25 กรกฎาคม 2554 21:44 น.

ชายหาด ที่ ไร้ รอยทราย

ดาวศรัทธา

แสงเรื่อเรืองที่ขอบฟ้า งามชวนพิศวง เหมือนชวนให้คาดเดา การแสดงของธรรมชาติ ในฉากต่อไป ฉันชอบเฝ้าคอยดูว่า ดวงตะวัน จะโผล่ขอบขึ้นมาตรงส่วนไหนของทิวเขา แสงเรื่อๆค่อยๆสว่างเข้มขึ้น ไม่ช้าก็เห็นขอบตะวันส้มแดง ค่อยๆเรืองแย้มโผล่ให้เห็นข้างเนินเขาที่เยื้องห่างขอบชายทะเลไปไกล

ตั้งแต่จำความได้ ทุกๆเช้า พ่อจะพาพวกเรา วิ่งเดินออกกำลังเลียบถนนชายทะเลหน้าบ้าน ไปที่หาดดงตาลซึ่งอยู่ไกลออกไปสองสามร้อยเมตร ไปดูตะวันขึ้น พอถึงชายหาด เราจะเดินย่ำทรายไป ฉันชอบเดินเล่นคลื่น เหยียบทรายปนน้ำไปตลอดทาง ต้นมะพร้าวที่ทอดเอนเล่นน้ำทะเล เป็นเหมือนสัญลักษณ์ เหมือนเป็นจุดนัดหมาย ทุกยามเช้า เป็นความสุขที่เหมือนอยู่ใน นิรันดร์กาล มารู้ตัวก็ต่อเมื่อสุดทิวดงตาล พร้อมตะวันที่ร้อนแรงขึ้น ได้เวลากลับบ้าน

ตะวันยามเย็น ก็งามไปอีกแบบ เพราะไปตกที่แนวเขาอีกฟากของชายหาด บางวันตอนบ่ายแก่ๆ เราจะพากันไปเล่นน้ำทะเลที่หาดดงตาล เล่นน้ำทะเลจนตะวันตกหมดแสงแดดจึงกลับไปอาบน้ำกร่อยที่บ่อในบ้าน

แม้เพียงข้ามถนนหน้าบ้านไป ก็คือชายทะเล แต่ชายทะเลที่อยู่ในชุมชน มีบ้านเรือนตลอดชายหาด สะพานไม้ที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก เป็นที่เทียบเรือประมงเล็กๆ ชายหาดแม้จะไม่ค่อยสะอาดนัก แต่ก็พอจะเล่นน้ำทะเลได้บ้างตามประสาเด็กๆ

เมื่อเติบโตจนไปไหนมาไหนได้โดยลำพังแล้ว ฉันชอบลงชายหาดตอนน้ำลง เดินเลาะไปเรื่อยๆ จนถึงหาดดงตาล เดินหาหอยตะกาย ที่ทิ้งรอยทรายเป็นทางเดินให้จับตัวได้โดยละม่อม ผัดหอยตะกายเป็นอาหารยอดนิยม โดยต้องผ่านพิธีล้างบาป (อิอิ) ให้นอนแช่น้ำทะเลสักชั่วโมง เพื่อปล่อยเมือกทรายออกมาให้หมดจด แล้วจึงเชิญลงกระทะ หอยตลับหาตัวยากกว่าเยอะ ต้องเป็นช่วงปริ่มน้ำจึงใช้เท้าคุ้ยให้โผล่แล้วจับได้โดยง่าย เนื้อไม่มากแต่ก็หวานกว่าหอยตะกาย ส่วนหอยเสียบ ไม่เป็นที่นิยมของเด็กชายเพราะต้องนั่งคุ้ยทรายอยู่กับที่นานๆ ตัวก็เล็ก แถมยังเอาไปดองแช่น้ำปลา ไม่น่าอร่อยสำหรับเด็ก

ตอนน้ำเริ่มขึ้นเป็นเวลาสนุกในการล่าจับปูม้า ซึ่งต้องใช้ความไวมากหน่อยในการดักจับเป็นอาหาร ส่วนปูแป้น เป็นการล่าไล่ที่สนุกและเสี่ยงอย่างเดียว กินไม่ได้ เพราะมีแต่กระดองที่แข็งและเต็มไปด้วยหนามแหลมและก้ามที่แข็งแรง สำหรับปูลม เป็นปูที่น่าสงสาร คอยผลุบๆโผล่ๆ และวิ่งหนีไปมา แถมยังตัวแค่กะจิ๋วหริว แต่ก็เป็นเจ้ายุทธจักร ในการสร้างรอยทรายให้เป็นขุยก้อนเม็ดทั่วไป ฉันชอบเดินเขี่ยย่ำรอยเม็ดทรายของปูลม มากกว่าไล่จับมัน
 
หาดทราย เป็นเสมือนสนามเด็กเล่น ที่เราได้เติมเต็มความฝัน ท่ามกลางธรรมชาติ แสงแดด คลื่น ลม และดินทราย ที่อิสระ เสรีไร้ขอบเขต เราได้เนรมิตเกาะแก่งภูเขาและทะเลของเราเอง ในช่วงเวลาสั้นๆ ฉันไม่ค่อยขีดเขียนเป็นภาษาใดๆบนพื้นทราย อาจเพราะยังไม่ค่อยรู้ภาษาเขียน อย่างมากก็วาดรูปงูๆปลาๆ สู้สร้างภูเขาขุดรอยหลุมน้ำ เล่นสนุกกว่าเยอะ



... เย็นย่ำนี้ ฟ้ายังมีแสง ให้เห็นอาหารเมี่ยงปลาและหม้อไฟอยู่ตรงหน้า ตราบเมื่อลงท้องจนใกล้หมดจานแล้ว ฟ้าก็มืดค่ำพอดี แสงไฟรำไร เรียงรายรอบ ทั้งจากร้านค้าตรงข้ามและไฟถนน และแสงไฟลิบๆจากเรือทหารและเรือประมงและท่าเรือ และจากเกาะไกลๆ   ลมทะเลพัดโหมแรง จนอาหารบนตั่งที่วางบนเสื่อแทบปลิว คลื่นซัดกระหน่ำเข้าใส่เขื่อนเสียงดังสนั่นจนน่ากลัวว่าเขื่อนจะพังทลาย บางครั้งยังกระเซ็นเป็นฝอยน้ำทะเลเกือบปลิวมาถึงเสื่อที่นั่งอยู่ ฟ้าครึ้มไร้เดือนดาว ทำท่าเหมือนฝนจะมา แต่ลมแรงมาก คงหอบฝนไปตกเลยไกลฝั่ง 


หาดทรายที่เคยเห็นในวัยเด็ก ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ให้สืบสาวได้เลย ไม่มีต้นมะพร้าวเหลืออยู่เลย ดงตาล ยังเหลือตาลเก่าตาลใหม่ปนเปอยู่บ้าง แต่คงไม่สมกับคำว่าดงตาลแล้ว และยังถูกกันออกจากชายหาดด้วยเขื่อนยาวและหินดินทรายที่ถมสูงขึ้นมาหลายเมตร แม้ว่าถัดออกไปอีกไม่ไกล จะมีแนวหาดเขตทหารอยู่ แต่ก็เป็นแนวต้นไม้อื่น ที่ปลูกเติมขึ้นมา 

ฉันไปอยู่ไกลบ้านเกิดหลายสิบปี ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ได้รู้เห็นมาก่อนแล้วหลายสิบปี ต้องมาประจักษ์และสัมผัสอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกวันนี้ แม้ว่าฉันจะไปชายทะเล ใกล้ๆที่เดิมอีก ทุกเช้ามืด ก็เป็นแค่การไปจับจ่ายของที่ตลาดเช้า เป็นกิจวัตร ไม่มีเวลาเดินข้ามถนนไปรับลมทะเล หรือไปเฝ้ารอดูตะวันขึ้น แม้จะไปดู ก็ไม่อาจลงไปที่ชายหาดข้างริมเขื่อน เพราะถูกกัดเซาะจนลึกไม่เห็นทราย


ถึงกระนั้น ชายหาดที่ไร้รอยทราย ยังคงประทับรอยทราย ไว้ในความทรงจำ ไม่รู้ลืม				
ไม่มีข้อความส่งถึงดาวศรัทธา