียงนั้นจะดังกว่าคำพูดแกเพื่อนแนะนำด้วยความหวังดี 
	 
	      ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงขึ้น เขาระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีกครั้ง ความเจ็บปวดวาบขึ้นที่ขั้วหัวใจ ความโหวงเหวงเกิดในระบบสมดุลร่างกาย เขารู้สึกกลัวจับใจ ถ้าคนอื่นรู้ความจริงขึ้นมา เขาจะสู้หน้าใครได้อีก บรรพชนผู้คนในหมู่บ้านจะยังเอนดูเขาไหม 

	       เมื่อฉันหลุดพันธนาการแล้วก็เดินมาเรื่อยๆตามถนน ตอนนั้นปวดหัวมากๆ อยากจะล้มตัวนอนเสียตรงนั้นให้ได้ แต่เท้าก็ยังก้าวต่อไป กระทั่งถึงทางเข้าหมู่บ้าน ของเหลวที่กินเข้าไปแผลงฤทธิ์ ฉันเดินออกมาข้างทางและก็ปล่อยมัน สิ่งเดียวที่ฉันรู้คือความเจ็บปวด มารู้สึกตัวอีกครั้งก็นอนซมอยู่ในบ้านแล้ว ไม่มีแม้แรงที่จะร้องขอความช่วยเหลือใดๆ
	        แกนึกไม่ออกเลยหรือคนที่รินเหล้าเพ่งใบหน้า 
	        ใช่นัทตอบ 
	        เป็นไปได้ไหมว่าแกเมามากจนไม่รู้ตัว และมีคนมาทำร้ายกระทั่งสลบไป 
	         ทีแรกฉันก็คิดเหมือนกัน แต่ทำไมฉันมารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่บ้าน คนที่ทำร้ายฉันคงไม่ใจดีอย่างนั้นหรอก
	        แล้วถ้าเป็นผีตาแฮกจริง ทำไมไม่จัดการแกเสียตรงนั้นล่ะ ทำไมยังพาแกมาบ้านและก็ให้แกมีชีวิตอยู่อีก 
	        แกนึกไม่ออกเลยหรือว่าทำไม หากฉันนอนตายตรงนั้นคนอาจคิดว่าฉันถูกคนทำร้าย เรื่องมันก็จบเท่านั้นนัทกรองเหล้าเขาปากอย่างสบายใจ
	         แกกำลังบอกว่าผีตาแฮกนั้นไม่ต้องการเอาชีวิตแก แต่ต้องการให้แกมีชีวิตอยู่ เพื่ออะไรเล่า
	          สั่งสอนไง ท่านต้องการแค่สั่งสอนคำพูดของนัทสะกดเพื่อนๆให้นิ่งฟัง
	            สั่งสอนแกหรือเพื่อนเร้า
	               เปล่า เราทุกคนตากหากนัทตอบเสียงเรียบ

	              วงเหล้าเงียบเสียงลง ขวดเหล้าระเกะระกะบนแคร่ไม้ เห็นเงาจันทร์หม่นเทาสะท้อนในแก้วเหล้า เสียงนกกลางคืนร้องแว่วไกลๆ นักดื่มหลับใหลเพื่อตื่นมาปฏิเสธความเมาในรุ่งเช้าของอีกวัน 

	             งานบุญวนมาอีกครั้ง นัทและเพื่อนๆได้เรียนเชิญตนเองไปเป็นเกียรติเช่นเคย เหตุการณ์ในอดีตเหมือนเลือนลบไปกลับกาลเวลา แต่ในใจนัทแล้วหาได้ลืมความขมขื่นนั้นแม้แต่น้อย เหล้าเก่าขวดใบเก่า แต่ตัวแสดงตัวใหม่ หากสำเร็จตามแผน เขาจะได้สองอย่างคือ ความชอบธรรมและแนวร่วม

	              ดึกสงัดหน้าร้อนไร้สายลมเคลื่อนไหว ไร้ดวงจันทร์ส่องสว่าง แต่ยังสังเกตเห็นสองร่างโซซัดโซเซมา ร่างหนึ่งด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ร่างหนึ่งด้วยแรงพยุง สองร่างเป็นขบวนสุดท้ายที่จะเข้าหมู่บ้าน สองร่างที่จะแสดงให้เห็นอำนาจที่ไม่อาจรู้ สองร่างที่จักตอกย้ำอำนาจนั้น หนึ่งร่างที่ต้องเผชิญ หนึ่งร่างที่บังเอิญรอดพ้น หนึ่งร่างที่เข้าใจเรื่องราวแจ่มกมล หนึ่งร่างเหมือนมืดมนไปอีกนาน 

	             เสียงหวีดหวิวยามลมโชยพัด เงาศาลผีตาแฮกยังคงตั้งสง่าริมถนน ผ้าสีสะบัดปลิวเงียบเชียบในเงามืด
	                นี่หรือคือศาลผีที่ทุกคนเคยหวาดกลัวนัทหัวเราะร่วน 
	               แกไม่กลัวหรือ ถึงกล้าท้าทายและดูหมิ่นท่านเพื่อนของนัทพูดเสียงอ้อแอ้

	                 แกเคยสงสัยใช่ไหมว่าฉันโยนความผิดให้ผีตาแฮกเมื่อปีก่อน ฉันจะแสดงให้ดูว่าท่านมีจริง พูดเสร็จนัทก็เดินไปยังศาลผีตาแฮก ศาลที่เขาจำเป็นต้องสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบ เพื่อเพิ่มความเกรงกลัวให้ผู้คน เขาเคยเชื่อว่าความกลัวทำให้คนเชื่อ และขณะนี้เขาก็ยังเชื่อว่าความเชื่อนั้นเกิดจากความกลัว เขามองเพื่อนที่จะแบกรับชะตากรรมเช่นเดียวกับเขา ก่อนจะกระซากผ้าสีที่มัดศาลขาดว่อน เครื่องสักการบูชากระจาย แล้วเสียงดังพลั่กก็ยุติการเคลื่อนไหวลง

	                 นัทมันตายแล้ว มันถูกศาลผีตาแฮกที่มันสร้างล้มทับตามเมื่อคืนนี้ ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกัน ตอนนี้นอนซมอยู่บ้าน อาการเดียวกันกับที่เจ้านัทมันเป็นเมื่อปีที่แล้วเลย เสียงล่ำลือปากต่อปาก ถ่ายทอดความสยดสยองและความสะพรั่นพรึงของผีตาแฮกเป็นอย่างดี				
18 ธันวาคม 2551 19:26 น.

กบฏ

กฤตศิลป์ ชินบุตร

	เย็นย่ำค่ำลง ไม่เหลือดวงตะวันที่เคยส่องสว่างแก่โลก จะหลงเหลือก็เพียงแสงสีแดงเข้มที่อาวรณ์ทิวากาลไม่ยอมจากไป จึงเกาะกุมโค้งฟ้าเรืองๆ ไม่นานแถบแสงสุดท้ายก็สิ้นสุด ความมืดมนอนธการครอบงำสรรพสิ่ง แต่นี้ไปดวงจันทร์จะรับไม้ต่อเพื่อนำพาสรรพชีวิตดำเนินไป และพานพบอุษาแห่งรุ่งสางอีกวัน

	ค่ำแล้ว จะได้เริ่มงานสักที ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง
  
	เก่งคิดว่า 12 ชั่วโมงคงเหลือเฟือที่จะทำงานในคืนนี้  จึงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนมากนัก เขานั่งวางแผนงานอย่างสบายใจ เขามั่นใจว่าไม่เกินตีสามงานจะสมบูรณ์ และยังเหลือเวลาพักผ่อนอีกหลายชั่วโมงก่อนส่งงาน เมื่อเขาให้คำมั่นกับตนเองว่าพรุ่งนี้จะมีงานส่ง จึงลุกจากระเบียงที่ขลุกตั้งแต่อาทิตย์อัสดง กระทั่งดวงจันทร์ป่ายฟ้าเด่นสง่าเหนือดารารายล้อมทั้งปวง เขารู้สึกว่าห้องนั้นรกกว่าปกติ ทั้งๆที่มันก็เป็นมาอย่างนี้เสมอ มีบางเวลาที่ห้องนี้จะถูกจัดเป็นที่เป็นทาง ซึ่งนั้นหมายถึงว่ามีคนมาเยี่ยมหรือไม่ก็หาของไม่เจอ อย่างอาทิตย์ที่แล้วเขาต้องรื้อห้องทั้งห้อง เพื่อหาสมุดบัญชีธนาคารซึ่งซุกในกองเสื้อผ้าเหม็นอับ  แต่วันนี้ไม่มีเวลามากพอสำหรับเก็บกวาด งานสำคัญรอเขาอยู่ จึงรีบตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ โต๊ะตัวนั้นมีหนังสือกองระเกะระกะ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแยกหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดเพื่อทำรายงานกับกองหนังสือโปรด เมื่อความพยายามบังเกิดผลเขาจึงเปิดลิ้นชัก ในบรรดาข้าวของที่ปรากฏในห้องนี้ เห็นจะมีแต่สิ่งที่เรียกว่าโน้ตบุ๊กที่ยังคงสภาพดีและได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เขาหยิบขึ้นมาวางอย่างบนโต๊ะอย่างบรรจงและเริ่มต้นทำรายงาน


	ถือว่าเป็นโชคดีของเก่งอยู่บ้างที่พบข้อมูลเรื่องที่จะทำรายงานในอินเตอร์เน็ต อย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งพิมพ์รายงานทั้งเล่ม เขาใจชื้นเพราะงานอาจเสร็จเร็วขึ้น ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงท้องเริ่มร้องทุกข์ เขาพยายามฝืนใจให้เสร็จบทแรกเสียก่อน กระนั้นก็ต้องพ่ายแพ้ ด้วยเหตุผลว่ายังไงคืนนี้ก็ต้องเสร็จอยู่แล้ว กินข้าวสักชั่วโมงคงไม่ใช่ปัญหา 


	เก่งกลับมาถึงห้องประมาณสามทุ่มครึ่งพร้อมกับขนมขบเคี้ยวจากร้านสะดวกชื้อ เขานั่งพักบนเก้าอี้ตัวเดิม สายตาเหลือบไปเห็นหนอนใบเก่าที่เขาเคยหนุนทุกคืน ถ้าเป็นวันอื่นเขาคงไม่รอช้าที่จะล้มกายลงหนุน เพราะความสุขใดอีกเล่าที่จะสุขเท่าการได้พักผ่อน แต่วันนี้ยังมีงานต้องทำให้เสร็จ เขาจึงละสายตากลับมาเพื่อตั้งต้นทำงานต่อ 


	กริ๊งๆๆๆๆๆ เสียงนาฬิกาดังขึ้นจากที่ไหนไม่รู้ภายในห้องนี้ เก่งตามเสียงไปและเจอมันซุกอยู่ใต้กองหนังสือพิมพ์ หน้าหนังสือพิมพ์ฉบับบนสุดนั้นเป็นภาพผู้ชุมนุม เขาชอบติดตามการชุมนุมทางการเมือง และต้องดูทีวีในช่วงสี่ทุ่มเป็นประจำ ไม่รอช้าเขารีบเปิดทีวีขาวดำจอสิบสี่นิ้ว พร้อมกับเคี้ยวขนมบนเตียงนอนอย่างสำราญใจ ส่วนงานที่ยังค้างอยู่นั้นก็ไม่หนักใจ เพราะเขามีเครื่องมืออำนวยความสะดวก รายงานแค่สิบหน้ายี่สิบหน้าไม่ใช่ปัญหาเลย  
เก่งฝืนใจลุกขึ้นจากเตียงหลังรายการโปรดจบลง เขาสลัดหน้าไปมาเพื่อขับไล่ความง่วง แต่ก็ไม่ค่อยได้ผล โดยปกติเขาจะเข้านอนช่วงเวลานี้ ร่างกายจึงเพรียกหาการพักผ่อนเต็มที่ แต่เขาไม่อาจจะนอนได้ รายงานรออยู่ เขาจึงตรงเข้าไปในห้องน้ำ อาศัยน้ำเย็นๆบรรเทาความง่วง 


                       การแสวงหาบารมีของคนเรานั้นมีอยู่สิบอย่างดังนี้ เก่งเริ่มพิมพ์บทที่สอง สักพักก็ได้ยินเสียงนาฬิกาดังขึ้นเบาๆและเพิ่มความดังจนฟังชัดเจน ความเงียบงันแห่งราตรีเริ่มปกคลุมรายรอบตัวเขา ก่อนจะแทรกซึมผ่านทุกอณูขุมขน โคจรไปบรรจบกันยังสมองส่วนรับรู้ จึงแปลผลออกมาเป็นความเหว่ว้า เขาคิดว่าค่ำคืนนี้จะมาใครเป็นเพื่อนข้ามราตรีบ้างไหม วาบความคิดแรก เขานึกถึงเพื่อนสนิทที่สุด แต่เพื่อนคนนั้นก็ทำเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน ป่านนี้คงกำลังฝันดี ส่วนเพื่อนคนอื่นๆไม่ต้องพูดถึง พวกนั้นทำงานเสร็จตั้งแต่สามวันที่แล้ว อันที่จริงรายงานของเขาก็ควรจะเสร็จไปแล้ว นี่มัวแต่ชะล้าใจว่ามีโน้ตบุ๊กเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปยืนรอต่อคิวเครื่องของมหาวิทยาลัย จะทำเวลาไหนก็ได้ จึงต้องมานั่งอดหลับอดนอนอยู่ตอนนี้


                       กว่าที่เก่งจะดึงสมาธิกลับมาหารายงานได้ เข็มนาฬิกาก็เข้าใกล้เลขสองเต็มที เขาพยายามตั้งมั่นกับรายงานตรงหน้าอย่างที่สุด แต่แล้วความง่วงก็เวียนมาหาเขาอีกครั้ง ตัวหนังสือตรงหน้าเริ่มขยับไปมา บ้างเคลื่อนขึ้นลง บ้างหมุนเป็นวงกลม เขาพยายามสู้กับตัวหนังสือเหล่านั้นแต่ไม่เป็นผล จึงจำยอมพักหน้ารายงานลง โปรแกรมเกมส์ถูกเปิดขึ้นมา เกมส์นี้ได้มาจากเพื่อนคนหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว 

                        จำได้ว่าวันนั้นเขากำลังนั่งชื่นชมกับโน้ตบุ๊กตัวแรกในห้อง สัมผัสมันอย่างทะนุถนอม เพราะกว่าจะได้มาต้องรอถึงปีสาม เข้ามหาวิทยาลัยปีแรกแม่กับพ่อเขาให้เหตุผลว่า ยังไม่จำเป็นหรอก ลูกยังใหม่ในสถานแห่งนี้ อีกทั้งเราก็ไม่รู้ว่าใครจะมาดีมาร้ายกับเรายังไง แม่เกรงว่าลูกจะรักษาทรัพย์สินไม่ได้ ไว้เก่งโตกว่านี้ ขึ้นปีสองแม่จะชื้อให้ จริงดังแม่ว่า ถึงไม่มีคอมพิวเตอร์เก่งก็สามารถทำงานส่งอาจารย์ได้เหมือนๆคนอื่น เพราะมหาวิทยาลัยมีคอมพิวเตอร์ให้บริการนักศึกษา พอขึ้นปีสองเขานึกถึงสัญญาที่แม่ให้ไว้ ผนวกกับรางวัลนักศึกษาดีเด่นการันตีคุณสมบัติ ปีนี้เขาจึงคู่ควรที่จะมีคอมพิวเตอร์เป็นของตนเองเสียที ทว่าโชคยังไม่เข้าข้าง เมื่อพ่อผู้เป็นกำลังหลักของครอบครัวประสบอุบัติเหตุระหว่างไปค้าขายต่างจังหวัด ต้องพักรักษาตัวหลายเดือน เขาเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวตอนนั้นดี จึงไม่เอ่ยปากขอแม่ ทั้งๆที่ลึกๆก็เสียใจ เหมือนแม่ล่วงรู้ถึงความรู้สึกเขา จึงสัญญาว่าปีหน้าแม่จะชื้อโน้ตบุ๊กเป็นการชดเชย ในที่สุดโน้ตบุ๊กก็เป็นของเขาสมใจ เมื่อเขาครองรางวัลนักศึกษาดีเด่นอีกสมัย กอปรกับพ่อก็สามารถทำงานได้ตามปกติแล้ว 


                           เพื่อนที่มาในวันนั้นรู้ข่าวว่าเขามีโน้ตบุ๊กใหม่ ด้วยหวังดีจึงนำโปรแกรมดีๆมาให้ ซึ่งเขาก็กำลังมองหาโปรแกรมเหล่านั้น เช่น โปรแกรมแต่งภาพ ดูหนังฟังเพลง และยังมีโปรแกรมเกมส์ ซึ่งเขาไม่ชอบเท่าไหร่ หากแต่สุภาพพอที่จะไม่ปฏิเสธความหวังดีจากเพื่อน และเต็มใจให้เขาลองโน้ตบุ๊กเพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของโปรแกรม จำได้ว่าหลังจากที่กลับมาจากร้านสะดวกชื้อ  ได้ยินเสียงปีนและเสียงร้องเจ็บปวดจากในห้อง เขาตกใจมาก รีบวิ่งเข้าไปในห้อง ปรากฏว่าสิ่งที่เขาคิดไม่ได้เกิดขึ้น จึงหายใจทั่วท้องอีกครั้ง เพื่อนคนนั้นกำลังเล่นเกมส์ ดูสีหน้าท่าทางมีความสุข โดยเฉพาะช่วงที่เขายิงคู่ต่อสู้ได้ เสียงร้องโหยหวนพร้อมเลือดพุ่งกระฉูด วาบนั้นเขาเห็นสีเลือดแดงฉานปรากฏในดวงตาของเพื่อน ไม่กี่อาทิตย์ต่อมาเจ้าเพื่อนคนนั้นถูกตำรวจจับข้อหาฆ่าคนตาย เขาจึงไม่คิดที่จะเล่นเกมส์นั้นเลย 


                       เก่งเริ่มเล่นเกมส์เมื่อเดือนที่แล้ว จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันอันโหดร้ายวันหนึ่งในไม่กี่วันที่เขารู้สึก เพราะโดยอาจารย์ต่อว่าเรื่องการเรียน ทั้งๆที่สองปีที่ผ่านมาได้รับแต่คำชื่นชม จึงแทบไม่มีกำลังทำงานหรืออ่านหนังสือ เพลงโปรดและเว็บไซต์ประจำก็ไม่อาจทำให้จิตใจหม่นมัวกลับมาผ่องใสดังเดิมได้ เกมส์ที่เขาไม่เคยสัมผัสถูกเปิดขึ้น แม้นจะไม่เคยเล่นแต่ก็ไม่อยากเกินความสามารถของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเลิศทางภาษา เขาอัศจรรย์ใจเมื่อความรู้สึกกลัดกลุ่มจิตใจพลันหายไป ความฮึกเหิมกลับเติมพลังให้เขาแข็งแกร่งทุกครั้งเมื่อพิชิตศัตรูสำเร็จ จากนั้นยามเหนื่อยล้าเขาจะเล่นเกมส์ ซึ่งรักษาอาการเหล่านั้นได้ชะงักนัก จากไม่กี่นาที เป็นหลายนาที จากหลายนาทีเป็นชั่วโมง และหลายๆชั่วโมง จึงเหมือนเกมส์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต


	ตีสามแล้วหรือ เก่งพำพึมเสียงอ่อน รายงานยังเหลือเกินครึ่ง เขาจะทำยังไงดี แกล้งป่วยคงไม่ได้เพราะอาจารย์กำชับไว้แล้วว่า ต่อให้ฟ้าถล่ม ดินล่มเป็นมหาสมุทร ก็ไม่สามารถเป็นเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่ารายงานไม่เสร็จ ครั้งจะตั้งหน้าตั้งตาทำก็คงไม่ทันเวลา และคงไม่มีเวทมนต์ใดในหล้าจะเนรมิตเบื้องลึกแห่งปรารถนาให้เป็นจริงได้ภายในเสียววินาที เขาตำหนิตนเอง หากเริ่มทำงานชิ้นนี้ตั้งแต่แรก ไม่รอโน่นรอนี้ อ้างสารพัดอ้าง เลื่อนเป็นโรคระบาด คืนนี้เขาคงกำลังนอนหลับบนเตียงสบาย ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานที่เหมือนไม่มีวันเสร็จได้ เขาต้องพ่ายแพ้เสียแล้วหรือนี้ นักศึกษาดีเด่นสองปีซ้อนไม่มีรายงานส่งอาจารย์ เพื่อนๆคงรอเย้ยหยัน พ่อกับแม่เล่าจะไม่เสียใจหรือ ไม่ได้ยังไงเขาจะไม่ยอมแพ้ ขึ้นหลังเสือต้องสู้อย่างเดียว จะลงกลางครันก็เท่ากับฆ่าตัวตาย ถนนสายนี้ต้องเป็นเขาที่เป็นผู้มีชัย เฮือกสุดท้ายก่อนรุ่งสางจะสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ยังมีเวลาสำหรับเขาอยู่ และยังมีข้อมูลที่ได้จากอินเตอร์เน็ตเป็นผู้ช่วยอีกแรง เขาจึงเริ่มต้นทำรายงานอีกครั้ง ทว่ามิใช่ด้วยความตั้งใจ แต่ด้วยอาการเยี่ยงหมาจนตรอก 


                           หนึ่งชั่วโมงผ่านไปรายงานยังไม่ถึงไหน ยิ่งรีบยิ่งไม่ได้ดั่งใจ พิมพ์ไปเป็นย่อหน้าแต่ไม่รู้ว่าพิมพ์อะไรลงไป สุดท้ายไม่พ้นต้องลบทิ้ง เขามองไปทางหน้าต่าง ไม่มีดาวสักดวง อากาศเย็นยะเยือกแผ่วพลิ้วผ่านม่านเบาๆเข้ามา ความง่วงอันตรธานไป มีเพียงเหงื่อกาฬทำหน้าที่แห่งความตื่นตระหนก และนำพาความกลัวมากัดกินทุกอณูจิตใจ ชื่อเสียงเกียรติยศคงจรจากเขาไปในวันพรุ่ง ถ้าทำได้เขาไม่อยากให้รุ่งอรุณมาถึง ไม่อยากให้มีวันพรุ่งนี้ เป็นอีกครั้งในไม่กี่ครั้งที่เขารู้สึกเช่นนี้ และทุกครั้งล้วนล่วงมาไม่กี่เดือน เดือนที่ดีที่สุด ใช่เขาเคยคิดอย่างนั้น โน้ตบุ๊กรางวัลคุณความดี หรือว่าเป็นซาตานสถิตตอบแทนความรุ่งโรจน์ด้วยหายนะกันแน่  เขาพาร่างเหนื่อยอ่อนไปสู่อากาศบริสุทธิ์เพื่อดับความเร้าร้อนในใจ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาต้องมายืนที่ระเบียงหลังห้องด้วยอารมณ์ต่างกัน หัวค่ำเขายังดื่มด่ำกับความงามยามอาทิตย์อัสดงโดยที่ไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตรงกันข้ามเขากลับตั้งหน้าตั้งตารอรุ่งอรุณ แต่ยามเช้าใกล้เข้ามาแล้ว เขากลับไม่ปรารถนาจะเห็นอุษาแสง ความมืดเริ่มจางทางทิศตะวันออก อีกไม่นานแสงสีทองจะระบายขอบฟ้าและปุยเมฆให้อร่าม เขาไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป 


                            เตียงนอนนุ่มๆไม่อาจบรรเทาจิตใจร้อนรุ่มราวไฟสุมของเก่ง เขาจะไม่โผล่หน้าไปรับสายตาเย้ยหยันจากเพื่อนๆเด็ดขาด ใจหนึ่งเขายอมแพ้ยอมเสียทุกอย่าง อีกเสียงแผ่วเบาแต่รู้สึกได้ มันกำลังเรียกร้องวิญญาณราชสีห์ในตัวเขา พลังใจเขาค่อยๆทวีขึ้นพร้อมกับเสียงหัวใจหาญกล้า สงครามยังไม่จบ จะเริ่มนับศพทหารก็ใช่ที เขาตัดสิ้นใจสู้อีกครั้ง แม้นไม่ใช่ในนามราชสีห์อันสง่า เป็นเพียงหมาจนตรอกที่จะรักษาชีวิตไว้ก็ตาม หนทางเดียวที่วาบขึ้นมาในความมืดของห้วงความคิดคือ อินเตอร์เน็ต เขาค้นหาข้อมูลไปเรื่อยๆ เหมือนวนว่ายในอ่างน้ำกับข้อมูลชุดเดิม ซึ่งไม่ดีพอสำหรับรายงานของเขา สงครามควรต้องจบลง แต่แล้วเขาก็เจอมัน สิ่งที่เขาค้นหา แสงสว่างยามเช้านำพาเนื้อหารายงานฉบับสมบูรณ์มาทันเวลาหกโมงเช้าพอดิบพอดี ประดุจเขาย่างเดินบนสมรภูมิรบที่เกลื่อนไปด้วยศพทหารหาญ เพื่อนสหายซุกร่างภายใต้หมอกแห่งควันพลานุภาพของอาวุธประหัตประหาร เพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รอดพ้นนามนักรบเดนตาย 
หนึ่งชั่วโมงก่อนเจ็ดโมงเช้า เก่งใช้เวลาท่องโลกอินเตอร์เน็ตเป็นกำนัลให้กับความทุ่มเทของตัวเอง เขาชอบเว็บไซต์การเมือง แต่วันนี้ไม่อาจทนอ่านตัวหนังสือพืดยาวไม่รู้จบอย่างปกติ เขาละจากบทความเข้าสู่โลกแห่งความบันเทิง ดูนกดูไม้ยามรุ่งอรุณตามเว็บบอร์ดต่างๆ เขาสนใจรูปหนึ่งเป็นพิเศษ ภาพภูเขาสูงใหญ่สองลูกคู่ขนานเด่นสง่า เบื้องล่างธารน้ำเอื่อยไหลเซาะเกาะแก่งเป็นริ้วน้ำสีเงิน ก่อนจะตกสู่แอ่งมหึมาเบื้องล่าง ภาพแอ่งน้ำสีเงินประดับพวยพุ่งละอองน้ำต้องแสงอาทิตย์งามจับใจ หยาดน้ำค้างพราวบนใบหญ้า สะท้อนสีเขียวขจีแห่งป่าพง แม้นภาพจะมีเพียงสองมิติ แต่เขาสัมผัสถึงความลึกแห่งสายน้ำ ไอเย็นดลวิญญาณให้ชุ่มฉ่ำ เสียงนกร้องในมโนนึกเสมือนเสียงเพลงจากสรวงสวรรค์ที่คนธรรพ์บรรเลง เขาดูภาพไปเรื่อยๆไม่รู้เบื่อ บางภาพเป็นสถานที่เดียวกันแต่ถ่ายคนละมุม ก็สร้างบรรยากาศและอารมณ์ที่ต่างกันด้วย จึงไม่แปลกหากความจำโน้ตบุ๊กของเขาจะลดลงทีละน้อย ขณะที่จำนวนภาพอันโปรดปรานเพิ่มขึ้น 
เก่งสังเกตเห็นความผิดปกติของโน้ตบุ๊ก ความเร็วในการทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาปิดเว็บไซต์ที่ไม่สำคัญแต่ไม่เป็นผล เครื่องยังทำงานติดๆขัดๆ เขาคิดว่าคงเป็นเพราะมันทำงานมาทั้งคืน ทำให้เครื่องรวน ดูอย่างคนถ้าอดหลับอดนอนทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่นานก็คงถูกหามเข้าเมรุ เพราะไม่รู้จักดูสังขารตนเอง เขานี่ก็โหดร้ายนัก ถ้าโน้ตบุ๊กเป็นคนคงต้องลุกมาประท้วง อาจมีการหยุดงานหรือกระด้างกระเดื่องไม่เคารพเชื่อฟัง หากมีการส่งจดหมายไปทั่วสังคมไซเบอร์คงวุ่นวายน่าดู เขาปิดโน้ตบุ๊กเพื่อพักเครื่อง ระหว่างรอให้เครื่องเย็น เขาจึงลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือ สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าจนชุ่มปอด แสงอุ่นๆจากดวงอาทิตย์โอบอุ้มดวงวิญญาณของเขา ประดุจลูกน้อยในอ้อมกอดสตรีผู้อารี เขาพร้อมแล้วที่จะว่ายแหวกมหาชเลกว้างใหญ่ แม้นจะไม่รู้ว่าพื้นดินนั้นจะอยู่หนแห่งใด 


                        สายน้ำจากฝักบัวปะทะใบหน้าของเก่งที่รองรับอยู่เบื้องล่าง เขาปล่อยอารมณ์ความรู้สึกไปกับสายน้ำ คลายอิริยาบถด้วยปราศจากพันธนาการใดๆ ร่ายกายเหนื่อยอ่อนค่อยๆพื้นกำลัง เวลาล่วงเลยไปกับสายน้ำยาวนาน เขาก้าวออกมาจากห้องน้ำ เช็ดกายด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเก่า ก่อนเปิดตู้เสื้อผ้าออก ปรากฏว่าไม่มีชุดนักศึกษา จริงสิเขาลืมเสียสนิทเลย ผ้ากองโตยังไม่ได้ซัก เขาลังเลใจว่าจะไปยืมเพื่อนดีไหม จึงตัดสินใจเดินไปยังกองเสื้อผ้า ค้นหาชุดที่มีกลิ่นน้อยที่สุด โชคยังดีมีเสื้อที่ไม่ยับเท่าไหร่ เขาสลัดๆแล้วรีบสวมทันที ส่วนกางเกงมีกลิ่นนิดหน่อย หมกไว้หลายวัน เขาแต่งตัวเรียบร้อยจึงฉีดน้ำหอมสยบกลิ่นไม่พึงปรารถนาของคนรอบข้าง 


                       เขาเตรียมกระดาษใส่เครื่องปลิ๊น ดึงโน้ตบุ๊กออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะเขียนหนังสือ ขั้นตอนสุดท้ายของการทำรายงานมาถึง เมื่อต่อสายสัญญาณเรียบร้อย เขาจึงเปิดเครื่อง แต่โน้ตบุ๊กไม่ทำงาน สายไฟต่อเรียบร้อยดี ไฟฟ้าก็ไม่ดับเพราะทีวียังรายงานข่าวการเมืองได้ปกติ เขาลองอีกสองสามรอบ ผลยังคงเดิม ความวิตกก่อรูปร่างในท้องก่อนจะบิดเกลียวไปมาชวนคลื่นไส้ เขาไม่อยากรับรู้เลยว่าจะไม่มีงานส่งอาจารย์ ทั้งๆที่เขาอดหลับอดนอนทั้งคืน ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่อาจให้อภัยตัวเอง หากเขาทำงานให้เสร็จเรียบร้อย หากเขาไม่เอาอารมณ์เป็นใหญ่ หากเขาฝืนใจได้สักนิด เครื่องก็คงไม่มีปัญหาอย่างนี้ เจ้าไวรัสก็ไม่ปราณีเขาเลย ป่านนี้คงหอบรายงานของเขาล่องหนไปแล้ว


                     ไอ้...เครื่องมือระยำ เขาอยากโยนมันทิ้งเสียให้ได้ จริงที่เขาเคยเทิดทูลบูชา จริงที่เขามีเครื่องมือมากค่า จริงที่เขาใช้เวลากับมันมากกว่าอยู่กับตัวเอง แต่วันนี้มันกบฏต่อเขาเสียแล้ว 
				
2 ธันวาคม 2551 01:38 น.

เรียงความเรื่องพ่อ

กฤตศิลป์ ชินบุตร


๏ ดั่งเดือนส่องท้องน-................ภากาศ
แสงพร่างดาราพาด...................ฝั่งฟ้า
ราตรีประดับดาว.......................งามเด่น
ปลอบปลุกผู้อ่อนล้า...................พ่อนี้ดังเปรียบ๚ะ๛


	คำว่า พ่อ เป็นคำสั้นๆของบรรดาผู้เป็นบุตรเป็นธิดาเปล่งออกมา เพื่อเรียกขานบุคคลผู้ให้กำเนิด แต่ความจริงแล้วคำว่า พ่อ คำเดียวกันนั้น มีความหมายกว้างกว่า กว้างจนพจนานุกรมใดๆก็มิอาจบัญญัติความหมายได้ครอบคลุม ทั้งท่านผู้รู้ ครู อาจารย์ และท่านปรมัตถ์ผู้เปรมปราชญ์ทั้งหลาย ก็ไม่อาจให้นิยามได้ เพราะคำว่า พ่อ มิใช่ตรรกะตายตัว หากเสมือนคำถามปลายเปิดที่เว้นว่างเพื่อรอให้เหล่าลูกๆเติมใจข้อความไป หากเราสามารถรวบรวมคำนิยามของคำว่า พ่อจากผู้คนกว่าสองสามพันล้านคนในโลกใบนี้ คงต้องใช้เวิ้งจักรวาลมาแทนกระดาษ เพื่อจารจารึกถ้อยพจน์อันดารดาษแห่งคุณูปการของคำว่า พ่อ ที่กลั่นจากความรู้สึกเบื้องลึกปุถุชน และหากจะพรรณนาคุณอนันต์ของบุคคลที่ได้ชื่อว่า พ่อ คงต้องใช้น้ำทะเลทุกอยาดหยด จึงพอจารึกเศษเสี้ยวคุณอนันต์นั้น คำว่า พ่อ จึงใหญ่ยิ่ง สรรพสิ่งมากมายในโลกไม่อาจเทียบเคียงได้ มีเพียงจิตใจอันอบอุ่นผัสสะกันและกัน ก่อเป็นสายใยอันแน่นเหนียวเกลียวกลมของพ่อลูก และจะสถิตตราบฟ้ามีตะวันแรกอโณทัย ด้วยพ่อนั้นไม่ใช่ผู้กำเนิด แต่พ่อเป็นยิ่งกว่าผู้ให้กำเนิด แม้นพ่อไม่ได้กลั่นเลือดเป็นนมป้อน แต่พ่อป้อนด้วยธารเหงื่อรินไหล หากพ่อไม่อาจเลี้ยงดูใกล้ชิด ด้วยจำใจอยู่ไกลถิ่น แต่ทุกวินาทีหัวใจของพ่อ เฝ้าโบยบินถวิลหาเพียงลูกยา ยามลูกร้องด้วยผิดหวังเสียงดังลั่น หัวใจพ่อทวีสั่นด้วยอ่อนล้า อกพ่อกลัดหนองด้วยตนไม่อาจจะเยียวยารักษาความเจ็บปวดของลูกได้ ถ้าเปรียบลูกๆเป็นพระปฏิมาอันงามผ่อง พ่อก็คือคนปิดทองหลังองค์ปฏิมานั้น เพราะพ่อคือผู้อยู่เบื้องหลังที่คอยสนับสนุนลูกๆทุกคราว การลงทุนของพ่อตรงข้ามกับปรัชญาวานิชทุกประการ เพราะพ่อให้โดยไม่รับสิ่งตอบแทน เพราะพ่อให้ด้วยหวังว่าลูกจะเติบกล้าหยัดยืนในสังคมอย่างภาคภูมิ เรียกว่าเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าหาเกรงดิน พ่อจึงเป็นพ่อพระในบ้าน เป็นปูชนียาจารย์ที่โลกหล้าสรรเสริญ เป็นแสงสว่างส่องกระจ่างยามรัตติกาลให้ก้าวเดิน เป็นสะพานเชื่อมความฝันของลูกให้เป็นความจริง และเป็นหนึ่งสิ่งที่ประเสริฐในโลกา


	จึงธรรมดาสามัญที่ลูกๆทุกคน จะกระทำตนเพื่อตอบแทนการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของบุพการี ด้วยการกระทำตนให้สมเกียรติและศักดิ์ศรีของมนุษย์ เป็นพลเมืองที่สังคมพึงปรารถนา เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นกุลบุตรธิดาผู้กตัญญูกตเวทิตาต่อบุพการีคุณผู้นำทาง 
				
25 ตุลาคม 2551 08:46 น.

ความรักของต้นข้าว

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ต้นคิมหันตฤดู หยาดน้ำค้างพราวระยับล้อแสงระวี ดอกหญ้าตามคันนาโอนไหว ลมแผ่วเบาพัดผ่านยอดข้าวขจี ก่อคลื่นเล็กๆลู่ไหวลูกแล้วลูกเล่าสุดสายตา เสียงจิ้งหรีดร้องคลอสายลมเป็นระยะ บนยอดไม้มีสกุณาเอื้อนเอ่ยพาที น้ำตกแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบ แว่วมากับสายลมจากบนเขา กลีบเมฆสีทองจางลง ฟ้าครามประดับปุยเมฆขาวเรืองๆปรากฏ

ต้นข้าว รอเราด้วยสิ เด็กหญิงร้องบอก
ทนอีกนิดนะ ใกล้จะถึงแล้วเด็กชายตอบโดยไม่ยอมลดฝีเท้า
กลางทุ่งมีร่มจามจุรีใหญ่ ชาวนาใช้ปกแดดบังฝน มีแคร่ไม้ไผ่เล็กๆวางอยู่ เวลาว่างเด็กๆมักพากันมานั่งเล่น หากมองจากตรงนี้ไปทางหมู่บ้านจะเห็นทิวเขาโอบท้องทุ่ง อีกฟากเป็นบึงใหญ่ มีนกน้ำนานาชนิดบินขึ้นลง โดยเฉพาะยามเช้าและเวลาพลบค่ำจะมีฝูงนกสีขาวประมาณ 50 สิบตัว จะบินเป็นขบวน แปรสัญลักษณ์ต่างๆ 

 ยอดหญ้า เธอจะไปจริงๆหรอ ต้นข้าวถาม
ใช่ ย่าจะมารับเดือนหน้า สิ้นเสียงตอบ ความเงียบบังเกิดฉับพลัน เงาไหวๆยามจามจุรีต้องแสง กระทบแววตาดวงใส ก่อเป็นหยาดน้ำตาร่วงพรู
ตั้งแต่จำความได้ เธอก็เป็นยอดหญ้าที่เติบโตในท้องนา มีต้นข้าวเป็นเพื่อน ยามแดดกล้า ฟ้าฝนกระหน่ำ หรือลมผ่าน ทั้งคู่ยังเคียงข้าง เพื่อรอดื่มด่ำน้ำค้างยามรุ่งสาง แต่เดือนหน้า ดอกหญ้าแห่งท้องนาจะแรมรอนไปสถานอันแสนไกล 
เด็กชายใจหาย คำตอบที่ได้ฟังสะเทือนใจ แต่น้ำตาจากดวงหน้าเด็กหญิงกระเทือนลึกถึงทรวง มือแผ่วเบาประจงลบรอยน้ำตา พร้อมถ้อยวาจาประโลม
	อย่าร้องเลย เราเข้าใจดีว่าดอกหญ้ากลัว แต่ที่โน่นอาจดีกว่าก็ได้
	เราไม่อยากไป เราอยากอยู่ที่นี่ เรารักที่นี่ ต้นข้าวเข้าใจไหมสายตาหวาดหวั่นสะท้อนจากดวงตาวาวใส คงอีกไม่นานทุกอย่างที่นี่จักเป็นเพียงความทรงจำ ยามชีวิตใหม่ดำเนิน 


ตะวันคล้อยต่ำ สัญญาณให้ทุกชีวิตวางเคียว กระดิ่งวัวควายดังระงม ควันบางๆก่อตัวเป็นทาง ดวงอาทิตย์จางลงในกลุ่มควันนั้น ฤดูกาลเวียนผ่านปีแล้วปีเล่า  เหมือนทุกอย่างคงเดิม ท้องทุ่งเขียวขจีก่อนรวงทองปรากฏ ธารน้ำไหลรินยามน้ำหลากและแห้งเขินเมื่อหน้าแล้งมาเยือน นกน้ำนานาชนิดดำรงชีวิตในบึงเช้าค่ำ  แต่เด็กชายคราวนั้นโตเป็นหนุ่มกำยำแล้ว
ใต้เงาจามจุรี ยามอาทิตย์จวนอัสดง ต้นข้าวพักเหนื่อยหลังตรากตรำกรำงานแต่เช้ามืด สายตาจ้องมองทุ่งกว้างอันเป็นผลผลิตจากหยาดเหงื่อ สีทองจากรวงข้าวสลับเหลืองจางของตอฟางวาวระยับต้องลูกไฟสีแดงตรงโค้งฟ้า เขาหยิบกระดาษแผ่นยับจากกระเป๋าเสื้อ รอยยิ้มละไมจากดวงหน้าสีเข้มปรากฏ ข้อความประจงเขียนด้วยลายมือสวย เป็นจดหมายที่ดอกหญ้าเขียนถึงเขา 


ถึง ต้นข้าว 
ก่อนอื่นเราต้องขอโทษที่ตอบจดหมายช้า เพราะช่วงนี้กำลังอ่านหนังสือสอบ มีเวลาว่างจึงรีบตอบจดหมายทันที หวังว่าคงไม่ช้าไปสำหรับคนรอนะ เราเข้าใจว่าช่วงนี้เธอคงยุ่งกับงานในท้องนา  ก็เป็นกำลังใจให้ อย่าโหมงานมากเกินไปจะไม่สบายเอา อ้อ เกือบลืมไป อาทิตย์หน้าแม่จะกลับไปเยี่ยมญาติที่หมู่บ้าน  เราก็จะไปด้าย เราตื่นเต้นมากทีเดียวที่จะได้กลับ แม้จะไม่นานแต่เราจะตักตวงเอาความทรงจำให้มากที่สุด แล้วพบกันนะ
ปล.  แน่นอนว่าเธอต้องบริการเรา แม้นจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
						ดอกหญ้า"

ต้นข้าวเฝ้าอ่านจดหมายฉบับนี้ไม่รู้เบื่อ ความสุขปิ่มล้นใจ นานแล้วที่เขาเฝ้าภาวะนาให้ดอกหญ้าหวนมา มีถ้อยคำมากมายจะเล่า มีเรื่องราวมากมายจะพรรณนา และมีเรื่องสำคัญที่จดหมายมิอาจสื่อได้ วันเวลาล่วงมาปีแล้วปีเล่า เสียงกระซิบของหัวใจเด็กน้อย กลายเป็นเสียงเพรียกหาจากชายหนุ่ม 
เช้าวันนั้น รถคันงามวิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน ต้นข้าวรู้ดีว่านั้นเป็นรถของน้าจันทร์ ไม่รอช้าเขารีบปั่นจักรยานคู่กายตามไป ภาพหญิงสาวก้าวลงจากรถ เธอสวยกว่าจินตนาการของเขาหลายเท่า ชั่วครู่เสียงหัวใจเขาเรียกร้องให้เข้าไปหา แต่สามัญสำนึกรั้งเขาไว้แน่น พิจารณาตนช่างแตกต่างหลายโยชน์ เทียบดอกฟ้ากับหมาวัดก็ไม่ผิด เขาตัดสินใจหันหลังกลับ 


ต้นข้าวใช่ไหม เขาหันตามเสียงเรียก หญิงสาวเดินมาพรางส่งยิ้มละไม
เขายิ้มตอบ ตาประสานชั่วครู่ ความทรงจำพร่าเลือนแจ่มชัด สุขใจราวล่องลอยบนนภากาศอย่างอิสระ ปีกบางขาวสะอาดขยับเบาๆ ปุยเมฆขาวเทียบวิมารมาศเรืองอร่าม นางกำนัลซ้ายขวารายล้อม พัดวี คนธรรพ์บรรเลงสังคีต อัปสรรำร่ายอวดกายอรชร องค์อินทร์เคลิ้มอุรา 
โคล้ม! เสียงกรีดร้องดังขึ้น
ต้นข้าวเราตกใจหมดเลย เธอปล่อยจักรยานทำไมเหรอ
จักรยานล้มนอนกับพื้น ล้อหน้าหมุนเบาๆ ขอโทษที มันหลุดมือ เราไม่ได้ตังใจนะต้นข้าวรีบตอบ เกรงว่าดอกหญ้าจะไม่พอใจเอา 
ดอกหญ้ายิ้มพร้อมยื่นของฝากให้ด้วยยิ้มละไม 

วันเวลาผ่านไป หนุ่มสาวตักตวงความประทับใจมากมายไว้ในกล่องความรู้สึก เสียงธารน้ำรินไหลเซาะโขดหินพลิ้วไหวดุจดนตรีแสนหวาน ผีเสื้อประจงจุมพิตดอกไม้ป่า นกน้ำย่างกรายริมบึง สายลมโชยชายทุ่ง ท้องฟ้าประดับว่าวย้ายโยกลีลา สกุณาขานขับ แต่เหมือนยิ่งตักตวงมากเท่าได กับยิ่งถวิลหาเท่าทวี กล่องความรู้สึกของคนเราคงใส่โลกใบเขื่องได้หลายใบนั้นไม่ผิดนัก ยิ่งวันจากใกล้เข้ามา ดอกหญ้าแทบอยากไปห้ามพระอาทิตย์ เหมือนหนุมานในรามเกียรติ์ที่เคยอ่าน 
พรุ่งนี้ดอกหญ้าก็คงกลับไปกรุงเทพแล้วสินะต้นข้าวทำลายความเงียบลง ดอกหญ้ายังเหม่อมองท้องฟ้า ปุยเมฆแปรรูป แรกเป็นราชสีห์ มองอีกทีคล้ายสุนัข อีกก้อนเข้ามาสมทบ ผสานเป็นรูปหัวปรากฏบนท้องฟ้าหน้าฉากฟ้าคราม  
ต้นข้าว เราถามอะไรหน่อยสิ เธอมีคนรักหรือยังดอกหญ้าถามทีเล่นทีจริง
หัวใจคนถูกถามพองโต ตลอดเวลาดอกหญ้าไม่เคยพูดเรื่องความรักกับต้นกล้า ทั้งที่เขาอยากพูด แต่วันนี้อีกฝ่ายเปิดทาง 
ดอกหญ้าก็น่าจะรู้นะชายหนุ่มตอบหยั่งเชิง 
ดอกหญ้าขมวดคิ้ว ฉงนกับคำตอบของต้นข้าว 
เราจะรู้ได้ยังไงล่ะ เรามาที่นี่ยังไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำรูปหัวใจบนท้องฟ้าสลายไป
ถ้าอายก็ไม่ต้องบอกก็ได้ แต่งานแต่งอย่าลืมเราก็แล้วกันดอกหญ้าปิดทาง
น้ำคำที่ได้รับ ดุจน้ำเย็นเฉียบราดลงเหล็กเผาไฟสีแดงใส เสียงซ่าพร้อมควันสีขาวขุ่นพวยพุ่งสู่เบื้องสูง หัวใจแห่งรักเพาะบ่มด้วยอุ่นไอความหวัง ความเร่าร้อนและแรงเพรียกหานำพาหัวใจให้สุกงอมเมื่อดอกหญ้าหวนกลับมา แต่เขากลับได้รับน้ำแข็งเป็นกำนัลตลอดเวลาที่อยู่กับเธอ อายเย็นแห่งความสนิทสนมดูดซับแรงถวิลหาให้เฉื่อยชาลงทีละนิด มิตรภาพวัยเยาว์ฉายกระจ่างชัด บดบังนิยามรักแห่งหนุ่มสาวแล้วสิ้น 

ต้นข้าวนึกย้อนไปหลายปีก่อน ใต้ร่มจามจุรีนี้ ดอกหญ้าคงตั้งหน้าทำช่อดอกไม้จากดอกหญ้าสีต่างๆ ขณะที่เขาจะบรรเลงเพลงปี่ที่ทำมาจากต้นข้าวขับกล่อม เพลงปี่ของเขาไม่ธรรมดาเลย หากใครได้ยินเสียงจำต้องหลับทุกราย โดยเฉพาะตัวเขาเอง พอตื่นขึ้นมาก็จะเห็นช่อดอกไม้หลายช่อวางอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นของเขา แม้ดอกหญ้าจะเหี่ยวแห้งไปตามกาล แต่ความรู้สึกดีๆนั้นหาได้อับเฉาไป ยิ่งนานวันยิ่งเพิ่มทวี 

มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว ว่าแต่เธอก็เหมือนกันล่ะ อย่าลืมบอกเราแล้วกันต้นข้าวพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มใส อีกฝ่ายพลอยยิ้มตาม เสียงหัวเราะระคนความสุขจึงปกคลุมท้องทุ่ง
อาทิตย์คล้อยต่ำลง เมฆสีแดงเป็นริ้วเด่นชัด ลมเย็นพัดเบาๆ ดอกหญ้าสีขาวโอนไหว  ข้าวใบเรียวสีทองเข้มไหวระริก 
เดี๋ยวเราจะไปเด็ดดอกหญ้ามาทำช่อดอกไม้ให้นะ
อย่าเลย ถ้าเราเด็ดดอกหญ้ามา ไม่นานก็จะเหี่ยวแห้งไป สู้ให้ดอกหญ้าได้ชูไสวอย่างอิสระ เพื่อเราจะได้ชื่นชมความงามของดอกหญ้าทุกวัน แสงสุดท้ายแห่งวันสิ้นสุด ดอกหญ้าบนคันนายังไหวระริกเช่นเดียวกับต้นข้าวอร่ามท่ามกลางแสงจันทร์				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกฤตศิลป์ ชินบุตร