19 เมษายน 2549 07:56 น.

บทความหมายเหตุจากนิทานเสือไฟ

ธรรมาภิวัฏ

ต้นเรื่องจาก | นิทานเสือไฟ 
ธรรมาภิวัฏ 

๑ขีดเส้นเน้นหนักปักเขต
กำหนดกฎเหตุสิ่งผล
กระทำการณ์กร้าวคำรณ
แทบท้นท่วมสรรพ์สวรรค์ยา

๒เหตุอาฆาตมาตรแต่ร้าย
ก่อนปางกำเนิดกายจะใฝ่หา
จึ่งลิขิตค่าแห่งชีวตา
สังสาร์สืบมาว่าฉะนี้

๓กรรมแห่งแต่งโสตสรรพสัตว์
ต่างเยี่ยงกำหนัดภูตผี
หมองไหม้เผาแผดทุกราตรี
จึ่งมีโทมนัสกลัดกมล

๔สุมเผาโมหาโทษาจริต
ร้อนรุ่มสุมผิดคั่งข้น
เลือดแค้นกลบแค่นค่อนคน
จึ่งดลดาลเดือดเลือดร้อน

๕สรรพศาสตราอาวุธ
เร่งรุดฉุดคร่าคราก่อน
มาตรว่าจวบสิ้นถิ่นอุดร
จึ่งผ่อนกลับกลายเมื่อปลายมือ

๖หัตถาแปดเปื้อนเดือนมืด
กำพืดหืดหิ่งนิ่งหรือ
กำดาบฟาดเลือดเดือดระบือ
จึ่งคือเสือไฟใจโจร

๗โลดโผนโจนทะยานยุทธนา
ปล้นแล้วจึ่งฆ่าครากระโน้น
ห่อนห้ามทรามสุมซุ้มโจร
ก่อนโพ้นผละไว้ไพรวนา

๘กระบี่เมืองขุนมือปราบ
ภูตแห่งกำราบหิงสา
สดับตรับทุกข์ผู้ประชา
จึ่งมารอนร่ายพลายพล

๙เหวยเหวยอ้ายเองอั้งยี่
ปล้นฆาตคร่าสตรีมีผล
กรรมก่อผู้ใดใคร่ค้น
กรรมค้นผู้ใดใคร่ทำ

๑๐เหวยเหวยว่าอ้ายขุนเมือง
ฉ้อฉลกลเขื่องเชื่องช้ำ
ผู้คนมีชื่อเพราะคือกรรม
ลบชื่อ ฤา กรรมกระทำเอา

๑๑อุหว่ะมึงนี่ปลิ้นปล้อน
ยอกย้อนทุรชนกลเขลา
เกลือกเพียงก่นอ้างสรรค์เอา
อย่าเลยเร่งเร้าทั้งลี้พล

๑๒สกลสองข้างทั้งขวาซ้าย
โหมทักถองท้ายย้ายย่น
มีดจักแทงหอกจักซัดสู่ตัวคน
ทั้งผู้พลคนตายก็คล้ายกัน

๑๓สะดุดเสือกเกลือกท่าจนแทบสิ้น
เสือล้มฟาดแผ่นดินด้วยพลาดพรั่น
ยามรักตัวกลัวตายจักวายวัน
จึ่งนพกั้นสัปทนคนปราชัย

๑๔ขอท้าวเถิดท่านข้าสำเนียกผิด
ด้วยโมหะห้อมจริตจนบิดใบ้
ทั้งลุ่มหลงโลภะอันจัญไร 
จึ่งเบียดบังพลั้งใจด้วยไม่มี  

๑๕นาก็ล่มจมนาจนเจิ่งหนอง
ยามแล้งก็แล้งร้อนจนแหนงหนี
ปลาก็ตายหายหดหมดนที
นกหรือ ฤา จักมีเพราะหนีฟ้า

๑๖ข้าวกล้าพอเท่าไรก็เสียเจ๊ก
ตัดเบี้ยเยี่ยงเห็บในหูหมา
เหลือแต่เพียงจานเปล่ารองน้ำตา
เกลือกกินหญ้ายอดฟางอย่างงัวควาย

๑๗สงสารแต่มารดาที่แก่เฒ่า
มองลูกเต้าเมียรักก็ใจหาย
พ่อจ๋าพาข้าวยังเปล่าดาย
เราจะกินอะไรในวันนี้

๑๘ร้องราวป่าวทุกข์ทั้งแดนป่า
ท่านขุนภักษาผู้เรืองศรี
ท่านขุนเกษตราธิบดี
ท่านขุนปรานีปรีชาชาญ

๑๙นรชนคนราษฎร์ต่างร่ำร้อง
ฝนฟ้ามิตกต้องดังปีขาล
เปรียบสุมไฟไหม้ขอนก็ไม่ปาน
เพราะร้อนรุ่มดุ่มดาลปานนอนไฟ

๒๐ท่านขุนภักษาเบือนหน้าหนี
ท่านขุนปรานียิ่งหนีหาย
ท่านขุนเกษตรากระสาตาย
จักร้องราวป่าวไปก็ไม่มี

๒๑จึ่งมาก่อกรรมอยู่ถ้ำเสือ
ด้วยเบื่อสาบจนพ้นหนี
กำดาบสาบเลือดในที
พอมีที่พลั้งยังกาย

๒๒โปรดเมตาข้าเจ้าเถิดเจ้าข้า
ด้วยลำเค็ญเข็ญว่าฟ้าหมาย
หากเลือกทางได้ด้วยใจกาย
จักไม่เลือกผิดพ่ายต่อผู้คน

๒๓นิทานของเองมันสิ้นแล้ว
เป็นเสือก็เหมือนแมวหมดลายขน
ต้องกุดหัวเสียบประจานสันดานโจร
เป็นเยี่ยงอย่างผู้คนต่อต่อมา

๒๔..เจ้าเอกวิชัยชาญ
ทั้งหมู่บริบาลจตุบาท์
คุมตัวอ้ายสัตวหิงสา
บั่นคอเลือดทาทุรกรรม..

--------------------------------------------------------
จะตัดสินใคร..?
เห็นว่าอย่างไร..?

-------------------------------------------------------


..........ผมลองนั่งนึกๆ เสมอนะครับว่า.. ในความจำยอม จำเป็นจากเหตุผล การดิ้นรนเพื่ออยู่รอดในสังคมที่ไม่มีทางเลือกเป็นสิ่งที่ยากลำบากเสมอในทุกยุคทุกสมัย ความยุติธรรมมันไม่ควรจะมีฝ่าย เพราะความยุติธรรมควรจะเป็นสิ่งที่เท่าเทียมเสมอกัน จากสังคมที่นัยลักษณะกล่าวหา(และกฎหมายไทยที่มีลักษณะกล่าวหา) ทำให้เรามักจะมองผู้ที่ถูกนั้นถูกแล้ว ความยุติธรรมที่เริ่มต้นจากตรงนี้บนฝั่งของผู้ที่ถูกต้อง เสมอๆ ออกจะเป็นลักษณะธรรมชาตินัก.. แต่ทว่าสำหรับผู้ผิดนั้น ยากที่ความยุติธรรมจากสังคมจะเข้าถึง ผมเน้นนะครับว่าความยุติธรรมจากสังคม.. ไม่ใช่ความยุติธรรมจากความยุติธรรม.. 
..........การตัดสิน..แน่นอนเมื่อผิดต้องว่ากันตามผิด ส่วนโทษต้องดูกันอีกทีว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะความชั่วมันมีพัฒนาการของมัน คือเมื่อเลวแล้วมันมักจะมีธรรมชาติของการพัฒนาความเลวไปสู่ความเลวร้ายยิ่งๆ ขึ้นไป หากทว่ามันมาจากเหตุผลอันจำเป็นที่สังคมหยิบยื่นให้เป็นตัวตั้งต้น..เป็นเหตุจึงนำไปสู่ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ตรงนี้ควรหรือไม่ที่เราจะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน เพื่อนำไปสู่ทางออกอย่างยุติธรรม..
มีข้อสังเกตอีกอย่างนะครับ.. สถานะการบ้านเมืองที่อดอยากแร้นแค้น ในทุกยุคทุกสมัย ว่ากันมาตั้งแต่ครั้งประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ มักจะมีการปล้นสะดมซ่องโจร โดยที่รัฐจะเล่นบทพระเอกแก้ปัญหาที่ปลายมือ ส่งกองทัพเข้าตะลุย ยิ่งปราบก็ยิ่งหนักข้อรอเชื้อประทุ หนักเข้าหน่อยก็ขบฏ ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงระบอบระบบ ขบฏเลยมีชื่อใหม่ว่าผู้ปราบดาบ้าง ผู้ปฏิวัติบ้าง ผู้กระทำการรัฐประหารบ้าง เขียนประวัติศาสตร์กันเองใหม่ สวยงามเลิศหรู เพราะมันไม่ใช่ซ่องโจรขบฏเสือไฟอีกต่อไปแล้ว ประวัติศาสตร์ที่เขียนจึงมีข้อขัดแย้งกับประวัติศาสตร์ที่เป็น ทำให้ประวัติศาสตร์ไม่นิ่ง มีการแก้ไขเสมอๆ ยกตัวอย่างเสียหน่อย อย่างการเปลี่ยนวันกองทัพไทย ก็เพิ่งได้หลักฐานกันมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ อันนี้เพียงยกตัวอย่างความไม่นิ่งของมันนะครับ.. แล้วประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันล่ะมีความเป็นจริงมากแค่ไหน..? ผมไม่ทราบ..
.............กลับมาสู่ยุคสมัยข้าวยากหมากแพง.. เกิดชุมนุมซ่องโจร มันสะท้อนอะไร.. มันสะท้อนเรื่องความยุติธรรม การแก้ปัญหา การใช้อำนาจของรัฐหรือไม่..? ทั้งในส่วนของรัฐเอง ในส่วนของเจ้าขุนมูลนาย หรือข้าราชการ ก็ตามแต่ ว่ามีระบบการบริหารกันอย่างไรจึงเกิดปัญหา.. หากทว่าประชาชนอยู่ดีกินดี มีความยุติธรรมในสังคม มีหรือโจรเสือไฟจะเกิด..?
..............มาสู่ยุคปัจจุบัน.. ถามว่าหมดไปหรือไม่ที่อำนาจรัฐข่มเหงประชาชน..? ถามว่าหมดไปหรือไม่ความไม่ยุติธรรมในสังคม..? ผมคิดว่ายังไม่หมดไป มีแน่นอนครับ มันเป็นเรื่องที่ยืนหยัดอยู่คู่กับคน.. เพียงแต่แสดงออกมาในรูปแบบใหม่ ตามเงื่อนไขใหม่ๆ ในสภาวะการณ์ปัจจุบัน..
..............อีกเรื่องหนึ่ง กรรมย่อมกระทำผลตามสมควรแก่เหตุแห่งมัน กฎเกณฑ์เรื่องนี้ ผมจะมองได้ไหมครับว่าออกจะไสยศาสตร์ไปหน่อยสำหรับเรื่องนี้และเหตุผลทั้งหมดที่ยกมาอ้าง แน่นอนครับว่า กฎแห่งกรรมเป็นสากล เป็นกฎตายตัวแห่งจักรวาล เราไม่ต้องมาพิสูจน์กันเพราะมันเป็นสัจจะนิรันดร์ แต่มีหลักธรรมอีกข้อที่เราต้องนำมา ประกบ เรื่องนี้ บุพเพกตบุญตา อัตสัมมาปนิทิติ(ถ้าให้ความหมายหรือเขียนผิดไปโปรดให้อภัยด้วยนะครับ) คือ..รวมความแล้วว่าเหตุที่เป็นไปเกิดจากวัน เวลา และสถานที่ หรือบริบทแวดล้อม คนจะดีเลวได้ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งแวดล้อม.. บางทีข้ออ้างในอำนาจและการตัดสิน หรือบริหาร มักจะอิงหลักธรรมปรัชญาอะไรซักเรื่อง หรืออำนาจครอบงำทางศาสนาที่มองไม่เห็น มาเป็นข้ออ้างอันชอบธรรม ผู้ปกครองในทุกยุคสมัยจะไม่มองข้ามในหลักการนี้ หากใคร.. ผู้ใด.. กุมศรัทธาและความเชื่อ การใช้อำนาจมักจะมีความชอบธรรมในมุมมองของผู้อยู่ใต้อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการเกื้อหนุนอุปถัมภ์ต่อศาสนาในทางอ้อม หรือ เป็นศาสนาเสียเอง อย่างกบฏโจรโพกผ้าเหลืองในเรื่องสามก๊ก (พฤติกรรมคล้ายกับใครสักคนในเหตุการณ์ปัจจุบัน) ทั้งนี้ล้วนแล้วแต่ยกคุณธรรมในศาสนาหรือยกศาสนามาอธิบายความชอบธรรมในอำนาจแทบทั้งสิ้น ไม่มีผู้นำรัฐคนใดที่จะมองข้ามอำนาจมืดข้อนี้แล้วจะไปรอด เพราะอำนาจบวกบุญเท่ากับบารมี เป็นอำนาจที่มีความชอบธรรมในการใช้  แต่จะเป็นอำนาจที่บริสุทธิ์หรือไม่..? ไม่รู้..  
..............มาสู่.. การพิจารณาในเรื่องกฎแห่งกรรม สมควรครับที่จะยึดถือ โดยไม่ละเว้นในทุกสถานะการณ์ ทุกเหตุการณ์(เน้นนะครับว่าในทุกเหตุการณ์สถานะการณ์) แต่ความหนักเบา อันจะยึดถือเป็นตัวบทที่สำคัญนั้น เราน่าจะมองเหตุการณ์ออกไปให้ไกลถึงปลายสุด ที่มองออกยาก หรือมองไม่เห็น คาดการณ์อย่างมองไม่เห็น แล้วพิจารณาให้น้ำหนักความหนักเบาแก่มัน สิ่งที่มองไม่เห็นไม่ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหนักของเหตุผล แต่มันมีน้ำหนักเท่าใดล่ะ หรือควรให้น้ำหนักแก่มันมากเท่าไรจึงจะสมเหตุสมผล..
.............. สงครามการต่อสู้ดิ้นรนครั้งในนี้ เปรียบมวยก็เหมือนมวยแพ้ มวยแพ้ไม่มีทางจะได้รางวัลปลอบใจไปมากกว่าผู้ชนะแน่นอน หากว่าเราเป็นฝ่ายชนะในการแข่งขัน เราจะมีน้ำใจนักกีฬาแบ่งส่วนเงินค่าเย็บแผลหรือไม่.. หรือเปิดทางเลือกให้แก่เสือผู้แข็งข้อหรือไม่.. เสือผู้ที่ไม่มีทางเลือกจะได้มีที่ยืนเสียบ้าง ปรับเปลี่ยนระบบการบริหารของรัฐเสียบ้าง อภัยโทษ หรือลดโทษลงเสียบ้าง เสือตัวต่อไปจะได้ไม่มี ความยุ่งยากในการปกครองจะได้ไม่เกิดซ้ำซาก..
..............อย่าลืมนะครับว่า.. เขาเพียงแต่เป็นฝ่ายแพ้ จากโจรกระจอกลักเล็กขโมยน้อย กลายเป็นโจรปล้นฆ่า จากเสือตัวเดียวเป็นหัวหน้าถ้ำเสือซ่องโจร กองกำลังโจรถ้าใหญ่โตมากขึ้นไปเรื่อยๆ ปัญหาการเลี้ยงดูกำลังพลจะตามมา แล้วจะหาทางออกอย่างไร..?
..............จากที่เคยบุกปล้นกันงานต่องานหรือวันต่อวัน จะกลายมาเป็นการเรียกส่วยเก็บค่าคุ้มครอง มีระบบการบริหารเก็บรายได้เลี้ยงกองกำลังเป็นสัดเป็นส่วนตายตัวแน่นอน ควบคุมพื้นที่ มวลชนสัมพันธ์แย่งชิงประชาชน จนกระทั่งจัดสรรค์ก่อตั้งหน่วยงานปกครองลงมาทับซ้อนแทนที่หน่วยงานอำนาจของรัฐ เปลี่ยนแปลงโฉมหน้ารูปแบบไปเสียสิ้นเชิงจนคาดไม่ถึง จากโจรปล้นคนจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปล้นชาติ จัดตั้งกองกำลังกบฏติดอาวุธ มีระบบกำลังพล กองประจำการ กองหนุน การรบจะเปลี่ยนจากจรยุทธ์ไปเป็นการรบเป็นแนวอย่างมีแบบแผน เป้าหมายสุดท้าย คือล้มรัฐบาลกลาง เปลี่ยนแปลงการปกครอง จัดตั้งรัฐบาลใหม่ จึงจะสลายกองกำลัง..
..............ชุมโจรขบฏกลายเป็นฝ่ายปฏิวัติ.. จากที่ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรนอกจากดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นจากยุคสมัย นำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจในพวกพ้องและประชาชน จนกระทั่งจัดตั้งแนวร่วม มีอุดมการณ์ยึดมั่น ท้ายที่สุดนำไปสู่การปฏิวัติ และยืนเหนือชัยชนะต่อฝ่ายรัฐบาล หน้าประวัติศาสตร์จะพลิกด้านอย่างพลิกฝ่ามือ ประวัติศาสตร์จะถูกเขียนขึ้นใหม่โดยกลุ่มผู้มีอุดมการณ์แนวร่วมปฏิวัติ(ให้สังเกตว่าเปลี่ยนจากโจรไปเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์) ข้อเท็จจริงและรายละเอียดบางตอนของประวัติศาสตร์จะถูกบิดเบือนจนไม่รู้ว่าอันไหนเท็จอันไหนจริง  ประวัติศาสตร์ จะกลายเป็นนิยายประวัติศาสตร์ สังคมจะกลับคำตัดสิน สรรเสริญผู้ก่อการปฏิวัติ ประณามรัฐบาลเดิมว่างี่เง่า คดโกง ช่อราษฎร์บังหลวง
............ที่นี้.. เราจะมาเริ่มตัดสินกันใหม่ไหมล่ะครับว่า.. โจรเสือไฟมีความผิดเช่นไร และควรจะใช้บทลงโทษอย่างไรจึงจะยุติธรรม..

---------------------------------------------------------------
หมายเหตุ | 

*โจรโพกผ้าเหลืองเป็นกลุ่มโจรกบฏที่มีแรงศรัทธาในศาสนาปลายสมัยราชวงศ์หั้น ก่อนจะเกิดการแบ่งแผ่นดินจีนเป็นสามก๊ก  แบ่งการปกครองกลุ่มกบฏโดยมีสามตำแหน่งใหญ่ นำโดยเตียวก๊กเป็นขุนพลธรรมสวรรค์ เตียวโป๊เป็นขุนพลธรรมธรณี และเตียวเหลงเป็นขุนพลธรรมนรา กองกำลังมีผ้าโพกหัว และธง สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ 

**ข้อความข้างต้นเป็นความคิดเห็น ที่ไม่ได้มีเจตนามุ่งกล่าวหา โต้แย้ง ลบหลู่ บุคคล องค์กร หรือสถาบันใดๆ ในทางที่เสียหาย

**ขอบคุณ ทุกความคิดเห็นและข้อโต้แย้ง ทุกคำทุกตัวอักษรที่ท่านชี้แนะ แลกเปลี่ยน แบ่งปัน ย่อมนำมาซึ่งการพัฒนาแนวความคิด ขอขอบคุณมาอีกครั้งหนึ่ง				
17 เมษายน 2549 12:42 น.

ข้าพเจ้าใคร่ขอเรียนถามเหล่าเมธีกวีแห่งไทยโพเอมทุกท่าน

ธรรมาภิวัฏ

..เรื่องสมมุติ

มีชายคนหนึ่งอายุไม่มากไม่น้อยไป มีครอบครัวลูกเมียแล้ว แต่บังเอิญเขาโชคไม่ดีเท่าไร ล้มหมอนนอนเสื่อเป็นอัมพาต สูญเสียตำแหน่งหน้าที่การงานทั้งที่ยังอยู่ในวัยอันรุ่งโรจน์ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ตัวเองต้องเป็นภาระให้แก่บรรดาลูกเมีย เมียและลูกต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพตั้งแต่ยังเด็ก สภาพชีวิตที่ย่ำแย่รังแต่จะอดอยากยากจนลงทุกวันทุกวัน ข้าวที่ไม่พอจะหุงเลี้ยงทุกคนในครอบครัวได้อิ่มัท่วกันเท่าไรนัก บางมื้อถึงขนาดจะต้องอดและไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีข้าวสารเหลือพอหุงหา หรือไม่..
ด้วยความกลัดกลุ้ม.. (ให้ข้อเท็จจริงไว้ว่าเขาไม่สามารถจะหายจากโรคนี้ได้อย่างแน่นอน มีแต่ทรงกับทรุด)ทรมานในสังขาร และสงสารเหล่าลูกเมียที่ต้องทนลำบาก.. เขาตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเขาเอง.. ฆ่าตัวตาย.. (ให้ข้อเท็จจริงไว้ว่าเขาสามารถหาวิธีการต่างๆ อันใดก็ได้ มาฆ่าตัวเองตายได้ ถึงแม้จะเป็นอัมพาต) และในเมื่อเขาตายไปแล้ว..(เน้นว่าเมื่อเขาได้ตายแล้ว)

..เรียนถามท่านเหล่าเมธีกวีไทยโพเอมที่เข้ามาอ่านกระทู้ว่า มันสมควร สมเหตุสมผลหรือไม่.. อย่างไร.. ในสภาวะการอันจำยอม และ ได้กระทำการอัตวิบากกรรมไปแล้ว.. ขอให้ท่านเป็นผู้ตัดสิน และ โต้แย้งในเหตุผล โดยที่ท่านจะยึดตามหลักธรรม หรือไม่ก็ตามแต่ อย่างเสรี

..ทุกข้อโต้แย้ง และ ทุกคำตัดสิน ย่อมเป็นประโยชน์แก่ตัวข้าน้อยผู้ด้อยปัญญายิ่งนัก จึงขอขอบพระคุณมาในโอกาสนี้..

ธรรมาภิวัฏ 

(จะขอตอบทุกความคิดเห็นเมื่อกระทู้นี้ตกไปจากหน้าแรก)				
26 มีนาคม 2549 19:31 น.

ทำไมดูคนน้อยลง..

ธรรมาภิวัฏ

ใครพอจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้บ้าง หรือหนีไปเที่ยวรัชฎาซอย 4 กันหมด..				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธรรมาภิวัฏ
Lovings  ธรรมาภิวัฏ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธรรมาภิวัฏ
Lovings  ธรรมาภิวัฏ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธรรมาภิวัฏ
Lovings  ธรรมาภิวัฏ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงธรรมาภิวัฏ