15 มีนาคม 2553 00:20 น.

โลกร้อนมหันตภัยวินาศโลก...

คีตากะ

ezf1-52ee86450d3bd77149a5f0044e604b9c.jp มกราคม ปี ค.ศ. 2010  เวลา 10.30 น. วันหนึ่ง ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในชั่วโมงเรียนวิชาธรณีวิทยา.....

นักธรณีวิทยาได้ทำการขุดเจาะแท่งน้ำแข็งบริเวณทวีปแอนตาร์กติกา ที่ขั้วโลกใต้ พบว่า ช่วงเวลากว่า 650,000 ปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นนั้น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตรวจพบในชั้นบรรยากาศซึ่งสะสมอยู่ในแท่งน้ำแข็งมีค่าสูงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ พวกเขาเลยสรุปง่ายๆว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนนั้นมาจากการสะสมตัวของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด ต่อเรื่องภาวะโลกร้อน................... ศาสตราจารย์ผู้สอนกำลังอธิบายเกี่ยวกับเรื่องธรณีวิทยา นักศึกษาคนหนึ่งพลันยกมือขึ้นถามว่า

 อดีตรองประธานาธิปดีแห่งสหรัฐก็กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ An Inconvenient Truth และยังสรุปอีกว่าสาเหตุหลักของคาร์บอนไดออกไซด์ 80% มาจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล พวกน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ที่ใช้ในรถยนต์ บ้าน โรงงาน โรงไฟฟ้า และการตัดไม้ทำลายป่า จนเป็นผลให้ท่านได้รับรางวัลโนเบลในปีต่อมา หรือว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์ระดับชั้นนำของโลกจะเข้าใจผิดพลาด แล้วความจริงคืออะไรครับอาจารย์ 
 
ความร้อนจากคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเพียง 40% ส่วนอีก 60% มาจากมีเทน ซึ่งแหล่งผลิตรายใหญ่ที่สุดมาจากฟาร์มปศุสัตว์................ ศาสตราจารย์ตอบ

เมษายนปีเดียวกัน เวลา 13.00 น. วันหนึ่ง สำนักข่าวในประเทศรายงานว่า

 ปัญหาโลกร้อนกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น นักวิชาการออกมาเตือนว่าปรากฏการณ์เอลนิโญ จะส่งผลกระทบต่อบ้านเราโดยตรง กระแสน้ำอุ่นไหลเปลี่ยนทิศทาง กล่าวคือไหลจากแปซิฟิกตะวันตกไปสู่แปซิฟิกตะวันออก ผลก็คือบริเวณแถวอเมริกาใต้ ประเทศเปรู ชิลี อาร์เจนตินา บราซิล จะเกิด ฝนตกหนัก จนอาจเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ เนื่องจากกระแสน้ำอุ่นจะนำพาความชื้นไปด้วย ส่วนในทางตรงข้ามแถวเอเชียใต้ ประเทศออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมทั้งบ้านเราจะเกิดความแห้งแล้งขั้นรุนแรงตามมา แม่น้ำสายหลักและแม่น้ำสาขาเริ่มทยอยพากันแห้งขอดลง จนรัฐบาลต้องเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรอย่างเร่งด่วน..................... 
 
ธันวาคมปีเดียวกัน เวลา 18.30  น. วันหนึ่ง กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนประชาชนออกทางทีวีและคลื่นวิทยุว่า

เนื่องจากอุณหภูมิภายในประเทศเพิ่มสูงทะลุ 40 องศาเซลเซียสแล้ว ขอให้ประชาชนระวังพายุรุนแรงที่อาจพัดผ่านประเทศในช่วงเวลานี้ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 3 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิท้องทะเลสูงขึ้นกว่า 2.5 องศาเซลเซียส คาดว่าจะก่อให้เกิดภาวะน้ำทะเลหนุนเนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกละลายและคลื่นลมมีกำลังแรง โดยมีความสูงของคลื่น 3-4 เมตร ชาวเรือควรงดออกจากฝั่งและประชาชนตามแนวชายฝั่งทะเลรวมทั้งพื้นที่ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1 เมตรควรรีบอพยพขึ้นที่สูงโดยด่วน ได้แก่พื้นที่จังหวัด.......................    

มิถุนายน ปี 2011 เช้าวันหนึ่ง หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ลงพาดหัวข่าวว่า

โลกตะลึง! องค์การนาซ่าเผยน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายหมดไม่เกินหน้าร้อนปี 2012 หวั่นน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีก 10 เมตรขอให้รัฐบาลของประเทศตามแนวชายฝั่งรีบอพยพประชาชนขึ้นสู่ที่สูงด่วน  

ตุลาคม ปีเดียวกัน ข่าวต่างประเทศในข่าวภาคค่ำ เย็นวันหนึ่ง รายงานว่า

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่านักวิทยาศาสตร์ทางทะเลได้ออกสำรวจพบการผุดขึ้นมาของก๊าซมีเทนและก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตส่งผลให้สัตว์ทะเลจำนวนมากตายลอยแพเกลื่อนในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก โดยพบมากบริเวณชายฝั่งประเทศนามิเบีย แถวแอฟริกา มหาสมุทรอินเดีย ทะเลจีนใต้ และตามแนวชายฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิค โดยเฉพาะญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย.............

เมษายน ปี 2012 เช้าวันหนึ่ง คลื่นวิทยุสถานีหนึ่งรายงานข่าวว่า

ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดเป็นรายวันกำลังสร้างผลกระทบไปทั่วทุกมุมโลก ผู้คนต้องอพยพไร้ถิ่นฐานนับพันล้าน บ้านเมืองพังทลายเพราะแผ่นดินไหวและพายุกระหน่ำ หลายประเทศกลายเป็นเมืองบาดาล ซ้ำร้าย การสูญเสียพื้นที่ทางการเกษตรไปจำนวนมหาศาลทำให้ประชาชนอดอยากและเกิดการแย่งชิงกันเอง ดูทีท่าว่าสถานการณ์จะเพิ่มความตรึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประเทศมหาอำนาจเริ่มส่อเค้าว่าจะก่อสงความกันเพื่อช่วงชิงแหล่งทรัพยากรของประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาที่ยังเหลืออยู่อย่างจำกัด การจราจลเกิดขึ้นทั่วทุกหย่อมหญ้าทั่วโลก ความขัดแย้งเริ่มรุนแรงจนถึงขั้นวิกฤติ หลายประเทศประกาศใช้กฏหมาย...... 

มิถุนายน ปี 2012 เวลา 08.00 น. ประธานาธิปดีซึ่งอาศัยศาลาที่ว่าการอำเภอ ประกาศทางสถานีวิทยุแห่งหนึ่งว่า

ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นต่อประเทศของเรา และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียญาติมิตรพี่น้องอันเป็นที่รักของท่านทั้งหลายที่ต้องประสพหายนะภัยในครั้งนี้ รัฐบาลจะทำการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเต็มที่เท่าที่จะสามารถกระทำได้ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจงได้โปรดสบายใจเพราะผมเชื่อว่าเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจงเชื่อมั่นในรัฐบาลที่จะสามารถดูแลพี่น้องได้เป็นอย่างดี ขอให้พี่น้องตั้งสติอย่าได้หลงเชื่อกลุ่มคนใดก็ตามที่ไม่ใช่รัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐ และพยายามติดตามศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติและกรมอุตุนิยมวิทยาต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่เสมอ ณ สถานีวิทยุแห่งนี้..............................

ขณะที่สงครามของเหล่าประเทศมหาอำนาจกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาต่างได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า เพราะเหล่าประเทศมหาอำนาจต่างก็นำอาวุธร้ายแรงของตนที่ไม่เคยนำออกมาใช้ในสงครามที่ใดมาก่อนในประวัติศาสตร์โลกออกมาใช้เพื่อประกาศแสนยานุภาพหมายเพียงห้ำหั่นฝ่ายตรงข้ามให้แหลกลาญย่อยยับไปเท่านั้น เป็นไปตามคำกล่าวของ โรเบิร์ต ไอสไตน์ที่กล่าวว่า ผมไม่ทราบหรอกว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นเมื่อใดใช้อาวุธอะไรต่อสู้กัน แต่เชื่อแน่ว่าในสงครามโลกครั้งที่ 4 มนุษย์จะใช้เพียงกระบองเท่านั้นเป็นอาวุธในการต่อสู้กัน เพราะคงไม่เหลือหรออะไรอีกแล้วเวลานั้น

 วันที่ 1 มกราคม ปี 2013 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่า

 21 ธันวาคม 2012 วันโลกาวินาศแหกตาคนทั้งโลก ! แม้จะมีสงครามอยู่บ้าง แต่โลกก็เดินทางรอดมาจนถึงปี 2013 เพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่ได้อย่างปลอดภัย

ปลายเดือนมกราคม ปีเดียวกัน ในบ่ายวันหนึ่ง

เขาสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อมีเสียงบางอย่างปลุกเขาขึ้นมา เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นเสียงโทรศัพท์หรือไม่ก็นาฟิกาปลุก แต่เขาจำได้ว่าปกติเขาจะปิดโทรศัพท์ทุกครั้งก่อนนอนและในบ้านของเขาก็ไม่เคยมีนาฬิกาปลุก เพราะเขาเป็นคนขี้ตกใจก็เลยไม่ชอบใช้เครื่องมือเหล่านี้ แม้นาฬิกาจะมีอยู่หลายเรือน แต่มันไม่มีถ่านใส่สักเรือน แล้วมันคือเสียงของอะไร?...........

เขาพักอาศัยอยู่กับน้องสาวเพียงแค่ 2 คน บ้านหลังนี้เป็นบ้านของพี่สาวที่ซื้อเอาไว้ในเมือง เนื่องจากพี่เขยตกงาน พี่สาวก็เลยต้องลาออกจากงานซึ่งอยู่กันคนละบริษัท แล้วพากันย้ายไปทำธุรกิจคาร์แคร์ ที่ภาคเหนือ ส่วนพ่อและแม่รวมทั้งพี่น้องคนอื่นๆต่างก็อยู่กันคนละเมือง เป็นเวลาปีๆกว่าจะได้พบหน้าค่าตากันสักครั้งนึง

เขาเดินหาเจ้าวัตถุต้นเสียงที่เป็นต้นเหตุสร้างความรำคาญให้กับตัวเขา เพราะมันรบกวนเวลานอนกลางวันของเขา เดินหาอยู่สักพัก แล้วเขาก็พบมัน....

มันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่น้องสาวของเขากลับมากินข้าวที่บ้านเวลานี้ เธอทำงานอยู่โรงงานผลิตเครื่องสำอางใกล้บ้าน เธอปั่นจักรยานไปทำงานทุกวันเว้นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุด ใช้เวลาเพียงแค่ไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้นก็ถึงโรงงาน เธอบังเอิญมาพบเห็นพี่ชายของเธอกำลังอารมณ์เสียอยู่พอดี แต่แล้วภายหลังจากที่พี่ชายของเธอหยิบวัตถุประหลาดอันหนึ่งขึ้นมา กลับมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงเข้าไปสอบถามด้วยความสงสัยว่า

นั่นอะไรนะพี่ เขานิ่งอึ้งไปนานเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จนไม่ได้สนใจกับคำถามของน้องสาวของเขา เขายื่นวัตถุประหลาดสีดำลักษณะคล้ายปากกาด้ามหนึ่งให้เธอก่อนจะตอบว่า
เครื่องมือวัดค่าก๊าซมีเทน
มันมีประโยชน์ยังไง วัดก๊าซมีเทนไปทำไม? เธอถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาวัยรุ่น
เครื่องนี้จะส่งเสียงดังทันที ถ้าค่าความเข้มข้นของก๊าซมีเทนในอากาศเกินค่ามาตรฐาน
ตอนนี้มันก็ดังแล้วนี่ เกินค่ามาตรฐานหมายความว่าอะไร
เกินค่ามาตรฐานหมายถึง ก๊าซมีเทนในอากาศมีมากเกินไปจนอาจถึงระดับที่อันตรายต่อระบบการหายใจของมนุษย์
หมายความว่าเราจะตายถ้าก๊าซมีเทนในอากาศมีมากเกินไป
ยังหรอก นี่แค่ระดับที่เตือนเท่านั้น แต่ถ้ามันขึ้นไปสูงกว่านี้ ก๊าซออกซิเจนจะลดต่ำลง เพราะมีเทนจะแทนที่ เราจะหายใจไม่ออกและอาจตายได้ทุกเวลาหรืออย่างเบาก็แค่เป็นเจ้าหญิงนิทราเนื่องจากสมองขาดออกซิเจน เสียงเตือนนี้แค่บอกเราว่าให้เรารีบออกจากพื้นที่นี้โดยด่วน
น้องสาวแสดงอาการตกใจ เธอขมวดคิ้วเข้าหากันจนหน้ายุ่ง และเริ่มรับรู้สึกถึงอากาศที่เบาบางลงจนเธอเริ่มจะหายใจไม่ออก พร้อมกับถามพี่ชายของเธอว่า แล้วเราจะทำอะไรต่อไป ในตอนนี้
จัดเตรียมกระเป๋ายังชีพด่วน และเริ่มออกเดินทางทันที! เขากล่าวอย่างรีบเร่ง เธอถึงกับชะงักค้างแต่ก็รีบไปจัดการตามที่พี่ชายของเธอสั่งแม้จะยังงุนงงว่าที่แท้จริงมันเป็นเรื่องราวใดกันแน่ ภายหลังจากเธอจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางเสร็จ เธอก็อดถามพี่ชายของเธอไม่ได้ จึงโพล่งถามไปว่า
บ้านเราไม่มีก๊าซมีเทน มันมาจากไหนเหรอ?
ทะเล เขาตอบให้น้องสาวอย่างห้วนๆ
มันขึ้นมาได้อย่างไร?
อุณหภูมิท้องทะเลสูงขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียส มันจะละลายขึ้นมาจากชั้นตะกอนก้นมหาสมุทรทั่วโลก
ทำไมอุณหภูมิจึงสูงขึ้นได้?
โลกร้อน ทำให้น้ำแข็งละลาย โลกขาดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์จากน้ำแข็งขั้วโลก โลกจึงยิ่งร้อนขึ้น ทะเลก็ยิ่งอุ่นขึ้นจนถึง 6 องศาเซลเซียส จึงเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนจากบริเวณที่น้ำแข็งละลาย บริเวณทะเลสาบ บนบกบางแห่ง รวมทั้งแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของมันคือใต้ท้องทะเล

น้องสาวทำหน้ามึนงงกับเรื่องราวที่ได้ยิน เธอไม่ค่อยเข้าใจวิทยาศาสตร์ซักเท่าไร เวลาเรียนเธอได้เกรดศูนย์ตลอดเกือบทุกวิชาที่เป็นวิทยาศาสตร์ สอบซ่อมแล้วซ่อมอีกจนเข็ดขยาด โดยเฉพาะวิชาฟิสิกซ์และพวกวิชาคำนวณ เธอจึงเลือกเรียนทางสายศิลป์ เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็เลยสมัครทำงานโรงงานทำเครื่องสำอางค์ใกล้บ้านและอาศัยอยู่กับพี่ชายที่บ้านของพี่สาว

ภายหลังจากที่เขาโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวแก่ญาติมิตรทั้งหลายของเขา แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะไม่มีใครสักคนที่จะเชื่อคำกล่าวของเขาที่จะให้อพยพด่วน ที่ผ่านมาภัยพิบัติทางธรรมชาติก็ทำร้ายพวกเขามามากพอแล้ว ไหนยังจะมีเรื่องสงครามอีก มิจฉาชีพมีเกลื่อนเมือง พร้อมที่จะทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้ทุกเมื่อ เจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็แทบจะเอาตัวเองไม่รอด ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้การหลบอยู่ในบ้านปลอดภัยที่สุด หลายคนขายที่ดิน ทรัพย์สินและนำเงินไปฝากไว้กับธนาคาร โดยหวังว่ามันเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด

เขาและน้องสาวต่างช่วยกันกางเต้นคนละหลัง ที่นี่เป็นภูเขาลูกหนึ่งซึ่งพวกเขาเดินทางมาถึง ลึกเข้าไปเป็นป่าที่เป็นวนอุทยานแห่งชาติข้างในยังมีสิงห์สาราสัตว์มากมาย โดยเฉพาะช้างป่าที่พร้อมจะเล่นงานนักท่องเที่ยวได้ตลอดเวลา ถ้าเฉียดเข้าไปใกล้ถิ่นของมัน หลังจากกางเต้นเสร็จ เขาชวนน้องสาวเดินทางสำรวจบริเวณโดยรอบๆ บนเขาลูกนี้ไม่ใช่มีเพียงเขาเท่านั้น ยังมีนักท่องเที่ยวอีกมากมายที่ขึ้นมากางเต้นนอนข้างบนนี้ ส่วนใหญ่ยังไม่รู้เรื่องภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ระหว่างที่เดินสำรวจบริเวณภูเขาอยู่นั้น น้องสาวก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่ เธอจึงโพล่งถามพี่ชายของเธอว่า
นี่เราไม่ได้กำลังบ้ากันอยู่ใช่มั๊ย ที่ทิ้งบ้าน ลาออกจากงาน เพื่อมานอนตามเขาตามป่าแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่ช่วยบอกหน่อยซิ!
น้องคงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกร้อนมาบ้าง ตอนนี้ภาวะโลกร้อนเดินทางมาถึงจุดวิกฤติแล้ว อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นมาอีก 5-6 องศา อย่างที่เห็นว่าน้ำทะเลได้กลืนประเทศที่เป็นเกาะและเมืองตามชายฝั่งไปเป็นจำนวนมาก นาข้าวและพืชผลทางการเกษตรเสียหายยับเยิน ไหนจะการที่น้ำเค็มรุกเข้ามาทำลายส่วนหนึ่ง และยังภัยแล้งยาวนาน ฝนทิ้งช่วง พายุรุนแรง และตอนกลางของประเทศที่จมอยู่ใต้บาดาลซึ่งเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำมานาน ยังจะแผ่นดินไหวที่เกิดถี่ ถล่มเมืองไปหลายเมืองจนราบคาบ ความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกำลังทำลายทุกสิ่งไม่เว้นแม้แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ สงครามความขัดแย้งเพื่อแย่งทรัพยากรอันมีอยู่จำกัดกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก คนอดอยากมีสุดคณานับ คนพเนจร ไร้ที่อยู่อาศัย ล้วนเป็นผลจากโลกร้อน ไม่เพียงความร้อนจะทำให้โลกกลายเป็นทะเลทรายเท่านั้น มันยังสร้างสงครามและกำลังล้างโลก
มีเทนในอากาศมาจากไหน มันเพิ่มขึ้นได้อย่างไร? เธอถามต่ออย่าง ตรงประเด็น
มีเทนเป็นสารไฮโดรคาร์บอนชนิดหนึ่ง มีทั้งเป็นสภาพของแข็ง ของเหลว และก๊าซ มีมีเทนอยู่ทุกที่ทั่วโลก และสะสมมากที่สุดคือในใต้ท้องมหาสมุทรนั่นคือมีเทนตามธรรมชาติ
ย้อนไปเมื่อประมาณ 630 ล้านปี 250 ล้านปี 55 ล้านปี สัตว์ดึกดำบรรพ์ในยุคนั้นต่างสูญพันธุ์หายสาบสูญไปจากโลก ก็ล้วนเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนที่ไปกระตุ้นให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทน ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์และก๊าซพิษอื่นๆ ที่สะสมอยู่ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในมหาสมุทรที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันแค่เพียงอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นอีก 5-6 องศาเซลเซียสก็เพียงพอให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซพิษเหล่านั้นแล้ว และมันก็มาถึงเราแล้วตอนนี้
ภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นได้อย่างไร? น้องสาวถาม
เดิมที่ตามวัฏจักรของโลก โลกกำลังจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง โลกมียุคน้ำแข็งและมียุคโลกร้อนหรือยุคน้ำแข็งละลาย สลับกันไปเป็นคาบเวลาที่แน่นอน แต่การเกิดขึ้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของโลกใบนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ธรรมชาติเกิดการเสียสมดุล ระบบนิเวศน์เสียไปสาเหตุล้วนแล้วแต่มาจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก การเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ก่อให้เกิดการตั้งถิ่นฐาน การทำการเกษตร นั่นจึงทำให้มนุษย์ต้องการที่ดินมากขึ้น จนต้องไปแผ้วถางรุกรานป่าไม้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ การเผาป่าเพื่อทำพื้นที่ทางการเกษตร เช่น การปลูกพืช ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สิ่งที่เป็นปัญหาที่แท้จริงคือการทำลายป่าเพื่อการทำฟาร์มปศุสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ แพะ แกะ เป็นต้น การปลูกพืชเพื่อการเกษตรสำหรับเลี้ยงมนุษย์ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่การปลูกพืชเพื่อการเลี้ยงสัตว์ซึ่งต้องการอาหารปริมาณมากกว่านั้นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องใช้ที่ดินจำนวนมหาศาล ปัจจุบัน การปศุสัตว์ใช้พื้นที่ของโลกถึง 30% นอกจากนี้ ที่ดินและน้ำในจำนวนที่มากกว่า ต้องใช้ไปกับการปลูกพืชเพื่อใช้เป็นอาหารให้กับสัตว์เหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ประมาณ 70% ของพื้นที่ป่าอเมซอนเดิม ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายต่อ
การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดเพียงแหล่งเดียวอีกด้วย ซึ่งก๊าซเหล่านี้เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยมันจะไปสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศและทำตัวเสมือนกระจกกักเก็บความร้อนไว้ในโลก ยิ่งเข้มข้นมากเท่าใด ความร้อนก็จะมีมากเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มุ่งความสนใจไปที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีอายุอยู่ได้นานหลายร้อยปีและละเลยก๊าซอันตรายอย่างมีเทนที่อายุสั้นเพียง 11 ปีแต่มีความรุนแรงกว่า 72 เท่าวัดในช่วงเวลา 20 ปี ในฐานะก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ พวกเขาจึงแก้ปัญหาพลาดเป้าจากความเป็นจริง แทนที่จะไปลดการทำปศุสัตว์เพื่อลดก๊าซมีเทนที่กำลังส่งผลในขณะนี้ กลับไปเสียเวลามากมายกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล พวก น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน หรือไม่ก็เพิกเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรเลยเหมือนการประชุมเรื่องโลกร้อนที่ประเทศเดนมาร์กซึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า
ก๊าซมีเทนจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ทั่วโลกเป็นผลก่อให้เกิดโลกร้อนมากกว่าครึ่งหนึ่งของก๊าซเรือนกระจกที่สะสมในบรรยากาศโลก แต่สาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์หามันไม่พบในช่วงเวลากว่า 100 ปีหรือกว่าศัตวรรษเพราะอายุมันสั้นกว่ามาก เพียง 11 ปีตัวมันก็จะสลายกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ พวกเขาจึงพบแต่คาร์บอนไดออกไซด์ที่นั่นและสรุปเอาง่ายๆ แบบฟันธงว่ามันเป็นต้นตอของปัญหาโลกร้อน
แต่คาร์บอนไดอกไซด์ก็มีส่วนทำให้โลกร้อนถึง 40% ไม่ใช่เหรอ? น้องสาวถามจากที่เคยศึกษามาบ้างพอสมควร
แน่นอน เพียงแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาโลกร้อนเป็นผลมาจากมีเทนเสียส่วนใหญ่ มันเป็นก๊าซแอบแฝง เหมือนศัตรูในที่ลับ ยากจะหาตัวมันพบ เขาอธิบาย และกล่าวเสริมอีกว่า
อย่าลืมว่าในชั้นบรรยากาศมีก๊าซมีเทนมากเท่าไร ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็มีมากเท่านั้น เพราะมันมาจากตัวเดียวกัน โอเค แม้ว่าการเผาป่าก็เป็นสาเหตุของการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยเช่นกัน แต่ต้องไม่ใช่มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะนักวิทยาศาสตร์บางคนพบว่าการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล พวกน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน จะได้คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นผลก็ตาม แน่นอนคาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้โลกร้อน แต่การเผาไหม้ดังกล่าวยังก่อให้เกิดมลพิษที่ชื่อว่าละอองลอยซัลเฟตซึ่งทำให้โลกเย็น ผลก็คือพวกมันหักล้างกันจนอุณหภูมิออกมาเกือบเป็นศูนย์กล่าวคือไม่มีผลต่อภาวะโลกร้อน ดังนั้นคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้นในชั้นบรรยากาศอันเป็นผลทำให้โลกร้อนจึงมาจากแหล่งอื่น และแหล่งที่ใหญ่และสำคัญที่สุดก็คือฟาร์มปศุสัตว์
เราจะเป็นเหมือนกบในสารคดีของนายอัล กอร์หรือเปล่า ที่มันจะกระโดนหนีทันทีถ้ามันบังเอิญกระโดดลงไปในหม้อน้ำร้อน แต่มันจะนิ่งเฉยและตายถ้ามันนั่งอยู่ในหม้อน้ำเย็นที่น้ำเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ  น้องสาวถามเมื่อจำได้ว่าพี่ชายเคยชวนเธอดูสารคดีเรื่องนี้เมื่อปีก่อน
กบอยู่ในน้ำร้อนเหมือนกันกับที่อยู่ในน้ำเคยเย็น แล้วอุณหภูมิค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะร่างกายของมันค่อยๆ ปรับตัวตามอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในที่สุดมันจะสุกเสียก่อนถ้าไม่มีใครจับมันขึ้นมา เช่นเดียวกับมนุษย์ ร่างกายมนุษย์จะปรับตัวเรื่อยๆ จนกระทั่งทนไม่ได้และตาย โดยไม่คิดจะหนีด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่าจะสามารถรับมือกับมันได้ แต่ปัญหานี้ใหญ่เกินไปกว่าสิ่งมีชีวิตเกือบทุกสายพันธุ์บนโลกจนทนทานรับได้ เขาอธิบาย
พี่บอกว่าเกือบทุกสายพันธุ์ หรือว่ามีบางสายพันธุ์ที่อยู่รอดได้ เธอถามด้วยดวงตามีประกายแห่งความหวัง
นี่แหละเป็นเหตุผลที่เรามาที่นี่ และกำลังสำรวจกันอยู่นี่ไง เขาพูดเป็นปริศนาเหมือนกับมีความลับซ่อนอยู่
ว่าแต่เรากำลัง ค้นหาอะไรกันอยู่ ยังไม่รู้เลย? น้องสาวสงสัยขึ้นมาทันใด
ถ้ำ เขาตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา ไม่ทันขาดคำ เบื้องหลังต้นไม้ใหญ่ลึกลงไปมีช่องทางเข้าเล็กๆทอดยาวลงไปยังเบื้องล่าง มันเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่มีปากทางเล็กๆ ทอดยาวลึกลงไป ถ้าสังเกตไม่ดีจะไม่สามารถมองหาปากทางเข้าถ้ำแห่งนี้พบ เพราะมันมีต้นไม้ใหญ่บดบังสายตาอยู่ ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวของเมืองลับแลในนิยายปรัมปราที่เคยอ่านในอดีต ปากทางเข้าถ้ำกว้างแค่พอให้คน 2 คนเดินผ่านได้เท่านั้น แต่พอก้าวผ่านเข้าไปพวกเขากลับต้องตะลึงกับภาพอันวิจิตรบรรจงตระการตาของหินย้อย โขดหินต่างๆ ที่ประดับประดาราวเฟอร์นิเจอร์ภายในถ้ำ ขับเน้นให้ภายในให้งดงามราวทิพยสถานก็ปาน ยิ่งเดินลึกเข้าไปภายในก็ยิ่งกว้างขยายอกไปเรื่อยๆ ราวห้องโถงขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีซอกซอยต่างๆมากมายคล้ายห้องเล็กๆอีกนับร้อยเรียงรายตลอดเส้นทาง ภายในทั้งกว้างใหญ่และทอดยาวนับกิโล อากาศข้างในชื้นอับแต่ก็ไม่ทำให้หายใจขัดข้องเลย ถ้ำแห่งนี้อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินราวๆ 7 เมตร เดินไปประมาณ 500 เมตรก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากลำธารเล็กๆ ที่ตัดผ่านตัวถ้ำ ละอองลอยที่ปลิวว่อนสร้างความชุ่มชื่นให้กับพวกเขาจนลืมวันเวลา.....
ยุคล่าสุดเมื่อประมาณ 55 ล้านปีก่อน ไดโนเสาร์เคยครอบครองโลกใบนี้อยู่ จู่ๆ อุกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 15 กิโลเมตรก็พุ่งเข้าชนโลกอย่างจัง ก่อเกิดเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เกิดไฟไหม้ไปทั่วราวป่าบริเวณรอบข้างในรัศมีหลายกิโลเมตร ลูกไฟที่ตกลงมาสร้างความเสียหายต่อชีวิตของสัตว์เหล่านั้นจำนวนมาก แต่นั่นก็ยังไม่ใช่หายนะที่แท้จริง ฝุ่นละอองจากการพุ่งชนของอุกาบาตที่ลอยขึ้นไปเต็มท้องฟ้าต่างหากที่ไปบดบังดวงอาทิตย์โลกทั้งโลกตกอยู่ในความมืดสนิทนานหลายเดือน ก๊าซและฝุ่นละอองจำนวนมหาศาลปกคลุมชั้นบรรยากาศเอาไว้อย่างหนาแน่นอย่างฉับพลันก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น อุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส ทะเลแทบจะเดือด นั่นก็เพียงพอที่จะเร่งการปลดปล่อยก๊าซมีเทนที่เกิดจากการสะสมจากซากพืชซากสัตว์ตามธรรมชาตินับล้านๆปีใต้ท้องมหาสมุทรให้ผุดลอยขึ้นผ่านตะกอนและชั้นน้ำขึ้นสู่บรรยากาศ แทนที่ออกซิเจนอย่างรวดเร็ว ผลก็คือไดโนเสาร์สูญพันธุ์ทันที แต่ไม่น่าเชื่อยังมีสัตว์บางสายพันธุ์กลับรอดมาได้ ให้เราเห็นจนถึงปัจจุบัน
อะไรเหรอ?
สัตว์จำพวกหนู และพวกที่อาศัยอยู่ใต้ดิน!
นั่นเป็นสาเหตุที่เราต้องมาที่นี่เพื่ออาศัยอยู่ใต้ดิน นั่นก็คือถ้ำนั่นเอง?
เข้าใจถูกแล้ว
เราจะอาศัยอยู่นานเท่าไร?
อย่างต่ำ 11 ปี
เพราะอะไร?
เพราะมีเทนจะอยู่ในอากาศเพียง 11 ปี
เราจะกินอะไร ที่จะรอดได้นานถึง 11 ปี?
อากาศ
อากาศ? นี่เป็นเหตุผลที่พี่พยามฝึกให้พวกเรากินอากาศมายาวนานนับหลายปีมานี้ เพื่อวันนี้
ถูกต้อง
ทำไมเราไม่ยอมสูญพันธุ์เหมือนพวกไดโนเสาร์ และตายไปพร้อมกับคนส่วนมาก แบบนี้พวกเราจะเหลือเพื่อนบ้านที่จะคุยด้วยสักกี่คน?
ประการแรกพวกเราไม่ใช่ไดโนเสาร์ ประการต่อมาพวกเราเป็นมนุษย์กินอากาศ หาใช่พวกงมงาย ประการสุดท้ายอาจไม่เหลือเพื่อนบ้านหรืออาจจะมีก็ได้ ทุกคนมีวิถีทางเป็นของตนเอง ทางรอดเป็นของตนเอง
หลังจากนั้นเล่า?
ถ้าโชคเข้าข้าง วันหนึ่งเราคงได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์อีกครั้ง เริ่มต้นกันใหม่
เราคงเป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่รอด และกลายเป็นสิ่งที่ต้องอนุรักษ์เอาไว้ เพราะใกล้สูญพันธุ์เต็มที น้องสาวกล่าวสรุปในที่สุด
 อีก 8 วันหลังจากนั้น หลังจากที่พวกเขาเดินสำรวจถ้ำที่ภูเขาแห่งนี้กว่า 10 แห่ง เขาก็เลือกถ้ำที่มีลักษณะตรงตามที่ต้องการ นั่นคืออากาศจากภายนอกยากที่จะซึมผ่านเขาไปได้ หรือเข้าได้น้อยมาก มีแหล่งน้ำพอเพียง มีทำเลที่ดีต่อการอยู่อาศัยอย่างปลอดภัย แต่แล้วเครื่องวัดก๊าซมีเทนของเขาก็พลันส่งเสียงดังเตือนอีกครั้งในระดับอันตรายต่อชีวิต เขาพลันรีบเก็บเต้นเข้าสู่ภายในถ้ำทันทีหลังจากที่นอนอยู่บริเวณถ้ำแห่งนี้มาระยะนึงแล้ว เขาไม่ทันได้สังเกตบุคคลอื่นด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าไม่มีใครสนใจเรื่องราวที่เขาและน้องสาวพยายามบอกอกไปในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวไปตามป่าเขาโดยไม่รู้เพทภัยร้ายแรงที่กำลังตามมา ทั้งเขาและน้องสาวยังถูกมองว่าเป็นพวกสติไม่ดี ชอบพูดจาเพ้อเจ้ออีกด้วย.....................................

11 ปีผ่านไป ในเช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางทะเลทรายที่ปกคลุมโลกอันเวิ้งว้างกว้างไกล ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวใดๆ ปราศจากต้นไม้ มีเพียงต้นกระบองเพชรและหญ้าทะเลทรายที่ปรากฏอยู่เพียงปละปลาย น้ำทะเลสีฟ้าใสปราศจากสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ สภาพอากาศที่ร้อนจัดราวเปลวไฟ ตึกรามบ้านช่องต่างๆล้วนถูกกลืนหายไปกับสายน้ำในมหาสมุทรที่รุกเข้ามาในแผ่นดินและบางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลทรายในตอนกลางของทวีปที่เหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่แล้วพลันปรากฏเงาร่าง 2 สายเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างไกลบริเวณตรงเส้นขอบฟ้า ลิบลับสุดสายตา.....


				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ