30 สิงหาคม 2547 22:46 น.

นัย.ใจ....

ผู้เฒ่า

ร้อยเดือนดาวจับวงเป็นมงกุฎ
บริสุทธิ์มอบให้ด้วยใจหวัง
ร่วมวางถ้อยความเห็นเป็นพลัง
เพื่อปลูกฝังวิถี.กวีไทย

       ร้อยหมู่มวลบุปผาแทนผ้าหุ้ม
บรรจงคลุมถ้อยแฉล้มให้แจ่มใส
บนถนนความฝันอันวิไล
ร่วมกันไปสู่หนคนกวี

       ร้อยหัวใจใส่รักสมัครสมาน
เขียนตามการชำนิตามวิถี
ถนอมถ้อยร้อยต่อความพอดี
ทุกคนมีความฝันร่วมกันแสดง

       บ้านกลอนไทยใหญ่โตรโหฐาน
เฉพาะกาลนักเขียนเพียรแสวง
นับร้อยพันคำคมชมสำแดง
ทุกเรื่องแฝงคุณค่าประสาตน

       ผูกสายใยใจมั่นฉันท์พี่น้อง
ร่วมประคองมองสดับยามสับสน
ปลอบประโลมร่วมถ้อยคอยกังวล
ให้ทุกคนมีสุขอย่าทุกข์เลย

       ร้อยเดือนดาวจับวงเป็นมงกุฎ
ใจพิสุทธิ์ตามรอยถ้อยเฉลย
สวมให้คนร่วมฝันทุกวันเอย
ที่คุ้นเคยร่วมพจน์รจนา@				
30 สิงหาคม 2547 21:51 น.

ตราสัง...รัก...

ผู้เฒ่า

ยินเสียงแผ่วแว่วสดับขยับตื่น
ฟ้าครืนครืนคำรนฝนซัดสาย
เจตสิกซ่อนสถูปขึ้นรูปกาย
ชีพสลายล่วงลับหวนกลับคืน

สายลมหนาวแดดผลาญผ่านกี่ฝน
สถิตทนคงอยู่ทั้งรู้ฝืน
หัวใจภักดิ์รักรั้งที่ยั่งยืน
จะคอยฟื้นทุกครายามฟ้าดัง

ดั่งอดีตยามเคียงยินเสียงฟ้า
เจ้าหันหาอกพี่เป็นที่หวัง
คอยประโลมปลอบใจใช่ลำพัง
ทุกคราวครั้งเรียกขวัญเจ้ารัญจวน

ผมสลวย ยาวสยายขจายหอม   
เฝ้าถนอมจุมพิตยามคิดหวน
แม้ริ้นยุงปัดไว้มิให้กวน
ถนอมนวลมิแคล้วดั่งแก้วบาง

ในความมืดเยือกเย็นยังเป็นห่วง
แม้วันล่วงวาระเกินจะสาง
เพียงอัฐิธุลีเถ้าที่เขาวาง
ยังมิห่างใจภักดิ์รักนิรันดร์

อันความคิดรู้รักเพียงจักให้
ทั้งหัวใจชีวิตสถิตมั่น
มิต้องการสิ่งใดให้แทนกัน
เพียงเจ้านั้นมีสุขทุกเวลา

รักไม่มีพรมแดนคิดแหนหวง
รักมิลวงเพียงใจเฝ้าใฝ่หา
ไร้พันธะบัดสีคิดตีตรา
ไร้คำว่าเจ้าของคิดจองตัว

แม้นเวลาผ่านไปต้องไกลกัน
ทุกคืนวันซ่อนแฝงแสงสลัว
วิญญาณรักเพียงนิดมิคิดกลัว
สวรรค์มัวเป็นเถ้ายังเฝ้ามอง

ปรารถนาเพียงอยู่เพื่อดูเจ้า
 แม้จะเศร้ามิใช่คู่อยู่สนอง
ในส่วนลึกสุขได้ดั่งใจปอง
ยลเจ้าครองสุขีทุกวี่วัน

แม้เนิ่นนานเท่าไรมิไกลห่าง
แม้ไร้ร่างเดินดินมิสิ้นฝัน
แม้วันนี้พรากไกลมิใกล้กัน
มิเคยปันดวงใจใครสักครา         

กี่หมื่นวันพันปียังมีเจ้า
จะคอยเฝ้าร่วมชาติวาสนา
แม้สิ้นโลก ลับสลายจากสายตา
หนึ่งวิญญาณ์ดวงนี้มิหนีไกล

เพียงแค่นี้ความรักและภักดี
ทาสเทวีมั่นคงอสงไขย
ทุกข์หรือสุขร่มเย็นที่เป็นไป
อยู่ที่ใจน้อมสถิตนิจนิรันดร์.@				
26 สิงหาคม 2547 15:07 น.

เงา..

ผู้เฒ่า

เงาสลัวภาพเหลื่อมกระเพื่อมผิว
ระลอกพลิ้วริ้วชลวนขยาย
รมย์สงัดเงียบสงบกระทบกาย
สถิตหมายภวังค์วนดุจชลเวียน

เงากระจ่างภาพชัดสนัดนิ่ง
สรรพสิ่งซึมซาบดั่งภาพเขียน
รมย์ละมุนแนบสนิทสถิตเธียร
คงเสถียรในจิตนิจนิรันดร์.@				
24 สิงหาคม 2547 01:47 น.

ความรักสีดำ.. จิ๊กซอร์หัดเขียน..

ผู้เฒ่า

สิ้นแสง..มืด..สลัว..
เหมือน..ขิตกาลส่งมิ..สาร 
ชี..มืดมิ..ต้อง..ซาน 
สุ..ฉานยังมา..กลับ..ตา

        ณ.ห้วงหน..ลาอ่อน..นัก
แม้ความ..ร้าง..ไม่มา..
รัง..มันต์ตก..ได้เวลา
ดั่ง..ดาคล้อย..มาเลือนไป

       เมียง..หาบุ..ฝันจะเห็น
เดือนก็..ข้างแรมไม่..ใส
เวิ้งนภามืด..เหมือนกับใจ
ที่หมอง..โศกสลดรัน..ครวญ

       หลั่งน้ำ..เอ่อล้นบน..หน้า
ทด..ค่าหวังให้มี..หวน
แต่เมื่อสิ้น..ทางร้างรัญ..
ขอ..ตรวนกำ..ยามผันแปร

       ฝากสาย..พรม..เป็นทิวเสียง
สื่อสำ..แสร้งพบลบ..แผล
แม้ความหวังห่าง..เธอไม่..
ฉัน..แพ้มิอาจเผย..คำ

       ได้แต่งมงำ..เปรียบน้ำ..
ที่..พร่างตก..ทุกคืนค่ำ
..เบาแผ่ว..พื้นชื่นประจำ
แต่ไร้คำไร้..สำเนียง..

       เปรียบ..บอกยอกย้อนที่..เงื่อน
ไร้เสียง..คอยตามให้..หวัง
ซ่อน..ไว้ฟันช้า..ระล้า..ลัง
แต่ก็..ดาบ..จม..เรา

       เพราะ..วิตของคนบน..ยาก
จะเอ่ย..ก็ไม่เป็น..ใครเขา
กระ..ฟ้ายังซ่อน..มิเห็น..
ฉันคน..ฤาจะเห็นแสง..ตา.

       ไม่เจ็บ..ชาชินเพียง..สุข
ไม่มี..ร้อนใจกระ..หนา
ไม่มี..ใจด้อยน้อย..รา
ไม่มี..ไม่มีคนบน..ใจ
..
       ดาวกระ..ยิบระ..คู่กับฟ้า
ดวง..ทราแสงสลดมิ..ใส
มองท้อง..ยังเป็นฟ้าทุก..ไป
ฉันทำ..มองไปมาหมด..คน

       ขออำ..ฟ้าและเธอเลิก..พร่ำ
สิ้น..คำสิ้น..แสดงหน
เหลือเพียง..รอยหมองต้องทุกข์..
บน..ความคิด..นิรันดร์   @.


เศร้า..น้ำ..พริบ..ยับ..สด..ลา..นิจ..เว..ล้า..รัก..ไกล..หา..สิ..มอง..โซ่..นัล..

คราบ..ทน..ลับ..สรูย์..มัว..จิต..ลิ..สง..วิต..สม..ครา..หลัน..เป็น..ซม..รีย์..

สาย..ไป..ชี..เคลื่อน..กาน..ฟ้า..แจ่ม..ดับ..ไหม้..ทด..ถ้อย..ตา..ใบ..แทน..

ใจ..จวน..หน..ลม..พลิ้ว..เนียง..รอย..ไกล..เฉลย..ค่า..เพ้อ..เงียบ..ค้าง..อุ..

พื้น..แนว..เบา..เสียง..ดัง..คำ..ซ่อน..เตือน..ความ..ดาบ..ไม..ช้า..ระ..คม..

ทุกข์..ไร..จัน..แรง..ถนน..ร่าง..ความ..ปาก..เช่น..ค่า..สิ้น..ช้ำ..เย็น..เขลา..

เร้น..เงา..คน..ทั่ง..พรู..ฝัง..

เอาคำไปใส่ให้ได้ใจความ..และสามารถเปลี่ยนคำได้ ถ้ามีความหมายใกล้เคียงหรือดีกว่า...

ลองดูนะตัวซน..เวลาไม่จำกัด เสร็จแล้วลงให้ดูด้วย..
ขออภัยที่ตัองขี้นตามหน้ากลอน เพราะไม่รู้จะส่งทางไหน..สวัสดีทุกท่านครับ..				
17 สิงหาคม 2547 14:01 น.

นางงามตู้กระจก

ผู้เฒ่า

จากถิ่นฐานบ้านป่าเคยอาศัย
สู่เมืองใหญ่ดิ้นรนเพื่อค้นหา
หลีกหนีความลำเข็ญที่เป็นมา
เพราะเงินตราทางใหม่จึงใคร่ลอง

        เจ้านกน้อยโผผินบินจากดอย
ติดตามรอยความฝันมั่นสนอง
สู่เมืองกรุงศิวิไลซ์ดังใจปอง
ถึงครามองนึกหวั่นใจสั่นคลอน

       มองถนนเห็นรถแล้วหดหู่
จอดกันอยู่เป็นแพแลสลอน
ค่อยค่อยคืบดุจทากยากจะจร
ร้อนก็ร้อนคิดจะไปหนใดกัน

       นกน้อยจากพฤกษ์พนาราคาต่ำ
รอยเท้าย่ำสอบถามหาความฝัน
ผ่านเพลาเหนื่อยกายมาหลายวัน
คิดจะสรรงานดีมิมีมา
  
       สังคมเมืองอลวนต่างคนอยู่
มิอาจรู้น้ำใจยากใฝ่หา
มือใครยาวสาวเพลินหาเงินตรา
เรื่องคุณค่าน้ำใจมิใคร่มี

        เป็นสาวดอยด้อยงามความรู้ต่ำ
ตัดใจจำสัมผัสความบัดสี
เลือกไม่ได้โผ. ลงดงโลกีย์
เอาร่างพลีสนองค่าตัณหาชาย

        เป็นหมอนวดอวดร่างในอ่างน้ำ
เขาขย้ำโหมขยี้ศักดิ์ศรีหาย
ร่างอาภัพชอกช้ำสิ้นคำอาย
ขายร่างกายเป็นเป้าให้เข้าโรม

       น้ำตารินเอ่อนองริมสองแก้ม
ยามแต่งแต้มเพิ่มสินประทินโฉม
เป็นนางงามให้เขาเข้าตระโบม
ร้อยชายโถมโลมเล้าเอาแต่ตน

         คล้ายเป็นผักเป็นปลาเขามาเลือก
เงินดังเชือกมัดสายตะพายสน
เปรียบเป็นควายหรือเห็นเราเป็นคน
สู้ยอมทนเพื่อปากท้องที่ต้องกิน

        เป็นเนื้อนวลในอ่างไร้ทางเปลี่ยน
ชายวนเวียนเปลี่ยนพบมิจบสิ้น
ร้อยพันชายตอกตราเป็นอาจินต์
รอยมลทินคราบชั่วติดตัวตาย

       เพลาผ่านนานมาหมดค่าสาว
เปรอะคราบคาวทรุดโทรมเพราะโหมขาย
ณ.ที่นี้ความสดหมดทั้งกาย
ต้องโยกย้ายเปลี่ยนตู้ดูลำเข็ญ

        วัฎจักรนางงามตู้กระจก
ในหัวอกหม่นหมองใครมองเห็น
หวังลืมตาอ้าปากคงยากเย็น
ความจำเป็นทั้งส่วนตัวและครัวตน

        พ่อและแม่แก่ชราต้องหาเลี้ยง
มิอาจเลี่ยงหลบผลัดแม้ขัดสน
น้องเล็กเล็กเรียงรายอีกหลายคน
น้ำตาหล่นทุกครายามหากิน

       ใครใครชมเพียงชู้เอ็นดูผ่าน
ลิ้มความหวานสลายก็หายสิ้น
หมุนเวียนผลัดผ่านมาเป็นอาจินต์
ค่าเพียงดินผ่านชายเพียงหมายเงิน

        นั่งมองผ่านกระจกหัวอกเศร้า
บางครั้งเหงาคิดรักก็จักเขิน
จะมีใครหมายปองมิมองเมิน
ช้ำใจเกินเรื่องคู่กับผู้คน

       เปรียบดอกไม้ริมวิถียังดีกว่า
ยังมีค่าใช้ประดับกับถนน
ชีวิตหญิงรันทดต้องอดทน
ค่าของตนกับดอกไม้ยังไกลกัน

       บริการปลดเปลื้องเรื่องความใคร่
พลั้งเผลอไปติดโรคต้องโศกศัลย์
ติดเชื้อร้ายประทุษหยุดชีวัน
ชีวิตสั้นนับถอยคอยเวลา

        เจ้านกน้อยหมดท่าน้ำตาล่วง
สำนึกห่วงคนบนดอยจะคอยหา
มิอาจอยู่ดูแลพ่อแม่ชรา
อนิจจาใครลิขิตชีวิตเรา

       นี่นะหรือชีวิตคนอยู่บนโลก
ทางสายโศกมิสดใสดั่งใครเขา
หาความชื่นสุขสันต์มาบรรเทา
เหมือนหาเงาเข็มล่วงห้วงสายชล

       จิตมนุษย์สุดลึกเกินนึกนัก
มันยอกยักแยกยอนย้อนฉงน
ดั่งรากไม้งอกรกช่างวกวน
เหมือนใจคนสัปดนวกวนเวียน

       ชีวิตของนางงามตู้กระจก
สกปรกคนเดียดกระเบียดกระเสียร
คราบโลกีย์คลุ้งฉาวคาวจนเอียน
มิอาจเปลี่ยนคำประนามนางงามคาว

       ใครจะรู้จะเป็นผู้เห็นค่า
ผู้หญิงหา กินกามขายความสาว
ชีพมลายปลดเปลื้องจบเรื่องราว
แม้ถึงคราวจบสิ้นก็ยินดี

        รับจดหมายจากแม่แกบอกว่า
พ่อชราป่วยมากจะพรากหนี
คงไม่นานยากอยู่มาดูที
ก่อนไม่มีโอกาสคงขาดใจ

       เคราะห์กระหน่ำกรรมซ้อนถึงตอนเศร้า
โรคก็เร้ารุมจับเกินรับไหว
ทางบ้านมีเรื่องร้อนต้องจรไป
และคงไม่กลับมาขายค่าคน

       เก็บสมบัติพัสถานออกขานขาย
คนใกล้ตายลำบากยุ่งยากขน
ขอเหลือเพียงคราบชั่วติดตัวตน
กลับขึ้นบนดอยสงบหลบจากกรุง

       เตรียมข้าวของหยูกยาเสื้อผ้าฝาก
หมากแห้งตากปลาเค็มใส่เต็มถุง
ของกำนัลฝากน้าพี่ป้าลุง
ทั้งน้องนุ่งแม่พ่อที่รอคืน

       ต้องลาแล้วเมืองกรุงมุ่งสู่ป่า
หลั่งน้ำตาคลาไคลใจสะอื้น
ขายศักดิ์ศรีเจ็บจำต้องกล้ำกลืน
และขมขื่นชีวิตต้องปลิดปลง

       นั่งรถไฟยาวนานกลับบ้านเก่า
เบื้องหลังเศร้าเบื้องหน้ายิ่งพาหลง
จะอยู่ได้นานไหมใจพะวง
อาการทรงกับทรุดมิหยุดรอ

       ตามผิวกายแผลพุ  ปะทุหนอง
นัยตาหมอง แววซ่อนวิงวอนขอ
เป็นโรคเอดส์ระกำก็ช้ำพอ
อย่าได้ล้อ ท้ออายด้วยสายตา
       สุดปลายทางรถไฟยังไกลบ้าน
ต้องโดยสารรถไปอีกไกลหนา 
ละจากรถซมซานผ่านพนา
ใช้เวลาจึ่งคล้อยลุดอยบน

       คำนึงหวนชวนสลดทุกบทบาท
ลิ้มรสชาติรันทดสลดผล
สิ่งสุดท้ายได้รับสำหรับตน
คือทุกข์ทนยลแค่กระแสกรรม

       จะโทษดินโทษฟ้าก็หาไม่
โทษหัวใจบัดสีที่ถลำ
สู่ห้วงกาเมสิกขาฯค้าประจำ
จนต้อยต่ำหมดค่ามิว่าใคร

      รถยังวิ่งเดินหน้าน้ำตาเปื้อน
มันวิ่งเคลื่อนตามรางที่วางให้
แต่ชีวิตสิ้นรางสิ้นทางไป
จะมีใครเวทนาหันมามอง

      ถึงจุดหมายสถานีที่สุดท้าย
ต้องตะกายแรงหญิงยกสิ่งของ
มิมีใครคอยขยับเข้ารับรอง
ชายตามองทำแสดงแล้วแกล้งเมิน

      กะเร่อกะร่าแถวหน้าสถานี
มองไป่มีรถเข้าสู่เขาเขิน
ละล้าละลังชีวิตคิดจะเดิน
ก็เหลือเกินเดินย่ำจะลำเค็ญ

     หารถเหมาตัดใจรีบไปก่อน
ต้องคอยซ่อนแผลไว้มิให้เห็น
กว่าจะถึงเชิงดอยคงคล้อยเย็น
จะทันเห็นหน้าพ่อไหมหนอเรา

      จากไปนานบ้านเมืองประเทืองผล
ทุกแห่งหนถนนสร้างเชื่อมทางเขา
ป่ารกชัฎเคยเคียงกลับเกลี้ยงเกลา
ผู้ใดเผาผลิกป่าเป็นนาคร

       คนชั่วตัดทำลายแอบขายป่า
ยังเชิดหน้าคร่อมตอคอ สลอน
พณฯท่านหน้าหนามิอาทร
ใครจะค่อนฉ้อฉลมิสนใจ

       เป็นเพียงคนธรรมดาใกล้ลาโลก
สิ้นสายโศกใยปลงอสงไขย
มิเคยคิดวกเวียนเบียดเบียนใคร
แต่ยังไกลคำว่า..ข้าก็คน

       มองผู้สาวละอ่อนตอนกำดัด
จิตประหวัดห่วงหาน่าฉงน
อธิษฐานอย่าคอยย้อนรอยตน
หลีกให้พ้นถนนบาปตราบนิรันดร์

       ถึงเชิงดอยสิ้นถนนรถยนต์วิ่ง
รถจอดนิ่งคนสลดหมดความฝัน
ผีคืนหลุมแพ้แสงแห่งตะวัน
เราเช่นกันกลับดอยมาคอยตาย

       สังขารกร่อนอ่อนเพลียละเหี่ยโหม
ร่างทรุดโทรมโรค รั้งกำลังหาย
พะรุงพะรังเดินอ่วมเหงื่อท่วมกาย
มองจุดหมายขาสั่นประหวั่นใจ

        ตะวันรอนอ่อนมัวสลัวแสง
คนสิ้นแรงก้าวขาน้ำตาไหล
หนทางชันลำบากยังยากไกล 
ต้องเดินไปใจมั่นกลั้นน้ำตา

       เจ้านกน้อยขมขื่นคิดคืนคอน
จะหวนย้อนรังเก่าบินเข้าหา
ปีกพิการกระพือยื้อเวลา
สุดอ่อนล้ายังฝืนจะคืนรัง

         กระเซอะกระเซิงเดินย่ำจนค่ำมืด
  เดินจนหืดขึ้นคอรอความหวัง
มีสักคนผ่านด้วยช่วยประทัง
พาไปยังกระท่อมน้อยที่คล้อยมา         

        แสงกระจ่างจันทร์ส่องลงต้องร่าง
สิ้นแรงย่างเยื้องกรายจะไปหา
ทรุดลงนั่งร้องไห้ในพนา
หมดปัญญาเหนื่อยเกินจะเดินไป

      พื้นสะเทือนเสียงสะท้อนย้อนเข้าหู
ยินเสียงรู้เหมือนม้าวิ่งมาใกล้
ตะโกนก้องร้องลั่นสนั่นไพร
กระโจนไปไม้มือกระพือวน

      ชะงักงันพระนั่งบนหลังม้า
มองสีกาด้วยจิตคิดฉงน
ร้องถามว่าเจ้านี้ผีหรือคน
ใยพิกลป่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย

      จะไปไหนเส้นทางระหว่างป่า
จะค้นหาอะไรสิ่งใดหาย
เดินในป่าทุกข์ยากลำบากกาย
จงขยายบอกเล่าเรื่องเจ้ามา

       ยกสองมือขึ้นพนมแล้วก้มกราบ
ลำดับภาพเล่าหวนกลับครวญหา
ถึงพ่อเฒ่าเจ็บไข้วัยชรา
ขอเห็นหน้าครั้งสุดท้ายก่อนสายไป            

     พระคุณเจ้ากล่าวว่าสิกาเอ๋ย
กรรมแล้วเอยเราจะแจ้งแถลงไข
พ่อของเจ้าทิ้งถิ่นเพิ่งสิ้นใจ
เมื่อยามใกล้พลบค่ำย่ำระฆัง

      สิ้นเสียงสุด ดุจสิ้นทั้งวิญญาณ์
หลั่งน้ำตาโศกสลดเพราะหมดหวัง
พ่อสิ้นแล้วสังขาร์ละล้าละลัง
ทิ้งคนหลังดูใจไปไม่ทัน

      พระคุณเจ้าร้องสั่งให้รั้งอยู่
จะหาผู้ช่วยไปจากไพรสัณฑ์
สั่งสิ้นเสียงขยับม้าลับตาพลัน
เสียงสนั่นม้าวิ่งดั่งทิ้งนาง             

       เย็นยะเยือกเจ็บแปลบลมแนบหนาว
กายร้อนผ่าวไข้รุมเข้าสุมร่าง
นัยตาจ้องเพ่งพิศหลงทิศทาง
สรรพางค์ปวดร้าวเกินกล่าวคำ

       ระลึกภาพนางงามนั่งตามตู้
ลำดับผู้คนผ่านเคยขานขำ
ลำดับชายเคยค้าขาประจำ
บ่นพึมพำพร่ำเปรอะถ้อยเลอะเลือน

      น้ำตารินไหลย้อยอุ่นรอยแก้ม
รอยยิ้มแกมแซมสลดประชดเหมือน
รู้สัญญาความตายจะกรายเยือน
สัญญาณเตือนว่าชีวิตจะปลิดปลง

       คิดถึงพ่อรอก่อนจะย้อนหา
ถึงเวลาตามไปคงไม่หลง
คิดถึงแม่ถึงน้องร่วมพ้องพงศ์
แล้วล้มลงสิ้นสายลมหายใจ         

       อนิจจาใครลิขิตชีวิตหนา
ใครจะหาถ้อยแสดงแถลงไข
ทุกเรื่องราวลำเข็ญที่เป็นไป
พรหมหรือใครลิขิตขีดให้เดิน

        หนึ่งชีวิตจบสิ้นโอบดินสอน
อุทาหรณ์สอนเราจากเขาเขิน
ดำรงชีพดีชั่วอย่ามัวเพลิน
ค่อยค่อยเดินมั่นคงอย่าหลงทาง

       บทสุดท้ายนางงามตู้กระจก
มิใช่ยกคนยากมาถากถาง
หยิบประเด็นเห็นค่าจับมาวาง
เพียงจะสร้างแนวให้สอนใจกัน.@				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟผู้เฒ่า
Lovings  ผู้เฒ่า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟผู้เฒ่า
Lovings  ผู้เฒ่า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟผู้เฒ่า
Lovings  ผู้เฒ่า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงผู้เฒ่า