8 มกราคม 2553 09:42 น.

หนาวสุดขั้ว...ผลจากโลกร้อน

คีตากะ

       ภายหลังจากความล้มเหลวของการประชุมของบรรดาเหล่าผู้นำจากประเทศต่างๆทั่วโลกว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ความหนาวเหน็บแบบสุดขั้วในบริเวณทวีปทางเหนือไม่ว่าจะเป็น ที่กรุงโคเปนเฮเกนเอง บริเวณทางตอนเหนือและตะวันตกของสหรัฐ ทวีปยุโรป เอเชียเหนือ อย่างจีน เกาหลี เรื่อยลงมาจนถึงอินเดียตลอดจนภาคเหนือและอีสานของประเทศไทย ก็ติดตามมา หลายประเทศต้องพบกับสิ่งที่เรียกว่าความหนาวเย็นแบบสุดขั้วจากภาวะโลกร้อน ฟังๆดูค่อนข้างจะงุนงง ความเย็นจัดกับโลกร้อนมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน ถ้าคุณเคยดูภาพยนต์เรื่อง The Day After Tomorrow คงพอจะทราบดีว่ามันเป็นเรื่องราวใดกันแน่ บางคนเห็นหิมะตกหนักในหลายประเทศถึงกลับกล่าวว่า ภาวะโลกร้อนได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งที่ความจริงก็คือว่าปรากฏการณ์เหล่านี้ต่างก็เป็นผลมาจากโลกร้อนทั้งสิ้น รองถามกูรูต่างๆ ก็จะทราบดี ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องที่จะมาสร้างสถานการณ์ให้ใครต้องหวาดวิตก แต่คือความจริงที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้เพราะมันเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของมนุษย์เองไม่ใช่การสร้างกระแสเหมือนการปั่นหุ้น เพราะนี่คือหายนะที่ต้องเข้าใจและสามารถร่วมใจกันแก้ปัญหาได้ก่อนที่มันจะสายเกิน การเพิกเฉยนั่นแสดงว่าเรายอมให้ภัยพิบัติต่างๆเกิดขึ้นกับทั้งตัวเราและญาติมิตรของเราอย่างเลือดเย็นทั้งที่สามารถยับยั้งมันได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเราโดยใช้หลักเหตุและผลประกอบการพิจารณา
              The Day After Tomorrow เป็นเรื่องราวที่นักวิทยาศาสตร์จำลองเหตุการณ์ขึ้นจริงจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อนนั่นเอง เมื่อน้ำแข็งทางตะวันตกของทวีปแอนตาร์กติกาบริเวณขั้วโลกใต้ ได้หลุดตกลงจากหิ้งน้ำแข็งที่ชื่อว่าลาร์เซน-บี ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ารัฐโรดไอส์แลนด์ของสหรัฐฯหรือใหญ่กว่ากรุงเทพฯถึง ๒ เท่า เมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๒ และละลายหายไปในมหาสมุทรเพียงแค่ ๓๕ วัน มันได้สร้างความตกตะลึกให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ทั้งที่พวกเขาคิดว่ามันควรจะอยู่อย่างนั้นได้อีกนับ ๑๐๐ ปี แต่แล้วมันก็ละลายหายไปหมดเพียงพริบตา นักวิทยาศาสตร์ได้จินตนาการต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาและได้สร้างเป็นภาพยนต์โด่งดังฉายไปทั่วโลกและเงียบหายไป จนใครๆก็ต่างคิดว่ามันเป็นจินตนาการมากกว่าความจริง แต่ขณะนี้เรื่องราวในภาพยนต์เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน การละลายอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกทำให้กระแสน้ำอุ่นชะลอตัวลง การที่กระแสน้ำในมหาสมุทรเกิดการหมุนเวียนได้ก็เพราะมีแรงขับเคลื่อนมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลนั่นเอง กระแสน้ำจะรับความอุ่นจากบริเวณเส้นศูนย์สูตรซึ่งอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด มันจะไหลอยู่บริเวณผิวน้ำเพื่อเดินทางนำพาความอบอุ่น ความชื้น ออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกโดยจะไปแลกเปลี่ยนหรือคายความร้อนบริเวณขั้วโลกเหนือ-ใต้ ซึ่งมีน้ำแข็งที่เย็นจัดปกคลุมอยู่ น้ำจะเปลี่ยนกลายเป็นเย็นจัดจากน้ำแข็งและจมตัวลงสู่ก้นมหาสมุทรเรียกว่ากระแสน้ำเย็น จากนั้นจะเดินทางในทิศตรงกันข้ามกับกระแสน้ำอุ่นหมุนเวียนเป็นวัฏจักรอย่างนี้มายาวนาน จนกระทั่งเมื่อน้ำแข็งได้ละลายอย่างรวดเร็ว เมื่ออุณหภูมิฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น ทะเลเริ่มอุ่นขึ้นกว่าเดิม ปรากฏการณ์ในภาพยนต์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะน้ำแข็งกำลังละลายและทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรชะลอตัวช้าลงเนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิน้อยลงและเกิดการเสียสมดุลระหว่างน้ำเค็มในทะเลกับน้ำจืดจากน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย ถ้ากระแสน้ำหยุดหมุนเวียนจะทำให้บางพื้นที่ร้อนเกินไปและบางแห่งหนาวเย็นเกินไปจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ในฤดูหนาวทางตอนบนของทวีปแกนโลกจะเอียงออกห่างจากดวงอาทิตย์ทำให้หนาวเย็น ในขณะที่บริเวณเส้นศูนย์สูตรยังคงรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ต็มๆ มวลอากาศเย็นจากตอนเหนือของทวีปตั้งแต่ไซบีเรียลงมาจะมีกำลังแรงพัดลงสู่ทางใต้สู่บริเวณเขตร้อนนำพาอากาศที่เย็นจัดลงมาด้วย ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิระหว่างร้อนกับเย็นบนพื้นแผ่นดินมีมากกว่าน้ำทะเล เพราะแผ่นดินจะรับความร้อนได้น้อยกว่ามหาสมุทรทำให้มันมีอุณหภูมิสูงกว่ามาก มวลอากาศร้อนจัดที่ลอยตัวสูงขึ้นจะถูกแทนที่ด้วยมวลอากาศเย็นที่ทั้งเร็วและรุนแรงทำให้สิ่งมีชีวิตปรับตัวไม่ทันและถึงขั้นหนาวตาย สภาพอากาศมีความรุนแรงจากการที่โลกร้อนขึ้นสำหรับประเทศไทยทำให้ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือทวีความรุนแรงขึ้น มันจะพัดพาความเย็นจากประเทศจีนสู่ภาคเหนือและอีสานของไทย ด้วยกลไกธรรมชาติจากแผ่นดินที่ร้อนขึ้นนี้เองมวลอากาศเย็นจึงพัดมาแทนที่อากาศร้อนอย่างรุนแรงประกอบกับภาวะโลกร้อนทำให้อากาศมีความชื้นมากจาการระเหยของน้ำทะเลและแหล่งน้ำต่างๆ รวมทั้งน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือ ในขณะที่กระแสน้ำอุ่นที่นำพาความชื้นไปบริเวณตอนบนของทวีปเริ่มจะชะลอตัวลงผลก็คือมวลอากาศเย็นปะทะกับความชื้นจากภาวะโลกร้อนทำให้เกิดหิมะตกหนักบริเวณต่ำลงมาใกล้เส้นศูนย์สูตรมากขึ้นบางประเทศที่ไม่เคยมีหิมะตกก็กลับมีหิมะตกสร้างความตื่นตกใจให้กับประชาชนในประเทศนั้นๆ  ความรุนแรงของมรสุมทางตอนบนที่ปะทะกับความชื้นอย่างฉับพลันทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็วต่ำกว่าจุดเยือกแข็งโดยบางแห่งติดลบถึง ๓๐ องศาเซลเซียส
                   ภาวะโลกร้อนไม่เพียงทำให้พายุทวีความรุนแรงเท่านั้น ยังทำให้ฝนตกหนัก และหิมะตกหนักอีกด้วย ปรากฏการณ์แบบสุดขั้วเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นทั่วโลกเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ขณะที่ตอนบนเกิดพายุหิมะรุนแรง ทางใต้บริเวณใกล้เส้นศูนย์กลับประสบกับฝนตกหนักจนน้ำท่วม ภัยแล้ง และไฟป่าขั้นรุนแรง แม้ความหวังในการแก้ไขปัญหาการปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงและเกิดบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ จะดูริบหรี่จากการประชุมครั้งล่าสุดเกี่ยวกับสภาพอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อข้อตกลงของเหล่าผู้นำประเทศต่างๆ กำหนดขอบเขตที่กว้างมากจนยากแก่การจับต้องและไม่มีผลบังคับทางกฏหมายที่เป็นรูปธรรม แต่เราในฐานะมนุษย์ผู้มีส่วนร่วมในปัญหาโลกร้อนก็ควรได้ร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาเท่าที่กำลังจะทำได้ไปก็แล้วกัน ทัศนคติด้านบวกเป็นสิ่งสำคัญในห้วงเวลาแห่งวิกฤติ แต่ก็ควรมีความรอบคอบโดยอาศัยข้อมูลที่เป็นความจริงและเชื่อถือได้เพื่อที่เราจะไม่มาสำนึกเสียใจภายหลัง เมื่อเรามีโอกาสที่แก้ปัญหาแต่เรากลับเพิกเฉย.....




attachment.php?attachmentid=515305&stc=1				
8 มกราคม 2553 07:10 น.

คิดว่าฝันไป...

คีตากะ

        อดีตคือสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว...อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง...ปัจจุบันคือสิ่งที่กำลังดำเนินต่อไป...แต่มีคนกล่าวว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตคือห้วงเวลาที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอยู่ทุกขณะ...แม้ข้าพเจ้าจะยังงุนงงกับปัญหาเหล่านี้และยังคงไม่มีเวลาไปคิดค้นอะไรเกี่ยวกับความต่อเนื่องของเวลาในแบบซ้อนทับกันในแนวดิ่งซึ่งมันอาจไม่ใช่เป็นแบบในแนวเส้นตรงเหมือนกับที่ข้าพเจ้าเคยเรียนมาและทุกๆคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทฤษฏีที่ดูเหมือนจะอธิบายเรื่องราวของเวลาได้ดีที่สุดน่าจะเป็นของไอสไตน์ แต่พอข้าพเจ้าไปหาตำราของเขามาอ่านกลับยิ่งงวยงงมากขึ้นไปอีก ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโลกและไม่อยากครุ่นคิดถึงมันมากนัก จนอยากลืมไปว่าอนาคตของโลกต่อไปจะเป็นเช่นไรพร้อมกับการหลับตาลงพักผ่อนลืมเรื่องราวทุกอย่างให้สิ้น...คุณอู๋พลันมาหาข้าพเจ้าในวันหนึ่ง...
                         คุณอู๋เป็นชาวไต้หวันที่มาลงทุนเปิดบริษัทในประเทศไทยนับเวลากว่า ๑๐ ปีมาแล้ว หลายครั้งที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เข้าไปช่วยงานที่บริษัทผลิตน้ำมันพืชจากปาล์มของคุณอู๋ เมื่อถูกร้องขอ เราก็เป็นเสมือนพี่น้องกัน เรารู้จักกันผ่านเพื่อนๆ ที่ช่วยแนะนำให้ คุณอู๋ขับรถจากกรุงเทพฯมาพบข้าพเจ้าที่จังหวัดกาญฯในวันหนึ่งอย่างเร่งด่วน เมื่อพูดจาต้อนรับตามมารยาทแล้วคุณอู๋ก็เริ่มต้นเข้าประเด็น....
         คุณคงจะพอทราบข้อมูลจากท่านอาจารย์มาบ้างแล้ว ผมจะไม่อ้อมค้อม คุณอู๋กล่าว ผมพยักหน้า คุณอู๋กล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า
          ผมได้เดินทางไปที่ไต้หวันและเข้าไปดูงานก่อสร้างอุโมงค์ของพวกเขา คนไต้หวันเขาตื่นตัวกว่าพวกเราเยอะ เขาจัดทำอุโมงค์เสร็จตั้งแต่ ๒ ปีที่แล้ว และบางส่วนกำลังมีการก่อสร้างเพิ่มเติม งานค่อนข้างเร่งด่วน ผมพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบรับ 
        นักวิทยาศาสตร์ไต้หวันคำนวณว่าตัวเลขของระดับความสูงที่ใช้ในการก่อสร้างอุโมงค์อยู่ที่ความสูง ๑๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล จึงจะปลอดภัย ประเทศไต้หวันเป็นเกาะซึ่งพวกเขาต้องเผื่อตัวเลขไว้สูงๆ เพื่อความปลอดภัยมากกว่าที่อื่นๆ  คุณอู๋กล่าวเสริม
          ประเทศไทยก็ติดกับทะเล ข้าพเจ้าออกความเห็น
         ใช่ นั่นเองผมจึงคิดว่าผมจะใช้ตัวเลขเดียวกันกับที่ไต้หวัน ผมเปิดแผนที่พบว่าภาคอีสานเกือบทั้งหมดใช้ได้ ส่วนภาคเหนือต้องเริ่มต้นที่จังหวัดอุตรดิตขึ้นไปจึงจะปลอดภัย คุณอู๋อธิบายและกล่าวต่อ
         ผมพอจะมีพื้นที่สำหรับขุดอุโมงค์แล้ว ขาดก็แต่ความรู้ด้านเทคนิคเกี่ยวกับการดำเนินงาน 
          เช่นอะไรครับ ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย
          วิธีการขุดเจาะ เครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ เพราะผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้ คุณอู๋ตอบและกล่าวต่อไปว่า
           การจะจ้างคนอื่นทำทั้งหมดก็จะต้องใช้งบประมาณลงทุนสูงจนเกินไป เราต้องประหยัดที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกขบขันในใจ เพราะทราบดีว่าคุณอู๋ขึ้นชื่อเรื่องนี้เป็นที่สุด บางทีคำว่าประหยัดอาจใช้กับคุณอู๋ไม่ได้น่าจะเป็นขี้เหนียวมากกว่า ข้าพเจ้าครุ่นคิดในใจ
           ผมรู้ว่าคุณทำงานเกี่ยวกับเหมืองแร่ ซึ่งน่าจะมีความรู้มากกว่าผมในเรื่องนี้ อย่างน้อยก็แนะนำให้รู้จักกับผู้เชี่ยวชาญด้านการขุดเจาะในบริษัทของคุณ คุณอู๋กล่าวแกมขอร้อง
           ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง ชื่อพี่ชาญ ทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายเหมืองแร่ อยู่กับการขุดเจาะ ระเบิดมากว่า ๒๐ ปี แต่ไม่รู้ตอนนี้จะว่างหรือเปล่า คุณอู๋มากระทันหันไม่ได้บอกก่อน แต่บ้านของพี่ชาญอยู่ไม่ไกลจากนี้ นี่ก็มืดค่ำแล้ว เดี๋ยวผมจะลองไปเรียกที่บ้านดู คุณอู๋รอสักครู่ ข้าพเจ้ากล่าวพร้อมกับลุกเดินออกไป
ข้าพเจ้าพบพี่ชาญกำลังนั่งซดเหล้าอยู่หน้าบ้านกับเด็กนักศึกษาฝึกงานอยู่พอดี เลยขอเวลาแกสักครู่หนึ่ง ทั้งที่รู้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยเหมะสมเท่าไหร่ แต่โชคดีที่แกยอมมาด้วย พี่ชาญมาถึงโต๊ะนั่งหน้าบ้านข้าพเจ้าพร้อมกับกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง ข้าพเจ้าแนะนำให้รู้จักกับคุณอู๋ก่อนจะเริ่มเรื่องเจรจา
           ถ้าเป็นพื้นหินหรือภูเขาหิน ผมพอจะแนะนำให้ได้ แต่ถ้าเป็นที่ๆเป็นดิน อันนี้ผมไม่เชี่ยวชาญครับ พี่ชาญกล่าวภายหลังจากทราบเจตนาการมาของคุณอู๋
          ผมไม่มีความรู้เรื่องธรณีเสียด้วย เอาแบบนี้นะกันขอเวลาผมไปสำรวจก่อนว่าพื้นที่เป็นหินหรือดิน แล้วผมอาจจะมาขอความช่วยเหลือจากคุณ คุณอู๋กล่าว
         ยินดีครับ พี่ชาญตอบด้วยอาการมึนเมาเล็กน้อยจากฤทธิ์สุรา คุณอู๋สอบถามอีกสองสามเรื่องก่อนที่พี่ชาญจะขอตัวกลับไปดวนเหล้าต่อเพราะเดี๋ยวจะขาดความต่อเนื่อง ก่อนที่อารมณ์ของแกจะไม่ดีไปกว่านี้ คุณอู๋เข้าใจสถานการณ์ดีจึงไม่ซักถามอะไรมาก
         คุณอู๋คิดว่าจะสร้างอุโมงค์แบบไหน ข้าพเจ้าเริ่มซักถามด้วยความสงสัย
         เงื่อนไขของเราก็คือว่า หนึ่ง อุโมงค์จะต้องอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า ๑๐๐ เมตรขึ้นไป เพื่อป้องกันน้ำทะเลท่วมถึงเมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายหมด ซึ่งคาดว่าน่าจะประมาณ ๗๐ เมตร ถ้ารวมน้ำแข็งทั้งขั้วโลกเหนือและใต้ คุณอู๋หยุดเล็กน้อยจึงกล่าวต่อ
         ประการที่สอง จะต้องขุดให้ลึกกว่า ๓-๖ เมตรหรือ ๑๐ เมตรจากผิวดินเพื่อป้องกันก๊าซพิษจากทะเล มลพิษทางอากาศต้องไม่สามารถซึมเข้าไปสู่ภายในอุโมงค์ได้ ไม่อย่างนั้นทุกชีวิตจะอันตราย 
          แล้วเราจะไม่ขาดออกซิเจนเพื่อหายใจหรือครับ ข้าพเจ้าตั้งคำถาม
           เราจะต้องผลิตอากาศใช้เอง บทเรียนจากดาวอังคาร พวกเขาใช้เครื่องมือที่ทันสมัยกว่าเราในการอาศัยอยู่ใต้ดิน ก่อนที่ก๊าซพิษจะทำอันตรายพวกเขาในเวลาเพียง ๒ เดือน บางส่วนได้อพยพลงสู่ใต้ดินได้ทัน ซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ที่รอดแค่ ๕ เปอร์เซนต์เท่านั้น สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่สูญพันธุ์ในทันที ทั้งที่ก่อนหน้าหายนะจะเกิด ได้มีการเตือนเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีใครรับฟังหรืออาจจะฟังแต่ก็ไม่มีใครเตรียมพร้อมอย่างจริงจัง  คุณอู๋หยุดเล็กน้อยก่อนจะอธิบายต่อว่า
             การอาศัยอยู่ใต้ดินเป็นเรื่องยากของมนุษย์ที่มีความสะดวกสบายทางวัตถุในยุคที่เทคโนโลยี่อำนวยความสะดวกถึงจุดสูงสุด ภายหลังจากที่มนุษย์ดาวอังคารบางส่วนหนีลงสู่ใต้ดินได้ทันก่อนช่วงเวลา ๒ เดือนแห่งการทำลายล้าง พวกเขาพบกับอุปสรรคมากมายตามมาทำให้พวกเขาลมตายมากขึ้นจาก ๕ เปอร์เซนต์ จึงเหลือเพียง ๐.๒ เปอร์เซนต์ในเวลาต่อมา
           เพราะอะไรครับ ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
          มีแก๊สบางส่วนรั่วเข้าไปในอุโมงค์ที่พวกเขาขุดเอาไว้ บางส่วนขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม และบางส่วนไม่สมารถปรับตัวได้ทันกับการที่ต้องอาศัยอยู่ใต้ดิน ผู้ที่เหลือรอดบางคนจึงต้องขุดลึกลงไปอีกเรื่อยๆ บางส่วนก็เจอกับดินถล่ม คุณอู๋ถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อว่า
         ส่วนผู้ที่เหลือรอดจริงๆ ค่อนข้างฉลาดกว่า พวกเขาขุดอุโมงค์เตรียมไว้ในที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง ลึกอย่างต่ำ ๓ เมตร และอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดิน 
           ทำไมถึงต้องขุดใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดินหล่ะครับ ข้าพเจ้าสอบถาม
            เพราะพวกเขามีอุปกรณ์ที่ทันสมัยสามารถแยกก๊าซออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจจากน้ำใต้ดิน คุณคงพอจะทราบว่า น้ำประกอบด้วยไฮโดรเจน ๒ อะตอมกับออกซิเจน ๑ อะตอม นั่นเองทำให้พวกเขามีออกซิเจนเพียงพอที่จะใช้ในการหายใจ คุณอู๋อธิบาย
            เราก็เช่นเดียวกันต้องมีอุปกรณ์สำหรับผลิตออกซิเจน ประการถัดมาคือ จะต้องติดตั้งเครื่องฟอกอากาศเพื่อป้องกันก๊าซพิษรั่วซึมด้วย อุโมงค์ต้องเป็นระบบปิดน้ำและอากาศจะรั่วซึมเข้าไปไม่ได้ แต่เราก็จะต้องเตรียมการณ์ไว้ป้องกัน โดยจะต้องขุดดินทำเป็นอุโมงค์ ๒ ชั้น เพื่อป้องกันน้ำท่วมชั้นล่าง เราก็ยังอาศัยอยู่ชั้นบนได้ แต่ผมคิดว่าจะติดตั้งปั๊มเพื่อสูบน้ำเอาไว้หลายๆตัวเหมือนกับระบบของรถไฟฟ้าใต้ดินเอาไว้ด้วย คุณอู๋กล่าว
             คุณอู๋จะใช้น้ำมันหรือไฟฟ้าจากไหนครับ เพราะปั๊มน้ำก็ต้องใช้ไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิง ข้าพเจ้าถามแทรกก่อนที่คุณอู๋จะอธิบายต่อ
              แน่นอนผมคิดว่าข้างบนผมจะติดตั้งแผ่นโซล่าเซล(พลังงานแสงอาทิตย์) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์เอาไว้ด้วย หรือไม่ก็ติดกังหันลมเพื่อปั่นไฟใช้ภายในอุโมงค์ให้เพียงพอ แต่ต้องมีการวางระบบสายไฟและระบบท่อทางต่างๆให้ดี ส่วนการซ่อมบำรุง อาจจะต้องจัดเตรียมชุดป้องกันก๊าซพิษและถังออกซิเจนเพื่อใช้ในเวลาอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าข้างบนเกิดขัดข้าง ซึ่งจะได้ศึกษารายละเอียดต่อไป คุณอู๋อธิบายเสียยืดยาว
             จากข้อมูลก๊าซพิษ มีเทนที่จะผุดจากทะเล มันจะใช้เวลากว่า ๑๐ ปีในการปนเปื้อนอยู่ในอากาศ ซึ่งแน่นอนมันติดไฟได้ แค่เพียงฟ้าผ่าครั้งเดียว ก๊าซมีเทนจะติดไฟระเบิด มันจะมีอานุภาพเทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ทีเดียว บนผิวโลกจึงอันตรายมาก แต่พวกเราอยู่ใต้ดินจะไม่มีปัญหา ปัญหาคือเราจะอดทนอยู่ใต้ดินเป็นเวลาถึง ๑๐ ปีได้หรือเปล่าจะต้องตุนเสบียงทั้งอาหารและน้ำดื่มเท่าไรจึงจะพอ แต่ถ้าเราอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดินก็จะช่วยเรื่องน้ำดื่มได้ แต่อาหาร เราคงต้องคิดหาวิธีปลูกพืชผักกินเอาเอง
            ภายในใต้ดินคงไม่มีแสงอาทิตย์ พืชจะโตบโตได้หรือครับ ข้าพเจ้าถามต่อ
            นั่นคือปัญหาอีกข้อหนึ่ง ชาวดาวอังคารสามารถผลิตดวงอาทิตย์ใช้เองได้ ทำให้พวกเขาสามารถปลูกพืชผักกินเองสบาย แต่เทคโนโลยี่ของมนุษย์เราอาจยังไม่ถึงขั้นนั้น เราต้องมาช่วยกันคิดอีกเยอะ เรายังพอมีเวลา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ผมจะใช้อุโมงค์ที่ประเทศไต้หวันเป็นแบบอย่าง เพราะเขาพัฒนากว่าเราเยอะ ถ้าติดปัญหาตรงไหนผมจะบินไปดูงานเอง คุณอู๋ทำท่าเหมือนใช้สมองครุ่นคิด เสียงพูดคุยเงียบหายไปพักใหญ่ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตั้งคำถามทำลายความเงียบขึ้น
             ผมจะช่วยอะไรได้บ้างครับ
             คุณต้องช่วยประสานงาน แล้วผมจะติดต่อกลับมาอีกที วันนี้ต้องขอบคุณคุณมากที่ช่วยแนะนำข้อมูลและช่วยแนะนำคุณชาญให้ผม ผมคิดว่าอนาคตอาจจะขอความช่วยเหลือจากเขาก็ได้ คุณอู๋กล่าว
             เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว ข้าพเจ้ากล่าว
                               คุณอู๋จากไปพร้อมกับความมืดของค่ำคืนที่ยาวนาน ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนเช้าตื่นขึ้นมาเพื่อจะที่ไปทำงานตามตามปกติ ยังคิดไปว่าเรื่องราวเมื่อคืนนี้ เป็นเพียงความฝันเท่านั้น คงเพราะกินมากมากไป นอนดึกไป ขยะในสมองก็เลยเยอะจนเก็บเอามาฝันเป็นเรื่องเป็นราว...เฮ้อนี่แหละน้า...มนุษย์



				
26 ธันวาคม 2552 13:22 น.

วันโลกาวินาศ....

คีตากะ

          บ้านของท่านอินทร์เป็นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งหลัง หลังคามุงด้วยหญ้าคา บ้านของท่านอยู่ลึกเข้าไปจนถึงท้ายทุ่ง บริเวณแถวนั้นล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่และท้องทุ่งนาเรียงรายจนมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา การที่บ้านของท่านอินทร์อยู่กระเด็นห่างออกมาจากหมู่บ้าน ทำให้บ้านของท่านเสมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก บ้านของท่านเป็นเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา หน้าบ้านมีบ่อน้ำเล็กๆซึ่งมีดอกบัวสีชมพูบานสะพรั่ง ข้าพเจ้าจำได้ว่าสมัยตอนที่ยังเป็นเด็กอายุซักประมาณ ๑๐ ขวบเห็นจะได้ เคยติดตามยายไปเยี่ยมท่านอินทร์และครอบครัวครั้งหนึ่งและข้าพเจ้าเคยเผลอตกลงไปในสระบัวของท่าน ดีที่ข้าพเจ้าเกิดในชนบทซึ่งเต็มไปด้วยคลองคูมากมาย เคยจมน้ำมาบ่อยครั้งจนสามารถว่ายน้ำได้สบายไม่ว่าน้ำนั้นจะลึกหรือไหลเชี่ยวขนาดไหน ยังจำได้ว่าชีวิตในวัยเด็กมักชวนเพื่อนๆไปเล่นน้ำในคลองกันแทบทุกวันตอนเย็นๆ แต่ถ้าวันไหนที่เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์พวกเด็กๆอย่างเราก็มักจะเล่นน้ำดำผุดดำว่ายกันทั้งวัน จนมืดค่ำ
 
               หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านหนองม่วง อาชีพส่วนใหญ่ทำนาและเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยท้องทุ่ง มีต้นตาลยืนเรียงรายสลอน มีคลองส่งน้ำของกรมชลประทานตัดผ่านมาถึงหมู่บ้านของเราเป็นแห่งสุดท้าย ชาวบ้านแถวนี้ส่วนใหญ่ยากจน สมัยตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กยังไม่มีไฟฟ้าใช้ พอโตขึ้นมาหน่อยจึงเริ่มมี แต่สมัยนั้นอุปกรณ์ไฟฟ้าเริ่มมีทีวีซึ่งยังเป็นเพียงทีวีขาวดำ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เจริญกว่าเก่าเยอะ ภายหลังจากที่ยายเสีย ข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมท่านอินทร์อีกเลย ท่านอินทร์เป็นชาวนาที่ค่อนข้างยากจนคนหนึ่ง ท่านมีภรรยาคนหนึ่งและลูกสาวอีกคนหนึ่ง ถึงท่านจะไม่มีตำแหน่งที่สำคัญอะไรภายในหมู่บ้าน แต่ท่านก็เป็นที่เคารพของชาวบ้านแถวนี้มานาน ใครมีปัญหาเรื่องใดก็มักจะเดินทางไปหาท่านให้ช่วยเหลือหรือขอคำแนะนำจากท่าน ท่านได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ท่านมีเมตตาและมักช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากเสมอๆ ตามกำลังที่ท่านจะสามารถช่วยได้ ท่านจึงมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ท่านไม่เคยรับตำแหน่งใดๆ และเงินบริจาคใดๆจากใคร แม้ชาวบ้านจะอยากให้ท่านเป็นผู้นำหรือผู้ใหญ่บ้าน หลายต่อหลายครั้งแต่ท่านมักปฏิเสธไม่ยอมลงสมัคร ท่านชอบที่อยู่แบบสันโดษและมีความสุขกับครอบครัวของท่านมากกว่า ชาวบ้านทั้งในตำบลและตำบลอื่นๆ มักจะเชิญท่านไปร่วมงานต่างๆ อยู่เสมอๆ และก็มักให้ท่านพูดปราศรัยในเรื่องต่างๆให้ฟัง ท่านจึงเป็นที่รักของชาวบ้านทั่วไป
               
                 ข้าพเจ้าหาโอกาสมานานที่อยากจะสนทนากับท่านอินทร์เป็นการส่วนตัว และไม่เคยหาโอกาสได้สักที จนเมื่อครั้งหนึ่งข้าพเจ้าตกงานและกลับมาอยู่บ้านที่ชนบทแห่งนี้ ความใฝ่ฝันของข้าพเจ้าจึงเป็นจริง ในสมัยก่อนการเดินทางไปบ้านของท่านอินทร์นั้นค่อนข้างลำบาก จำได้ว่าสมัยที่ยายยังมีชีวิตอยู่ ยายต้องลุกตื่นแต่เช้า เตรียมกับข้าวและของฝากเพื่อไปเยี่ยมเยือนท่านอินทร์ ยายเดินเท้าตามถนนซึ่งตัดผ่านทุ่ง ก่อนที่จะลงเดินลัดเลาะตามคันนาไปอีกไกลโข ใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งวันกว่าจะถึงบ้านของท่าน ข้าพเจ้าเดินตามหลังยายผ่านคูคลองและผืนนามากมาย ก่อนที่จะถึงบ้านของท่านยังต้องเดินลัดป่าทึบเข้าไปอีกลึกทีเดียว ป่าทึบส่วนนี้เคยเป็นป่าช้าเก่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมไม่มีใครกล้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่แถวนี้ยกเว้นท่านอินทร์ครอบครัวเดียว แต่สมัยนี้มีถนนหนทางดีขึ้น และก็เริ่มมีบ้านสองสามหลังเข้ามาปลูกอยู่ตรงชายป่าบ้างแล้ว และป่าที่เคยทึบก็เริ่มเบาบางลง กลายเป็นทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ สมัยก่อนบ้านท่านอินทร์ไม่มีไฟฟ้าใช้และครอบครัวของท่านเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่เพิ่งมีไฟฟ้าใช้ได้ไม่นานมานี้ เพราะทางการไฟฟ้าบอกว่ามีบ้านของท่านเพียงหลังเดียวที่อยู่ปลายสุดของถนนจึงไม่ลงทุนซื้อเสาไฟฟ้าให้ พวกเขาบอกว่าท่านอินทร์จำเป็นต้องลงทุนซื้อเสาไฟฟ้าเอง ซึ่งต้องใช้เสานับกว่า ๑๐ ต้นเรียงรายกันไป แน่นอนด้วยฐานะที่ยากจนของท่านอินทร์ ท่านจึงไม่มีเงินลงทุนและต้องอยู่ในความมืดมายาวนาน แม้ปัจจุบันเสาไฟฟ้าบริเวณทางเข้าบ้านท่านอินทร์จะมียืนเรียงรายให้เห็น พาดด้วยสายไฟระโยงระยาง แต่มันก็เป็นเพียงเสาที่ทำจากไม้ไม่ใช่เสาปูนเหมือนบ้านเรือนส่วนใหญ่ อาจเป็นเพราะบ้านของท่านอยู่ลึกจนเกินไปจากถนนหลัก แต่รู้สึกว่าตัวท่านจะไม่ค่อยรู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ภรรยาและลูกสาวของท่านยังคงยิ้มแย้มอย่างมีความสุขทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น ซึ่งก็เป็นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกเมื่อปีกลาย ข้าพเจ้าขี่มอเตอรไซด์มาจนถึงหน้าบ้านของท่าน แต่ปรากฏว่าท่านไม่อยู่บ้านพบแต่เพียงลูกสาววัยเพียง ๙ ขวบ ข้าพเจ้าสอบถามว่าท่านอินทร์อยู่หรือเปล่า ลูกสาวตอบว่าไม่อยู่ ข้าพเจ้าจึงลังเลว่าจะกลับก่อนดีหรือจะรอท่านซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมา ไม่รู้จะทำอะไร ข้าพเจ้าก็เลยชวนลูกสาวของท่านพูดคุย โดยเริ่มต้นถามว่าท่านอินทร์ไปไหนเหรอ? ลูกสาวของท่านอินทร์วัย ๙ ขวบตอบมาดังนี้

ไม่มีใครรู้หรอกว่านักบุญท่านหนึ่งจะไปที่ไหน และจะกลับมาเวลาใด
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจกลับคำตอบนี้และถามต่อว่า
เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น
ก็เพราะร่างกายของท่านไม่มีตัวตนอยู่จริงนาซี แม้แต่เทวดา พระอินทร์ หรือแม้แต่พระพรหม ในพรหมโลกชั้นสูงสุด ก็ยังไม่ทราบการไปมาของท่าน เด็กน้อยตอบ
แม้ข้าพเจ้าจะรู้สึกยินดีเล็กน้อยแต่ก็สอบถามเด็กน้อยต่อว่า
ท่านเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือทำไมไม่มีตัวตนอยู่จริงหล่ะ
ร่างกายของท่านไม่เหมือนมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ร่างกายท่านอยู่เหนือการหยั่งวัดหรือประมาณได้ เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะนักบุญย่อมอยู่เหนือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วนาซี เด็กตอบ
ที่ที่นักบุญไปนั้น พี่จะไปได้ด้วยหรือไม่ ข้าพเจ้าถามต่อ
เป็นเรื่องยากที่จะไปได้ เพราะถนนที่ไปนั้นมันลื่นมากจนมดสักตัวยังไม่สมารถไต่ขึ้นไปได้ มันสูงและชันมากจนมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะเดินทางไปถึงหรือจินตนาถึงได้ เด็กน้อยอธิบาย
แม้ข้าพเจ้าจะงุนงงและประหลาดใจกลับคำพูดที่ได้ยิน แต่ก็ถามต่อว่า
พี่มีคำถามเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่จะถามท่าน ไม่รู้ว่าน้องสามารถตอบได้หรือไม่ ข้าพเจ้ายิงประเด็น
มีคำตอบอยู่ในทุกคำถาม และทุกคำถามล้วนมีคำตอบ ซึ่งคำตอบนั้นก็มีมาก่อนที่จะเอ่ยปากถามด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามมีคำถามก็รีบถาม เด็กน้อยกล่าว
ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถเข้าใจถ้อยคำของเด็กหญิงคนนี้หรือไม่ แต่ปัญหาคาใจที่สงสัยมานาน ที่จำอุตสาห์เดินทางมาจนถึงที่นี่เพื่อหาคำตอบมันรุนแรงยิ่งกว่าที่จะรอต่อไป ข้าพเจ้าจึงถามออกไปว่า
จุดจบของมนุษยชาติจะมาถึงอีกเมื่อไร นักบุญช่วยอะไรได้บ้าง
ไม่มีจุดจบของมนุษย์ที่แท้จริง เพราะมนุษย์เป็นเพียงสังขารที่ปรุงแต่งขึ้น เป็นเพียงมายาภาพ และกาลเวลาก็เป็นเรื่องหลอกลวงไม่มีอยู่จริง สรรพสิ่งเป็นเพียงพระจิตที่เป็นอมตะแยกมาจากองค์รวมของพระผู้สร้างและจะต้องกลับไปสู่พระผู้สร้างหรือพุทธะภาวะสูงสุดอีกครั้ง เด็กน้อยหยุดชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อว่า
 อย่างไรก็ตาม ๓ ปีต่อจากนี้จะมีการชำระล้างขยะโลกครั้งใหญ่เพื่อปรับสมดุล สิ่งมีชีวิตกว่าร้อยละ ๙๐ จะหมดหน้าที่บนโลกลง เด็กหญิงเอามือจับไม้กวาดขึ้นมาและเริ่มปัดกวาดบริเวณนั้นพร้อมกับเชิญให้ข้าพเจ้านั่งบนแคร่ไม้ไผ่ ก่อนที่เธอจะพูดต่อไปว่า
นักบุญหลายต่อหลายท่านช่วยโลกนี้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่มนุษย์กลับไม่เคยเข้าใจและยังคงสร้างบาปกรรมไม่หยุดหย่อน เธอหยุดพูดและเดินหายไปหลังบ้านก่อนจะกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำและชมพู่หนึ่งตะกร้า นำมันวางลงที่ตรงหน้าข้าพเจ้า ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใสต่อว่า
จนถึงขณะนี้ สวรรค์ไม่ยินยอมให้นักบุญที่มีชีวิตอยู่บนโลกช่วยเหลืออีกแล้ว มนุษย์จะต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อ ถึงขนาดบอกให้นักบุญหยุดการเผยแพร่สัจธรรมเลยทีเดียว 
ไม่มีทางแก้อีกแล้วหรือ แล้วใครจะเป็นคนที่อยู่รอด? ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดจากปากเด็กหญิงพร้อมกับคำถามที่ยังค้างคาใจ
คนที่มีระดับชั้นทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง อยู่เหนืออำนาจของพญามาร เด็กหญิงตอบ
คงจะมีจำนวนน้อยมากๆเลย ข้าพเจ้าลงความเห็น
คนส่วนใหญ่จะต้องถูกจัดการเพื่อนำจิตวิญญาณที่เสื่อมทรามเหล่านี้เข้าสู่ขบวนการรักษาเยียวยา เพื่อทำให้มันบริสุทธิ์มากขึ้น จึงจะได้รับอนุญาตให้กลับมาใหม่ เด็กหญิงอธิบาย
ทำไมสวรรค์ไปเตือนพวกเขาก่อนที่จะจัดการกับพวกเขาหล่ะ  ข้าพเจ้าพูดออกไปเพราะรู้สึกว่าสวรรค์ไม่ค่อยยุติธรรม
 สวรรค์เตือนมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผ่านโรคภัยไข้เจ็บ ผ่านสงครามต่างๆ ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถต่อกรได้ เธอกล่าว
แล้วโลกภายหลังจากภัยพิบัติครั้งใหญ่นี่เล่า จะเป็นอย่างไร คนที่เหลือรอดจะไม่ยิ่งแย่ไปอีกเหรอ? ข้าพเจ้ายังสงสัย
คนที่สามารถผ่านพ้นมหันตภัยครั้งนี้ไปได้ล้วนเป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วจากสวรรค์ สวรรค์จะดูแลอย่างดี เพื่อเป็นต้นแบบของคนยุคต่อไปซึ่งจะมีแต่ความดีงาม และจะทำให้โลกถูกยกระดับสูงขึ้นใกล้เคียงกับสวรรค์ โลกและสวรรค์จะติดต่อถึงกันได้ง่ายขึ้นเหมือนครั้งบรรพกาล เธออธิบาย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะรอดหรือไม่ สวรรค์จะเลือกเราหรือไม่ ข้าพเจ้าถามต่อ
ถือศีล กินเจ ไม่เบียดเบียนสัตว์ บำเพ็ญเพียรภาวนา เธอสรุป
ข้าพเจ้านิ่งอึ้งไปพักหนึ่งเพราะรู้สึกว่ามันช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะอยู่รอด พร้อมตั้งคำถามสุดท้ายว่า 
พระพุทธเจ้าเคยทำนายว่ายุคสุดท้ายพระศรีอารย์จะมาตรัสรู้ เป็นความจริงหรือไม่และพระองค์มาแล้วหรือยัง?
ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ และเฉพาะคนที่มีบุญสัมพันธุ์กับท่านเท่านั้นจึงจะได้พบ ถ้าไม่มีบุญสัมพันธุ์ถึงได้พบก็ไม่รู้จัก เพราะพวกท่านเหล่านั้นมักจะมาในรูปลักษณะที่เปลี่ยนไปเสมอ สุดวิสัยที่ปุถุชนจะเข้าใจ เด็กหญิงกล่าว
พระศรีอารย์มาแล้ว และขณะนี้ท่านกำลังช่วยเหลือสรรพสัตว์อยู่อย่างเร่งด่วน จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ภายหลังภัยพิบัติทุกคนที่รอดจะทราบว่าท่านคือใคร เด็กหญิงตอบคำถามในท้ายที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกมึนงงและจนด้วยถ้อยคำ.....

				
24 ธันวาคม 2552 15:10 น.

ความเข้าใจที่ผิดพลาดเรื่องภาวะโลกร้อน

คีตากะ

1119630170.jpg             ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกตีพิมพ์ออกมาจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก พบว่ามันมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงอยู่บ้าง โมเดลหรือแบบจำลองต่างๆ อันเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการพยากรณ์อนาคตของปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อนยังคงมีความผิดพลาดให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีการแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่า แน่นอนอนาคตเป็นสิ่งที่ยากคาดเดา แต่มันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหายนะต่อมวลมนุษยชาติอย่างเรื่องภาวะโลกร้อน ข้อมูลบางส่วนถูกบิดเบือนและปกปิดอำพรางด้วยเหตุผลนานับประการ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ศาสนา ฯลฯ แต่สุดท้ายผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมยังคงเป็นประเทศที่ยากจน ประชาชนที่ยากจน ซึ่งไม่มีกำลังเพียงพอที่จะเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่าภาวะโลกร้อนยังเป็นสิ่งใหม่สำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบัน เช่น ใครจะไปทราบว่าน้ำแข็งขั้วโลกที่มีอายุนับ ๑๕๐,๐๐๐ ปีจะละลายไปแบบไม่หวนกลับมาอีก เพราะทุกครั้งมันจะละลายหายไปบางส่วนในฤดูร้อนและกลับมาอีกในฤดูหนาว แต่ปัจจุบันมันกลับไม่เป็นเหมือนเดิม ความผิดพลาดต่อความเข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนที่พอสรุปได้ตามความเข้าใจของผู้เขียนมีดังต่อไปนี้

๑.	การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้โลกร้อนจริงหรือ?
เชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างเช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เป็นสารประกอนไฮโดรคาร์บอน ส่วนใหญ่เมื่อถูกเผาไหม้จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งทำให้โลกร้อน ในขณะเดียวกับจากปฏิกิริยาการเผาไหม้มันยังได้ ละอองลอย (Aerosol) ซึ่งมีผลทำให้โลกเย็น ผลจากการหักล้างกันทางความร้อนส่วนต่างเกือบเป็นศูนย์ นั่นแสดงว่าตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนในช่วงทศรรษที่ผ่านมาอาจไม่ใช่มาจากคาร์บอนไดออกไซด์ นักวิทยาศาสตร์บางคนพบว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้โลกร้อน ๔๐% และ ๖๐% มาจากก๊าซมีเทน แต่ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่วัดก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศในช่วง ๑๐๐ ปีและพบว่าก๊าซมีเทนมีความรุนแรงกว่าซึ่งทำให้โลกร้อนกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ๒๓ เท่า และพบว่าปัจจุบันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีอยู่ในบรรยากาศ ๓๘๓ ppm (หนึ่งส่วนในล้านส่วนโดยปริมาตร) แน่นอนพวกเขาจึงพยายามเพื่อจะลดมันลงเพราะดูจากค่าอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นแปรผันโดยตรงกับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ แต่ถ้าลองวัดก๊าซเรือนกระจกในช่วงเวลา ๒๐ ปี เขากลับพบว่ามีเทนมีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง ๗๒ เท่า เพราะอะไรหรือ? เพราะนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ ลืมคิดไปว่าก๊าซมีเทนที่ตกค้างในชั้นบรรยากาศจะมีอายุเพียง ๑๑ ปี มันก็จะถูกออกซิไดซ์กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์จนไม่เหลือร่องรอย ผลก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนหนึ่งในชั้นบรรยากาศมาจากมีเทนและส่วนอื่นๆ จากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก

๒.	อัตราการละลายของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเร็วขึ้นจริงหรือ?
แบบจำลองที่ใช้พยากรณ์อัตราการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกค่อนข้างจะเด่นชัดที่สุด หลายครั้งความจริงที่ปรากฏทำให้นักวิทยาศาสตร์ถึงกับช็อกหรือหวาดผวา เมื่อพบว่าน้ำแข็งละลายเร็วกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มากนัก การใช้กราฟแบบเส้นตรงหรือข้อมูลในช่วงเวลาสั้นๆ นำไปสู่ความผิดพลาดของการพยากรณ์ มันชัดเจนขึ้นแล้วว่าการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเป็นปฏิกิริยาแบบสะท้อนกลับ พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อน้ำแข็งละลายเริ่มจากช้าๆ จากการที่อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น และมันจะเพิ่มความเร็วสูงขึ้นจากปัจจัยหลายๆอย่างที่พวกเขาอาจไม่ได้นำมาคิด อย่างเช่น ทะเลน้ำแข็งอาร์กติกขั้วโลกเหนือสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ประมาณ ๘๐% ทำให้อุณหภูมิความเย็นของมหาสมุทรคงที่ น้ำแข็งไม่เพียงรักษาอุณหภูมิของโลกมันยังช่วนสะท้อนความร้อนออกสู่บรรยากาศด้วย เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้น ทะเลเปิดมากขึ้น ทะเลจึงอุ่นมากขึ้นด้วย ส่งผลให้น้ำแข็งยิ่งละลายเร็วขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ชายฝั่งที่เคยมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี เกิดการละลาย ทำให้มีเทนก้อนที่ถูกเก็บไว้ในชั้นดินเยือกแข็ง (Permafrost) ละลายเป็นฟองก๊าซมีเทนถูกปล่อยขึ้นสู่บรรยากาศ ก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงขึ้น และทำให้โลกร้อนขึ้น  เป็นวงจรวัฏจักรที่รวดเร็วจนยากคาดการณ์  จนนำไปสู่การพยากรณ์ระดับน้ำทะเลและระยะเวลาต่างๆ ผิดพลาดตามมา ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ จะปราศจากน้ำแข็งบริเวณอาร์กติกขั้วโลกเหนือ และนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนผันที่ไม่สามารถย้อนกลับได้อีก

๓.	การเกิดแผ่นดินไหวกับภาวะโลกร้อนเกี่ยวกันไหม?
แผ่นดินมีค่าความจุความร้อนน้อยกว่าน้ำในมหาสมุทร มันจึงร้อนมากกว่า ที่ผ่านมาอุณหภูมิผิวดินได้เพิ่มเร็วขึ้นประมาณ ๒ เท่าเมื่อเทียบกับการเพิ่มอุณหภูมิของผิวทะเล ซีกโลกเหนือมีมวลแผ่นดินมากกว่าซีกโลกใต้ ซีกโลกเหนือจึงร้อนเร็วกว่า จากหลักฐานพบว่าการการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของบรรยากาศเพียงเล็กน้อยก่อให้เกิดภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวจากการเคลื่อนที่ของชั้นเปลือกโลก สาเหตุเพราะว่าน้ำแข็งได้ละลายอย่างรวดเร็ว เช่น อาร์กติกและกรีนแลนด์ ขณะที่มันกำลังละลาย มันได้ปลดปล่อยแรงดันจากพื้นผิวโลกเป็นผลสะท้อนกลับ ผลสะท้อนกลับจากบริเวณเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากความเครียดของเปลือกโลกอย่างง่ายดาย ส่งผลต่อการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ในปัจจุบัน เงื่อนไขเหล่านี้เป็นเหตุให้มีความถี่สูงขึ้นในการสั่นไหวของพื้นผิวโลก นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าภาวะโลกร้อนได้ก่อให้การเกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่มีความถี่สูงขึ้นอีกด้วย และมันมักจะเกิดในช่วงที่น้ำแข็งกำลังละลาย นอกจากนั้นยังอาจมีสาเหตุมาจากปริมาณน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกที่มากเกินไปจากการละลายของน้ำแข็งทำให้แกนโลกต้องปรับสมดุลใหม่ และจากการที่แกนกลางโลกร้อนจัดถึง ๓,๖๗๖ องศาเซลเซียสใกล้เคียงกับพื้นผิวดวงอาทิตย์ที่ร้อนถึง ๕,๕๒๖ องศาเซลเซียส ทำให้ชั้นเปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง

๔.	ต้นไม้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทนที่จะปล่อยก๊าซออกซิเจนจริงไหม?
ภายหลังคลื่นความร้อน (Heat Wave) คร่าชีวิตชาวยุโรปราว ๓๕,๐๐๐ คน ในช่วงเวลาเพียง ๓ เดือนของฤดูร้อนปี พ.ศ. ๒๕๔๖ อุณหภูมิพุ่งสูงกว่า ๔๐ องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์เคยเข้าใจว่าต้นไม้จะดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อสังเคราะห์แสงและคายออกซิเจนออกมา แต่เขากลับพบว่าปัจจุบันนี้มันกลับทำงานตรงกันข้าม ผลจากการที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ต้นไม้จะเกิดการห่อใบและเก็บออกซิเจนไว้โดยปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศแทน นอกจากนั้นความร้อนยังทำให้แบคทีเรียในดินบริเวณในป่าเร่งการย่อยซากพืชไปเป็นก๊าซมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างรวดเร็วและปล่อยสู่บรรยากาศ ซึ่งเร่งภาวะโลกร้อนให้เลวร้ายไปอีก
      
๕.	แหล่งเก็บกักคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในมหาสมุทรจริงหรือ?
 นักวิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่าแหล่งเก็บกักคาร์บอนที่สำคัญคือป่าหรือไม่ก็ชั้นบรรยากาศ แต่ปัจจุบันพวกเขากลับค้นพบว่า แหล่งเก็บกักคาร์บอนถึง ๙๓% อยู่ในมหาสมุทรไม่ใช่ต้นไม้หรือชั้นบรรยากาศ มหาสมุทรคือแหล่งที่ใหญ่ที่สุดในการรักษาสมดุลของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเสมือนรากฐานของโลก ๓ ใน ๔ ส่วนของโลกเป็นมหาสมุทรปกคลุมไปด้วยน้ำทะเล สัตว์และพืชทะเล เช่น ไดอะตอม ไฟโตแพลงก์ตอน สาหร่ายทะเล เป็นตัวควบคุมปริมาณของก๊าซทั้ง ๒ พวกมันจะดูดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในน้ำเพื่อสังเคราะห์แสงและสร้างเปลือกแข็งห่อหุ้มตัวเองเพื่อความปลอดภัยโดยจะปล่อยก๊าซออกซิเจนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตออกมา ผลจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เพิ่มคาร์บอนในชั้นบรรยากาศมากเกินไป จนต้นไม้หรือมหาสมุทรเกินกว่าจะรับได้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในชั้นบรรยากาศ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ก๊าซจะละลายในน้ำได้น้อยลง จากที่มันเคยมีหน้าที่คอยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศมันจึงทำในสิ่งตรงกันข้ามคือปล่อยคาร์บอนแทน ในขณะที่สิ่งมีชีวิตพวกแพลงก์ตอนก็ลดจำนวนลงจากการที่น้ำทะเลมีภาวะเป็นกรดจากคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตกค้างมากเกินไป นำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทางทะเล รวมทั้งการเกิด ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว และเสียสมดุลระบบนิเวศทางทะเล

๖.	พื้นที่มรณะ (Dead zones) ทางทะเลคืออะไรมีอยู่จริงหรือ?
พื้นที่มรณะทางทะเลคือบริเวณที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้เนื่องจากขาดก๊าซออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจ ผลจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้เกิดบริเวณเหล่านี้ขึ้น การปล่อยของเสียจากกิจกรรมของมนุษย์และการที่อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้กระแสน้ำไม่เกิดการไหลเวียนหรือชะลอช้าลง การที่กระแสน้ำไหลเวียนจะนำพาสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตไปหล่อเลี้ยงชีวิตในส่วนต่างๆ ของมหาสมุทร นอกจากนั้นการที่น้ำแข็งขั้วโลกละลายจะทำให้การหมุนเวียนของกระแสน้ำอุ่นช้าลงหรืออาจหยุดไหล ทำให้เกิดพื้นที่มรณะ บริเวณที่ขาดออกซิเจนนี้แบคทีเรียจะสร้างก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่าปริมาณมาก ในบางบริเวณจะสังเกตุเห็นน้ำมีสีชมพู ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่ได้สัมผัสแม้แต่มนุษย์ ถ้าอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ ๕-๗ องศาเซลเซียส จะเกิดการปลดปล่อยก๊าซพิษนี้จากท้องทะเลน้ำไปสู่การสูญพันธุ์ของทั้งสิ่งมีชีวิตทางทะเลและบนบกจำนวนมหาศาล ก๊าซพิษนี้มีความรุนแรงพอๆ กับไซยาไนด์ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่ามีพื้นที่มรณะทางทะเลถึง ๔๐๐ แห่งทั่วโลกและไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่า พบก๊าซไข่เน่าปริมาณมากผุดขึ้นมาบริเวณชายฝั่งของนามิเบีย และพบสัตว์ทะเลจำนวนมากล้มตาย

๗.	มีเทนก้อนหรือมีเทนไฮเดรตคืออะไรมีจริงหรือ?
เมื่อเร็วๆ นี้นักวิทยาศาสต์ต้องตกตะลึงอีกครั้ง ขณะเดินเรือสำรวจอยู่บริเวณไซบีเรียที่ขั้วโลกเหนือ เนื่องจากพบก๊าซมีเทนปริมาณมากผุดลอยขึ้นมาจากทะเลสาบและชั้นดินเยือกแข็งที่กำลังละลายบริเวณแถบนั้น สร้างความงุนงงให้แก่พวกเขาเป็นอย่างมาก มีเทนก้อนหรือเรียกว่ามีเทนไฮเดรตเกิดจากการสะสมของซากพืชซากสัตว์เป็นเวลานับล้านปี แบคทีเรียได้เปลี่ยนให้มันเป็นมีเทนไฮเดรต มีลักษณะเป็นของแข็งลอยน้ำได้พบได้ในบริเวณชั้นตะกอนใต้ทะเลสาบหรือมหาสมุทร ที่ระดับความลึกมากกว่า ๒๐๐-๕๐๐ เมตร นอกจากนั้นยังพบได้ตามทะเลสาบและชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Permafrost) บริเวณที่เคยมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี มีเทนก้อนจะเปลี่ยนเป็นก๊าซมีเทนลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเมื่อชั้นดินเยือกแข็งละลายจากการที่น้ำแข็งหรือหิมะชั้นบนละลายนื่องจากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นหรือน้ำท่วมถึง ส่วนในมหาสมุทรเมื่อน้ำมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ๕-๗ องศาเซลเซียสการปลดปล่อยมีเทนจะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลและนำมาสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตมากมาย ก๊าซมีเทนสามารถติดไฟได้ ถ้ามีปริมาณมากในอากาศสามารถเกิดการระเบิดในอากาศ และหากมันเข้นข้นในบรรยากาศจะลดความเข้มข้นของก๊าซออกซิเจนลงทำให้หายใจไม่ออก นอกจากนั้นมันยังสามารถสร้างโอโซนระดับพื้นดินทำลายสุขภาพมนุษย์ได้อีกด้วย นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่ามีมีเทนในบรรยากาศ ๓,๕๐๐ ล้านตัน  มีมีเทนไฮเดรตใต้ชั้นดินเพอร์มาฟรอสต์บริเวณอาร์กติกประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านตันและบริเวณใต้ท้องมหาสมุทรทั่วโลกมีประมาณ ๕๐๐,๐๐๐-๒,๕๐๐,๐๐๐ ล้านตัน

๘.	จุดวิกฤติของภาวะโลกร้อนจะมาถึงอีกนานแค่ไหน?
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่คำนวณจุดวิกฤติหรือจุดเปลี่ยนผันของภาวะโลกร้อนไว้ในอีก ๕๐-๑๐๐ ปี ข้างหน้า แต่ปัจจุบันพวกเขาเริ่มมองเห็นความเปลี่ยนผันของการละลายของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกที่เป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าโมเดลของพวกเขาทำนาย และพบว่าบริเวณอาร์กติกจะปราศจากน้ำแข็งภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ นั่นแสดงว่าภาวะโลกร้อนจะทวีความรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมได้อีกตั้งแต่ปี ๒๐๑๒ เป็นต้นไป เมื่อน้ำแข็งละลายหมดกระแสน้ำในมหาสมุทรจะหยุดไหลเวียนลงหรือเปลี่ยนทิศทางสิ่งมีชีวิตทางทะเลส่วนใหญ่จะสูญพันธุ์ อุณหภูมิผิวมหาสมุทรจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พายุจะรุนแรงและเกิดถี่ขึ้น การระเหยของน้ำเป็นไปอย่างรวดเร็วทำให้ฝนตกหนักและน้ำท่วมบางพื้นที่ ในขณะที่บางพื้นที่จะต้องประสบกับภัยแล้งขั้นรุนแรง แม่น้ำ ลำครอง ทะเลสาบ ต่างๆ รวมทั้งน้ำใต้ดินจะแห้งระเหยไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในฤดูร้อน พื้นที่ทางการเกษตรจะพบกับความแห้งแล้ง และบางพื้นที่พบกับน้ำท่วมฉับพลัน เช่น พื้นที่เพาะปลูกข้าว นอกจากนั้นพื้นที่ทางการเกษตรจะได้รับความเสียหายจากการรุกเข้ามาของน้ำเค็มเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และจะสูญเสียแหล่งน้ำจืดไป พื้นที่ที่เป็นเกาะและอยู่ตามแนวชายฝั่งจะถูกคลื่นที่รุนแรงกัดเซาะและจมหายไปทำให้สูญเสียแผ่นดินจำนวนมาก จนนำไปสู่การปล่อยก๊าซพิษทางทะเลสิ่งมีชีวิตจำนวนกว่า ๙๕% จะสูญพันธุ์

๙.	สงครามเกี่ยวข้องอย่างไรกับภาวะโลกร้อน?
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่าต้นไม้และมหาสมุทร จะช่วยดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกมันกลับปล่อยคาร์บอนออกมาแทนทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการเร่งภาวะโลกร้อนในทิศทางที่ไม่เคยคาดการณ์มาก่อน สมดุลวัฏจักรของคาร์บอนและออกซิเจนต้องสูญเสียไปพร้อมกับการการเสียสมดุลทางระบบนิเวศวิทยาของสิ่งมีชีวิต ทั้ง คน พืช สัตว์ โดยเฉพาะน้ำและอาหาร เมื่อพืชผลทางการเกษตรต้องเสียหายจำนวนมากจากภาวะโลกร้อน การขาดแคลน้ำ และป่าที่อุดมสมบูรณ์ต้องสูญสิ้นไปจากการที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้อาหารและน้ำดื่มเกิดความขาดแคลน มนุษย์เริ่มอดอยากและนำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อการเอาชีวิตรอด เกิดปัญหาทางด้านสังคมที่รุนแรงตามมา และอาจกลายเป็นปัญหาระดับโลกจากการที่เศรษฐกิจตกต่ำลง คนว่างงานจำนวนมาก เกิดการอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน ทำให้ประเทศมหาอำนาจสามารถที่จะก่อสงครามกันเพื่อแย่งชิงแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติที่เหลืออยู่เพื่อช่วยเหลือประชากรของตนตามมา การมีอาวุธที่ทันสมัยนำไปสู่การสูญเสียชีวิตจำนวนมหาศาลได้อย่างง่ายดาย

๑๐.	มังสวิรัติคือทางออกของปัญหาโลกร้อนจริงหรือ?
นักวิทยาศาสตร์พบว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์เป็นต้นตอของภาวะโลกร้อน พวกเขาเก็บข้อมูลจากกระบวนการผลิตแฮมเบอร์เกอร์แต่ละชิ้นในสหรัฐฯ พบว่าทุกขั้นตอนการผลิตแฮมเบอร์เกอร์ล้วนมีร่องรอยของคาร์บอนแฝงอยู่ทั้งสิ้นและเมื่อคำนวณออกมามันก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าที่เกิดจากรถทุกคันบนท้องถนนในสหรัฐฯรวมกันเสียอีก การปศุสัตว์ผลิตก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ๓ ชนิดคือ ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนตรัสออกไซด์ สรุปแล้วมันผลิตก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศถึง ๕๑% ปัจจุบันหายนะของโลกร้อนกำลังจะถึงจุดที่เปลี่ยนผันไม่ได้ มนุษย์ไม่มีเวลามากนักที่จะจัดการกับก๊าซที่มีอายุยืนนับ ๑๐๐ ปีอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ แต่จำเป็นต้องจัดการกับก๊าซที่รุนแรงและมีอายุสั้นกว่าอย่างก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ อย่างเร่งด่วนก่อนจะสายเกินไป ซึ่งแหล่งผลิตรายใหญ่ของมันมาจากการปศุสัตว์ การปศุสัตว์ก่อให้เกิดการทำลายป่าเพื่อการใช้ที่ดิน พื้นที่ทางการเกษตรส่วนใหญ่ใช้ปลูกพืชเพื่อเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่มนุษย์ ของเสียจากการปศุสัตว์ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำและทำให้ทะเลเกิดพื้นที่มรณะขาดออกซิเจนจนถึงทำให้ทะเลกลายเป็นกรด นอกจากนั้นฟาร์มปศุสัตว์ไม่เพียงเป็นแหล่งเชื้อโรคที่สามารถติดต่อสู่คนได้เท่านั้นมันยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาล เช่น ก๊าซมีเทนถูกขับถ่ายจากวัวและถูกสะสมในระบบย่อยอาหารของมัน ฟาร์มสุกรเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาลสู่บรรยากาศ อุตสหกรรมที่เกี่ยวกับการปศุสัตว์ล้วนปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ฟาร์ม โรงงาน การขนส่ง ดังนั้นการไม่ทานเนื้อสัตว์หรือการทานมังสวิรัติจะสามารถลดกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เพียงการปศุสัตว์ แต่ยังรวมส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องอีกด้วย และสามารถคำนวณออกมาได้ว่าการทานมังสวิรัติจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของการทำให้โลกร้อนได้ถึง ๘๐%



fruit_veget.jpg				
15 กรกฎาคม 2556 23:27 น.

ทานตะวัน....

คีตากะ

t3-5.jpg
















อาหารว่างที่ขาดไม่ได้สำหรับผมก็คือ  เมล็ดทานตะวันอบ โดยเฉพาะ เมล็ดทานตะวันอบสมุนไพร รสเค็มๆ มันๆ กินแล้วเพลินเป็นที่สุด สำหรับผมอยากจะเรียกว่า ของดีประเทศไทย ซึ่งความจริงก็ไม่รู้หรอกว่าต้นตำหรับมันมาจากประเทศไหนและก็ไม่สนใจด้วย แค่กินแล้วอร่อยก็ใส่ปากมันเข้าไปจะไปคิดมากทำไม ผมไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ที่จะต้องคอยขุดคุ้ยเรื่องราวเชิงลึกอะไรมากมาย โดยเฉพาะเรื่องกินกับเรื่องนอน ครั้งหนึ่งผมเคยไปซื้อเมล็ดทานตะวันที่วางอยู่ในร้านขายของชำแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญฯ ป้าคนขายแกบอกว่าเม็ดทานตะวันแบบเนี้ยเขามีไว้ให้นกกิน ไม่แน่ใจว่านกเขาหรือเปล่า? ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็เลยเข้าใจว่าที่แท้ลูกค้ารายใหญ่ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดของเมล็ดทานตะวันก็คือนก กลับกลายเป็นว่าผมกำลังไปแย่งอาหารของพวกมัน(ผมเข้าใจไปเอง) ข้อแตกต่างอีกอย่างที่ได้พบก็คือว่า เมล็ดทานตะวันที่ขายในร้านของป้านั้นเป็นเมล็ดทานตะวันที่ยังไม่ได้อบ ยังไม่ผ่านกระบวนการการผลิตนั่นเอง ทำให้ผมจินตนาการเลยไปจนถึงเครื่องมืออุปกรณ์และวิธีการผลิต ของมันก่อนที่จะออกมาเป็นเมล็ดทานตะวันอบสมุนไพรเลิศรสให้เราได้กิน คงไม่ถึงขั้นที่ผมจะไปตั้งโรงงานผลิตเมล็ดทานตะวันกินเองหรอกนะ ผมเคยถูกใช้ให้ไปจ่ายตลาดในการจัดงานระดับนานาชาติครั้งหนึ่ง วัตถุดิบส่วนใหญ่คือเต้าหู้ และผมจำต้องไปสืบเสาะหาแหล่งผลิตเต้าหู้รายใหญ่ของประเทศ มีคนแนะนำว่าให้ไปหาที่จังหวัดราชบุรี โดยเฉพาะอำเภอโพธาราม  การต้องใช้เต้าหู้พอที่จะเลี้ยงคนกว่า ๕๐,๐๐๐ คนไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับผม ผมมีแค่มอเตอร์ไซด์เก่าๆคันหนึ่งตระเวนไปทั่วอำเภอโพธารามซึ่งก็แทบจะหลับตานึกถึงตรอกซอกซอยต่างๆได้เป็นอย่างดี เพราะมันก็คือบ้านเกิดของผมเอง มีโรงงานผลิตเต้าหู้หลายสิบแห่งในย่านนั้น ผมเลือกเข้าไปติดต่อประมาณ ๕ แห่ง การเข้าไปในบริเวณโรงงานทำให้มองเห็นเครื่องจักรและกระบวนการผลิตเต้าหู้เป็นอย่างดี ไม่ยากถ้าหากใครสักคนจะตั้งโรงงานผลิตเต้าหู้ เงินลงทุนไม่สูงเหมือนโรงงานอื่นๆ และบางโรงงานที่เข้าไปบางแห่งมันดูคล้ายกับบ้านมากกว่าโรงงาน และใช้คนงานแค่เพียงสมาชิกในครอบครัวก็พอแล้วถ้ายอดขายไม่สูงมากนัก....เอาหล่ะเต้าหู้ก็ส่วนเต้าหู้เมล็ดทานตะวันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่เคยไปโรงงานผลิตเมล็ดทานตะวันอบ ก็เลยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากนัก เคยมีเพื่อนเอาเมล็ดทานตะวันแบบปลอกเปลือกแล้วมาให้กิน และก็พบว่ามันไม่ค่อยถูกปากมากนัก มากกว่าเมล็ดทานตะวันที่ยังมีเปลือก ผมสังเกตว่าการเสียเวลาแกะเปลือกเมล็ดทานตะวัน เป็นเรื่องน่าสนุกและท้าทายประการหนึ่ง และความอร่อยก็อยู่ตรงนี้นี่เอง เปลือกที่อบเกลือมาทำให้เกิดรสเค็มบวกกับเมล็ดที่สุกได้ที่ทำให้เกิดรสหวานมัน มันเป็นความลงตัวที่ยอดเยี่ยมสำหรับผม ซึ่งได้ชื่อว่าผู้บริโภคคนหนึ่ง และคิดไปว่าพวกนกคงไม่มีโชคดีเหมือน ผมไม่รู้ว่าจะมีใครกินเปลือกมันด้วยหรือเปล่า แต่ผมไม่กิน ยกเว้นบางครั้งที่รีบร้อนกินจนเกินไปก็อาจจะ  มีคนบอกว่า เมล็ดทานตะวันเม็ดเล็กๆ นี้ก็มีสารอาหารมากมาย มีทั้งโปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินอี วิตามินดี วิตามินเค และยังมีวิตามินอีสูงกว่าน้ำมันเมล็ดข้าวโพดและเมล็ดถั่วเหลืองกว่า 3 เท่าเลยทีเดียว ผู้ที่กินมังสวิรัติจะกินเมล็ดทานตะวันเป็นส่วนหนึ่งของอาหารหลักเพื่อช่วยเพิ่มโปรตีน นอกจากนั้นในเมล็ดทานตะวันยังมีกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว (Linoleic Acid) ซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาใช้เองได้ จึงต้องกินเข้าไปเท่านั้น  สารอาหารต่างๆ ในเมล็ดทานตะวันนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หากกินเป็นประจำจะช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจกในตา ช่วยลดคอเลสเตอรอลหรือไขมันในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด รวมทั้งยังช่วยชะลอความแก่และบำรุงผิวพรรณได้ด้วย ผมไม่ค่อยรู้คุณประโยชน์ของมันเท่าไรนักหรอก เพราะแค่เห็นถุงบรรจุของมันก็ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว บางครั้งการต้องเสียเวลาปลอกเปลือกอาจเป็นคุณค่าของมันก็ได้ คนเรามักจะให้คุณค่ากับสิ่งที่ได้มายากๆ และจึงจะคิดถนอมเอาไว้ ความยากลำบากก็มีคุณค่าตรงนี้เอง เพราะฉะนั้นถ้าชีวิตยังตกอยู่ในความยากลำบากมันก็อาจยังมีอะไรที่หอมหวานรอคอยอยู่ก็เป็นได้ เมื่อพูดถึงเมล็ดทานตะวันก็อดคิดถึงดอกทานตะวันไม่ได้ ที่ทำงานเก่าเคยส่งผมไปดูงานเกี่ยวกับเครื่องจักรผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ไอน้ำ ซึ่งจะนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าใช้ภายในโรงงานผลิตน้ำตาลทรายในช่วงฤดูหีบอ้อยนอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนจะผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในช่วงฤดูการผลิตอีกด้วย ผมได้มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดลพบุรี และเผอิญหน่วยงานราชการที่จะขายเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งนั้นอยู่ใกล้กับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อันเลื่องชื่อ เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสได้เห็นทุ่งดอกทานตะวันที่ไกลสุดลูกหูลูกตา สีเหลืองอร่ามบนท้องทุ่งริมสองฝั่งถนน ทำให้อดตื่นตะลึงในความงามของมันไม่ได้ แม้จะไม่มีโอกาสได้แวะชมเพราะงานเร่งด่วน แต่ก็รู้สึกว่าเมืองไทยเรานี้ยังมีอะไรดีๆให้ดูอีกเยอะนะ นอกจากที่จะสามารถเห็นได้ในทีวี บรรยากาศของความจริงมันมีอะไรมากกว่าภาพถ่ายหรือภาพในทีวี ถ้าเราไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองก็คงไม่ถึงบางอ้อ สิ่งที่ประทับใจสำหรับของดีเมืองไทยอย่างเมล็ดทานตะวันอบสมุนไพรนี้ เกิดขึ้นที่ ด่านชายแดน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมาผมมีโอกาศได้ไปเที่ยวและไปพบมันเข้าโดยบังเอิญ เมล็ดทานตะวันอบมีขายกันเกร่อบริเวณชายแดน อ.แม่สาย ที่สำคัญราคาถูกสุดๆ ผมเหมาถุงใหญ่มาหลายถุง เท่าที่กำลังจะหอบหิ้วมาได้ เมล็ดทานตะวันอบเกลือที่แม่สาย น่าจะราคาถูกที่สุด(เดา) ผมเคยคิดว่าแค่เพียงรับมาขายไปก็ทำกำไรได้อย่างงาม แต่เสียตรงไกลไปนิด ๕๐๐-๖๐๐ กิโล จากบ้านผม โดยเฉพาะระยะทางจากเชี่ยงใหม่ไปเชียงรายที่ต้องขึ้นภูขึ้นดอยด้วยแล้วแทบจะเข็ดขยาดที่เดียว ทำเอาเวียนหัว แต่พอไปถึงก็คุ้มค่าจริงๆ ทิวทัศน์ และอากาศที่ดีมากๆ ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ผมตกเครื่องบินก่อนจะไป เพราะเล่นไม่จองล่วงหน้า ไปถึงดอนเมืองเขาบอกว่าทุกเที่ยวเต็ม โทรเช็คเที่ยวบินที่สุวรรณภูมิก็เต็มหมดลืมคิดว่าเป็นเทศกาลสงกรานต์ และไม่เคยมีแผนล่วงหน้า คิดอยากไปก็ไป ระหว่างทางติดฝนจนเกือบถอดใจกลับบ้านแต่ก็ดันทุรังไปจนได้ ตอนนั้นยังไปตกรถแถวเชียงใหม่ เสียเวลาต้องรอรถหลายชั่วโมง เขาบอกว่าไม่มีรถสายยาว ผมก็เลยต่อสายสั้นระหว่างจังหวัด เดิมที่เริ่มจากกรุงเทพฯไปลงนครสวรรค์ ต่อจากนครสวรรค์ไปเชียงใหม่ จากเชียงใหม่ไปเชียงราย ทรหดสุดๆ แต่ก็คงดีกว่าขี่มอเตอร์ไซด์ไปแน่นอน การได้ตกรถที่เชียงใหม่ สร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิต ซึ่งถ้าไม่ตกรถคงจะเสียดายสุดๆ นั่นคือการได้เล่นสงกรานต์เชียงใหม่ ซึ่งในชีวิตไม่เคยคิดฝันมาก่อน มันเริ่มจากความเซ็งเล็กน้อยเมื่อไม่มีรถไปเชียงรายทันที ความเซ็งทำให้สมองทำงาน เมื่อสมองทำงาน กระเพาะเริ่มร้อง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ต้องแบกพาสังขารเจ้ากรรมนี้ไปหาอะไรกินในเมือง ผมมาถึงเช้าจนเกินไปตอนขาไปเลยไม่เจออะไรผิดสังเกตุ หลังจากกินข้าวแถว ม.เชียงใหม่ สถานบันศึกษาเก่า การเคยเรียนอยู่แถวนี้ทำให้รู้จักบริเวณนั้นเป็นอย่างดี พูดง่ายๆ ถ้าไปเชียงใหม่ต้องไปเริ่มที่ มช.ก่อนเป็นอันดับแรกไม่เช่นนั้นจะหลง  อย่าแปลกใจว่าเคยเรียนม.เชียงใหม่ทำไมหลงเชียงใหม่ได้ ที่จริงแล้วชื่อสถาบันจริงๆที่ผมเคยเรียนก็คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ณ สมุทรสาคร เป็นเพียงวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เท่านั้น ตอนเรียนเคยได้ไปเชียงใหม่ไม่เกิน ๕ ครั้ง ตอนแรกที่ไปก็ยังหลงวุ่นไปหมด อย่างไรก็ตามวันนั้นเป็นวันเล่นน้ำกันด้วย ตอนขากลับเวลาสายๆ วัยรุ่นและผู้คนก็เริ่มออกมาเล่นสาดน้ำกันแล้ว รถเมล์สองแถวที่ผมนั่งเผอิญผ่านเข้าไปใจกลางงานพอดี อันที่จริงก็เล่นกันเกือบทั้งเมืองนั่นแหละ รถติดอยู่เป็นชั่วโมง ขณะนั่งอยู่ในรถก็เปียกไปครึ่งตัวแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้ไปสาดกับใครเลย แต่ก็ทำให้ได้เห็นวัฒนธรรมที่สวยงามของเมืองเชียงใหม่ เล่นสาดน้ำกันน่าสนุกสนาน ผมดูเวลาเห็นท่าว่าจะตกรถไปเชียงรายอีกครั้งเพราะจองตั๋วไว้ล่วงหน้า เนื่องจากรถสองแถวที่นั่งมาไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ก็เลยตัดสินใจลงไปเดินแข่งกับเวลา แต่แปลกที่ลงไปเดินท่ามกลางของวัยรุ่นที่เล่นน้ำกันกลับไม่ทำให้ให้โดนสาดเหมือนที่ทำใจเตรียมเอาไว้ว่าจะต้องเปียกโซกแน่ๆ ในที่สุดผมก็ได้คำตอบหลังจากพบรถตุ๊กๆ สามล้อเข้าตรงบริเวณสี่แยกหลังจากที่เดินหาอยู่นาน นั่นแหละอีกครึ่งตัวก็เปียกอย่างสมบูณณ์ เมื่อรถตุ๊กๆ วิ่งด้วยความเร็วสูงภายหลังจากที่รู้ว่าผมใกล้จะตกรถแล้วในอีก ๑๐ นาที มันก็น่าแปลกที่ยิ่งเราหลบซ่อน มีที่กำบังมากเท่าไรศรัตรูของเราก็มักจะหาเราเจอได้เร็วเท่านั้น คนที่เดินอยู่ข้างล่างไม่ใช่เป้าหมายของคนสาดน้ำอาจเป็นเพราะเรากลายเป็นกลมกลืนหรือเป็นพวกเดียวกับเขา แต่เมื่อเรามีที่กำบังมั่นเหมาะนั่นกลับเป็นคนละเรื่อง คลื่นน้ำมากมายถาโถมกระแทกเข้ารถตุ๊กๆ ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงคันนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทาง ยิ่งมันวิ่งด้วยความเร็วสูงเท่าไร แรงปะทะก็เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย ผมมาถึงสถานีรถปรับอากาศไม่ต่างอะไรกับคนที่เพิ่งตกน้ำมาหมาดๆ แม้น้ำที่ละลายด้วยน้ำแข็งจะไม่ใช่ปัญหากับผมมากนักเพราะอากาศร้อนในตอนกลางวัน และถ้าหากจะไม่ขึ้นไปนั่งบนรถปรับอากาศอีก ๓ ชั่วโมงเพื่อไปเชียงราย และนั่นแหละเป็นประสบการณ์ชีวิตอย่างแท้จริง....ด่านแม่สายมีผู้คนคับคั่งในวันหยุด ผมเช่ามอเตอร์ไซด์คันหนึ่งในเมืองเชียงรายพร้อมสัมภาระก่อนเช็คอินออกจากโรงแรม บึ่งหน้าไปแม่สาย การขี่มอเตอร์ไซด์ในต่างจังหวัดแบบนี้ทำให้เราได้สัมผัสกับอากาศดีๆมากขึ้น ซึ่งถือเป็นความสุขประการหนึ่ง ระยะทางนับร้อยกิโลไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมนัก ภาพสวยงามของอารยะธรรมและธรรมชาติน่าตื่นตาตื่นใจกว่าเยอะสำหรับดินแดนแปลกหน้าแห่งนี้ ธรรมชาติของป่าไม้ในเขตเมืองหนาวและภูดอยต่างๆ แม้มันจะมีส่วนคล้ายๆ กับทิวทัศน์จังหวัดกาญฯ แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างคืออากาศที่เย็นกำลังดี ผมเคยอ่านบทความของเพื่อนๆที่บรรยากาศเกี่ยวกับเมืองโบราณอย่างเชียงแสนบ้าง การมาเที่ยวครั้งนี้ทำให้ผมไม่อาจพลาด นั่นเองเป็นเหตุให้ผมได้มีโอกาสไปนั่งริมฝั่งโขงแถวๆ สามเหลี่ยนทองคำ ดูเรือที่กำลังวิ่งรับนักท่องเที่ยวข้ามฟากไปมา เชียงแสนมีมนต์ขลังอย่างที่คนกล่าวขานจริงๆ อารยะธรรมเก่าแก่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ถ้าศึกษาให้ดี ดินแดนแห่งนี้ถือเป็นต้นตระกูลของราชวงศ์ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ทุกอารยะธรรมมีจุดกำเนิดและการล่มสลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างน้อยนักเผชิญโชคอย่างผมก็ได้ค้นพบว่า เมล็ดทานตะวันที่เลิศรสที่สุด ราคาถูกที่สุดอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้นี่เอง ดินแดนเหนือสุดแดนสยาม....   				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ