28 กรกฎาคม 2551 14:56 น.

เมื่อฉันได้กลับบ้าน.....

น้ำผึ้งเดือนห้า

ลูก: แม่ แม่ดูข่าวพวกพันธมิตรกับรัฐบาลหรือเปล่า หนูว่าจะไปดูที่เขาชุมนุมกัน ดูทางทีวีแล้วก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าที่พันธมิตรเขาว่านะ เรื่องรัฐบาลโกงกินบ้านเมือง เรื่องพวกพ้องน่ะ

แม่ : เออ กูดูข่าวแล้ว ตั้งแต่ที่ทักษิณกลับมานั่นแหละ นึกว่ามันจะกลับมาเป็นนายกอีก  แล้วไอ้กลุ่มพันธมิตรอะไรนี่มันเป็นใครล่ะ

ลูก: อ๋อ เขาเป็นกลุ่มที่รวมกันมา 5 คน เห็นว่ามีจุดยืนเรื่องประชาธิปไตยอะไรนี่แหละ ชื่อเต็มๆว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีจำลอง ศรีเมืองด้วย แม่รู้จักหรือเปล่า

แม่ : เออ ก็เคยได้ยินชื่อตั้งแต่สมัยที่มันประท้วงแล้วยิงกันตายตอนนั้นนั่นแหละ เห็นว่าไอ้คนที่ชื่อจำลองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนนำไปตายน่ะ

ลูก : หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ค่อยได้สนใจการเมืองหรอกแม่ แต่ช่วงนี้มีข่าวทุกวันก็เลยดูๆไป เบื่อจะตาย ไม่มีข่าวอะไรที่มันดีๆเลย มีแต่ข่าวโจรใต้ ข่าวประท้วง ข่าวตีกัน เนี่ย กะว่าลามาพักสมองซะหน่อย

แม่ : เออ แล้วลามากี่วันล่ะ ลานานๆระวังเขาจะไล่ออกนะ ที่บ้านยิ่งไม่มีนาไร่เหมือนคนอื่นเขา เงินที่มึงส่งมาให้ กูก็กินอยู่อย่างประหยัด จะเก็บเงินไว้ซื้อที่สักแปลง มีคนเขาจะขายให้ ก็ถูกกว่าคนอื่นหน่อย แต่ก็อยู่ไกล ถ้าจะทำนาก็คงจะเดินไกลหน่อย

ลูก : หนูลามา 3 วันน่ะแม่ เบื่อเรื่องเครียดๆในกรุงเทพฯ กะว่าถ้ามีเงินสักก้อนจะออกมารับจ้างแถวบ้านเราดีกว่า ยิ่งตอนนี้มีกลุ่มพันธมิตรประท้วงแล้วก็เรียกร้องให้ประชาชนเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายไหน หนูล่ะไม่กล้าคุยกับใครเลย อยู่เงียบๆดีกว่า เลิกงานก็กลับเข้าห้องเลย ไม่กล้าไปไหน กลัวเจอพวกพันธมิตรกับพวกต่อต้านน่ะ พวกนี้มันเจอกัน มันจะฆ่ากันตายทุกที หนูฟังพวกมันคุยกันแล้ว มันพอกันทั้งคู่แหละแม่ ไม่มีใครดีกว่าใคร ไหนจะต้องระวังตัวเรื่องขโมย เรื่องโจรอีก โอ๊ย สารพัดเลย ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะเลิกทะเลาะกันซะที

แม่ : เออ เลิกงานแล้วก็กลับเข้าห้องเลยก็ดีแล้ว กูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ดูข่าวแล้วก็หนักใจเหมือนกัน รัฐบาลชุดนี้ก็ช้าอืดอาด ทำอะไรไม่ได้อย่างใจเลย แล้วก็คิดอะไรไม่เข้าท่าด้วย ตั้งแต่เกิดมาจนแก่ป่านนี้ กูก็เพิ่งจะเคยเห็นนายกแบบนี้แหละว่ะ คนแบบนี้ก็มีด้วย แล้วไอ้พวกพันธมิตรอะไรเนี่ย กูไม่เห็นรู้จักเลยสักคน มีแต่ไอ้จำลองคนเดียวนั่นแหละที่เคยเห็น ไอ้สนธิอะไรนั่นก็ที่มีเรื่องกับทักษิณไม่ใช่เหรอ เหมือนกูเคยได้ยิน

ลูก : ใช่แล้วล่ะแม่ หนูก็ไม่รู้อะไรมากหรอก แต่ที่คุ้นหน้าก็มีจำลองกับสนธินั่นแหละ ออกข่าวบ่อยๆ แต่ก็เบื่อ ไม่อยากฟังเลยกดหนีอยู่เรื่อย ดูหนังดีกว่าไม่เครียดดี

แม่ : อ้าว แล้วไหนมึงบอกว่าถ้าจะจริงเรื่องที่เขาพูด แล้วมึงจะไปดูที่เขาชุมนุมกันน่ะ

ลูก : หนูก็ว่าจะไป เพราะเพื่อนมันชวน เพื่อนหนูน่ะ มันเชื่อหมดเลยทุกอย่างที่กลุ่มพันธมิตรพูดน่ะ ขนาดมันยืนทำงานทุกวัน พอตอนเย็นมันยังนั่งรถไปนั่งชุมนุมกับเขาอีก กลับมาถึงก็ตี 1 ตี 2 ทุกวัน มันก็ยังไป หนูอยากจะไปดูว่ามันดีอะไรนักหนา เพื่อนหนูมันถึงได้เชื่อสนิทใจขนาดนั้น

แม่ : มึงก็ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก และก็ไม่ต้องไปชุมนุมด้วย ถ้าเกิดมันตีกันขึ้นมา มึงจะตายฟรี กูตั้งท้องพวกมึง กูเลี้ยงพวกมึงมา ไม่ได้ให้มึงไปตายแบบนั้นนา แล้วไอ้จำลองกับไอ้สนธิอะไรนี่ กูก็ไม่เคยเห็นมันสร้างคุณงามความดีอะไรให้ประเทศชาติเลย ไอ้ทักษิณที่เขาว่ามันโกงกิน มันก็ยังให้คนจนได้เข้าไปรักษาในโรงพยาบาลแบบราคาถูก แล้วเดี๋ยวนี้ก็ได้รักษาฟรีแล้ว เงินให้คนชราก็ของมันไม่ใช่เหรอ กูก็ได้ทุกเดือน ตอนคนอื่นเป็นนายก กูไม่เห็นจะได้อะไรเลย มันก็ยังมีความดีอยู่มั่ง แล้วก็ยังให้กู้เงินล้านหมู่บ้านอีก ถ้ากูไม่กู้เงินล้าน จะส่งให้มึงเรียนต่อได้ยังไง ใครจะว่ายังไงมึงก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก มึงก็ทำงานไปเถอะ ถ้าอยู่ไม่ได้ก็กลับมาบ้านเรา เดี๋ยวไปกู้เงินล้านมาทำทุนก็ได้

ลูก : ไม่เอาหรอกแม่ ไม่ต้องกู้แล้ว เงินที่หนูเก็บก็พอมีอยู่ ถึงเขาจะให้กู้แบบถูกๆ แต่หนูไม่อยากเป็นหนี้แล้ว ทุกวันนี้เศรษฐกิจก็แย่แล้ว ถ้ามัวแต่กู้เงินล้าน แล้วประเทศเราจะอยู่รอดได้ยังไง แม่รู้หรือเปล่าว่าประเทศเราเป็นหนี้อยู่นะ ทุกปีเลยด้วย เห็นเขาว่ากู้เงินจากต่างประเทศมาหนุนเศรษฐกิจอะไรนี่แหละ

แม่ : เออ กูไม่กงไม่กู้หรอก ก็เห็นมึงเบื่อๆก็เลยบอกไปยังงั้นแหละ เดี๋ยวไปที่บึงกับกูไม๊ล่ะ จะไปเก็บสายบัวมาแกงกิน มึงบอกอยากกินไม่ใช่เหรอ เอาเบ็ดไปนั่งตกปลาก็ได้ มันมีช่องที่คนเขาทำไว้ตกปลา ปลามีเยอะนา อบต.เขาเอามาปล่อยไว้เยอะเมื่อปีที่แล้วน่ะ

ลูก : ไปสิแม่ ถ้าได้ปลาเยอะ หนูจะทำปลาเค็มไปไว้กิน แล้วแม่ทำปลาร้าไว้มั่งหรือเปล่า หนูจะกินปลาร้าสับ

แม่ : มี ทำไว้สองไห กูไม่ค่อยได้ออกไปหาปลาหรอก ไม่อยากทิ้งบ้านไว้ กลัวขโมย พวกติดยามันยังมีอยู่ ตอนนี้ยาม้ามันมาอีกแล้วว่ะ ตอนทักษิณอยู่ ที่เขาตามจับพวกขายนั่น ก็เงียบไปได้ปี สองปี ตอนนี้มันเริ่มมาขายกันอีกแล้ว นี่กูก็จ้างเขาทำรั้วหมดไปเกือบสองพัน

ลูก : เหรอแม่ ช่างมันเหอะ แลกกับความสบายใน มันมีแต่เรื่องอะไรนักก็ไม่รู้ ไปเหอะ ไปหาสายบัวกันดีกว่า จะได้กลับมาทำกินตอนเย็น ....				
19 มิถุนายน 2551 12:16 น.

"ให้อภัย" พูดง่าย แต่ทำยาก

น้ำผึ้งเดือนห้า

627.jpg



การให้อภัย 
เป็นการให้ที่ว่างกับใจตนเอง 
เพื่อไม่ต้องแบกความรู้สึกไม่ดีไว้กับตนเอง 
เหนื่อยไหมกับการต้องแบกอะไรไว้ในใจมากมาย 
คนที่เคยทำให้คุณเจ็บช้ำ คนที่เคยทำผิดต่อคุณ 

ถึงแม้ว่าเวลาอาจรักษาแผลใจได้ 
แต่ไม่อาจทำให้ความผิดของคนๆนั้นหายไปจากใจคุณได้ 

แต่การให้อภัยจะเป็นการลบความผิดนั้นออกจากใจ 
ไม่ต้องให้คุณสร้างแผลใจให้กับตัวเอง... 
เพราะคนที่ทำผิดกับคุณ เขาอาจไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคุณหรอก.... 

ให้อภัยเป็นการให้ที่วิเศษ เพราะเป็นการให้สองทาง 
นอกจากจะเป็นการปลดปล่อยความผิดของใครบางคน 
ก็ยังเป็นการให้ที่ว่างกับใจตนเอง 
เพื่อไม่ต้องแบกความรู้สึกไม่ดีไว้กับตัวเอง 

การให้อภัย ไม่ใช่การยอมรับความผิดของใครบางคน 
แต่เป็นการให้อิสระแก่ใจตัวเอง... 
เพื่อหลุดพ้นจากความพยาบาท 

คนอื่นทำอะไรผิดๆ กับคุณมากมาย 
ถ้าคุณให้อภัยเขาเหล่านั้นได้ 

บางทีคุณควรจะนึกย้อนถึงตัวคุณเองบ้าง 
ยังมีสิ่งใดที่ยังค้างคาอยู่ในใจคุณบ้าง 
สิ่งที่คุณรู้สึกผิด หรือคุณอาจจะแก้ไขไม่ได้ 

หลายๆครั้งที่ความผิดของเราเอง 
เป็นตัวกีดกั้นเราจากความกล้าที่จะเดินไปข้างหน้า 
สิบเท้ายังรู้พลาด... 
เราเองก็คนธรรมดาคนหนึ่ง 
อาจถึงเวลาที่คุณจะให้อภัยตัวเองได้แล้ว 

"การให้อภัยตัวเอง 
อาจเป็นการให้อภัยที่ยากที่สุด" 
ขอบคุณเจ้าของ :http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pilin&month=10-06-2008&group=14&gblog=4				
30 พฤษภาคม 2551 16:54 น.

"กบเลือกนาย (แล้ววันนี้ก็มาถึง"

น้ำผึ้งเดือนห้า

osamakaeru05.jpg


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบกันอย่างอิสระเสรี และมีความสุขเรื่อยมา แต่อยู่มาวันหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเหมือนกับทุก ๆ วัน ที่พวกกบจะออกมารวมกลุ่มและส่งเสียงร้อง " โอ๊บ..โอ๊บ ๆๆๆ " แข่งประสานเสียงกันอย่างที่เป็นมาตามปกติ และในที่นั้นก็ได้มีกบตัวหนึ่ง ออกความคิดเห็นขึ้นมาว่า " ทำไม? พวกเราถึงได้มีเสียงร้องที่แสนจะห่วย อย่างนี้ก็ไม่รู้นะ ดูสิ จะพยายามดัดหรือหนีบเสียงเท่าไหร่ ๆ ก็ ไม่เห็นว่าจะไพเราะขึ้นมาได้เลยสักน้อยนิด ยังไง ๆ ก็ยังออกมาเป็นเหมือนเดิมอยู่นั่นแหละคือ " โอ๊บ..โอ๊บ ๆๆๆ " ได้อย่างเดียวจริง ๆ " กบตัวอื่น ๆ จึงเข้ามาสมทบ " ใช่เลยหละ...ดูอย่างพวกนกสิ จะร้อง " จิ๊บ ๆๆ จิ๊กกุๆๆ " แสนที่จะไพเราะ " " หรืออย่างพวกแมลงไง มันจะส่งเสียง " ริน ๆๆๆ " ที่แสนจะไพเราะ ว่าไหม...ว่าไหม พวกเรา... " กบทุกตัวให้มีความเห็นพ้องต้องกันไปหมดทุกตัวเลยก็ว่าได้ กบตัวหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมาว่า " เออ..ใช่แล้ว คงเป็นด้วยเพราะพวกเรานั้นขาดนายผู้ปกครอง และสั่งสอน นั่นเองแหละ " แล้วพวกกบเหล่านั้นจึงได้ไปขอผู้ที่จะให้มาเป็นนายจากเทพเจ้า เพื่อที่จะได้ให้มาช่วยแนะนำ และสั่งสอนในทางที่ถูกและว่ากล่าวตักเตือนในทางที่ผิด และเป็นผู้ออกกฎข้อบังคับ ตลอด จนให้รางวัล แก่ผู้ที่ทำความดี และลงโทษผู้กระทำความผิด แล้วพร้อมกันนั้นก็จะได้สอนวิธีการร้องเพลงอันแสนไพเราะ ให้อีกด้วย " ได้โปรดเถิดท่านเทพเจ้า ขอให้ช่วยบรรดาลเจ้านายมาให้กับพวกเราด้วยเถิด " แล้วเทพเจ้าก็ออกมาปรากฏกายขึ้น ต่อหน้าพวกมัน เทพเจ้าได้กล่าวว่า " เท่าที่เป็นมาและผ่านมาพวกเจ้าก็มีความสุขและก็สบายกันดีอยู่แล้วมิใช่หรือ ? " แต่พวกกบเหล่านั้นก็ยังคงเฝ้าอ้อนวอนขอเจ้านายจากเทพเจ้าอยู่ไม่ยอมหยุด เทพเจ้าทนฟังคำพูดอ้อนวอนอย่างโง่ๆของพวกกบทั้งหลายไม่ได้ จึงโยน ท่อนไม้ลงมาท่อนหนึ่ง และกล่าวด้วยเสียงดังอย่างฟ้าผ่าว่า " นี่คือนายของพวกเจ้า " เมื่อท่อนไม้ดังกล่าวได้ตกลงมา กระทบกับน้ำจนน้ำแตกกระจาย พวกกบต่างมีความตกใจกลัวอย่างยิ่ง และได้ว่ายลงไปซ่อนตัวอยู่ในโคลน แต่ต่อมาไม่นานก็ได้ มีกบตัวหนึ่งผงกหัวขึ้นมามองดูอย่างกล้าหาญ เพื่อมองหานายของมัน มันกระโดดขึ้นไป บนท่อนไม้นั้น กบตัวอื่นๆก็ตามขึ้นมาบ้าง เมื่อหายกลัวแล้ว พวกมันเฝ้าพูดอ้อนวอนกับนายของมันว่า " นาย ๆ ช่วยสอนพวกเราร้องเพลงให้ออกเสียงมาเพราะ ๆ ให้หน่อยสิ " แต่ท่อนไม้เจ้านายของพวกมัน ก็เฉยไม่พูดอะไรเลยสักอย่าง หนักเข้า ๆ พวกกบเลยเริ่มคิดดูหมิ่นเจ้านายของพวกมัน อย่างช่วยไม่ได้ พวกมันเลยขึ้นไปขย่ม ขึ้นไปกระโดดและถีบเจ้านายเสีย เป็นว่าเล่นเลยทีเดียว แต่เจ้านายก็ยังเฉยอยู่ เหมือนเดิม และแล้วพวกมันจึงไปหาเทพเจ้าอีกครั้ง แล้วบอกกับเทพเจ้าว่า " นายเฉยเกินไป " กบร้องเรียน " โปรดส่งนายใหม่ที่เป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงมาให้พวกเราเถิด และถ้าจะให้ดีพวกเราอยากได้อย่างพวกนก นั่นแหละดีจะได้ช่วยสอนวิธีร้องเพลงให้ด้วย " เทพเจ้าเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงเกิดทรงพิโรธขึ้นและกล่าวว่า " เข้าใจแล้ว พวกเจ้าต้องการและอยากที่จะได้นกมาเป็นนายน่ะ ใช่ไหม ? ห้ามเสียใจภายหลังก็แล้วกัน !! "ดังนั้นเทพเจ้าจึงปล่อยนกกระสาลงมาตัวหนึ่ง " เอ้า..ตั้งแต่วันนี้ไป นี่คือนายของพวกเจ้า เราเตือนพวกเจ้า แล้วนะ ว่าอย่ามานั่งเสียใจภายหลัง !! " เมื่อกบเห็นคอยาวๆของนกกระสา ต่างก็ทุ่มเถียงกันเป็นเวลานานว่า เป็นงูหรือนกกระสากัน แน่ แต่เมื่อได้เจ้านายใหม่ที่เป็นนกสมใจ พวกมันจึงรีบบอกกับเจ้านายใหม่ว่า " ช่วยสอนร้องเพลงแบบนกให้กับพวกเราด้วยเถิด " แต่นกกระสานั้นแทนที่จะสอนร้องเพลงอย่างที่ พวกมันบอกกลับส่งเสียงร้อง " แกล๊ก ๆๆ แล้วลงมือจับพวกกบกินเป็นอาหาร พวกกบจึงไปร้องต่อเทพเจ้า อีก ขอให้เอานกกระสากลับไปเสีย และให้ส่งนายใหม่มาแทน เทพเจ้าจึงกล่าวว่า " เมื่ออยู่กันสบายๆ อยู่ดี ๆ แล้ว พวกเจ้าก็ไม่พอใจ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ต้องทนเอาละ " 

ที่จริงแล้ว นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

"จงพอใจในสภาพปัจจุบัน แม้จะเลวร้ายอย่างไรก็ยังดีกว่า เพราะถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอาจจะยิ่งเลวร้ายหนักกว่าเก่าขึ้นไปอีก ก็เป็นได้"

ถ้าเป็นสภาพก่อนหน้าที่บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ เราอาจใช้นิทานนี้มาสอนใจได้ แต่ตอนนี้น่าจะสายเกินไป กบจึงได้รับชะตากรรมเช่นนี้ นั่นอาจเป็นเพราะว่า "เลือกเกินไปหรือเปล่า"				
21 พฤษภาคม 2550 13:29 น.

หวังและฝัน..ที่บ้านเรา

น้ำผึ้งเดือนห้า

เห็นปุยนุ่นสีขาวราวหิมะ ร่วงหล่นมาจากต้น ซึ่งมีฝักแก่เต็มที่ ยิ่งลมพัดเท่าไร ก็ร่วงลงมาเท่านั้น อากาศยามเย็นที่แสนสบาย กลับจากโรงเรียนเดินมาบนถนนดินเล็กๆ  มีคูน้ำเล็กๆอยู่ข้างๆ มีน้ำอยู่เกือบเต็ม น้ำใสจนมองเห็นตัวปลา มีปลากล้วย ปลาช่อนก็มี แต่ตัวยังไม่ใหญ่มาก ผักบุ้งแตกยอดอ่อนๆอยู่ข้างคันคู ส่วนอีกฟากหนึ่งจะเป็นทุ่งนาสีเขียวขจี ต้นข้าวกำลังโตเต็มที่พร้อมสำหรับการออกรวง ข้างๆถนนก็มีต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียว จะมีก็เพียงปุยนุ่นที่เป็นสีขาวปลิวร่วงลงมาตลอดเวลาที่มีลมพัด 
    	นี่กระมังที่เขาเรียกว่า ความสงบสุข ถึงจะเดินอีกไกลเท่าไรก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะมีแต่สิ่งสดชื่นอยู่รอบตัวเราไปหมด ความหวังของเราก็คือ  อยากเก็บสิ่งดีๆเหล่านี้ไว้ให้นานๆ ไม่อยากให้สูญสลายไปเพราะฝีมือคน แต่นั่นก็เป็นความหวังที่บัดนี้กลายเป็นแค่เพียงความทรงจำเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้ คู คลอง ที่ก่อนนั้นเคยเป็นดิน ก็กลับกลายมาเป็นปูนซีเมนต์เพราะการพัฒนา ที่เราเองก็ไม่รู้ว่า คุณค่าของการพัฒนานี้อยู่ที่ไหน นาข้าวก็เปลี่ยนเป็นไร่อ้อย ไม่มีแล้วลมพัดเย็นๆ ต้นข้าวเอนไหว จะทำอย่างไร เพื่อเก็บสิ่งดีๆเหล่านี้ไว้ ให้คงอยู่คู่กับความเป็นไทย ความเป็นสยาม คำว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในอนาคตอันใกล้ อาจจะไม่สามารถใช้คำนี้ได้อีกต่อไป เพราะอาชีพเกษตรกรรม กำลังเหลือน้อยลงทุกที เพราะมีอุตสาหกรรม ธุรกิจ SME ฯ เข้ามาแทนที่ ทำไมหนอ...
	อีกไม่ช้านาน การทำนาก็คงจะกลายเป็นตำนานที่ให้ลูกหลานได้สืบเสาะค้นหา มากกว่าที่จะเหลือให้เห็น ประเพณีดีงามต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำนา จะมีสักกี่คนที่รู้จักและรักษาไว้ จะมีใครที่รู้สึกอย่างเราบ้าง สิ่งที่เป็นที่พักพิงใจกำลังจะล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา จะทำอย่างไรดี
	ครั้งหนึ่งในอดีต ที่เราเคยคิดจะเป็นครู แต่ต้องหยุดไว้ให้เป็นเพียงความคิด เพราะมีปัญหาบางอย่างจึงไม่ได้เรียนต่อเพื่อเป็นครู แต่ความคิดนั้นยังคงอยู่ในใจเสมอมา ถ้าไม่ใช่เพราะความไม่แน่นอนของตัวเราเอง ป่านนี้ อาจจะได้เป็นครูดั่งใจนึกไปแล้ว ครั้งใดที่มองใบไม้ที่ร่วงหล่น วันเวลาย่อมหมดไป
	ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากทำ และยังทำไม่สำเร็จ หากเพราะไม่ใช่ค่าของเงินที่คนนับถือยิ่งชีวิต ตัวเราคงไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้ และหากไม่ใช่เพราะชีวิต....เปลี่ยนไป  เราคงจะได้กลับไปอยู่ในที่...ที่เราจากมา				
9 ธันวาคม 2549 14:34 น.

"ตำข้าวสารกรอกหม้อ" ตอนที่ 2 (จบ).

น้ำผึ้งเดือนห้า

ฉันเดินไปหยิบถุงปุ๋ยจากแม่มา แล้วก็เดินไปเก็บลูกข้าว โอ้โฮ ข้าวเยอะจัง จะเก็บหมดรึเปล่าเนี่ย ใกล้จะมืดแล้วด้วย ฉันคิดในใจ เพราะตอนที่เดินออกมาจากบ้านก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว 
  ฉันกับแม่รีบเก็บลูกข้าวกันไปได้สักพักใหญ่แม่ก็บอกให้พอ เพราะเริ่มมืดแล้ว แม่บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะมาเก็บอีกและจะเอาไฟฉายมาด้วยจะได้อยู่มืดอีกหน่อยได้ แล้วฉันก็เอาข้าวมารวมใส่ถุงปุ๋ยเดียวกันกับแม่ ได้ประมาณสองถุงปุ๋ย เพราะแม่มาเก็บตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นแม่ก็มัดแล้วก็ให้ฉันยกถุงปุ๋ยข้าวใส่บ่าให้แม่ทั้งสองถุงปุ๋ย แล้วให้ฉันถือปิ่นโตที่แม่ใส่ข้าวมากินและเคียวเกี่ยวข้าว แล้วเราก็เดินกลับบ้านกัน ตลอดทางฉันเป็นคนเดินนำหน้าแม่ และเอาไม้ตีทางข้างหน้าอย่างที่ยายบอก ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามีงูหรือเปล่า แต่ฉันว่าก็เพลินดีเหมือนกัน
   กลับมาถึงบ้านแล้ว แม่ก็เอาข้าวเก็บไว้ไต้ถุน แม่บอกว่า พรุ่งนี้แม่จะตากข้าวไว้ตอนเช้าและแม่ก็จะไปเก็บลูกข้าวอีก เพราะยังเหลืออีกเยอะ พอตอนบ่ายแม่จะกลับมาตำข้าวที่ตาก เอาไว้ให้ฉันหุงตอนเย็นแล้วจะกลับไปเก็บลูกข้าวอีก พรุ่งนี้เย็นกลับมาทำอะไรเสร็จแล้วก็รีบไปหาแม่นะ ไปช่วยกันเก็บอีก เดี๋ยวคนอื่นรู้ว่ามีเยอะเขาจะมาเก็บด้วย เราก็อดนะลูก แม่บอกฉัน 
ฉันได้ยินแม่บอกก็คิดในใจ ดีนะที่มีลูกข้าวให้เก็บอีก ไม่อย่างนั้น แม่ต้องบากหน้าไปขอยืมข้าวจากร้านค้ามาอีกแน่ เพราะครั้งที่แล้ว ยังไม่มีเงินไปใช้เขาเลย งานรับจ้างก็ไม่มี สงสารแม่จังเลย อย่างนี้เองมั๊งที่เขาบอกว่า ลูกมากจะยากนาน สงสัยว่าจะจริงแฮะ"
   กว่าจะอาบน้ำกินข้าวเสร็จก็เกือบสามทุ่มแล้วก็ต้องทำการบ้านต่ออีก เมื่อไรนะ บ้านเราจะมีไฟฟ้าใช้กับเขาบ้าง จุดตะเกียงทำการบ้านทีไร ไฟใหม้ผมทุกทีเลย แต่เอ...พรุ่งนี้ไม่ไปโรงเรียนดีกว่า เดี๋ยวฝากการบ้านให้เพื่อนไปส่งและลาอาจารย์ให้ก็พอ ไปช่วยแม่เก็บลูกข้าวอีกดีกว่า จะได้มีข้าวไว้กินเยอะๆหน่อย... 
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำผึ้งเดือนห้า
Lovings  น้ำผึ้งเดือนห้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำผึ้งเดือนห้า
Lovings  น้ำผึ้งเดือนห้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำผึ้งเดือนห้า
Lovings  น้ำผึ้งเดือนห้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงน้ำผึ้งเดือนห้า