27 ธันวาคม 2551 13:37 น.

::ฝนในหนาว::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

อากาศปลายเดือนธันวาคมหนาวเย็น จนควันไฟที่ลอยเรี่ยอยู่ทั่วไปตามหมู่บ้านชนบทเคล้ากันแทบเป็นสายเดียวกับหมอกฟ้าที่เรี่ยพื้น ผู้เฒ่าและเด็กน้อยต่างละจากที่นอนและผ้าห่มผืนบางมานั่งล้อมกองไฟที่สุมขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ให้ความอบอุ่นได้ต่อเนื่องและค่อนข้างนาน

หลายวันก่อนลมหนาวพัดแรงจนแนวไผ่ไหวเอน ลมอย่างนั้นทำไผ่สีกอระรัวฟังคล้ายกับใครบางคนสะอึกแกมสะอื้นในบางคราวที่เหงาและหมองหม่นยิ่ง

 วานซืนอากาศก็ยังเป็นอย่างนั้นแต่วันนี้ท้องฟ้ากลับเปลี่ยนแปลงไป  เมฆดำแกมหมองแผ่เป็นแนวบาง ๆ คลุมไปทั่วท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แล้วฝนก็พรำลงมาจนแม้แต่คนหนุ่มบางคนยังถึงกับสะบัดหนาว   

นั่นเองที่ทำให้กองไฟในที่โล่งหลายแห่งต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ใต้เพิงหมาแหงนใกล้คอกวัวแทน

     "อากาศมันเปลี่ยนไวอย่างนี้    ผู้เฒ่าผู้แก่ลำบากแย่เลย .. เอ้านี้ข้าวจี่สุกแล้ว" 
 
     "ขอบใจจ้ะ..เด็กก็เป็นหวัดเป็นไข้กันแยะมาก ใครไม่มีเสื้อหนาวยิ่งลำบาก"

     "หลายปีก่อนแถวบ้านเรามีคนเอาเสื้อหนาวมือสองราคาถูกๆมาขายหาซื้อที่ไหนก็ได้"

      "สองปีมานี้พวกพ่อค้าหันไปขายพวกของกินกันหมด..หนังเค็มคงจะสุกแล้วมั้ง"

      "อืม..กลิ่นหอมเชียว  เดี๋ยวฉันจะทุบหนังวัวเผานี้ให้เอง  กินกะแจ่วปลาร้าอร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ    เออมันเทศก็สุกแล้วด้วย  ว่าแต่ว่ามีใครอยากจิบวิสกี้ข้าวเหนียวกะหนังเค็มไหม  ฉันจะยกมาให้"

      "ยกมาเลย "

      วงสนทนาของคนวัยกลางคนสามคนดำเนินไปท่ามกลางกลิ่นควันไฟเคล้ากลิ่นหนังวัวเผา แจ่วปลาร้าและวิสกี้ข้าวเหนียว   ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก

      "พี่ไปทำงานที่ไหนต่อหลังจากแยกทางกับหน่วยงานเก่า"

      "ก็ไปรับจ้างฝรั่งทำงานอยู่แถวใกล้เขื่อนน้ำงึมของลาว  พอเขาหมดงบจ้างก็ไปทำงานกับหน่วยงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ"

       "แล้วพี่สะใภ้ล่ะ"

       "เขาก็ยังทำงานอยู่ที่เก่า  ลูกชายตอนนี้ก็แต่งงานไปแล้วและไปอยู่บ้านเมีย เหลือลูกสาวอีกคนอยู่กับแม่ของเขา"

       "เราไม่ได้เจอกันสิบกว่าปีแล้วนี่เนาะ  ผมกับแฟนดีใจมากเลยที่พี่แวะมาเยี่ยม"

        "พี่ก็ดีใจ   พอดีหน่วยงานใหม่ของพี่เขามาเปิดงานแถวนี้ก็เลยคิดถึงพวกเอง นี่ได้น้องกี่คนแล้วล่ะ"

        "ยังไม่มีน้องเนิ้งซักคนเลยพี่"

        "เออ..ว่าไปแล้วมันก็ดีอีกแบบหนึ่ง   คือไม่ต้องพะวักหน้าพะวงหลังกับภาระแบบคนเป็นพ่อแม่"

        "แต่บางทีมันก็เหงา   เราคิดว่าถ้ามีลูกคงมีอะไรทำร่วมกันเยอะแยะ"

        "เอ็งสองคนใครเป็นหมันล่ะ"

        "คงเป็นหมันทั้งคู่ค่ะ"

        "งั้นก็อย่าไปซีเรียสเรื่องลูกเลย   มีอะไรให้ทำสนุกเยอะแยะไปอีกอย่างก็ไม่ต้องห่วงเรื่องลูกด้วย"

        "อ้าว..ทำไมล่ะคะ"

        "ก็เด็กทุกวันนี้   ถ้าเราเลี้ยงเขาด้วยเงินอย่างเดียวโดยไม่มีเวลาดูแลอบรมนิสัยใจคอก็จะเสียผู้เสียคนได้ง่ายดาย  อย่างที่พวกเราเห็นในข่าวทุกสื่ออยู่ทุกวัน"

        "อ๋อ..เข้าใจค่ะ   แถว ๆ ชนบทบ้านเราก็เป็นแบบในข่าวแล้วหลายราย  เรียนยังไม่จบท้องป่องกันซะแล้ว  เสร็จแล้วก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก  เดือดร้อนพ่อแม่ต้องรับกรรมจากความสนุกชั่วประเดี๋ยวประด๋าวของตัวเอง"

          "พี่เคยเก็บข้อมูลวิจัยว่าทำไมเด็กจึงท้องในวัยเรียนกันมาก"

          "ได้คำตอบว่ายังไงหรือครับ"

           "เด็กเขาบอกว่า  พ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่ด้วย  ไปหาเงินต่างถิ่น  อยู่กับยาย  ยายก็ไม่มีเวลาติดตามสอดส่องดูแล   ครูก็ไม่มีเวลาอบรมนิสัยใจคอ   ทุกคนไม่มีเวลาสำหรับเด็ก  สื่อก็โฆษณาลงไปทำให้เด็กเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมชวนให้ชิงสุกก่อนห่าม  เด็กเลยเอาอย่าง"

           "โอ..มันเหมือนทุกคนโดนตบหน้าฉาดใหญ่เลยนะคะเนี่ย"
  
           "พี่ก็คิดอย่างนั้น    แต่ดูเหมือนไม่มีใครกลับมาทบทวนตัวเองกันเลย  มีแต่วิ่งไปข้างหน้า  ตะกายฝันว่าจะร่ำรวย  โดยที่ไม่คิดว่า   วันนั้นคิอวันที่ได้สูญเสียคุณค่าของความสุขของครอบครัวไปแล้ว"


            "มีคนเคยถามผมว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร"


            "แล้วเอ็งตอบเขาว่าอย่างไร"


            "ผมไม่มีคำตอบสำหรับเขา   ผมมีแต่คำถาม     ผมถามว่าทำไมพ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกด้วยเงิน    ทำไมพ่อแม่ต้องไปจากบ้าน   ทำไมครูอาจารย์จึงสอนแต่หนังสือแต่ไม่สอนชีวิต  สื่อสารมวลชนจึงคิดถึงแต่เงินไม่คิดถึงคุณภาพของสังคมไม่คิดถึงคุณธรรมจริยธรรมของสังคมและอีกหลายคำถาม"


             "แล้วเขาตอบเองไหม"

             "ไม่ครับ"


             "นั่นไง   ทุกคนก็เหมือนกันตรงที่เรียกร้องเอาคำตอบจากคนอื่น  เรียกร้องคาดหวังให้คนอื่นเป็นฝ่ายแก้  โดยที่ตัวเองก็ไม่ลงมือทำ   คำตอบมันง่ายนิดเดียว   เริ่มตรงไหนก่อนก็ได้ เพราะมันกระทบกันไปหมด"


              "งั้นอันแรก  หยุดเลี้ยงลูกด้วยเงินนั้นก็ได้"

              "ใช่..ก็ได้   ถ้าเราเลิกให้เงินมีคุณค่ากว่าความเป็นมนุษย์เราก็จะมองมันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป  เราจะมองคนรวยแต่ขี้โกงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป  เราจะมองการเลี้ยงลูกด้วยเงินของเราเองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป  เราจะกลับมาสนใจคนในครอบครัวมากขึ้น  เลี้ยงดูเขา  เอาใจใส่ได้มากขึ้น"

              "สังคมเลวร้ายไม่ใช่เราไม่มีส่วนทำให้มันเลวร้าย"

              "ถูกต้อง...  เราแห่ไปตาม ๆ กัน   เห็นอ้ายหมอนั่นรวยก็อยากรวยอย่างมัน  นับถือมันทั้งที่มันฉ้อฉลเอาจากคนอื่น ๆ ดิ้นรนสายตัวแทบขาดเพื่อที่จะรวยจนลืมถามลูกว่า  จริง ๆ ลูกต้องการความรักความเอาใจใส่ดูแลหรือต้องการแค่เงิน"

               "อา...ผมเห็นแจ้งแล้วจริง ๆ หนอ    แต่ว่าสังคมของเราไปไกลมากเลยนะครับ"

                "ใช่..มันไปไกลมาก   จนไปเห็นทางตัน   ไม่กลับก็ไปต่อไม่ได้"


                "หนทางเดียวที่เหลืออยู่คือหันกลับมาทบทวน   สถานการณ์มันบีบทุกคนเอง"



               "ถูกต้อง...."				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์