14 เมษายน 2549 11:18 น.

สงกรานต์นี้มีมิตรภาพ

พระจันทร์เศร้า

เช้าวันที่สิบสามเมษายน 2549 ตอนตีห้า
คุณนายพระจันทร์เศร้าฯแหกขี้ตาตื่นเพราะนึกว่าเป็นวันทำงาน 
คว้าผ้านุ่ง ผ้าเช็ดตัวจะเข้าห้องน้ำ
ได้ยินเสียงบุพการีแสนรักที่เหลืออยู่คนเดียวถามว่า
ตื่นมาทำไมแต่เช้า ไหนเมื่อคืนว่าจะนอนสาย ๆ 
งงอยู่ชั่วขณะ อ้อ เหรอ จำไม่ได้ เพราะเมื่อคืนหลายกระป๋องอยู่
โยนผ้าอาบน้ำพาดที่ราวลวก ๆ แล้วกลับเข้าห้อง ว่าจะนอนต่อ แต่คนแก่นี่นะ ตื่นแล้ว หลับต่อยากอยู่ 
เปิดคอมดีกว่า นั่งพิมพ์ขุนช้างขุนแผนเป็นวิทยาทานในหน้าเว็บแห่งหนึ่ง ซึ่งเบื่อขี้หน้าเว็บมาสเตอร์มันน่าดู
แต่ทนทำ ไม่ใช่เรียกร้องความเห็นใจนะ แต่บอกแล้วไง วิทยาทาน เว็บนี้วัยสะรุ่นเยอะ ยังไงก็คงได้อ่านกันบ้าง
เก้าโมงแล้ว อื้อฮือ นั่งพิมพ์นานขนาดนั้นเชียวนะ อมขี้ฟันมาตั้งหลายชั่วโมง
ออกไปทำธุระส่วนตัว หาข้าวปลาอาหารกิน
เตรียมเครื่องทำน้ำพริกปลาร้าอีกหม้อหนึ่ง
เห็นน้ำพริกปลาร้าแล้วก็นึกถึงคนกลุ่มนั้น ที่เคยบุกมากินน้ำพริกปลาร้าชาววังของคุณนายพระจันทร์เศร้าฯ ถึงบ้าน
ป่านนี้ไปเล่นสงกรานต์กันที่ไหนไม่รู้ จะดูใจมันว่ามีใครคิดถึงเอ็นเทอร์เทนเนอร์คนนี้ไหมในห้วงเวลาเทศกาลแห่งความสุข
น้ำพริกปลาร้าหอมฉุย สารพัดผักจิ้มวางเรียง ปลาบปลื้มกับฝีมือตัวเอง แต่หากินไม่หรอกนะ
ทำให้คนอื่นกิน ส่วนตัวเองระเห็จออกไปร้านเก่าเจ้าประจำ
เหมือนเดิม คุณจิ๊กโก๋
ว่าที่จริงเจ้าของร้านเขาไม่ได้ชื่อนี้หรอก แต่เรียกเขาแบบนี้มาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันนู่น สักยี่สิบกว่าปีแล้วมัง 
ได้เบียร์หกกระป๋อง เดินรับลมร้อนกลับมาบ้าน ระหว่างทาง มีคนขอสาดน้ำมาเป็นระยะ ๆ
ใครใคร่สาด สาดเลย เตรียมแต่งตัวรัดกุมให้สาดอยู่แล้ว ถึงบ้านเปียกไปครึ่งซีก คนสาด คงเกรงใจป้าวัยดึกกับของที่ถือมาในมือน่ะนะ
เก็บของรักของหวงเข้าตู้เย็นก่อน ยังไม่ถึงเวลา มีภารกิจที่ตั้งใจไว้ว่าต้องทำก่อนเริ่มดื่ม
น้ำเย็นเจี๊ยบแช่ไว้เรียบร้อยในขันใบใหญ่ เอาออกมาเติมน้ำอบ ลอยดอกมะลิกับกลีบกุหลาบลงไป
ลูบหน้าลูบตาเรียกขวัญตัวเอง แล้วเข้าไปหาแม่ จะเข้าหาแม่ตัวเองแต่ละที เฮ้อ
แม่เขาเหม็นหน้าพ่อยังไง เขาก็คงเหม็นหน้าลูกสาวตัวเองปานนั้นแหละ ก็คนมันเหมือนกันยังกะถอดพิมพ์ ปีนี้ เป็นปีที่แม่ให้ชีวิตมาครบห้าสิบปี อยากทำอะไรดี ๆ ซะหน่อยนะ
แม่ออกอาการงงกับท่าทางที่ประดิดประดอยให้เป็นสุภาพสตรีเต็มที่
จะทำไม อื้อฮือ เสียงเข้มเชียววุ๊ยย ใจหล่นวูบเลย
มาขอรดน้ำอวยพรแม่ค่ะ มาแม่ เอามือมา
แม่งง แต่แม่ก็ยื่นมือมาให้ ถ้าตาไม่ฝาด คิดว่าได้เห็นรอยยิ้มนิด ๆ กับแววตาปรานีบาง ๆ 
ขอให้เลิกเบียร์ กับบุหรี่ได้นะ 
คำพรของแม่คงจะเป็นหมันน่ะ 
เสร็จจากอวยพรแม่ เดินสายต่อซิ คุณป้ากลางซอยที่ตาบอด และลูกเต้าทอดทิ้ง เพราะมีแต่ลูกผู้ชาย มันเลยทิ้งไปอยู่กับเมียหมด ปล่อยแม่ตาบอดอยู่กับแม่บ้านสองคน
ขอให้หนูมีตำแหน่งสูง ๆ นะ รวย ๆ แม่คุณ ช่างน่ารักเหลือเกิน 
คุณป้าน้ำตารื้นขณะให้พร ทำเอาคนไปรดน้ำ จะพลอยร้องไปด้วย ชีวิตนี้ไม่ค่อยจะมีคนชมว่าน่ารักเลย  อื้อนะ เห็นห้าว ๆ แต่ก็ใจอ่อนเป็นเหมือนกันบางขณะ รับพรจากคุณป้ากลางซอยมาแบบเต็ม ๆ เดินสายต่อมาแวะข้างบ้านบ้าง นี่คุณน้า บุกเข้าถึงห้องลิฟวิ่งรูมของคุณน้า ไม่เจอใครสักคน 
ฮะแอ้ม anybody home ? กระแดะฝรั่งซะหน่อย ได้ผล ลิฟวิ่งรูมที่ล้อมไปด้วยประตูสี่บานเปิดออกพร้อม ๆ กัน ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งกันออกมาเกรียว ตามด้วยคุณน้า ยิ้มร่าออกมา
รดน้ำคุณน้า รับพรจากคุณน้าให้เป็นใหญ่เป็นโต เหมือนพรคุณป้าเปี๊ยบ อนาคต คุณนายคงได้เป็นถึงอธิบดีแน่นอน 
กลับเข้าบ้าน เปิดตู้เย็น อะฮ้า ได้เวลาแล้ว แต่ก่อนดื่ม ต้องรดน้ำผู้ใหญ่หน้าเว็บก่อน เว็บนี่เป็นบ้านที่สองอยู่แล้ว
พี่ทัดหทัยอวยพรให้มีความสุขทั้งวันนี้และวันต่อ ๆ ไป ที่จริงอยากให้อวยพรให้เขียนกลอนเก่งอย่างพี่ต่างหาก
เจอเรไร เจอพี่ชายที่ออสเตรเลีย เจอใครอีกมากมายหลายคน จำไม่ได้แล้ว เอาเป็นว่าเจอแล้วกัน
เกือบสี่โมงเย็น ได้ยินเสียงเรียกชื่ออยู่หน้าบ้าน เสียงเด็ก แก๊งเจี๊ยวจ๊าวข้างบ้าน
ป้าจิ๋ง เอาอ๊ะยางงงล่ะ ป้าจิ๋งจ๋า มารอแล้วนา
งง ไปสัญญาอะไรกะใครไว้หว่า เนี่ยนะ ผลเสียของการดื่ม ชอบสัญญาแล้วจำไม่ได้
เดินออกไปตามเสียงเรียก มึน ๆ เล็กน้อย เพราะหกกระป๋องหมดไปแล้ว พอเปิดประตูบ้าน ก็โครมเข้าเต็ม น้ำทั้งจากขัน จากปืนฉีดน้ำ จากกระป๋อง จากสารพัดภาชนะ
ใบหน้าเจ้าตัวเล็กทั้งหญิงชายอิ่มเอมกับการสาดน้ำ ป้า ซะเหลือเกิน
ก็ป้าบอกว่าจะมาเล่นสงกรานต์กับพวกเราตอนเย็นไง
ก็ป้าบอกตอนไปรดน้ำคุณยายไง
เอายังล่ะคะ ฯลฯ...อื่น ๆ อีกมากมาย
เอาก็เอาวะ คนอย่างคุณนาย ใครมาท้าให้เอา ไม่เอาก็บ้าแล้ว ยกมือห้ามทัพเด็ก บอกเดี๋ยวนะ ป้าเอาถังน้ำก่อน จะได้ไม่เปลืองน้ำบ้านพวกเจ้า ลากถังน้ำมาวางหน้าบ้าน แต่น้ำที่ก๊อกหน้าบ้านซึ่งไม่ผ่านปั๊มน้ำไม่ไหลสักหยด
เฮ้ย น้ำไม่มีน่ะ เล่นไม่ได้แล้ว กะจะเบี้ยวเด็ก
ไม่เป็นไรค่ะ/ครับ เราเอาน้ำมาให้ป้าเอง
จากนั้นกองทัพมด ต่อแถวกัน ตักน้ำจากบ้านตัวเองมาใส่ในถังน้ำบ้านป้าจนเต็ม ระหว่างจัดสรรน้ำ ก็สาดน้ำป้าไปด้วย สนุกจริงนะ เจ้าเปี๊ยกพวกนี้
น้ำเต็มถัง มันถามอีก  ลงมือยางงงป้า ยังกะระหว่างเติมน้ำมันยังไม่ได้สาดงั้นแหละ
เดี๋ยว 
เอาน้ำอบผสมลงในถัง ลอยดอกมะลิกับกุหลาบ
ทำไมต้องใส่ของพวกนี้ล่ะป้า
อืมม อธิบายกันเสร็จ ทุกคนเข้าใจ รับปากว่า จะใช้แต่น้ำสะอาดเล่นกันในวันสงกรานต์ สงครามสาดน้ำระหว่างแก๊งเจี๊ยวจ๊าวกับคนอายุห้าสิบก็เริ่มขึ้น
สองชั่วโมงผ่านไป คนผ่านไปมา ได้รับน้ำกลิ่นจรุงใจกันทั่วหน้า พร้อมกับรอยยิ้ม
มิตรภาพต่างวัยก่อเกิด 
มีความสุขนะกับวันสงกรานต์ปีนี้ 
มันมากันอีกแล้ว แต่ตอนนี้ มันไม่เรียกป้าแฮะ ได้ยินเสียงแก๊งเจี๊ยวจ๊าวไม๊คุณ มันตะโกนเรียกอยู่
เอาอ๊ะยางงง  พี่จิ๋งเว๊ยยยย
อืมมม กระชากวัยซะ ขอไปจัดการเอากะเด็กก่อนนะ
สุขสันต์วันสงกรานต์นะจ๊ะ ชาวไทยโพเอ็มทุกคน


				
16 กุมภาพันธ์ 2549 12:53 น.

ถึงเพื่อนรัก

พระจันทร์เศร้า

ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งหลังทริประยองของคนไทยโพเอ็ม
เราได้พบผู้ชายคนนี้ ดินถล่ม ณ เสาไห้
เขาแทรกตัวมาบนเอ็มเอสเอ็ม กลางกระแสการพูดคุยที่เข้มข้น
การหาคนถูกคนผิด ความไม่เข้าใจ การแบ่งค่าย สารพัดที่คนกลางอย่างเราสุดแสนจะอึดอัด
กระป๋องเบียร์ที่เหวี่ยงออกไปวันนั้น ตาเฒ่ารับไปเต็ม ๆ ด้วยความยินดี
หลายวันที่วนเวียนอยู่กับสารพัดวิพากษ์
ตาเฒ่าโผล่มาเป็นกระสายยาทุกวัน จากรำคาญ นำไปสู่ ยังไงหว่า
แล้วหลังจากกระแสความขัดแย้งบรรเทาลง เราซึมซาบความเป็นตาเฒ่า คนกลางที่เป็นคนกลาง เหมือนเราเลย ตาเฒ่าเอ๊ย
นานมากที่ไม่ได้เข้าแวะเวียนทักทายเพื่อน ๆ น้อง ๆ พี่ ๆ (มีคนเดียวคือพี่แก้วประเสริฐ)
งานการรุมสุมจนโงหัวไม่ขึ้น
หลายเดือนที่นอนไม่หลับ กังวลกับงาน ต้องพึ่งพาหมอ หายาคลายเครียดมากิน
ทุกวัน เวลาแย่มาก ๆ  เราจะโทรหาตาเฒ่า ผู้ชายคนนี้ที่ตอบรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงร่าเริง
อ้า เป็นไงบ้างครับ....
อ้า สบายดีหรือเปล่า วันนี้ ...............
อ้า งานหนักไม๊ พักบ้างนะคุณ.....
จนหลายอ้าเข้าวันหนึ่งเราบอก ตาเฒ่า หุบบ้างก็ได้
เราไม่เคยเห็นหน้าค่าตาตาเฒ่า รู้แต่ว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่หลงใหลคอมพิวเตอร์เป็นชีวิต อืมมม......  หลงใหลจนขนาดยอมเอาคอมเป็นเมียซะมากกว่า  ใช่ไม๊ตาเฒ่า
จากการโทรระบายทุกข์ กลายเป็นความเคยชิน อย่าแปลกใจว่าทำไมเราเป็นฝ่ายที่ต้องโทรหาก่อนไม่มีอะไรมาก แค่เพราะเตาเฒ่าไม่เคยมีตังค์ค่าโทรศัพท์ ถ้าวันไหนตาเฒ่าโทรมา นั่นคือโทรจากตู้สาธารณะ  ไม่ว่ากันนะตาเฒ่าที่เอามาเผาซะขนาดนี้ 
วันคืนผ่านไป ตาเฒ่ากลายเป็นความเคยชินที่ขาดไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่มี เป็นความรู้สึกที่เพื่อนมีต่อกัน ไม่มีอารมณ์ของผู้ชายผู้หญิงมาเกี่ยวข้อง
วันที่กลุ้มใจกับการทำงานครั้งแรกกับยูนิเซฟ ต้องบริหารเงินเป็นล้านกับผู้เข้าอบรมหลากหลายประเทศที่เป็นแขกรัฐบาล เรามีตาเฒ่าเป็นเพื่อนคุยแก้เครียด
เราแค่ต้องการคนรับฟังนะ เรื่องงานน่ะ ทำได้ แต่บางครั้ง คนเราให้เก่งแค่ไหน มันก็มีเวลาที่อยากเล่า อยากระบาย
ฝากภาระหนักหนาบนไหล่ให้คนอื่นช่วยมาแบกสักแป๊บเพื่อขอตัวไปเข้าห้องน้ำ นะตาเฒ่า
แล้ววันหนึ่ง เราก็รู้สึกว่า เราต้องการเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ มันถึงเวลาที่จะต้องพบกัน
วันที่พบกันครั้งแรก พายุตั้งเค้า
 เรามาในชุดทำงานสุดสวย ดูดี รอตาเฒ่าหน้าร้านอาหารด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ กลัวเปียกฝน
กลัวคนมาเห็น เพราะนัดกันใกล้ที่ทำงาน
พอฝนเริ่มลงเม็ด เราเจอใครคนหนึ่ง ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
แต่เสียงที่ทักมา คือเสียงที่คุ้นหูมาตลอดเวลา
ตาเฒ่ามาแบซกมกสุด ๆ
รองเท้าแตะ กางเกงยีนส์ เสื้อยืด 
มีหนุ่มหน้าตี๋เหน็บมาด้วยคนหนึ่ง ซึ่งตาเฒ่าบอกว่าเป็นเพื่อน มาหาพอดี เลยพามาด้วย
ยอมรับนะ ว่ารู้สึกผิดคาดกับตัวตนจริง ๆ ของตาเฒ่า แต่มื้อนั้น อาหารอร่อยตรงหน้ากับท่าทีสนิทสนมของตาเฒ่า เราก็ว่ามันไม่เลวร้ายนักหรอก แม้เราจะต้องออกตังค์ก็เหอะ นะตาเฒ่า
เราพูดคุยกันทุกวัน
เวลาเราทะเลาะกับคนที่บ้าน เราก็โทรไปร้องไห้กับตาเฒ่า 
เวลา เรามีปัญหาหน้าเน็ตกับใครบางคนที่เราให้ความสำคัญทั้ง ๆ ที่มันไม่รู้ตัว เราก็เล่าให้ตาเฒ่าฟัง
กลางป่าเขาจากเชียงดาว กลางแดดเปรี้ยงจากสันป่าตอง กลางแดดจ้า หน้ากระทรวง ยามค่ำหลังร่ำน้องสิงห์ที่บ้าน 
หน้าห้องคอนเวนชั่นวันจัดประชุมรัฐมนตรีพม่า แม้แต่กลางเขื่อนศรีนครินทร์ เราก็เล่าให้ตาเฒ่าฟังว่าสนุกกันมากน้อยเพียงใด อย่างไร
ตาเฒ่าจะมีคำปลอบประโลมซ้ำ ๆ อยู่สองประโยค
ไม่เอานะคุณ อย่าร้องนะ ไปพักผ่อนนะ .... กับ ..... อืมมม น่าสนุกนะคุณ อย่าดื่มมากล่ะ .....
สารพัดหัวข้อที่จะพูดคุย เราไม่เคยเบื่อที่จะโทรหา เราคุยกับตาเฒ่า แล้วเราก็นึกถึงใครบางคนที่จากโลกเน็ต จากชีวิตเราไปแล้ว แต่ช่างมีบางอย่างที่เหมือนกัน
คำปลอบประโลม  อารมณ์ขัน และ กำลังใจที่รินหลั่งให้ไม่มีวันหมดสิ้น
ผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนนี้ กับน้ำใจมหาศาลไร้เงื่อนไข ทำให้วันทุลักทุเลของเราผ่านไป
เมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ตาเฒ่าโผล่มาที่ออฟฟิศ มาชวนไปกินก๊วยเตี๋ยวเป็ดวัดราชา ดันมาแต่ไก่โห่ ใครจะหิวตอนนั้นนะ แต่เราก็ไปกับเขานะ ไปเดินเล่นในตรอกวัดราชา ให้ตาเฒ่ารำลึกความหลัง แล้วก็ไปเขาดิน ถิ่นโปรดของเรา สองเฒ่าคือเรากับเขา ไปเดินดูเด็ก ๆ พรอดรักกันตามสุมทุมพุ่มไม้ แล้วก็หันหน้ามาบอกกันและกันว่า ดีนะ ที่เราสองคนไม่มีลูกผู้หญิง
เมื่อวานตาเฒ่ามาที่บ้าน เพราะโดนบังคับแกมขู่เข็ญ ให้มาซ่อมคอม 
ทุกข้อความ ทุกรูปภาพที่เพียรเก็บมาสามปี ถูกล้างจากเครื่อง เพื่อลงโปรแกรมใหม่ทั้งหมด
เราได้ตระหนักว่า ความทรงจำนั้น อยู่ในใจ แม้ไม่มีตัวอักษรให้เห็นอีก เราก็ยังจำได้
เครื่องคอมเป็นปกติแล้ว ทำงานไวขึ้นมาก หลังจากข้อมูลรกเรื้อถูกลบออกไป
แต่ความทรงจำของเรายังกระจ่างกลางใจ ไม่ว่ากับใคร คุณ น้อง ๆ เพื่อน ๆ  หรือตาเฒ่า
สามปีเต็มบนโลกเน็ต วันนี้แล้วซินะ ที่เราได้รู้จักโลกอินเตอร์เน็ตมา 
โลกที่อาจสร้างศัตรูหรือมิตรก็ได้ 
วันนี้ เรารู้ว่า สิ่งที่เราได้จากโลกเน็ต  คือโลกใบใหญ่กับ ผู้คนหลากหลาย ที่คงจะต้องใช้ความจริงใจนำทาง
เมื่อวาน เราส่งตาเฒ่าขึ้นรถแท็กซี่ที่เรียกมาจากศูนย์ เมาหรือเปล่าไม่รู้ แต่เรายังรู้สึกถึงจมูกใครบางคนแตะแก้มเรา และเรารับรู้ถึงมิตรภาพระหว่างเราสองคน มันจะเป็นเช่นนี้เสมอ นานเท่านาน ใช่ไม๊ตาเฒ่า
เพราะอะไรรู้ไม๊ 
เพราะเรารับเธอได้ในแบบที่เธอเป็นอย่างเต็มใจ
และตาเฒ่า เธอล่ะ รับเราแบบที่เราเป็นได้ไม๊
เรารู้คำตอบ เรารู้ว่า ได้แน่นอน				
8 ตุลาคม 2548 09:24 น.

เก็บหัวใจใส่กระเป๋า (ตอบจบ)

พระจันทร์เศร้า

ตลอดช่วงสามสัปดาห์ต่อมา ก้านเทียวไปเทียวมารับส่งต๋าทุกวัน
บางวันหลังเลิกเรียน เราไปนั่งคุยกันในร้านไอศรีมปากซอย
วันแรก ๆ ต๋าเขินกับสายตาคนอื่น ๆ แต่วันต่อมา
ต๋าพยายามใส่ใจกับคนตรงหน้ามากขึ้น
จนกระทั่งไม่แคร์อีกต่อไปว่าใครจะมองมา
ในสายตาต๋า ก้านดูดีไปหมด ทั้ง ๆ ที่อยู่ในเครื่องแบบนักเรียน 
ต๋าฝันไกลไปถึงวันข้างหน้า 
ถ้าก้านยังคงดีต่อต๋าอย่างนี้ ต๋าคงมีความสุข

ในยามค่ำคืน ต๋าเคยใช้เวลาก่อนนอนทบทวนการเรียน แต่มาวันนี้
ต๋าไม่มีจิตใจกับตำราเอาเสียเลย ต๋าเฝ้าคิดถึงเขา เขียนข้อความมากมายถึงเขา
ต๋าสรุปเอาเองว่า เขาชอบต๋าและไม่ต้องสงสัยเลยว่า ต๋าชอบเขามากแค่ไหน

วันสอบก็ใกล้เข้ามาแล้ว
แต่ต๋ายังผลัดวันประกันพรุ่งกับการทบทวนวิชาเรียน 
ต๋ามั่นใจว่าตัวเองไม่มีวันพลาด แม้บางขณะ ต๋าชักใจไม่ดีที่ทำการบ้านได้ไม่ถูกกต้องครบถ้วนอย่างเคย
แต่เมื่อนึกถึงก้าน ความหวาดหวั่นต่าง ๆ ก็หายไป
ก้านบอกต๋าว่า เขาจะชวนต๋าไปงานที่โรงเรียนของเขา 
ก่อนสอบตั้งสองอาทิตย์ ต๋ายังมีเวลาดูหนังสือทัน
ตอนนี้ ต๋าคิดแต่ว่า ต๋าจะทำตัวอย่างไรเมื่อไปงานโรงเรียนก้าน เพื่อน ๆ ของก้านจะดีกับต๋าไหม
พวกเขาจะวิจารณ์ต๋าอย่างไรบ้าง ต๋าว้าวุ่นใจจนทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ

งานที่โรงเรียนก้านจัดขึ้นในวันเสาร์ 
ต๋าพยายามเลือกเสื้อผ้าที่จะทำให้ตัวเองน่ารักที่สุด แต่ไม่ว่าจะแต่งตัวอย่างไร ต๋าก็ยังเป็นต๋า
ยังดูอ้วน ดูตลกอยู่อย่างเดิม ต๋าปลอบใจตัวเองว่า ก้านคงไม่คิดมากเรื่องนี้
ไม่งั้น เขาจะมาตามต๋าต๋าอยู่ทำไมตั้งนานสองนาน
ก้านมารับต๋าตรงเวลา เขาแตะแขนต๋า ส่งยิ้มให้ตอนเจอหน้ากัน
"ต๋าดูแปลกตานะ เวลาไม่ได้แต่งชุดนักเรียน น่ารักดี"
ต๋าหน้าร้อนวูบ แต่ก็ดีใจที่ไม่ได้เสียเวลาเปล่าในการเลือกเสื้อผ้ามาตั้งแต่เมื่อคืน
ระหว่างทาง ก้านบอกต๋าว่าพอถึงงาน ก้านอยากจะขออะไรต๋าสักอย่าง และจะไม่ยอมให้ต๋าปฏิเสธด้วย
ต๋ารับปากเขา ใจเต้นตึกตักไปตลอดทาง เขาจะขออะไร ต๋าได้แต่เดาไปเรื่อย
คิดถึงภาพในหนังตอนพระเอกขอความรักนางเอกอะไรทำนองนั้น

ต๋าเพิ่งรู้ว่า ก้านจะเล่นดนตรีในงานนี้ด้วย เขาพาต๋าไปหลังเวที แนะนำให้รู้จักเพื่อนร่วมวงของเขา
ทุกคนยิ้มแย้มทักทายต๋า แต่มีอะไรบางอย่างที่ต๋าบอกไม่ถูกในท่าทางของพวกเขา
ต๋านั่งอยู่ท่ามกลางกองสัมภาระหลังเวที ในขณะที่ก้านกับเพื่อน ๆเตรียมขนเครื่องดนตรีออกไปหน้าเวที 
เมื่อจัดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก้านเดินมาหาต๋า
"จำได้มั้ยที่ผมบอกจะขออะไรสักอย่างน่ะ"
ต๋าพยักหน้า ใจเต้นแรง
"ผมขอให้ต๋าช่วยร้องเพลงในงานนี้หน่อย ผมส่งเทปเดโมดนตรีไปให้ค่ายเทป เขาจะมาดูของจริง
แต่เขาขอให้มีคนร้องด้วย"
ใจต๋าแฟบไปทันที เรื่องแค่นี้เอง ทำไมก้านต้องทำงุบงิบด้วยก็ไม่รู้ ร้องก็ร้องกันซี เรื่องเล็กจะตาย
มาทำให้ต๋าหวั่นไหวอยู่ได้
ต๋าตอบรับ ก้านดูดีใจมาก เขาจับมือต๋าเขย่า แล้วพึมพำขอบคุณ แปลกจริงก้านนี่

ต๋าไม่ได้ทำให้ผู้ชมผิดหวังกับเสียงเพลงในวันนั้นเลย และโดยเฉพาะกับก้านและเพื่อน ๆ
การแสดงในวันนั้นสมบูรณ์แบบ ทั้ง ๆ ที่ต๋าไม่ได้ซ้อมเพลงร่วมกับวงมาก่อนเลย
พวกเขาเลือกเพลงที่ต๋าร้องประจำในงานต่าง ๆ มาเล่น ทุกอย่างจึงจบลงด้วยเสียงปรบมือกระหึ่มห้องประชุม
ต๋าเห็นก้านจับมือกับตัวแทนค่ายเทปที่หน้าเวทีหลังการแสดง 
ต๋าดีใจที่ทำให้ก้านมีความสุข ตั้งแต่นี้ ก้านคงจะดีกับต๋ามากขึ้น
ต๋าเลี่ยงไปหลังเวทีเพื่อล้างหน้าให้สดชื่น ต๋าอยากดูดีเวลาอยู่กับก้านท่ามกลางคนอื่น
ขณะที่ล้างหน้าตรงอ่างล้างหน้าด้านหลังเวทีซึ่งมีฉากกั้นสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า
ต๋าได้ยินเสียงใครคุยกันแว่ว ๆ อีกด้านของฉากกั้น 

"ตกลงค่ายเทปเขาสนใจ ไอ้ก้านมันกำลังโทรไปบอกเพ็ญ"
"แล้วยายเสียงใสที่ไอ้ก้านพามาล่ะ"
"เฮ้ย นั่นมันตามจีบมาเพื่อร้องเพลงในงานนี้ เพ็ญมันกล่องเสียงอักเสบ ร้องไม่ได้ เลยแนะนำว่า ต้องได้ยายต๋านี่แหละ เลิศที่สุดเรื่องร้องเพลง เสียดายว่ะ หน้าตาสวย หุ่นดีเสียหน่อย เป็นนักร้องอาชีพสบาย"
"อย่างนี้ ถ้าหลับตาฟัง คงเยี่ยม "
"เออ พอดีไอ้ก้านมันไม่ได้ตาบอด มันบอกหมดงานนี้ คงโล่งอกเสียที หมดพลังไปเยอะ เพ็ญมันบอกว่า ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ไม่มีทางพามาได้แน่ งานหน้า เจ้าเก่าหายป่วยกลับมาร้องได้ ก็หมดปัญหาละ"

คำพูดนั้นไม่ดังนัก แต่มันดังพอที่จะทำให้ต๋าตาสว่าง หัวใจวูบ ตารื้น ๆ 
แล้วตามมาด้วยความอับอาย ต๋าหน้าชา จนไม่รู้ว่าตัวเองควรออกไปเผชิญหน้าสองคนนั่นหรือเปล่า
ความจริงกระจ่างกลางใจ เพื่อนทรยศคนหนึ่งกับผู้ชายคนหนึ่ง
ต๋าบอกตัวเองว่าต้องสงบใจไว้ ต๋าจะทำเรื่องอับอายในที่สาธารณะอย่างนี้ไม่ได้
ต๋าออกมาจากฉากกั้น เดินผ่านเพื่อนของก้านไปโดยไม่ทักทาย คว้ากระเป๋า ลงจากเวที เหลือบเห็นก้านกำลังพูดโทรศัพท์ เขาโบกมือให้ แต่ต๋าหันหนี
ต๋าเดินช้า ๆ กลับบ้าน ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย มีแต่น้ำตารื้น ๆ  แต่หัวใจต๋าเจ็บช้ำ
ไม่ได้หวังแล้วว่าจะมีเสียงใครเรียกมาจากด้านหลัง 
"หมดงานนี้ คงโล่งอกไปที"
ต๋าทำให้ก้านหนักใจมากขนาดนั้นเชียวหรือ เพิ่งจะรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าช่างไร้เดียงสา อ่อนโลกอะไรปานนั้น ออกจะเรียนเก่ง รู้เรื่องทั่วโลกมากมาย แต่กับเรื่องแค่นี้ ทำไมไม่เข้าใจ ทำไมโง่นัก ต๋าไม่เคยระแคะระคายเลยกับการที่ก้านปฏิเสธจะเข้าบ้านต๋า ทั้ง ๆ ที่ต๋าพยายามชวน เพราะแม่คงไม่ปฏิเสธที่จะต้อนรับหนุ่มน้อยสักคนที่สนใจต๋า

คืนนั้น ต๋าร้องไห้ ร้องให้มันสะใจกับความโง่ของตัวเอง
ต๋าจะไม่เป็นอย่างนี้อีก ต๋าย้ำกับตัวเองเป็นร้อย ๆ ครั้ง 
ฉีกข้อความบ้า ๆ ที่เขียนถึงก้านเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ต๋ามีสิทธิ์ที่จะโกรธเกลียดเขา ต๋าอยากจะด่าเขา อยากจะทำอะไรก็ได้ที่สามารถลบความรู้สึกสูญเสียในครั้งนี้ได้
แต๋ต๋าคงไม่กล้าหาญขนาดนั้น คงทำได้เพียงจำไว้เป็นบทเรียน
ต๋าเปิดกระเป๋า หยิบหนังสือเรียนมาวางตรงหน้า แล้วอ่านผ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รับรู้ข้อความใด ๆ
อีกไม่กี่วันจะสอบ ถ้าต๋าสอบตก ใคร ๆ ที่รู้เรื่องของก้าน ใคร ๆ ที่เคยอิจฉาต๋า 
และแม้แต่ตัวก้านเอง คงจะหัวเราะเยาะต๋า  อาจารย์จะไม่เชื่อถือต๋าอีกต่อไป
ต๋าจะยอมให้ตัวเองสูญเสียมากไปกว่านี้ไม่ได้
ต๋าปิดหนังสือ แล้วลงมือร่างตารางการดูหนังสือ 
ต๋าจะต้องเพิ่มเวลาในช่วงกลางคืนให้มากกว่าเดิม
น้ำตายังไม่เหือดแห้ง แม้จะเพียรเช็ดแล้วเช็ดอีก มันยังรินออกมา 
ในขณะที่หัวใจยังเจ็บ
หน้ายังร้อนเพราะคำพูดที่ได้ยินที่หลังฉากวันนี้

ต๋าสาบานกับตัวเองว่า จะร้องไห้เพียงคืนนี้เท่านั้น
พรุ่งนี้ ต๋าจะเริ่มดูหนังสือตามตารางที่กำลังเขียนอยู่
ตั้งแต่นี้ จะมีแต่ตำราเรียนเท่านั้นที่ต๋าจะหยิบออกมาดูมาท่อง 
หรือหยิบยื่นให้คนอื่น
แต่หัวใจของต๋า ต๋าจะเก็บมันไว้ในซอกลึกที่สุดของกระเป๋า 
และจะไม่มีวันหยิบออกมา เพื่อเปิดโอกาสให้ใครมาทำให้ต๋าต้องมีสภาพอย่างวันนี้ นาทีนี้ อีกเป็นอันขาด 

จบแล้วจ้ะ				
6 ตุลาคม 2548 15:37 น.

เก็บหัวใจใส่กระเป๋า(1)

พระจันทร์เศร้า

 




เก็บหัวใจใส่กระเป๋า


เขาเดินตามต๋ามาสามวันแล้ว
จากบ้านไปโรงเรียน แล้วก็จากโรงเรียนมาบ้าน
เขาไม่ได้พูดจาทักทาย เพียงแต่ส่งยิ้มเรี่ย ๆ มาให้ทุกคราวที่ต๋าหันไปเห็นเขาเข้า
ใจต๋าชักจะว้าวุ่น
ก็ตั้งแต่เป็นสาวเป็นแส้มาจนเดี๋ยวนี้
ต๋าไม่เคยมีชายหนุ่มมาตอแยด้วยสักที
ต๋ารู้ตัวดีว่าไม่สวย อ้วน ออกจะะคล้ำ แล้วยังไว้ผมม้าหน้าเหมือนแมวเข้าด้วย
จะมีดีอยู่หน่อยก็ตรงเสียงดีและเรียนเก่ง
ต๋าก็เลยพอจะเป็นที่รู้จักในบรรดาผู้ทำกิจกรรมทั้งหลายแหล่ 
รวมทั้งในหมู่ครูบาอาจารย์อยู่บ้าง
ต๋าไม่ได้คุยหรอกนะ แต่ใคร ๆ ในโรงเรียนที่ต๋าเรียน 
หรือแม้แต่กับโรงเรียนอื่นที่เคยมีกิจกรรมร่วมกัน
ต่างยอมรับต๋าในฐานะ "ดาวเสียงดวงเด่นในโรงเรียน" 
ในฐานะนักร้องประจำวงของโรงเรียน แค่นี้ ต๋าก็ภูมิใจจะแย่
ต๋าไม่เคยคิดฝันถึงเรื่องหนุ่ม ๆ อย่างเพื่อน ๆ คนอื่น เพราะรู้คุณสมบัติของตัวเองดี
แต่พอมาเจอหนุ่มเดินตามเข้าจริง ๆ แบบนี้
ใจต๋าก็อดจะหวั่นไหวประสาวัยรุ่นไม่ได้

เช้าวันนี้ อากาศสดชื่น แต่ใจต๋าวับ ๆ หวิว ๆ ตอนที่ค่อย ๆ โผล่ออกจากประตูบ้าน
แล้วหน้าต๋าก็ร้อนวูบเมื่อสายตาพบกับชายหนุ่มคนเดิม
ยืนเต๊ะอยู่ตรงใต้ต้นชมพู่ต้นเก่าที่เขาเคยยืนมาตลอดสามวันในตอนเช้า ๆ อย่างนี้
เขาส่งยิ้มให้ แต่ต๋าหันหนี แล้วรีบจ้ำพรวด ๆ ไปทางปากซอย 
ความรู้สึกบอกว่า เขาเองก็รีบจ้ำตามต๋ามาเหมือนกัน
แล้วต๋าก็ค่อย ๆ ผ่อนฝีเท้าลง เมื่อได้ยินเสียงคนข้างหลังเรียกชื่อ
เขารู้ชื่อต๋าได้ยังไง

"คุณทัศนีย์ครับ คอยผมด้วย" เขาหอบน้อย ขณะเดินขึ้นมาทันต๋า
"จะรีบไปไหนครับ"
ต๋าก้าวต่อด้วยฝีเท้าไม่มั่นคงนัก เขาเดินตามมาข้าง ๆ ต๋าใจเต้น อยากจะพูดอะไรสักอย่าง 
แต่ต๋าก็พูดไม่ออกจนแล้วจนรอด
"ไปโรงเรียนหรือครับ อืมมถามทำไม ก็รู้แล้ว ก็ผมเดินตามคุณมาสามวันแล้วนี่นะ ดีนะครับ บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน ไม่ต้องลำบากโหนรถเมล์ โรงเรียนคุณนี่อายุสักเท่าไหร่นะ 
แม่ผมก็เป็นศิษย์เก่าที่นี่เหมือนกัน"
เขาพล่ามไปเรื่อย ต๋าทำท่าไม่สนใจ แต่หูต๋ารับฟังทุกคำพูดของเขา 
อย่าว่าแต่แม่เขาเลย แม่ต๋าเองก็เป็นศิษย์เก่าที่นี่
แม่ภูมิใจแทบตายเมื่อต๋าสอบเข้าเรียนที่นี่ได้ แม่บอกว่า
แล้วทุกอย่างจะราบรื่นถ้าเรียนที่นี่ ถ้าต๋าตั้งใจเรียน
จะไม่มีปัญหาเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแน่นอน 
แม่เชื่ออย่างนั้น และต๋าก็เชื่อ

"ผมชื่อก้าน บ้านอยู่ท้ายซอย คุณพูดกับผมบ้างซิครับ" 
ท่าทางเขาชักรำคาญที่ต๋าทำเฉย เขาดึงกระเป๋าต๋าไว้ แล้วหยุดเดิน ทำให้ต๋าต้องพลอยหยุดเดินไปด้วย
ต๋าทำใจกล้า จ้องหน้าเขา
"ปล่อยกระเป๋าฉันนะ ฉันไม่รู้จักคุณ" ต๋าทำเสียงขู่
แต่เขายิ้ม ฟันขาวเป็นระเบียบ  หน้าตามคมคาย ผิวเขาขาว 
ช่างต่างกันเป็นตรงกันข้ามกับต๋าจริง ๆ 
ต๋าเหลือบดูอักษรย่อชื่อโรงเรียนของเขา รับรู้ในทันทีว่าโรงเรียนที่เขาเรียน ไม่ไกลจากโรงเรียนต๋าเท่าไร

"ผมเป็นเพื่อนคุณไม่ได้หรือครับ คุณรู้ใช่ไม๊ว่าผมตามคุณมาสามวันแล้ว"
รู้สิยะ ฉันรู้ ต๋าคำรามอยู่ในใจ ความจริง ต๋าก็ไม่ได้รังเกียจเขาหรอก
เขาออกจะหล่อดีด้วยซ้ำ แต่ต๋ากลัว ต๋าไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายเลยตั้งแต่โตมานี่
นอกจากกลัวแล้ว ต๋าก็เขินด้วย คนที่ผ่านไปมา เหลือบมองดูต๋ากับเขา
ไม่น่าดูเลยที่มีผู้ชายมายื้อยุดกระเป๋าไว้ในขณะที่ต่างอยู่ในเครื่องแบบ
ต๋าอาจจะหัวโบราณไปหน่อยสำหรับยุคนี้ 
แต่ต๋าคิดว่า สิ่งที่ต๋าเชื่อน่าจะเป็นความถูกต้องดีงามและควรถนอมรักษาไว้

"แล้วคุณมาตามฉันทำไม ฉันจะรีบไปโรงเรียน"
เขาปล่อยกระเป๋าต๋า เมื่อต๋าออกเดิน เขาก็เดินมาข้าง ๆ ไปได้พูดจาอะไรอีกจนกระทั่งถึงโรงเรียน  เขาบอกต๋าก่อนไปว่า
"เย็น ๆ ผมจะมารอนะครับ"
ต๋าทำหูทวนลมขณะโบกมือให้เพื่อนที่เพิ่งมาถึงโรงเรียนเหมือนกัน 
แต่เพื่อนกลับมองตามเขาคนนั้นไป แล้วหันมาหลิ่วตาล้อต๋า
"แฟนต๋าเหรอ ไม่เคยเห็นเลย น่ารักเป็นบ้า แนะนำกันบ้างสิ"
ต๋าบอกปัดว่า เขาเป็นคนข้างบ้าน ต๋าไม่อยากถูกล้อ 
แต่วันนั้นทั้งวัน ต๋าหนีไม่พ้นจนได้ พรรคพวกรุมซักไซ้ถึงเขา ต๋าจะไปตอบเพื่อนได้อย่างไร ในเมื่อต๋าไม่ได้รู้จักเขามากไปกว่า เขาชื่อก้าน  บ้านอยู่ซอยเดียวกับต๋า แต่ถึงกระนั้น ต๋าก็อดปลื้มนิด ๆ ไม่ได้ เพราะเพื่อนที่เห็นเขา
เล่าให้คนอื่น ๆ ฟังว่า "เขา" น่ารักเป็นบ้าขนาดไหน
นี่ถ้าเขาเป็นแฟนต๋าจริงอย่างที่เพื่อนตู่เอา ต๋าจะยิ่งปลื้มขนาดไหนนะ
ที่ใคร ๆ พากันชมของของเราว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ 
ทั้ง ๆ ที่บางทีเราอาจเห็นว่าของหรือคนของเรามันก็งั้น ๆเอง
เอาเถอะ เย็นนี้ ถ้าเขามาจริง ๆ ต๋าจะลองสังเกตหน้าตาเขาชัดๆ อีกครั้ง

เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ต๋าขาดสมาธิในการเรียน เข้าข่ายใจลอยเลยทีเดียว 
ต๋าวนเวียนคิดอยู่แต่ว่า เขาอาจไม่มาอีก เพราะต๋าไร้มารยาทกับเขาขนาดหนักเมื่อตอนเช้า 
ต๋าเสียดายโอกาส ถ้าจะถึงตอนจบเสียก่อนที่จะได้เห็นนางเอกแสดง
ต๋ากระวนกระวายน่าดู แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ต๋าโดดติววันนี้
ต๋าออกมาหน้าโรงเรียน เตรียมทำใจมาดิบดี แต่เมื่อไม่เห็นเขาจริง ๆ
ต๋าก็ใจหาย ตาร้อน ๆ ขึ้นมาทันที นี่ต๋าเป็นได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ
ต๋ายังไม่รู้จักเขาเลย แต่ต๋าเสียดายจัง เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า
สาวน้อยในวัยขนาดต๋านั้น ถ้าได้มีหนุ่มสักคนมาสนใจ นับเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง
แต่ต๋าไม่เคย ต๋าจึงตื่นเต้น แล้วพอเริ่มทำใจสู้ เขาก็ไม่มาเสียแล้ว
ต๋าชะเง้อมองทั่วบริเวณ แต่ไม่มีเงาผู้ชายคนนั้น
ต๋าคอตก เดินหงอย ๆ อย่างสิ้นเรี่ยวแรงกลับบ้าน
พร่ำบอกตัวเองว่า บางทีพรุ่งนี้ เขาอาจจะมา
แล้วต๋าจะดีกับเขา จะไม่เสียมารยาทกับเขาอีก 
เจ้าประคุ้น ขอให้เขามาทีเถอะ
เกือบจะถึงบ้านแล้ว ได้ยินเสียงฝีเท้าเร็ว ๆ จากข้างหลัง
ใจต๋าเต้น ภาวนาให้เป็นเขา 
"คุณครับ" เสียงเขาจริง ๆ ต๋ายิ้มกับพื้นดิน หัวใจแทบกระโดดออกมานอกอก
แต่ต๋ายังไม่หันไปมอง บังคับใจตัวเองเต็มที่ให้เฉยไว้
"ขอโทษทีที่ไม่ได้ไปรอ ผมติดซ้อมดนตรี กระทันหันมาก คุณรอผมหรือเปล่า"
เขาถามร้อนรน ต๋าเงยหน้ามองเขา แล้วส่ายหน้า 
"ไม่รอเลยเหรอ โอ๊ยย อุตส่าห์คิดว่าคุณจะรอ รีบแทบตาย"
"ไม่ใช่ยังงั้นค่ะ " ต๋าตะกุกตะกัก ที่ส่ายหน้าน่ะ เพราะจะบอกว่าไม่โกรธที่มาช้า
นี่ต๋าตื่นเต้นมากจนฟังคำถามเขาผิดเชียวหรือนี่
"จะบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ" ต๋างึมงำ
"นึกว่าจะไม่ยอมคุยด้วยดี ๆ ซะอีก" เขายิ้ม ทำหน้าล้อ
ต๋าก้มหน้า รู้สึกมือไม้มันเกะกะไปหมด เขาคว้ากระเป๋านักเรียนของต๋าไปถือให้
เดินเคียงมาข้าง ๆ เขาส่งต๋าที่หน้าประตูบ้าน ให้สัญญาเป็นมั่นเหมาะตอนส่งกระเป๋าคืนให้ต๋าว่า
"พรุ่งนี้ รอที่เก่าเวลาเดิมนะครับ"

ยังไม่จบจ้ะ.....				
3 ตุลาคม 2548 22:27 น.

กาลครั้งหนึ่ง....กับเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง

พระจันทร์เศร้า

ในความหงุดหงิด

"บ้าชิบเลย อากาศเฮงซวยอะไรอย่างนี้นะ "
วารุณีพ่นผรุสวาจาออกมาด้วยความฉุนเฉียว 
ก่อนจะเดินดุ่มฝ่าเปลวแดดที่แผดจ้าจากตัวตึกศูนย์ภาษาไปบริเวณโรงอาหาร
อากาศวันนี้อบอ้าว แดดเปรี้ยง ร้อนราวจะเผาทุกสิ่งรอบด้าน 
ใบไม้นิ่งสนิท ไม่ไหวล้อลมอย่างทุกวัน
วารุณีก้มหน้าเดิน อารมณ์หงุดหงิดนักหนา 
หนังสือหลายเล่มตุงอยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ที่สะพายไว้บนไหล่ซ้าย 
ถุงกระดาษใบโตอยู่ในมือขวา 
ก็ไอ้ถุงบ้าที่มีของขวัญกล่องใหญ่อยู่ข้างในนี่แหละที่ทำให้หล่อนอารมณ์เสียนักหนา
ของขวัญที่หล่อนบรรจงเลือกหามาให้เขาในวันเกิด 
แต่เขาส่ายหน้าไม่ยอมรับ แถมบอกหน้าตาเฉยเมื่อตอนส่งให้
"วันนี้ไม่ใช่วันเกิดผม วาจำผิดแล้วละ"
"ไม่ผิดน่า เถอะ ถึงไม่ใช่ แต่เราก็ตั้งใจเอามาให้ รับไว้เถอะ"
ไอ้นายคนนั้นทำหน้าพิกล แล้วก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว
จนวารุณีหน้าชา ด้วยเพื่อน ๆ ของเขาพากันจ้องหน้าหล่อนอย่างกับเห็นตัวประหลาด
เท่าที่ทำได้ วารุณีก็เพียงหยิบกล่องของขวัญยัดใส่ถุง แล้วบอกเขาว่า 
หล่อนจะรีบไปเรียน โดยไม่ได้รู้เลยว่า 
พวกเขาเฮฮากันขนาดไหนเมื่อพ้นตัวหล่อน
ไปถึงโรงอาหารโดยไม่พบคนรู้จัก วารุณีกระแทกของลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่
ควานหากระป๋าสตางค์ใบเล็กจากกระเป๋าใบใหญ่ 
ซึ่งกว่าจะควานพบ ก็เล่นเอาหล่อนหงุดหงิดเพิ่มขึ้น
หล่อนเดินไปเลือกของกินอย่างลวก ๆ แล้วกลับมานั่งกินคนเดียว
คนเดียวจริง ๆ ให้ตาย
อาหารกลางวันผ่านไป แต่หล่อนยังหงุดหงิด เพราะอากาศร้อน และเพราะเขา
เขาคนที่หล่อนชื่นชอบเป็นพิเศษคนนั้น
...เพลียและเหนื่อยอย่างนี้ โดดเรียนบ่ายเลยดีกว่าวะ...
ความรู้สึกฝ่ายหนึ่งบอกวารุณี
....อย่านะ เธอต้องเข้าเรียน เพราะวิชานี้สำคัญ เธอโดดมาหลายครั้งแล้ว 
เข้าเรียนเสียที เดี๋ยวก็สอบตกหรอก...
ความรู้สึกฝ่ายดีกว่าบอก
....อย่าเรียนเลย ร้อนออก แล้วเธอก็อารมณ์ไม่ดีด้วย...
....หน้าที่ของเธอคือเรียนหนังสือนะ....
.....หนังที่สยามกำลังดีนะ เธอควรไปดูพักผ่อนเสียบ้าง...
.....ไปเรียนเถอะ อาจารย์อาจจะทดสอบในชั้นก็ได้....
.....อย่าเลย เธอเรียนมาเยอะแล้ว ตอนเช้าน่ะ แล้ววิชาต่อไป 
เธอก็อ่านหหนังสือมาไม่ทันด้วย....
....เรียนเถอะ อ่านไม่ทัน ยิ่งต้องเข้าเรียน .....
?????????????????????????????????
โอ๊ย อะไรกันนักหนานะ เรียนหรือไม่เรียน 
วารุณีใช้หลอดคนน้ำแข็งในแก้ว
คิดถึงชั่วโมงต่อไป มองกองสมบัติข้างตัว
ความวิงเวียนอื้ออึงเพิ่มขึ้นในหัว จนต้องถอนใจ
"เฮ้อ เซ็งจริงโว๊ย"
ความคิดเริ่มสับสนวุ่นวาย การเรียนหนัก รายงานหลายชิ้นที่ต้องส่งในอาทิตย์นี้ 
หนังสืออีกเป็นตั้งที่ยังไม่ได้อ่าน อีกสองอาทิตย์จะสอบ 
งานบางวิชาก็ยังจดไม่ทัน อาจารย์ที่ปรึกษาเคยเตือนเหมือนกันว่า 
หล่อนไม่ควรเลือกเรียนวรรณคดีอังกฤษควบคู่กับวิชาทางวารสาร
ซึ่งมีภาคปฏิบัติมากมาย หล่อนต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น
แต่วารุณีไม่ฟัง หล่อนเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง
ผลที่ตามมาคือหล่อนต้องหน้าดำคร่ำเคร่งอยู่กับตำราทั้งวันทั้งคืนอย่างนี้
แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่าคำพูดของเขา
คนพิเศษสำหรับหล่อน 
หลายวันก่อน เขาปฏิเสธที่จะรอไปกินข้าวด้วย ทั้ง ๆ ที่เขาไปกินข้าวกับหล่อนทุกวัน 
มันน่าน้อยใจที่เขาแคร์เพื่อนมากมายจนถึงกับตัดรอนกันได้ลงคอ
"ผมเห็นคุณคร่ำเคร่ง ดูคุณเหงา ๆ ผมก็เลยอาสาไปเป็นเพื่อนคุณ 
แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณจะผูกขาดผมอย่างนี้ ให้ผมได้อยู่กับเพื่อนผมบ้างซิวา 
ผมไม่ได้รำคาญหรอก แต่...."
เขาไม่ได้พูดต่อให้จบ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้วารุณีเจ็บช้ำ 
ก็หล่อนออกน่าเกลียดอย่างนี้ วัน ๆ ขนแต่ตำราเป็นตั้ง 
หน้าตาดำคล้ำเคร่งเครียดเพราะนอนดึกเกินไป 
เดินเร็วราวกับวิ่ง ไม่มีความนิ่มนวลใด ๆ อาจจะอย่างที่เขาเคยว่าประชดวารุณีบ่อย ๆ ก็ได้
"ดูคุณช่างมีความมั่นใจในตัวเองเสียเหลือจริง ๆ คุณเคยแคร์สายตาใครบ้างไมวา"
"แคร์ซิ ก็ฉันยังอยู่ในสังคม ฉันก็ต้องแคร์ แต่เวลาของฉันมีค่าจ้ะ ฉันจำเป็นต้องรีบร้อน 
ต้องเคร่งเครียด เพราะฉันต้องเก็บให้หมดทุกวิชา เข้าใจไหมจ๊ะ"
เขาทำหน้าหน่าย ๆ แล้ววารุณีก็มานั่งคิดว่า หล่อนควรปรับปรุงตัวเองหรือไม่ 
คำตอบที่ได้คือควรอย่างยิ่ง
ถ้าไม่อยากให้เขาจากไปร็วเกินไปนัก
วารุณีเปิดสมุดบันทึก และพบว่าวันนี้ เป็นวันเกิดของเขา
หล่อนยอมเสียเวลาเดินเลือกของให้เขาอยู่ครึ่งวันทีเดียว
แต่เขากลับไม่สนใจ เขาทำให้หล่อนเสียหน้า
วารุณีแน่ใจว่า วันนี้เป็นวันเกิดของเขา
แต่ที่เขาปฏิเสธก็คงเพื่อแสดงให้เพื่อนเขาเห็นว่า
จริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้แคร์สักนิด ก็เท่านั้น....

น้ำแข็งในแก้วตรงหน้าละลายกลายเป็นน้ำไปหมดแล้ว
วารุณีลุกขึ้น หอบสัมภาระเดินออกมาทางท่าพระจันทร์เพื่อกลับบ้าน
หล่อนทนเรียนในบรรยากาศร้อน ๆ กับความขุ่นมัวในจิตใจอย่างนี้ไม่ไหวแน่
ก่อนพ้นประตูมหาวิทยาลัย หล่อนเหลือบเห็นเขารอเข้าฟังบรรยาย
และเขาก็หันมาเห็นหล่อนเช่นกัน
วารุณีโยนถุงของขวัญเฮงซวยใบนั้นลงไปในถังขยะริมทางเดิน 
แล้วก็สะใจนักที่เห็นหน้าเขาเปลี่ยนไป

หล่อนเชิดหน้าเดินเร็ว ๆ ผ่านเขาไปโดยไม่ทักทาย
ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกับคนบ้องตื้นพรรค์นั้น
วารุณีบอกย้ำกับตัวเอง
แต่ในส่วนลึก วารุณีรู้ว่า หล่อนยังหวังว่า
เขาจะกลับมา

ที่ป้ายรถเมล์ ยิ่งร้อนไปกว่าที่โรงอาหาร
วารุณีขึ้นรถเมล์เก่าทุเรศคันหนึ่งเพื่อจะกลับบ้าน 
ควันเสียกับอากาศร้อนทำเอาหล่อนแทบคลั่ง เหนียวไปทั้งตัว 
คลื่นเหียนจนอยากอ้วก
และเมื่อคิดถึงตอนนั้น  ก็รู้สึกถึงน้ำอะไรกระเซ็นมาถูกขา
เมื่อก้มดู วารุณีแทบอ้วกออกมาจริง ๆ
เพราะยายแก่ที่นั่งข้าง ๆคายของเก่าออกมา
กลิ่นคละคลุ้งไปทั่วรถ
วารุณีลงจากรถด้วยอาการหูอื้อตาลาย 
และถึงบ้านด้วยอาการสะบักสะบอมทั้งร่างกายและจิตใจ
ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน
หลังจากอาบน้ำจนสบายตัวดีแล้ว หล่อนเหลียวซ้ายแลขวา
และคิดว่าน่าจะหาอะไรทำสักอย่าง ก่อนที่ทุกคนจะกลับถึงบ้าน
"ดูหนังสือหรือ เฮ้อ อย่าดีกว่า วันนี้เป็นวันที่แสนเซ็ง หาอะไรแก้เซ็งดีกว่า"
วารุณีเปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วคว้าขวดเหล้าบนชั้นกลับมา
พร้อมแก้วบางใสใบหนึ่งกับน้ำแข็งและน้ำเปล่าขวดหนึ่ง

น้ำสีเหลืองทองผ่านลำคอลงไปแก้วแล้วแก้วเล่า 
ความหงุดหงิดสับสนในใจเริ่มผ่อนคลาย
วารุณีลืมหนังสือเรียน ลืมอากาศร้อนอบอ้าว และลืมเขา

"กินเพื่อลืมดื่มเพื่อเมาเหล้าเพื่อโลก
สุขเพื่อโศกหนาวเพื่อร้อนนอนเพื่อฝัน
ชีวิตนี้มีค่านักคนรักกัน
ปนความฝันกับความจริงไว้สิ่งเดียว"

วารุณีพึมพำบทกลอนเก่า ๆ อย่างสดชื่น 
ความสุขที่หดหายคืนมาหาหล่อนอีกครั้ง 
หล่อนนั่งเล่นอยู่ตรงนั้น
ใครคนหนึ่งกลับมาแล้ว คงจะเป็นแม่บ้าน 
แม่บ้านถามวารุณีด้วยเสียงปกติว่า 
"คุณ กินเหล้าเหรอ"
"ใช่ ก็วารุณีคือเทวีแห่งเหล้า คนชื่อวารุณี ก็ต้องกินเหล้าน่ะนะ"
วารุณีลากเสียงยาวพลางหัวเราะเบา ๆ 
แล้วก็หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้
หล่อนฝันเห็นตัวเองเป็นสาวโสภา 
และตรงหน้านั่น เขาคนนั้นคุกเข่างอนง้อเพื่อขอคืนดี

จากนิตยสารดิฉันฉบับที่ 178ออกเมื่อ 31 กรกฎาคม 2527				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพระจันทร์เศร้า
Lovings  พระจันทร์เศร้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพระจันทร์เศร้า
Lovings  พระจันทร์เศร้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพระจันทร์เศร้า
Lovings  พระจันทร์เศร้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพระจันทร์เศร้า