**.. วิพากษ์บทกวี ..**

ต่อง (ต้อง) ksg

**..  วิพากษ์บทกวี  ..**
	จนมาถึง ณ วันนี้  วงการวรรณกรรมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในซีกของวรรณกรรมร้อยกรองเริ่มมีความคึกคักขึ้นมาเป็นระยะ  แต่คงแปลกที่ว่าการตื่นตัวครั้งนี้มิได้ปรากฏตามแผงหนังสือเหมือนแต่ก่อน แต่กลับมาปรากฏบนโลกไอที ไซเบอร์ หรืออินเตอร์เน็ตตามแต่ใครจะเรียกขาน  ความแปลกต่อมาคือร้อยกรองที่อยู่ในโลกไซเบอร์เหล่านี้ถึงจะมีมากมายจนจินตนาการได้ว่า  ถ้านำร้อยกรองในเว็บไซด์หนึ่งๆที่โพสลงเพียงอาทิตย์เดียวมารวมเล่มแล้วก็น่าจะรวบรวมได้หลายเล่มเลยทีเดียว  แต่ก็เกิดคำถามว่า ผลลัพธ์ที่เราได้คือปริมาณหรือคุณภาพ?  ................ อดีตที่ผ่านมาผลผลิตทางความคิดที่ถูกกรองออกมาเป็นผลงานวรรณกรรมแม้จะไม่กลาดเกลื่อนแต่ก็พร้อมด้วยเนื้อหาสาระ สำนวน ศิลป์และศาสตร์  กลับกันในปัจจุบันผลผลิตของวรรณกรรมแพร่สะพัดอย่างล้นหลามจนจับเนื้อหาสาระ สำนวน ศิลป์และศาสตร์แทบไม่เจอ  บางคราวผู้แต่งก็เพียงจับคำยัดๆลงไปในผังฉันทลักษณ์แล้วก็อุปทานไปว่านี่คือ  บทกวี   บางคนก็กล่าวว่าบทกวีไม่ถูกฉันทลักษณ์ก็ไม่เป็นไร เพี้ยนขนาดไหนก็ไม่ว่ากัน ขอให้มีความรักและศรัทธาต่อผลงานก็พอหรือที่มักเอ่ยอ้างว่าตนเองมี   หัวใจกวี   มันออกจะดูสวยหรู ดูดี แต่มันจะต่างอะไรกับความมักง่ายและมันก็คือการทำลายวงวรรณกรรมเสียเอง เพราะถ้าหากทุกคนคิดแต่เพียงเขียนอะไรก็ได้ ถูกๆผิดๆช่างมัน แล้วก็เอาคำว่า  หัวใจกวี  มาเป็นเกราะกำบังตัวเอง ป้องกันการวิพากษ์วิจารณ์ อนาคตของร้อยกรองไทยคงต้องนับถอยหลังมากกว่านับวันที่เดินไปข้างหน้า
	ความแปลกประการต่อมา คือ การที่ผู้แต่งมักพยายามสรรคำที่เลิศเลอ สวยงามมาใส่ในแต่ละวรรคจนบางครั้งก็หลงลืมไปว่าคำที่ใส่ผิดความหมายอย่างรุนแรง บางคำไม่รู้ความหมายอย่างแท้จริงแค่เพียงคุ้นหูว่าน่าจะมีความหมายเช่นนี้  คุ้นหูว่าน่าจะมีความหมายเช่นนั้น เพียงแต่   น่าจะ  น่าจะ  สุดท้ายสิ่งที่ได้  ก็น่าจะ....ไม่เรียกว่าบทกวี เช่นกัน  การเลือกใช้คำที่สวยงามไพเราะนี้ถ้าหากตรงตามบุคลิกของผู้แต่งอยู่แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คำเหล่านี้จะออกมาเองตามความถนัดของตน  แต่ถ้ามันไม่ใช่บุคลิกเรา แต่เราก็พยายามจะมี-เป็นอย่างนั้นให้ได้  เราขาดความเป็นตัวเองไปหรือเปล่า ?  ..............  
	สุดท้ายนี้ความแปลกที่สุด คือ การที่เราๆท่านๆ รวมถึงผมเองก็ตาม มักจะไม่ยอมรับตัวเองว่าเป็นกวี ผลงานที่เขียนไม่เรียกว่าบทกวี  แต่จะบอกว่าตนเองเป็นเพียงนักกลอน สิ่งที่เขียนคือบทกลอนธรรมดาๆชิ้นนึง  แต่ในใจลึกๆบางครั้งก็ยอมรับว่าตัวฉันนี่แหละคือกวีคนนึง  อันที่จริงเราไม่อาจหนีความจริงได้หรอกครับ ใครจะกล่าวว่ากวีต่างจากนักกลอน  บทกวีไม่เหมือนบทกลอน  ผมไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าไหร่ เขาจะบอกว่ากวีต้องมีจิตวิญญาณในการเขียนบทกวี  แล้วผมจึงสงสัยว่าแล้วนักกลอนเราๆท่านๆที่เขียนกลอนออกมาไม่ได้มีจิตวิญญาณหรือความรักในวรรณกรรมหรอกหรือ .......  กวีก็คือนักกลอน  นักกลอนก็คือกวี  ............  บทกวีก็คือสิ่งเดียวกับบทกลอน   บทกลอนก็คือสิ่งเดียวกับบทกวี ..............  เพียงเท่านี้เองครับ  ไม่ต้องนิยามากมาย  ไม่ต้องยกเอาอุดมการณ์  จิตวิญญาณ  หรือศรัทธามายืนยันตอกย้ำกันให้ยืดยาว  เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนทราบกันดีว่า  เราก็รักบทกวีกันทุกคน  
 	วิพากษ์บทกวีชิ้นนี้ เขียนขึ้นมามิใช่เพื่อกระทบผู้ใดผู้หนึ่ง  แต่ต้องการสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันวันนี้ของวงการร้อยกรองไทย  เขียนมาจากความรู้สึกลึกๆของผู้เขียนเอง อย่างน้อยที่ผู้เขียนเขียนออกมาได้เช่นนี้ก็เป็นการบอกเป็นนัยว่า ผู้เขียนก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน จะต่างอะไรกับ  การดูละครแล้ว( ผม )ก็ย้อนดูตัวเอง
	ขอขอบพระคุณ ( ในทุกความคิดเห็นมา ณ ที่นี้ครับ )
	ด้วยความหวังดี
       ก.นพดล  รักษ์กระแส
         ก.ประแสร์  ศิษยาพร				
comments powered by Disqus
  • ปราณรวี

    17 มิถุนายน 2550 01:04 น. - comment id 18283

    สวัสดีค่ะ ก.นพดล ก.ประแสร์
    
    ได้อ่านบทความนี้แล้ว ป.ก็มาสะท้อนความคิดของตนเองดูน่ะค่ะ  ที่จะเขียนต่อไปไม่ใช่มองว่าตัว ป. เองเก่งหรืออะไรทั้งนั้น เพียงแค่เสนอความคิดเห็น จากการสังเกตผลงานกวีที่ลงในบ้านกลอนในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ป. พบว่ามีกวีเด็กๆ (อายุ 10+) เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกเยอะ ป.ว่าพวกเขายังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการเรียนรู้น่ะค่ะ บทกวีที่ออกมาจึงมองดูคล้ายกลอนเล่นๆ แบบเด็กๆ หัดแต่งแค่ 1 บท แล้วก็โพสต์ลงมา พวกเขาอาจจะยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องฉันทลักษณ์เท่าไรนัก แต่คิดว่าถ้าเขาไม่เบื่อแล้วทิ้งไปซะก่อน อีกไม่นานก็คงพัฒนาได้ดีขึ้นกว่าเก่าน่ะค่ะ อีกอย่างหนึ่งที่พวกเขาจะได้เรียนรู้การเขียนบทกลอนคือการอ่านเยอะๆ อย่าง ป เองเรียนรู้การแต่งกลอนมาตั้งแต่มัธยมต้น ถูกจับไปนั่งเรียนกะคุณครูสองคนก็มี (เพื่อเข้าประกวดแต่งร้อยกรองระดับนักเรียน) ช่วงนั้นก็เขียนได้ระดับนึงนะคะ พอทิ้งไปช่วงนึง (ช่วงยาวๆ) ก็ลืมไปเลยค่ะ แต่พอมีเวลาเอาวรรณกรรมของสุนทรภู่มานั่งอ่านก็ได้แนวคิดการเขียนจากการอ่านเยอะมาก (ถึงถนัดอยู่แต่กลอนแปด เพราะไม่ได้หัดแต่งแบบอื่นเลย) ..ยิ่งเขียนยิ่งงงตัวเอง...ซึ่งสรุปแบบที่ ป.สังเกตก็คือ ถ้ามีใจรักในการเขียนบทกวี ไม่ละทิ้งไปกลางคัน หัดคิดหัดเขียนบ่อยๆ ไม่นานก็คงชำนาญขึ้นน่ะค่ะ...พูดมากแล้ว วกวน งง ตัวเอง..อิอิ
    
    
    29.gif29.gif
  • .

    17 มิถุนายน 2550 11:45 น. - comment id 18285

    เขียนไปเถอะ....เมื่ออยากเขียน เขียนแล้วเหลียวมองคนอื่นบ้าง โดยเฉพาะงานชั้นครู ของเก่า ของดีมีอยู่ เขียนไปบ่อยๆ เดี๋ยวก็เห็นทางเอง......โดยเฉพาะทางของตนเองที่ผ่านลมฝน ผ่านสารพัดวิชามาได้แล้วหรือระหว่างรบ(ในการเขียน)ก็อาจเจอ....
    อย่าไปเครียดอะไรกับมันมากมายเลย....  
    ยิ่งหาคนรวยกับการเขียนร้อยกรองยากอยู่แล้ว ยังจะหาคนเขียนทางนี้ยากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเวทีสื่อหรือรัฐที่ปากอ้างว่ารักและอยากส่งเสริมพัฒนาภาษา  ศิลปวรรณคดี สารพัดที่เป็นศิลปวัฒนธรรมไทยหรือท้องถิ่น......
    
    หาที่เล่นให้ได้ก็พอแล้วกระมัง สำหรับคนชอบเขียน.....
    
    46.gif21.gif
  • กุ้งหนามแดง

    18 มิถุนายน 2550 08:32 น. - comment id 18291

    :)
  • แก้ว กรุงเก่า

    18 มิถุนายน 2550 10:10 น. - comment id 18293

    ..กระจกใสสวยงามเมื่อยามส่อง
    กระดาษทรายใครมองเมินความหมาย
    ทั้งสองสิ่งผสานเสร็จจากเม็ดทราย
    หนึ่งในล้านที่จุดประกายอาจฉายแวว...
    
    16.gif36.gif
  • ครูใหญ่

    18 มิถุนายน 2550 15:18 น. - comment id 18295

    เป็นมุมที่น่ามอง น่าคิด   ผมเห็นด้วยหลายประเด็นเกือบทั้งหมดนั่นแหละ
    เพิ่มเติมว่า ทุกอย่างฝึกฝนได้ เรียนรู้ได้ ถ้าใจรัก และการอ่านก็เป็นพื้นฐานของการเขียน ผมอ่านมากตอนเด็ก จึงมีแรงกระตุ้นให้อยากหัดเขียนกลอน เขียนไปตามประสา งู ๆ ปลา ๆ ไปตามเรื่อง  จนวันหนึ่งจึงค้นพบว่าฉันทลักษณ์ของกลอนเป็นอย่างไร เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่มีใครบอกหรือสอนผมเลย ขอให้ทุกคนเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ครับ  ผมเองก็ยังเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
  • ...ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...

    19 มิถุนายน 2550 09:32 น. - comment id 18300

    ดีจ้า คุณต่อง(ต้อง)ksg......11.gif
    
    จะว่าไปก็มีหลายประเด็นที่ตรงใจ....ยิ่งหลังๆคิดแล้วคิดอีกกว่าจะลงแต่ละบท  อืมมม  แต่ก็ต่างจิตต่างใจอ่ะนะจ๊ะ55.gif
  • ขาว-กรมท่า

    19 มิถุนายน 2550 11:18 น. - comment id 18301

    สวัสดีครับ ผม"ขาว-กรมท่า" ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นใน กระทู้นี้ครับ
    ปัจจุบัน จากที่ผมได้สังเกตมามักพบว่า เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจใน เรื่อง กวีนิพนธ์ สักเท่าไร ส่วนใหญ่มักจะไปแต่ง พวก นิยาย หรือ แนว Ficton ซึ่ง (ผมยังได้คำขอจากเพื่อนให้ช่วยสอนการแต่งกวีนินธ์ พอผมถามว่าทำไม? เขาบอกจะไปแต่ง บทร้อยกรอง แนว นารีปราโมทย์  -.- ) ส่วนน้อยจริงๆที่จะมาสนใจ แต่ ก็เหมือนกันกับพวกเรา ที่จะต้องเริ่มศึกษา  พื้นฐานต่างๆ อาทิ ประเภทคำประพันธ์ คำศัพท์ ฉันทลักษณ์ อีกทั้งสาเหตุที่เขาจะมาสนใจการแต่งกวีนิพนธ์ มักจะต้องมาจากแรงดลใจ และ พรสวรรค์กับพรแสวง  แล้วสักพัก เขาจะได้พิสูจน์ให้ประจักษ์เองว่า เขาไปทางด้านนี้ดีไหม? แต่ผมยังสงสัยอย่างมาก ว่าทำไมเนื้อหา มักไปทางแนว ความรัก เสียส่วนใหญ่ และ ตาม weboard ต่างๆ ก็มักมีกรทู้แต่งกลอน แต่เนื้อหา ค่อนข้างไปแนวหาสาระได้ไม่ และ ศัพท์แสลง ก้เยอะ แต่ อย่างน้อยๆก็รู้ว่า บทกวีนิพนธ์ ยังไม่หายจากสังคม เพียงแต่ต้องให้เวลาฝึกฝน เรียนรู้ และ เข้าใจ เท่านั้น จึงขอ อนุญาตขอแสดงความคิดเห็น มาใน ณ ที่นี้ ด้วยครับ ขอบคุณครับ
  • ทิกิ_tiki_4895 Unlogged in

    19 มิถุนายน 2550 22:54 น. - comment id 18309

    แวะอ่าน
    ตามประสา
    นักเคาะแป้นพิมพ์คอมพ์ออกมาเป็นกลอน46.gif
  • มะยม

    2 กรกฎาคม 2550 11:00 น. - comment id 18444

    ..เป็นเรื่องน่าคิดนะ......แต่มีเหตุผลดีๆ ทุกคน...73.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน