31 พฤษภาคม 2548 18:27 น.

...ผีละเมอ....

ค้างคาวคืนคอน

เสียงดัง เอี๊ยดดดดด.............ยาวสงบลง  พร้อมกับมีการส่งเสียงถามกันให้จ้าละหวั่น "เกิดอะไรขึ้นหรือครับ" "ใครเป็นอะไรบ้าง"  
เสียงตอบมาใกล้ๆรับฟังได้ว่า "เปล่าครับพี่ไม่มีอะไร  พอดีไม่ขาดไม่เกินบังเอิญมีรถคันหลัง สงสัยเกิดอาการเสียวที่เท้านะครับ พอขับ
มาถึงตรงนี้ พี่แกคงจะทนไม่ได้นะครับ เหยียบเบรคกระทันหัน โดยลืมไปว่าขับรถมาด้วยความเร็วไม่บันยะบันยัง เลยทำให้เกิดเสียงดัง
จากยางรถยนต์บ่นกับพื้นถนนเล็กๆน้อยๆ อย่างที่พี่ได้ยิน เป็นเสียงที่ผมคุ้นหูแล้วครับ"
       หลังจากเหตุการณ์สงบไม่มีอะไรเสียหาย หนุ่มใต้ที่ได้ชื่อว่านั่งรถไฟฟ้าเป็นประจำ ถึงจะอยู่ไกลจากเมืองหลวงที่เขาว่ารถติดมากที่สุด
ในประเทศ ซึ่งผมยังสงสัยอยู่ว่าถ้ารถมันไม่ติดจะเอามาวิ่งบนถนนทำไม จอดอยู่บ้านเฉยๆดีกว่า   อาศัยอยู่บ้านพักใต้ฟ้าบนดินริมน้ำ 
ตอนค่ำๆทานน้ำเปล่ากับแก้วเก่าๆใบสวยเป็นประจำ  ก็หอบสัมภาระมารอพรรคพวก ซึ่งเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในความคิดของผมที่
สถานีเอกมัย (ไม่รู้ผมเรียกถูกหรือเปล่าเพราะเพิ่งมาครั้งแรก)
       เป็นเวลานานมากสำหรับการรอ...รอที่จะพบกับคนรู้จัก และพบคนที่แปลกหน้าที่ผมไม่รู้จักแต่ไม่นานคงได้รู้จัก  บุรุษหนึ่งที่ผมเห็น
ใส่หมวกเขาเรียกว่าหมวกอะไรผมก็จำไม่ได้ซะแล้ว เพราะหน่วยความจำเริ่มไม่สมบูรณ์  เอาเป็นว่าเขาใส่หมวกก็แล้วกัน ในมือถือกีต้าร์
เกิดอาการสะดุดตา ถ้าเป็นผู้หญิงคงจะเรียกว่า..ปิ๊งๆๆ เข้าเต็มตา  ...เหมือนพี่อู๋ ธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ฯจังเลย ถ้าจะเอ่ยชื่อเพลงที่เขาร้อง
ไว้มีหลายเพลงอยู่ ....แต่อัลบั้มคุ้นหู คือ พายุธรรพ์ณธร นั้นเอง  เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆเพื่อนมากหน้าหลายตาก็เข้ามารวมตัวกัน
เป็นกลุ่มเป็นก้อน  เสียงทักทายเริ่มขึ้นมีทั้งจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะอาการเบลอๆของผม
       เวลาประมาณ 08.10 น.รถโดยสารหนึ่งประตู หลายหน้าต่าง ก็ค่อยเยื้องย่างออกจากสถานีเอกมัย มุ่งหน้าไปทางทิศไหนก็ไม่รู้ พอดี
เข็มทิศของความทรงจำเกิดเสีย เพราะเพลียจากการเดินทาง แถมระหว่างการเดินทางแทบไม่ได้หลับ เพราะคนนั่งข้างๆที่นั่งคู่กันมา 
เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ  ตั้งแต่จากบ้านส้อง(อำเภอเวียงสระ อำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี) ไม่แน่ใจว่าจะเพี้ยนมาจากบ้านซ่อง
หรือเปล่า เลยกลายมาเป็น...บ้านส้อง...อย่างทุกวันนี้ เขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง(ผมรู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่) รู้แต่ว่ารถโดยสารคันนั้น ออกจาก
ชานชาลาที่ 26 มุ่งสู่ทิศตะวันออก....จุดมุ่งหมายคือ...ซีกหนึ่งของจังหวัดระยอง
       โชคดีครับที่เก้าอี้ที่ผมได้นั่งนั้นเป็นเก้าอี้ซีกด้านขวา เป็นที่นั่งข้างกับบุรุษหนึ่งผู้นั้น ผู้ที่ภายหลังรู้ว่าเป้าหมายที่ไป คือจุดหมายที่เดียว
กัน ผมอยากจะชวนพูดและคุยด้วยมากๆเลยครับ(ทำความรู้จักไง)  แต่อย่างว่าแหละครับ ต่างคนต่างก็เดินทางมาคงเกิดอาการเพลียไม่ใช่
น้อย โดยเฉพาะผมง่วงนอนมากๆ
        อีกซีกหนึ่งด้านซ้ายมากมายไปด้วยกลุ่มหญิงสาวหน้าตาไม่ค่อยคุ้น แต่เมื่อเห็นแล้วทุกคนสวยมากครับ แต่สวยไปคนละแบบ บ้างก็
พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็เผลอเป็นหลับ ขยับเป็นเหนื่อย เมื่อยจากการกิน  เห็นแล้วเพลิดเพลินดีครับ  จุดหมายแรกที่ไปคือห้าง
โลตัสฯสาขาอะไร ผมจำไม่ได้อีกนั่นแหละครับ เอาเป็นว่าเป็นห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส  ที่ผมได้ยินชัดๆว่า "ราคา ประหยัด ทุกวัน" 
ก็แล้วกัน
       ระหว่างการเดินทางจากสถานีเอกมัยใกล้จะถึงห้างโลตัส จุดหมายแรกที่พรรคของเรานัดกันไว้  ได้ยินเสียงบุรุษที่นอนหลับสบายๆ
อยู่ข้างๆผม ค่อยๆสะดุ้งและผุดเสียงที่ดังฟังชัดเอามากๆว่า...........เฮ้ยยยยยยยยยยย.........เท่านั้นเองแหละครับ รถโดยสารคันนี้ก็เบรคทันที
ข้างนอกรถคงได้ยินเสียงดัง........เอี๊ยดดดดด............แบบกระทันหันสุดตัวจนโก่ง ถ้าไม่ติดว่าที่นั่งเป็นเบาะอันนุ่มนิ่ม(ผมใช้ยังไม่เป็นเลย)
 มีหวังหัวคะมำ ถลำ และอาจจะถลาไปหาเบาะข้างหน้า ไปหาคนที่อยู่ข้างหน้าก็เป็นได้
       ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกครับ แค่รถเบรคติดไฟแดงพอดิบพอดี ไม่สุกมากจนเกินไป อีกอย่างเป็นวันเสาร์แล้วด้วย  สำหรับเสียงที่ดังนั้น
มันเป็นเสียงละเมอครับ  ละเมอจริงๆ  นี่ผมยังคิดอยู่เลยนะครับว่า  ถ้าเกิดว่าคนนั่งข้างๆผมเป็นผู้หญิงแทนที่จะเป็นผู้ชายบุรุษหนุ่มคนนี้  
........ผีละเมอ......คงทำให้ตัวผมเองทำตัวไม่ถูก  แต่ที่ถูกต้องและถูกเต็มๆคือสายตาหลายคู่ที่มองมาทางผม เขาคงจะคิดไปในทางไม่ดี 
ผมไปทำอะไรเขาหรือเปล่า
       ระวังนะครับถ้าท่านเดินทางไปไหนด้วยรถโดยสารประจำทาง ไม่ว่าจะปรับอากาศชั้นดีหรือไม่ดี  มีแอร์หรือไม่มี จะกี่ประตูหรือหลาย
หน้าต่าง  ระวังคนข้างๆเอาไว้นะครับ  ถ้าคุณเดินทางไปหรือกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ถือว่ามีบุญแล้วครับ ที่ไม่พบกับ ......ผีละเมอ..... 
        เป็นเวลาไม่นานมากสำหรับการที่มาพบเจอกัน ณ สวนวังแก้ว รีสอร์ท...ทั้งที่ได้พบกับคนที่รู้จักแล้ว และพบกับคนที่แปลกหน้า ทั้งที่
ผมเองก็เป็นคนหน้าแปลกๆที่มาได้รู้จักกัน  มันเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับความสุขที่ได้รับ  บุรุษหนึ่งที่ผมเห็นใส่หมวกอะไร
ผมก็จำไม่ได้ซะแล้ว ที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยรู้จัก  ในมือถือกีต้าร์ ที่ทำให้ผมเกิดอาการสะดุดตา ถ้าเป็นผู้หญิงคงจะเรียกว่า...ปิ๊งๆๆ  เข้าเต็มใจ
....เหมือนพี่อู๋ ธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ฯจังเลย   ถ้าจะเอ่ยชื่อเพลงที่เขาร้องในตอนนี้ ต้องถามคนที่นั่งฟังกันหน้าสลอนอยู่ข้างๆ ตลอดของการ
เฮฮา ปาร์ตี้ยามค่ำคืนใต้แสงจันทร์ ในวันเต็มดวง(อยู่ในช่วงวันวิสาขบูชา)ว่าเพลงนั้นชื่ออะไร  ผมเองก็จำไม่ไหวเพราะมีหลายเพลงอยู่ 
ที่เขาร้องให้ฟังล้วนเป็นเพลงที่ไพเราะเข้ากับเสียงเพราะๆของเส้นสายของกีต้าร์ที่เขาเล่น ....แต่ที่คุ้นหูคือ  เสียงละเมอตอนอยู่บนรถโดย
สารเบาะปรับเอนนอนที่ผมจำได้ไม่ลืม........เฮ้ยยยยยยยยยย.... แล้วก็มีเสียงบอกเบาๆเป็นคำพูดจากปากเขาว่า .......พี่ครับผมละเมอ...... 
         ระวังนะครับถ้าท่านเดินทางไปไหนด้วยรถโดยสารประจำทาง ไม่ว่าจะปรับอากาศชั้นดีหรือไม่ดี  จะกี่ประตูหรือหลายหน้าต่าง  
ระวังคนข้างๆเอาไว้นะครับ  ถ้าคุณเดินทางไปหรือกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ถือว่ามีบุญแล้วครับ ที่ไม่พบกับ ......ผีละเมอ.....				
24 พฤษภาคม 2548 23:29 น.

...ผีเข็นแพ...

ค้างคาวคืนคอน

เบื้องหน้า เป็นภาพทะเลที่กว้างใหญ่ เสียงที่ได้ยินใกล้ๆ คือเสียงของคลื่นที่ซัดกระทบกับผืนทราย
     เบื้องหลัง คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ครั้งล่าสุดเป็นการรอ รอที่อยากมาเห็นภาพเบื้องหน้า
     ...ชายคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาไม่ค่อยดี จำเป็นที่ต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อจะได้เติมความสนใจของคนรอบข้างได้  กำลังเดินลงไปในทะเลที่กว้างใหญ่ ท่ามกลางระลอกคลื่นที่ซัดฝ่าเข้ามาหาฝั่ง ทันใดนั้นเขาก็กระโจนข้ามคลื่นลูกใหญ่
ที่กำลังซัดเข้ามาหาฝั่ง แล้วร่างของเขาก็หายไปพร้อมกับระลอกคลื่นที่เบาลงเมื่อมันซัดเข้ามาหาฝั่ง ไม่กี่อึดใจร่างของเขาก็โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำทะเลที่ไม่ถึงกับเค็มนัก แต่ก็ไม่จืดเกินไป
    เบื้องหน้า คือแพยางสีน้ำเงินไม่ใหญ่นัก ที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมสี่คน กำลังนอนตากแดดบนแพยาง โดยมีคลื่นจากทะเล คอยกล่อมเห่ลอยขึ้นลงตามระลอกคลื่น ที่หนักบ้างเบาบ้างอย่างเพลิดเพลิน
    เบื้องหลัง คือฝั่งที่มีแรงของระลอกคลื่น ที่คอยซัดเข้าหาระลอกแล้วระลอกอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแรงแห่งความคิดถึง หรือเป็นแรงแห่งความคิดร้าย
    ...ชายคนนั้นพยายามคอยดันไม่ให้แพยางสีน้ำเงินนั้นเคลื่อนที่เข้าหาฝั่ง โดยเกาะอยู่ข้างแพยางคอยดันและคอยเข็น สู้กับระลอกคลื่นที่แรงบ้างเบาบ้าง อย่างนั้นตลอด เพื่อให้ชีวิตเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมสี่คน อยู่รอดจากการถูกคลื่นซัด
ไม่ต้องกินน้ำทะเลโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องแสบตาเพราะน้ำทะเลที่โผเข้ามาอย่างตั้งใจ
    โดยที่หารู้ไม่ว่า ขณะที่เขาเกาะแพยางอยู่นั้น ภาพเก่าๆที่ผ่านมา ค่อยๆชัดขึ้นๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ มันคือสิ่งที่ไม่มีรูป มันคือสิ่งที่ไม่มีกลิ่น สุดท้ายมันคือสิ่งที่ไม่มีเสียง แต่มันเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยได้สัมผัส เป็นสิ่งที่หัวใจเพรียกหา
    ...หากเธอคนนั้นอยู่บนแพยางอย่างตอนนี้
    ...หากเธอคนนั้นมาอยู่ใกล้ๆอย่างตอนนี้
    ...หากเธอคนนั้นมาคอยพูดคุย หรือคอยส่งเสียงยามถูกระลอกคลื่นซัดเข้ามาอย่างตอนนี้
    ชายคนที่กำลังเกาะแพยาง คงจะมีความสุขไม่น้อย ขณะกำลังเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตามสิ่งที่หัวใจเพรียกหา มีเสียงเรียกมาจากเพื่อนที่อยู่บนแพยาง
    ...พี่เข็นแพ...พี่เข็นแพ...พี่เข็นแพ...
    แล้วเขาคนนั้นก็กลายเป็น พี่เข็นแพ เข็นแพยางสีน้ำเงิน เพื่อต่อสู้กับลูกคลื่นที่โถมเข้ามาอย่างหนักและแรง  ผลที่ได้รับ เพื่อนบางคนหล่นลงจากแพยาง เพื่อนบ้างคนแสบตาด้วยน้ำทะเลเข้าตา เพื่อนบางคนกินน้ำทะเลเข้าไป ส่วนคนที่ยังอยู่บนแพยางก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจ แต่ทุกคนดูมีความสุขเพราะด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ตามมาเมื่อตั้งหลักได้ และเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดของการเล่นน้ำทะเล
     โดยหารู้ไม่ว่า....ชายคนที่กำลังเข็นแพยางสีน้ำเงินสู้กับคลื่นที่ซัดมาอย่างแรงนั้น กำลังไล่ผี...  ผีซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีรูป เป็นสิ่งที่ไม่มีกลิ่น เป็นสิ่งที่ไม่มีเสียงคอยตามหลอนหัวใจอันอ่อนไหวแถมอ่อนแอของเขา เมื่อมาเจอสภาพที่เคยคุ้นเคย
    ...ไม่อยากให้เธอคนนั้นอยู่บนแพยางอย่างตอนนี้
    ...ไม่อยากให้เธอคนนั้นมาอยู่ใกล้ๆอย่างตอนนี้
    ...ไม่อยากได้ยินเสียงที่คอยฉอเลาะของเธอคนนั้นอย่างตอนนี้
    อยากให้ผีตนนั้นเข็นแพออกไป...เข็นออกไปให้พ้นฝั่งหัวใจ เข็นออกไปสู่ทะเลใจที่ครั้งหนึ่งเคยสุข เข็นออกไปแล้วไม่ต้องกลับมา เมื่อมาเจอสภาพที่เคยคุ้นเคย
    เบื้องหน้า คือถนนที่พาเขากลับไปสู่ความจริง
    เบื้องหลัง คือสิ่งที่ทิ้งไว้ในความทรงจำ ว่าครั้งหนึ่งของเขาคนนั้น เคยมาเล่นน้ำทะเลอันกว้างใหญ่ แต่ออกไปไกลได้ไม่มาก
    ...อยากบอกว่า...
    อยากกลับมาที่ทะเลใจแห่งนี้ มาดูผีตนนั้นยังเข็นแพอยู่หรือไม่ 
    อยากกลับมาที่ทะเลใจแห่งนี้ มาฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งและฟังเสียงของคนที่เริ่มรู้จัก
    อยากกลับมามาที่ทะเลใจแห่งนี้ ว่าจะมีใครหรือเปล่าที่คิดถึงเขาคนนั้น คนที่เข็นแพ...				
10 มกราคม 2546 00:25 น.

...เปลี่ยนสภาพ....

ค้างคาวคืนคอน

ด้วยความอัดอั้นที่บอกใครไม่ได้...เกียรติศักดิ์..เลยมาระบายเรื่องอัดอั้นกับเพื่อนรัก..สืบศักดิ์..
        เกียรติศักดิ์ : สืบศักดิ์..รู้หรือเปล่าว่ะ..ว่าพี่..อัดอั้นเหลือเกินกลับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน..
        สืบศักดิ์ : พี่ไม่บอกผม..ผมก็ไม่รู้หรอก..เรื่องอะไรครับ..
        เกียรติศักดิ์ : เรื่องครอบครัว..
        สืบศักดิ์ : ผมก็เห็นว่าเมียพี่กับพี่ รักกันดีนี่ครับ...
        เกียรติศักดิ์ : นั่นแหละ..ทำให้พี่ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่..ว่าพรุ่งนี้สภาพชีวิตพี่จะเป็นอย่างไร...
        สืบศักดิ์ : มีอะไรกันหรือครับ...
        เกียรติศักดิ์ : ตอนแรกรักกันใหม่ๆ เมียพี่ให้พี่เป็นกองหน้า..ให้หมั่นขยันทำประตูเอาไว้มากๆ..
        สืบศักดิ์ : แล้วอย่างไรต่อล่ะครับ...
        เกียรติศักดิ์ : พอเวลาผ่านไปประมาณปีนึง..เมียพี่ก็ให้พี่มาอยู่กองกลาง..
        สืบศักดิ์ : อ้าว..ทำไมล่ะครับ..
        เกียรติศักดิ์ : ให้พี่ทำหน้าที่เลี้ยงลูก...
        สืบศักดิ์ : ดีแล้วนี่ครับ..
        เกียรติศักดิ์ : แล้วน้องรู้มั้ย..ปัจจุบันพี่ทำหน้าที่อะไร..เมื่อเวลาผ่านไป 6 ปี
        สืบศักดิ์ : ไม่ทราบครับ..
        เกียรติศักดิ์ : ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตู..
        สืบศักดิ์ : อ้าว..ทำไมอย่างนั้น..ล่ะครับพี่..
        เกียรติศักดิ์ : น้องรู้แล้วอย่าบอกใครนะ..เนี่ยล่ะเป็นสาเหตุ..ที่พี่ไม่แน่ใจในสภาพอนาคตของตัวเอง...คือว่า...ต้องมีหน้าที่คอยรับลูก...เฮ้อ...เหนื่อย...				
5 มกราคม 2546 08:38 น.

....เก่งกว่าเดิม....

ค้างคาวคืนคอน

ในชนบทแห่งหนึ่งซึ่งว่างจากการทำนา..รอการเก็บเกี่ยวผลิตผลที่กำลังจะได้ในเร็ววัน...นั้นคือ ข้าวเปลือก...จากผลิตผลของชาวนา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ...ซึ่งปัจจุบัน ก็เหลือแต่กระดูกจริงๆ...ดำกับขาวกำลังนั่งคุยกันตามประสาเพื่อนฝูง...หลังจากดูผลิตผลที่แปลงนา...
        ดำ :  ไอ้ขาวแกว่านกพิราบ เก่งอย่างไรวะ..
        ขาว : ที่ข้าดูในหนังจีน ข้าเห็นมันนำจดหมายจากคนหนึ่งไปถึงคนหนึ่ง ข้าว่าน่าจะเก่งในด้านสื่อสารวะ..สามารถจำได้ว่าบ้านใครเป็นบ้านใคร..
        ดำ  :  ดีนะ..กลับบ้านได้
        ขาว : แล้วแกว่านกเอี้ยง เก่งอย่างไรวะ...
        ดำ  :  ข้าว่ามันน่าจะเลี้ยงควายได้นะ...เห็นผู้ใหญ่เขาพูดกันว่า นกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่า...ควายกินข้าวนกเอี้ยงหัวโต...
        ขาว : ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีนะซี..
        ดำ :  มันดีอย่างไรวะ ไอ้ขาว
        ขาว  : ดีซี..เราก็จับนกเอี้ยงตัวผู้มาขังรวมกับนกพิราบตัวเมีย..ให้มันผสมกัน...
        ดำ :  แล้วมันดีอย่างไรล่ะ..
        ขาว :  ก็เมื่อเวลาลูกที่เกิดออกมา..จะได้เก่งกว่าดีกว่า...เราไม่ต้องเหนื่อย...
        ดำ :  ทำไมวะ..
        ขาว  : ก็เราได้นกพันธุ์ใหม่ที่เก่งกว่าเดิม...เพราะนอกจากเราจะได้นกที่เลี้ยงควายได้แล้ว..มันยังสามารถพาควายกลับบ้านได้เอง...เราไม่ต้องเที่ยวมาเลี้ยงควาย..พามาและพากลับให้เหนื่อย...เอาเวลานั้นมานอนเล่นดีกว่า...ไม่ต้องเหนื่อย...				
29 ธันวาคม 2545 23:53 น.

กบเหลาดินสอ

ค้างคาวคืนคอน

มีโรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท ข้างห้องเรียนมีสระน้ำ ดอกบัวชูดอกอันสวยงาม ในห้องเรียนชั้นป.2 มีนักเรียนทั้งหมด 27 คน ตั้งใจเรียนกันเป็นอย่างดี แต่ละคนมีไหวพริบดีเยี่ยม  ถึงชั่งโมงเรียนวิชาภาษาไทย ครูที่รับผิดชอบในการสอนเข้าสอนตามหน้าที่
              ครู :  เด็กชายฉลาด ทำไมดินสอของเธอไม่เหลาให้มันเรียบร้อย จะเขียนได้ดีขึ้น
              เด็กชายฉลาด :  ผมไม่มีที่เหลาดินสอ ครับ
              ครู :  แล้วเพื่อนๆของเธอไม่มีใคร มีกบเหลาดินสอหรือมีดเลยหรือ
              เด็กชายฉลาด :  ไม่มีใครมีเลยครับ
              ครู :  ถ้าอย่างนั้น เธอไปหากบเหลาดินสอจากข้างห้องมา เดี๋ยวครูจะช่วยเหลาให้
              เด็กชายฉลาด :  ครับครู..
          แล้วเด็กชายฉลาดก็รีบวิ่งออกจากห้องไป เพื่อหากบเหลาดินสอ เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง  เด็กชายฉลาดก็กลับมาในสภาพเสื้อและกางเกงติดโคลน หน้าตามอมแมม ในมือข้างซ้ายถือกบมาด้วยตัวหนึ่ง ในมือข้างขวาถือมีดเล่มเล็กๆมาด้วย  แล้วเดินมาหาครูที่นั่งรออยู่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า...
           ....ครูครับ กบตัวนี้กว่าผมจะจับมันได้ เหนื่อยครับ และนี่มีดเหลาดินสอครับ  แต่ไม่รู้ว่ากบตัวนี้มันจะเหลาดินสอได้หรือเปล่าไม่รู้ครับ...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟค้างคาวคืนคอน
Lovings  ค้างคาวคืนคอน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟค้างคาวคืนคอน
Lovings  ค้างคาวคืนคอน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟค้างคาวคืนคอน
Lovings  ค้างคาวคืนคอน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงค้างคาวคืนคอน