29 มิถุนายน 2550 14:32 น.

อ้าว...ก็คนมันเครียดหนิ....

น้ำผึ้งเดือนห้า

BabyCadance.jpg

สวัสดีครับ.....ผมชื่อเบบี๋ครับ..(แม่เรียกอย่างนั้น)

blue_shady_baby.jpg

คือช่วงนี้ผมงานเยอะเลยอ่ะครับ....นี่ก็เพิ่งจะกลับจากประชุมที่สมุย....

funny-pictures-does-your-baby-drink-beer

ผมไม่ค่อยได้พักผ่อน...และก็เครียดด้วย..ก็เลยต้องดื่ม...นิดหน่อย....

image.php?u=44439&dateline=1156394257

นี่แม่ผมเองครับ...แกชอบดื่มเป็นประจำเลย....
คุณล่ะครับ...จะมาดื่มกับพวกผมมั๊ย....

baby.jpg

หือ...ว่าไงครับ.....				
21 มิถุนายน 2550 09:23 น.

20 วิธีสบายและมีความสุขในออฟฟิศ

น้ำผึ้งเดือนห้า

20 วิธีสบายและมีความสุขในการทำงานในออฟฟิศ

           แต่ละวันในออฟฟิศก็ยุ่งพออยู่แล้ว อย่าทำให้ชีวิตเรายุ่งยากไปด้วยอีกเลย นี่คือวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ ที่ทำให้เป็นคนลัลล้าได้ ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ ไม่เจ็บไม่ไข้ และใจเป็นสุข

           1. เช็ดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานอาทิตย์ละ 1 ครั้ง อาการสิวขึ้นเป็นแถบที่ข้างแก้ม นั้นคือสิวที่เกิดจากโทรศัพท์ที่เราพูดลงไปทุกวัน ทั้งฝุ่น ทั้งน้ำลาย แต่ไม่ต้องห่วง สำลีชุบแอลกอฮอล์ช่วยคุณได้

           2. ช้อนส้อม 1 ถ้วยกาแฟ 1 ฟองน้ำล้างจาน 1 ต้องมี! ไม่ใช่ว่ารังเกียจ ไม่ได้ทำตัวเป็นคุณหนู แต่มีไว้ใช้เป็นของส่วนตัวสบายใจ สบายตัวที่สุด เพราะคุณจะรู้หรือว่าใครไม่สบายเป็นอะไรกันรบ้าง แล้วคุณรู้มั้ยว่าฟองน้ำล้างจาน ตรงมุมกาแฟนั้น แม่บ้านเปลี่ยนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

           3. อย่าเด็ดขาด! อย่าใส่ชุดสีดำทึม เทาในวันที่ซึมเศร้า เบื่อหน่าย ไปทำงาน เพราะจะทำให้คุณรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม

           4. ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้วเชื่อหรือไม่? ว่าอากาศในออฟฟิศที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำนั้น  แห้งได้พอๆ กับทุ่งนากลางแจ้งผิวคุณก็จะขาดความชุ่มชื่นไปได้อย่างไม่รู้ตัว

          5. ยิ้มทุกครั้งเวลาที่รับโทรศัพท์ จะช่วยให้เสียงสวยจนปลายสายอยากเห็นหน้า

           6. ตั้งกระจกไว้ที่โต๊ะทำงาน ช่วยแก้ฮวงจุ้ยได้บ้าง แต่งงานหลักเอาไว้ให้เราได้ฝึกยิ้มอยู่เสมอ ยิ้มบ่อยๆ จะเครียดน้อยลง ใจจะสบายขึ้น

           7. โหลดวอลล์เปเปอร์เป็นรูปขำๆ หรือวิวสวยๆ ไว้ที่หน้าจอ พักสายตาได้ดี

           8. วางแฮนด์ครีมกลิ่นหอมๆ ถูกใจที่สุด ไว้ไกล้ๆ มือ หาบ่อยๆ กลิ่นหอมจะช่วยผ่อนคลายได้ แถมมือยังนุ่มตามมา

           9. เลือกเพลงแจ๊สเบาๆ หรือเป็นเพลงแบบมิวสิค บ็อกซ์ ใสๆ ฟังได้สบายๆ หรือจะเป็นเพลงคลาสสิกก็ดี คลื่นสมองเราจะทำงานได้สงบดีขึ้น แล้วจะเลือกแผ่นไหนดี ให้เลือกเพลงที่ฟังได้เพลินๆ ทำงานไปได้เรื่อย โดยที่ไม่รู้สึกว่าเสียสมาธินั่นละ

          10. One free Day แค่อาทิตย์ละวัน... วันไหนที่ไม่ต้องมีนัดกับใครไม่ต้องไปประชุมกับลูกค้า ยกเว้นนั้นให้ตัวเองได้ แต่งตัวสบายๆ หยุดพยายามสวยกันสักหนึ่งวัน

          11. ขยับตัว ยืดหลัง 2 ครั้ง ต่อวัน... เป็นอย่างน้อย

           ท่าที่ 1 
  
           * นั่งหลังชิดติดพนักเก้าอี้ เข่าชิดติดกัน ขาตึง หน้ามองตรงไปข้างหน้า 

           * ค่อยๆ ยืดแขนทั้งสองข้างขึ้น เหนือศรีษะ โดยให้มือประสานกัน แล้วยืดแขนและยืดตัวขึ้น  จะรู้สึกแขนและหลังตึง 

           * ค่อย ๆ ลดระดับแขนลงมาตรงหน้า ใต้ท้องแขน ไหล่ และหลังช่วงบนจะตึง

           ท่าที่ 2  

           * นั่งหลังชิดติดพนักเก้าอี้ที่ทำงาน ตัวตรง 

           * ค่อยๆ ก้มตัวลง โดยปล่อยแขนและขาทั้งสองข้างลงไปจับที่ตาตุ่มได้ หรือก้มให้ได้มากที่สุด จะรู้สึกว่าแผ่นหลังตึง 

           * ค่อย ๆ ดึงตัวขึ้นมา กลับมาที่เดิม อย่าลืมค่อยๆ ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นอาจจะหน้ามืดได้

          12.วางคริสตัลหรือแท่งแก้ว หินสีไว้ที่โต๊ะทำงาน  ศาสตร์ทางฮวงจุ้ยบอกว่าจะช่วยดูดพลังร้ายๆไป ศาสตร์เรื่องหินจะบอกว่า จะช่วยดูดซับพลังความร้อนจากคอมพิวเตอร์ได้

           13. มีรองเท้าแตะไว้ที่ใต้โต๊ะ ไว้เปลี่ยนตอนเมื่อยๆจากรองเท้าส้นสูง

          14. ซ่อนเก้าอี้ซักผ้าตัวเล็กๆ ไว้ใต้โต๊ะ ไว้พักขา ยืดขาตอนเมื่อยๆ

           15. เคลียร์โต๊ะทุกอาทิตย์ เคลียร์เอกสาร ทุก 2 อาทิตย์ เรามักจะใช้เวลา 1 ใน 3 ของวันในการหาของหรือเอกสารที่ต้องการใช้ ถ้าเรามีโต๊ะที่ยุ่งเหยิง หาอะไรไม่เคยเจอ ยิ่งหายิ่งเครียด หงุดหงิด ทำงานไม่ได้ดี หมอดูเห็นก็จะทำนายว่าชีวิตการงานจะยุ่งเหยิง...(แม่นแน่ๆ)

          16. ปัดฝุ่นบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ก็ผลิตฝุ่นได้และมากอย่างที่เรานึกไม่ถึงด้วย วันละนิด วันละนิด

           17. ลบเมล์ Delete ไฟล์ที่ไม่ใช้ใน Inbox ออกจากคอมพิวเตอร์บ้าง การทำงานจะง่ายขึ้น หาอะไรก็เจอ ความเครียดก็จะลดลง คล่องตัวขึ้น คอมพิวเตอร์ ก็เร็วขึ้นด้วย

          18. Emergency Kit เพื่อความไม่ประมาท ควรมี 4 สิ่งนี้ติดลิ้นชักไว้เสมอ 

           * ผ้าอนามัย แค่สักชิ้นก็พอ เผื่อฉุกเฉิน 
            
           * แปรงสีฟัน+ยาสีฟัน+ควรใช้หลังอาหารเที่ยง หรือก่อนไปพบลูกค้า 
            
           * โรลออน หรือสเปรย์ระงับกลิ่นกายแบบแห้งเร็ว สำหรับวันไหนที่ร้อน และเหงื่อออกมากกว่าปกติ 
            
           * สเปรย์ระงับกลิ่นเท้า ปกติอาจจะไม่มี แต่ถ้าวันนั้นเดินมาก และเจอรองเท้าคู่อับ ก็มีสิททธิ์ได้ออกมาใช้เหมือนกัน

           19. ใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรีหรือเฮดเซ็ท สำหรับคนที่ต้องคุยโทรศัพท์ทั้งวัน เพราะถ้าคุณเอียงคอ หนีบโทรศัพท์เรื่อยๆ มีโอกาสหมอนรองกระดูกอาจจะเสื่อม

          20. รักงาน รักเพื่อน ร่วมงาน ทัศนคติที่ดีกับการทำงานจะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้น เหนื่อยน้อยกว่าที่ควรจะเป็นปัญหาทุกอย่างจะมีทางออกอยู่เสมอง เมื่อรู้สึกดีๆ กับงานที่ทำ กับคนที่ทำงานด้วยกัน  ชีวิตจะเป็นสุข				
15 มิถุนายน 2550 11:07 น.

<>

น้ำผึ้งเดือนห้า

จ ด ห ม า ย จ า ก ค ร ู ใ ต ้ ค น ท ี ่ อ ย า ก ร ู ้ ว ่ า ท ำ ไ ม ใ ต ้ จ ึ ง ไ ม ่ ส ง บ ซ ะ ท ี Subject:


จดหมายจากครูใต้ คนที่อยากรู้ว่าทำไมใต้จึงไม่สงบซะที
จดหมายจากครูใต้ อ่านแล้วส่งต่อนะคะ

ไปได้จดหมายนี้มาจากเว็บไซต์ของตำรวจคอมมานโดค่ะ อ่านแล้วอึ้งมากบอกได้เลยว่านี่คือความจริงที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย อ่านแล้วช่วยกันส่งต่อๆๆๆไปด้วยนะคะ อย่าให้ไอ้พวกเวรนั่นมันยึดแผ่นดินไทยของเราได้ จะได้ช่วยชีวิตคนไทยที่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา และเหล่าตำรวจที่ถูกส่งลงไปปฏิบัติหน้าที่ ทั้งๆที่รู้ว่าโอกาสรอดมีน้อยมาก จากที่พวกเราเห็นในข่าวที่ออกมา พวกชาวบ้านท้องถิ่นที่เป็นคนท้องถิ่นจริงๆ มักจะมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสมอ แล้วก็จะออกมาประกาศตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น แต่ในจดหมายที่เขียนขึ้นโดยครูคนนึงใน3จังหวัดภาคใต้ฉบับนี้ พวกเราทุกคนที่อ่านจะได้รู้ความจริงว่า จริงๆแล้วมันเป็นยังไง รับรองได้เลยค่ะ ว่าอ่านแล้วอยากจะฆ่าไอ้พวกนักวิชาการที่ออกมาประณามเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกครั้งที่มีการปะทะกันว่าทำรุนแรงเกินไป...ทำเกินกว่าเหตุ อ่านแล้วจะได้รู้ค่ะ ว่าที่พวกตำรวจทำมันน้อยไปด้วยซ้ำ! 
---- จดหมายจากครูใต้ ----

เรื่อง ขอยืนยันทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดนี้ต่อไป ดิฉันเป็นคนไทยธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่เคยชื่นชมนับถือแนวความคิดของคุณและติดตามการทำงานของคุณมาช้านาน ดิฉันเชื่อในความตั้งใจดีของคุณนานมาแล้วที่ดิฉันบอกใครๆว่าท่านเป็นนายกรัฐมาตรีที่ดีสุด เหมาะสมที่สุดและยังคิดเช่นนั้นอยู่แต่วันนี้ดิฉันและคุณมีความเชื่อในสถานการณ์ภาคใต้ที่ต่างกันดิฉันไม่เคยมีอคติกับใครรวมทั้งคุณ ดิฉันถือว่าเราต่างคนต่างมีความเชื่อเลยขอเรียนว่าทำไมถึงมีความเชื่อที่ต่างจากคุณที่เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดความเลวของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ ( คงต้องรวมถึงดิฉันที่เป็นข้าราชการครูด้วย ) 
ดิฉันขอเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อเป็นครูภาคใต้มา 35 ปี

1. ชาวบ้านแท้ เป็นคนซื่อแต่เชื่อผู้นำอย่างหูหนวก ตาบอดผู้หญิงขยันและอดทนอย่างเหลือเชื่อ ( เคยถามคนที่ไม่เคยคลุมหัวฮิญาบว่าทำไมเดี๋ยวนี้ต้องคลุม เธอบอกว่าผัวได้บุญ ) ในขณะที่ผู้ชาย ขี้เกียจ อ้างศาสนาเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ ( มีลูกกี่คนก็ได้ ยิ่งมากยิ่งดี เพราะถือว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้า ) เชื่อในชีวิตหน้าชีวิตนี้จะลำบากแค่ไหนก็ได้ ( ตายก็ได้ถ้าผู้นำชี้แนะ ขนาดที่มีลูกสาวสวยผู้นำจะชี้เอาเป็นเมียก็ต้องให้ ) 

2. ผู้นำที่เลว ใช้ศาสนาทำให้ชาวบ้านอยู่ในระบบปิดไม่พูดภาษาไทย ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนไทยไม่รับรู้โลกภายนอก เพื่อให้ตัวเองเป็นคนสำคัญ และมีอำนาจเหนือชาวบ้าน (ผู้ปกครองนักเรียนแอบมาเล่าว่าอยากให้ลูกเรียนสูงๆ บางทีลูกผู้นำเขาส่งเรียนสูงๆ แต่ลูกเราเขาบอกให้เรียนปอเนาะได้บุญเขาขอให้ครูช่วยหาทางให้ลูกเขาได้เรียนด้วย ครูก็ช่วยแล้วมาน้ำตาตกทีหลัง เมื่อมาพบว่าเด็กมาเรียนจนจบปริญญาแล้วเขาไม่รู้จักเรา แถมบางคนทำท่าเหมือนเรามาอาศัยแผ่นดินเขาอยู่ ) 

3. โดยนิสัยคนพื้นเมืองที่มีความรู้และได้เป็นใหญ่ จะเห็นแก่ตัว ไม่ช่วยพัฒนาคนระดับล่างให้มีความรู้ ไม่รู้จักบุญคุณคนโดยเฉพาะคนนอกศาสนา ถ้าใครให้เขาจะรับ แต่ไม่ให้ตอบเพราะบาป นักการเมืองรุ่นเก่าจะเอื้อประโยชน์หับผู้นำศาสนาและชาวบ้าน เพื่อคะแนนเสียง ) โดยยอมรับเรื่องที่ผู้นำปิดโลกของคนพื้นเมืองจากโลกภายนอก ทำให้คนพื้นเมืองอยู่ไปวันๆ อย่างไม่มีอนาคตในโลกนี้ เพราะโลกหน้าต่างหากที่เป็นของจริง เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขายากจน 
ก็เป็นความผิดของรัฐบาลที่ไม่เข้าไปดูแล เมื่อเขาพูดไทยไม่ได้และไม่รู้ว่าที่นี่คือประเทศไทย เขาก็ต้องฟังผู้นำ ในอนาคตพวกเขาจะเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ในพื้นที่เพราะมีลูกมาก และคนไทยอพยพหนีตาย จากนั้นก็เรียกร้องขอแผ่นดินที่มีแต่พวกเขา เรื่องนี้เล่นไม่ยากในเวทีโลกไม่ใช่หรือ? 

4. ระยะหลังเริ่มมีขบวนการแบ่งแยกเชื้อชาติ และส่งเสริมให้ขับไล่ซือแย (ไทยพุทธ ) ออกจากแผ่นดินรุนแรงขึ้น เนื่องจากได้เงินสนับสนุน (จากไหนบ้างคุณน่าจะรู้ ) ได้ความฮึกเหิมของชาวอิสลามที่ร่ำรวยขึ้น และการปลูกฝังว่าอิสลามว่าเป็นพี่น้องกันทั้งโลก ( แต่อยู่ร่วมกับใครไม่ได้เรื่องอย่างนี้เหมือนน้ำท่วมปาก แต่ไม่มีใครกล้าพูดดังๆ ให้พวกคุณฟัง เพราะเรากลัวตาย การฆ่ารายวันเกิดขึ้นได้ เพราะผู้ร้ายไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เรื่องที่พูดมานี้เพื่อจะบอกคุณว่า ในเมื่อคนพื้นเมืองถูกครอบงำให้คิดว่า พวกเขาไม่ใช่คนไทย แผ่นดินนี้เป็นของเขา ทุกสิ่งที่เราให้เขารับ แต่เขาขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ เราให้จึงไม่มีบุญคุณต่อคนนอกศาสนา ดิฉันเจ็บใจเวลาที่เห็นพวกคุณแสดงความเห็นใจคนพวกนี้และว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของคนไทย คุณรู้กันบ้างไหมว่าทุกสิ่งที่เราทำ เราไม่เคยมีความคิดว่าเรื่องนี้ทำให้เฉพาะคนไทยเพราะเราทุกคนเป็นคนไทย ในจังหวัดที่ดิฉันเป็นครูมา 30 ปี ดิฉันไม่เคยเห็นส่วนข้าราชการไหนที่แบ่งเขาแบ่งเรา มีแต่เขานั่นแหละที่ทำตัวผิดแปลกแตกแยกมากขึ้นทุกวัน ถ้าคุณอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นแผ่นดินไทย คุณจะรู้สึกอย่างไร เมื่อเขาเรียกร้องเอาโน่นเอานี่มากขึ้นทุกวัน ฉันจะต้องแต่งตัวอย่างนี้ ฉันจะต้องหยุดวันนี้ ฉันจะไม่ไหว้ครูร่วมกันคนพุทธ ฉันจะไม่เรียนวิชานี้ ฯลฯ ด้วยข้องอ้างว่าเพราะขัดกับหลักศาสนา แล้วเราก็ยอมเขาทุกเรื่อง และให้เห็นความแตกแยกชัดเจนขึ้นทุกวัน นักการเมืองที่เป็นพวกเขาก็พูดเอาแต่ได้และการเอาแต่ได้ของเขาโดยอ้างศาสนา ก็กดคนของเขาให้หูหนวกตาบอด ให้ขี้เกียจ ให้ไม่มีความรู้ เพื่อเขาจะได้ใช้คนพวกนี้เป็นฐาน โดยมีกลุ่มคนที่มองภาพรวมในเรื่องความไม่เท่าเทียมที่คนในสังคมชนบทได้รับ ( อย่างพวกสิทธิมนุษยชน ) เป็นเครื่องมือ ใจคอคุณจะให้ยอมจนกระทั่งคนไทยที่อยู่ใน 3 จังหวัด ต้องพูดภาษาถิ่นที่โลกนี้เขาไม่พูดกัน เพื่อเข้าใจเขาแต่เขาไม่ต้องหัดพูดภาษาไทยเพื่ออยู่ในโลกปัจจุบันได้กระนั้นหรือ ( แต่ครั้นก็ยังช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะเขาถูกสอนว่าเราเป็นคนนอกศาสนา นอกเชื้อชาติเขา ) ทำไมคนไทยที่มีภาษาถิ่นในภาคอื่น เขาไม่ทำกันอย่างนี้บ้าง ทำไมเขาถึงยอมพูดภาษากลางที่เป็นภาษาราชการ เพราะเขาคิดว่าเป็นคนไทย แต่คนพวกนั้นไม่เคยคิดใช่ไหม แล้วเราจะยอมให้เขาคิดต่อไปหรือให้เขาเลิก คิดกันเสียทีให้เขาได้หลุดพ้นจากการครอบงำของคนที่หาประโยชน์จากความไม่รู้ของพวกเขาจะดีกว่าไหม ถ้าหวังดีกับคนพื้นเมืองจริงๆ ดิฉันแปลกใจที่คนในกลุ่มคุณอานันต์ (ประธานกอส.) พร่ำพูดแต่เรื่อง กรือเซะ เรื่องตากใบ ทำไมไม่เคยพูดถึงผลที่มาจากเหตุ คุณตัดตอนมาแต่ความผิดของเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร ทำไมคุณไม่พูดบ้างว่าคนที่พาคนพวกนี้มาตายมีความผิดไหม บ้านเมืองมีกฏเกณฑ์กติกาในการอยู่ร่วมกันอย่างไร คนระดับคุณไม่เข้าใจพวกบ้าคลั่งลัทธิเชียวหรือ ทำไมต้องดูแลเอาใจคนพวกนี้ให้ฮึกเหิมว่ามีคนดีๆ ในสังคมอย่างพวกคุณคอยหนุนหลังอยู่ เขาใช้ประโยชน์จากพวกคุณ (ที่พวกดิฉันแอบเรียกว่าพวกซื่อบริสุทธิ์) เพื่อสร้างภาพว่าเขาเป็นฝ่ายถูก ทั้งที่เขาก่อเหตุร้ายขึ้นในแผ่นดิน ถ้าคุณเป็นครูมานานเท่าดิฉันที่เป็นคนภาคกลาง แต่ไปอยู่ที่นั่น คุณจะรู้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวขนาดไหน ดิฉันเคยไปไหนมาไหนในจังหวัดอย่างคนที่เป็นครู เจอลูกศิษย์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เจอผู้คนที่มีอัธยาศัย แม่ค้าในตลาดพูดกันรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง แต่ต่างฝ่ายต่างพยายามสือสารกัน จนดิฉันเชื่อว่าจะใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นี่ได้ แต่สิบปีที่ผ่านมานี้ สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง จากการเรียกร้องของผู้ที่อ้างศาสนาทุกวันนี้ เราต้องอยู่ท่ามกลางการไม่ไว้ใจกัน ทุกอย่างเห็นชัดว่าเลวร้ายมากขึ้นจากการแยกตัวของพวกเขาที่เข้มงวดเรื่องการแต่งกาย เรื่องภาษา เรื่องศาสนา และจากเด็กที่เกิดเป็นจำนวนมาก จนน่าตกใจ เขาเชื่อว่าลูกคือของขวัญจากพระเจ้า ยิ่งมีมากยิ่งดี แต่ไม่สนใจว่าจะเลี้ยงให้มีคุณภาพได้อย่างไร (รัฐบาลดูแลแก้ไขไปซิ)สังคมของเขาปัจจุบันนี้ผู้ชายก็ยังแสดงโวหารตามร้านน้ำชา ทำงานอืดๆ เอื่อยๆ นึกจะพักก็พัก นึกจะเลิกก็เลิก (อันนี้ผู้พิมพ์เห็นด้วยกับครูผู้เขียนเพราะเพื่อนไปทำถนนที่ปัตตานี ต้องเอาคนงานอีสานไป เพราะคนที่โน่นไม่อดทนทำงาน ดีแต่เรียกร้อง)ไม่มีเงินก็ตั้งวงด่าว่าสังคมไม่เป็นธรรม ใครจะทำธุรกิจก็มีใบปลิวมาขอค่าคุ้มครองแล้ว ใครจะอยากมาลงทุน เขาพร่ำสอนกันว่าพวกคนเจ๊กคนไทยเอาเปรียบเขาทั้งที่มาอาศัยแผ่นดินเขาอยู่ คนที่เคยเป็นมิตรกันก็มองกันอย่างไม่ไว้ใจ ไม่ทักทายปราศรัยกันเหมือนเดิม ครูอิสลามบางคนที่ไม่ใช่คนที่นี่บอกว่าคงอยู่ไม่ได้ เพราะเขาไม่คลุมหัวก็โดนมองแปลกๆ จากพวกศาสนาเดียวกัน แต่พวกที่ไม่ใช่อิสลามก็มองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ 

ดิฉันเชื่อว่าในคณะกรรมการสมานฉันท์ที่เป็นฝ่ายอิสลามจะต้องแสดงความคับแค้นนานับประการที่ได้รับจากบ้านเมือง ช่วยถามเขาด้วยนะคะว่าทุกวันนี้เขาโดนกดขี่จากใคร เขาทำตัวกดขี่คนระดับล่างของเขาเองหรือใครทำ ? มีเรื่องอะไรบ้างที่ภาครัฐปิดโอกาสเขาไม่ให้ได้รับแล้วให้แต่ซือแย (ไทยพุทธ )จากอดีตจนถึงปัจจุบัน เคยบ้างไหมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า จะทรงคิดว่าเขาเป็นคนอื่น ท่านทรงมีเมตตากับทุกคนทุกหมู่เหล่าอย่างไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง อย่างนี้แล้วข้าราชการของท่านจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร แผ่นดินนี้ประเทศนี้ให้ชีวิตกับเขาได้เจริญก้าวหน้ากว่าคนศาสนาเดียวกัน เขาควรสำนึกในบุญคุณ ของแผ่นดินและช่วยพัฒนาคนของเขา แต่เขากลับเลือกใช้ความกลัว ความไม่รู้ของชนชาติเดียวกับเขาเป็นฐานให้เขาได้เป็นใหญ่ต่อไป เขาทำลายผู้อื่น เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการเขาคิดว่าทำถูกต้องแล้วหรือ แล้วพวกคุณก็พลอยเห็นดีเห็นงามสนับสนุนเขาไปด้วยทั้งที่คุณรู้เห็นอยู่เต็มตาว่า ประเทศที่ผู้นำแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า ประชาชนได้รับความเดือดร้อนแค่ไหน ดิฉันขอประณามและสาปแช่งผู้อยู่เบื้องหลังความไม่สงบ จงประสบแต่ความวิบัติในชีวิตและขอให้บาปทั้งมวลสือต่อไปถึงลูกหลาน ให้เป็นผู้ที่ไม่มีแผ่นดินอยู่อาศัย สมกับที่บรรพบุรุษได้เนรคุณต่อแผ่นดินเกิด 
ขออย่าให้ได้รู้จักกับความสุขสงบเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และเมื่อล่วงลับไปสู่โลกหน้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสรวงสวรรค์ย่อมรับรู้ในบาปชั่ว ไม่รับวิญญาณขึ้นไปอยู่กับพระองค์ ต้องตกนรกหมกไหม้จนชั่วนิรันดร์ เพื่อชดใช้ความผิดอันเลวร้ายที่ทำต่อมนุษย์ผู้บริสุทธิ์และแผ่นดินที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน หนึ่งในครูภาคใต้ 

อ่านแล้วส่งต่อนะคะ ให้ความจริงได้ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วประเทศ 

http://www.rta.mi.th/db/w_south/aspboard_Question.asp?GID=936				
9 มิถุนายน 2550 23:30 น.

>> ข้อมูลเพิ่มเติม...การระบุศาสนาประจำชาติ (เพิ่งอ่านเจอเลยนำมาลงให้พิจารณา)

น้ำผึ้งเดือนห้า

จาก http://www.phrathai.net/article/detail.php?catid=1&ID=557


ส่วนหนึ่งของประเทศต่างๆ ที่มีศาสนาประจำชาติ 
ไตรเทพ สุทธิคุณ 

ชาวพุทธออกมาเรียกร้องให้บัญญัติพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับล่าสุด มีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า "อะไรคือความแตกต่างระหว่างคำว่า ศาสนาแห่งชาติ (National Religion) กับคำว่า ศาสนาประจำชาติ (State Religion)" 

คำว่า ศาสนาแห่งชาติ หมายถึง ศาสนาที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นๆ นับถือ ซึ่งรวมทั้งประมุข หรือพระประมุขของประเทศนั้นก็นับถือด้วย 

ส่วนคำว่า ศาสนาประจำชาติ หมายถึง ศาสนาที่ทางราชการในประเทศนั้นๆ รับรองให้ความสำคัญสูงสุด ด้วยการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 

อย่างไรก็ตาม การบัญญัติให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาตินั้น พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) บอกว่า ในโลกปัจจุบัน มีประเทศที่ประกาศอย่างเป็นทางการไว้ในรัฐธรรมนูญว่า มีศาสนาประจำชาติถึง 49 ประเทศ กล่าวคือ ประเทศที่ประกาศว่า มีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ มีประมาณกว่า 15 ประเทศ ตัวอย่างเช่น สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก กรีนแลนด์ กรีซ เป็นต้น 

ทั้งนี้ในรัฐธรรมนูญของ ประเทศเดนมาร์ก บัญญัติว่า "ศาสนาคริสต์ลูเธอแรนเป็นศาสนาประจำชาติเดนมาร์กที่จะต้องได้รับการอุปถัมภ์จากรัฐ" 

ขณะที่รัฐธรรมนูญของ ประเทศกรีซ บัญญัติว่า "ศาสนาสำคัญในประเทศกรีซ คือ ศาสนาคริสต์ออร์ธอดอกซ์ตะวันออก... พระคัมภีร์ไบเบิลอันศักดิ์สิทธิ์ต้องได้รับการอนุรักษ์ไว้โดยไม่มีการดัดแปลง" 

ประเทศที่ประกาศอย่างเป็นทางการไว้ในรัฐธรรมนูญว่า มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ มีจำนวน 30 ประเทศ เช่น รัฐอิสลามอัฟกานิสถาน สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน สาธารณรัฐอิสลามมอริเตเนีย สหพันธ์สาธารณรัฐอิสลามคอโมโรส ซาอุดีอาระเบีย โซมาเลีย ตูนิเซีย โมร็อกโก แอลจีเรีย ลิเบีย อียิปต์ จอร์แดน คูเวต บาห์เรน มัลดีฟส์ บังกลาเทศ บรูไน มาเลเซีย อิรัก โอมาน กาตาร์ อิสราเอล สาธารณรัฐประชาธิปไตยชาห์ราวีอาหรับ สาธารณรัฐโซมาลีแลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักรเยเมน โมนาโก แอนดอร์รา นอร์เวย์ มอลตา เอธิโอเปีย ยูเครน ฮังการี 

โดยในรัฐธรรมนูญของ ประเทศมาเลเซีย บัญญัติว่า "อิสลามเป็นศาสนาแห่งสหพันธรัฐมาเลเซีย แต่ก็อาจปฏิบัติศาสนาอื่นได้ด้วยสันติและสามัคคีในทุกส่วนของสหพันธรัฐ" 

รัฐธรรมนูญของ ประเทศอัฟกานิสถาน บัญญัติว่า "ศาสนาอิสลามที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นศาสนาแห่งอัฟกานิสถาน ในสาธารณรัฐอัฟกานิสถานจะไม่มีกฎหมายใดขัดแย้งกับหลักการของศาสนาอิสลามที่ศักดิ์สิทธิ์" 

ส่วนประเทศที่ประกาศอย่างเป็นทางการไว้ในรัฐธรรมนูญว่า มี พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีเพียง 4 ประเทศเท่านั้น คือ ศรีลังกา พม่า กัมพูชา และ ภูฏาน 

รัฐธรรมนูญของ ประเทศศรีลังกา บัญญัติว่า "สาธารณรัฐศรีลังกายกพระพุทธศาสนาไว้ในสถานะสำคัญสูงสุด และถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา และในขณะเดียวกันก็ประกันสิทธิของทุกศาสนาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 และ 14" 

รัฐธรรมนูญของ ประเทศภูฏาน บัญญัติว่า "พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางจิตใจของภูฏาน ซึ่งส่งเสริมหลักการและค่านิยมแห่งสันติ อหิงสา กรุณาและขันติ" 

พระธรรมโกศาจารย์ ยังบอกด้วยว่า ชาวพุทธเรียกร้องให้เพิ่มอีก 1 มาตรา ที่บัญญัติเกี่ยวกับสถาบันพระพุทธศาสนาไว้ในร่างรัฐธรรมนูญว่า "ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" 

หรือจะเพิ่มข้อความเข้าในมาตรา 2 ว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมี พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ดังนี้ก็ได้ 

ถ้ามีการบัญญัติเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญเช่นว่านี้ พระพุทธศาสนาซึ่งเคยเป็นศาสนาประจำชาติไทยในสมัยสมบูรณาสิทธิราชย์ ก็เชื่อว่า ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการให้เป็นศาสนาประจำชาติไทยต่อไป และจะได้ไม่ต้องมีใครมาโต้แย้งว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ 

เมื่อมีการปรับปรุงหลักสูตรพระพุทธศาสนาในโรงเรียนแล้ว นักวิชาการชาวพุทธเขียนลงในหนังสือแบบเรียนว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ นักวิชาการต่างศาสนาได้ส่งหนังสือทักท้วงไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ถอดข้อความที่ว่านั้นออกจากแบบเรียน เขาให้เหตุผลว่า เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ 

เรื่องได้ยุติลงในที่สุด เมื่อนักวิชาการชาวพุทธท่านนั้นอ้างพระราชนิพนธ์ หรือพระราชดำรัสของพระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงประกาศไว้ว่า 

"ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า ที่จะต้องทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งคู่กับพระราชอาณาจักร ให้ดำเนินไปในทางวัฒนาถาวรพร้อมกันทั้งสองฝ่าย" (พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5) 

"การที่ชาวพุทธเรียกร้องให้มีการบัญญัติว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญก็เพื่อให้มีการรับรองสถานะของพระพุทธศาสนาให้เป็น ศาสนาประจำชาติ โดยนิตินัย อย่างชนิดที่ไม่อาจมีใครโต้แย้งได้ ที่สำคัญ คือ ประเทศไทยที่มีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทย มีสำนักงานใหญ่ขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกตั้งอยู่เป็นการถาวรมาตั้งแต่ พ.ศ.2512 และมีพุทธมณฑลที่ชาวพุทธทั่วโลกยอมรับว่า เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ตั้งแต่ พ.ศ.2548 ยังไม่มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" พระธรรมโกศาจารย์ กล่าว 

เรื่อง ไตรเทพ สุทธิคุณ / ภาพ สมหมาย สุภาษิต 

ที่มา : นสพ.คมชัดลึก 16 พ.ค.5				
6 มิถุนายน 2550 17:32 น.

การทดสอบก่อนแต่งงาน..(ขำขำ)

น้ำผึ้งเดือนห้า

ผมกับแฟนคบกันมาหลายปีแล้ว 
แล้วเราก็ตัดสินใจแต่งงานกัน
พ่อแม่ของผม ช่วยงานนี้อย่างเต็มที่ 
รวมทั้งเพื่อนๆ และแฟนของผมด้วย
ราวกับฝันไป
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่เคยสบายใจเลย 
นั่นคือ ว่าที่แม่ยายของผม 
เธอเป็นผู้หญิงที่ดูดี สวย และเซ็กซี่
เธอมักจะเล่นหูเล่นตากับผมเสมอ 
มันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ
วันหนึ่ง เธอเรียกผมไปหา
เพื่อที่จะเช็คความเรียบร้อย
ของรายชื่อแขกที่จะเชิญมาร่วมงานแต่งงาน
เมื่อผมไปถึง เธออยู่ในบ้านคนเดียว 
เธอกระซิบบอกผมว่า
แม้ผมกำลังจะแต่งงานแล้ว
แต่เธอรู้สึกปรารถนาในตัวผม 
เธออยากจะมีอะไรกับผม!!!

ผมควรจะพูดอย่างไรดี 
ผมช็อคมาก เธอพูดว่า
เธอจะเข้าไปรอในห้องนอนก่อน
ถ้าผมพร้อมแล้วให้ตามเข้าไป
ผมมองตามแผ่นหลังของเธอยามก้าวขึ้นบันได
มันช่างเย้ายวนนัก 
ผมยืนอยู่ที่นั่นสักครู่
จึงตัดสินใจกลับหลังหันเดินออกไปยังประตูหน้าบ้าน
เมื่อผมเปิดประตูและเดินออกมา 
สามีของเธอ(หรือคือว่าที่พ่อตาของผม)
ยืนอยู่ข้างนอก น้ำตาคลอเบ้า 
เขาเข้ามากอดผม แล้วบอกกับผมว่า 
เขาดีใจมาก ผมผ่านการทดสอบ
เขาสามารถหาผู้ชายที่ดีให้กับลูกสาวของเขาได้ 
และยินดีต้อนรับผมเป็นครอบครัวเดียวกัน



เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ควรเก็บถุงยางไว้ในรถยนต์ของคุณเสมอ
ขอบคุณฟอร์เวิร์ดเมล์				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำผึ้งเดือนห้า
Lovings  น้ำผึ้งเดือนห้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำผึ้งเดือนห้า
Lovings  น้ำผึ้งเดือนห้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำผึ้งเดือนห้า
Lovings  น้ำผึ้งเดือนห้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงน้ำผึ้งเดือนห้า