23 พฤศจิกายน 2549 14:16 น.

ข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก

พีรเดช นวลสาย

ข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก!
	หลังจากเจ็บกระเสาะกระแสะมาหลายครั้งก่อนหน้า  มาระยะหลังนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันทวีหนักหน่วงเกินกว่าจะทนนิ่งเฉย  ความหดหู่แปลกประหลาดกระโจนเข้าใส่ข้าพเจ้า มันเริ่มกัดแทะจากส่วนสัมผัสตื้นเขิน ก่อนจะกร่อนกินเข้าไปยังส่วนที่ลึกล้ำกว่า ทุกค่ำคืนข้าพเจ้าต้องทนเจ็บปวดจมลึกอยู่กับฝันร้ายเดิมๆ วนเวียน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในภาพฝันข้าพเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับชายชราคนหนึ่ง เราพูดคุยกันเนิ่นนานในเนื้อหาที่ข้าพเจ้าค่อนข้างคุ้นชิน บางหนคล้ายเราถกเถียงในเรื่องที่เห็นต่าง บางครั้งคล้ายเราเออออในความเห็นพ้อง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันจะจบลงด้วยภาพความตายของเขาเสมอ
	ชายชรานอนแน่นิ่งไม่ไหวติงบนเตียงนอนเก่าๆ ริ้วรอยยับย่นรอบดวงตาที่ดูเหมือนเปียกชื้น ทำให้ข้าพเจ้าต้องก้มหน้าลงมองอย่างเพ่งพินิจ และเมื่อมองเห็นใบหน้านั้นชัดเจน ข้าพเจ้าก็จับได้ว่าชายชราผู้นั้น คือตาที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อน  เมื่อลืมตาโพลงขึ้นกลางดึก ข้าพเจ้าจะร้องไห้สะอึกสะอื้นบนความโศรกเศร้าอันไม่รู้สาเหตุ!
	ความตายของตาเกี่ยวข้องอะไรกับข้าพเจ้า?
	ความจริงแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ เป็นเวลานานหลายปีทีเดียวที่ข้าพเจ้าเดินทางออกจากบ้าน เพื่อดำเนินบนวิถีชีวิตใหม่ เริ่มต้นจากเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จนกลายเป็นพนักงานบริษัทเอกชน 2-3แห่ง ชีวิตใหม่นี้นำพาข้าพเจ้าออกมาจากชีวิตของคนอื่นๆ ในครอบครัว มโนภาพเกี่ยวกับตาจึงหยุดนิ่งอยู่แค่ภาพของชายแก่เงียบขรึมผู้จมหน้าอยู่กับผืนดินเพาะปลูกทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งเป็นวิถีที่ถูกบ่มเพาะมาแต่บรรพบุรุษ
	ชีวิตของท่านดูเหมือนจะผูกติดอยู่เท่านั้น โดยหารู้ไม่ว่ามันคือวิถีที่ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะหันหลังเดินหนีออกมา
	ข้าพเจ้าไม่เคยอยากเป็นชาวนา แม้พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือบรรพบุรุษก่อนหน้านั้นทุกคนล้วนเกิดและตายในสถานภาพชาวนา และแม้จะมีเลือดชาวนาสูบฉีดอยู่ภายในตัวอย่างเต็มเปี่ยม แต่ข้าพเจ้าไม่เคยมีความคิดจะสืบทอดวิถีชีวิตอันซ้ำซากแร้นแค้นนี้
	บนความคิดดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงมุ่งมั่นและดึงดันให้ได้เรียนต่อแทนการยอมจำนนกับสภาพขาดแคลนของครอบครัว แต่ความดึงดันนั้นก็นำมาซึ่งภาระอันหนักอึ้ง พ่อกับแม่จำใจตกอยู่ในสถานะที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต นั่นคือ ลูกหนี้ เพื่อให้ได้เงินมาเป็นค่าลงทะเบียน ค่าหอพัก ค่าใช้จ่ายรายวันอีกจิปาถะของข้าพเจ้า ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ต่อเมื่อสถานการณ์ตีบตันยิ่งขึ้น พ่อกับแม่ตัดสินใจจะแบ่งขายที่นาสักแปลงหนึ่ง โดยคิดสะระตะแล้วว่า เงินที่ได้เพียงพอจะส่งเสียให้ข้าพเจ้าเรียนไปจนจบชั้นปริญญาตรี แต่กว่าจะตกลงกันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย เป็นตาที่ค้านเสียงคัดเสียงแข็ง หัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่ยอมให้ขาย
นาแปลงนี้หว่านไถปลูกข้าวเลี้ยงพวกเรามาหลายชั่วอายุคน จะมาย่อยยับด้วยน้ำมือคนรุ่นนี้ ให้กูตายเสียก่อนเถอะ พวกมึงจะทำอะไรก็ค่อยทำ 
	แต่คำคัดค้านของตาก็เป็นได้แค่คันดินเล็กๆ ไม่อาจทานกระแสน้ำหลากเชี่ยว  หรือในใจลึกๆ แล้วท่านเองคงอยากจะให้ลูกหลานเรียนจบชั้นปริญญาไว้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสักคนอยู่เหมือนกัน สุดท้ายจึงจำยอมให้พ่อกับแม่แบ่งขายที่นาแปลงนั้นไป
	คนซื้อเป็นผู้ค่อนข้างมีอันจะกินในหมู่บ้านเดียวกัน ชั่วไม่นานนักเขาก็เปลี่ยนที่นาเตียนโล่งเป็นโรงเรือนเลี้ยงหมู ล้อมรั้วคอนกรีตเอาไว้แน่นหนา มันได้กลายเป็นที่ดินของคนอื่นอย่างเต็มตัว ไม่ใช่ที่ที่เราจะผ่านเข้าออกได้เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป  ถึงอย่างไรเราก็ยังมีที่นาแปลงใหญ่ส่วนที่เหลือให้ได้ไถหว่านปลูกข้าวกิน ถ้าฝนไม่แล้งยังไงก็พอกินไม่มีอด
	ตาดูเงียบไปถนัด ท่านใช้เวลาอยู่กับผืนดินที่เหลือนานกว่าก่อน บางทีมืดค่ำจนเดือนหงายตรงหัวจึงแบกจอบเดินกลับเข้าบ้าน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงถอนหายใจบ่อยครั้งยามท่านนั่งมวนตองสูบยาที่นอกชานบ้าน ดวงตากร่อนกร้านคู่นั้นมองออกไปในความมืดของค่ำคืนอย่างเลื่อนลอย ไม่มีใครรู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรในใจ และไม่รู้จนกระทั่งท่านจากไปอย่างสงบในเช้าวันหนึ่ง แม่ร้องไห้จนตาแดงก่ำ พ่อได้แต่นิ่งเงียบ คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะไม่พ้นยาย ข้าพเจ้าเห็นท่านนั่งนิ่งมองร่างไร้ลมหายใจของตาเสมือนกำลังตัดพ้อ
ปีรุ่งขึ้นหลังการจากไปของตาข้าพเจ้าก็เรียนจบ วันรับปริญญาแม่ถือรูปถ่ายของตาไปด้วย อุปทานบางอย่างทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่ารูปใบนั้นกำลังยิ้มอย่างภาคภูมิ
นี่ไง! ปริญญาบัตร  ผมทำสำเร็จแล้ว!  ข้าพเจ้าลิงโลดในใจ


ข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก!
คืนนี้ก็เช่นกันข้าพเจ้าฝันว่ากำลังเผชิญหน้ากับชายชราในชุดเสื้อม่อฮ่อมเก่าซีด กางเกงผ้าสีดำด้านมีรอยขาดวิ่นรอยปะชุนอยู่ทั่ว  มือข้างหนึ่งดูเหมือนจะถือตะกร้าไม้ไผ่สานที่มีข้าวของอยู่เต็มในนั้น  ใบหน้าของเขาดูเลือนลางเหมือนเช่นทุกครั้ง
กลับมาแล้วหรือ? เขาเอ่ยถามข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงกังวาน
ใช่! กลับมาแล้ว ผมมีนี่มาด้วย ข้าพเจ้าชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นอวดต่อหน้าเขา เพิ่งสังเกตว่าตัวเองสวมชุดครุยยาวปรกเข่าอยู่ด้วย
ปริญญา  ผมได้มันมาแล้ว
ชายชราอมยิ้ม ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างนั้น แม้จะมองเห็นไม่ถนัดนัก
รู้แล้วล่ะ...เก็บไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ต้องไปทำเรื่องสำคัญกันก่อน เขาหันหลังเดินผละไปแทบจะทันที
ตามมาสิ เขาหยุดเดิน หันกลับมาเรียกเมื่อเห็นข้าพเจ้าได้แต่ยืนนิ่ง
ไปไหน--อะไรคือเรื่องสำคัญ?
นั่นไงเล่า ชายชราชี้มือไปทางด้านหนึ่ง ม่านหมอกค่อยๆ แหวกตัวออกจนมองเห็นสะเดาแก่ต้นใหญ่บนเนินดินเตี้ยๆ กลางผืนนา ตรงโคนต้นสะเดามีศาลเพียงตาเล็กๆ  เก่าคร่ำจนสังกะสีที่ใช้มุงหลังคาถูกขี้สนิมกัดกินผุกร่อนเป็นรูๆ
เร็วสิ รีบตามมา ปีนี้ยังไม่ได้ไหว้ท่านเลย ฝนจวนจะมาอยู่รอมร่ออยู่แล้ว ชายชราว่าพลางเดินนำไปยังเนินดินนั้น
เดี๋ยวก่อน! ไหว้ใคร--ไหว้ทำไม?
ชายชราถึงชะงัก หันกลับมามองหน้าข้าพเจ้าด้วยแววตาขุ่นเคือง
ถามได้  ก็ไหว้ผีไร่ผีนาน่ะสิ ทำกันมาทุกปีจำไม่ได้รึไง!
ไป! รีบไปกัน สายแล้ว! เขาคว้าข้อมือข้าพเจ้าฉุดให้เดินตาม จะรอให้มีใครเจ็บไข้ได้ป่วย หรือรอให้ข้าวนาปลาน้อยก่อนรึไง!
ชายชราคุกเข่าลงตรงตีนเนินดินด้านหน้าศาลเพียงตา วางตะกร้าไว้ข้างตัว แล้วก้มกราบลงกับพื้นดินสีดำ จากนั้นจึงจัดแจงเอาข้าวของออกจากตะกร้า เท่าที่เห็นมีกระติ๊บข้าวเหนียวเล็กๆ ดอกไม้ธูปเทียน ยาสูบมวนใบตอง เหล้าขาวครึ่งขวดและไก่ต้มสุกขาวซีดหนึ่งตัว  มือสั่นเทาบรรจงจุดธูปเทียนพนมไหว้อีกรอบพลางทำปากขมุบขมิบเหมือนท่องบทสวดอะไรสักอย่าง  ท่าทางนั้นดูสงบจนข้าพเจ้ารู้สึกเย็นเยือก
เอ้า! นั่งลงสิ ยืนค้ำหัวอยู่ทำไม?!
ข้าพเจ้าลังเล
เอาสิ! นั่งลงไหว้ด้วยกัน ท่านจะได้คุ้มครองปัดเป่าเจ็บไข้ไม่ให้มาแผ้วพาน
ไม่ล่ะ! ข้าพเจ้าพูดออกไปเหมือนพลั้งปาก
อะไรกัน? แต่ไหนแต่ไรมาก็ว่านอนสอนง่ายมาตลอดนี่  หรือว่าเดี๋ยวนี้ล่ำเรียนจบมาสูงจนไหว้ท่านไม่ได้อีกแล้ว อย่าลืมสิว่าที่ได้ร่ำได้เรียนนี่ก็เพราะท่านช่วยไม่ใช่หรอกหรือ! 
เขาลุกขึ้น ก้าวเท้ามายืนตรงหน้าข้าพเจ้า
ตอนยังเด็กน่ะ ถ้าท่านไม่ช่วยไว้ป่านนี้ตายไปแล้วรู้ไหม ลืมแล้วหรือบุญคุณของท่านน่ะ?
ตอนเด็ก ข้าพเจ้าเคยป่วยหนักอยู่ครั้งหนึ่ง ตัวร้อนเป็นไฟร้องไห้ไม่หยุดหย่อน พ่อกับแม่พาไปหาหมอที่โรงพยาบาลในอำเภอ หมอพวกนั้นบอกว่าเป็นไข้หวัดปกติให้ยามากินแต่อาการไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ตาเห็นว่าชักไม่เข้าทีรีบอุ้มมาไหว้ผีไร่ผีนาบนบานขอให้ท่านช่วยปัดเป่าเจ็บไข้ถ้าหายจะเอาไก่แม่สาวต้มสุกมาแก้บน เท่านั้นล่ะอาการก็ดีขึ้นราวปาฏิหาริย์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกัน เรื่องนี้แม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังบ่อยๆ ท่านว่าถ้าไม่ได้ผีไร่ผีนาช่วยเอาไว้ ป่านนี้ข้าพเจ้าอาจจะป่วยตายไปแล้วก็ได้
ลืมแล้วใช่ไหมบุญคุณของท่านที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้น่ะ--หรือว่าโรงเรียนเขาสอนให้ลืมบุญคุณของผีไร่ผีนาไปหมดแล้ว!
ไม่ใช่อย่างนั้น
แล้วมันยังไง?! น้ำเสียงเขาดุดัน
โรงเรียนเขาสอนให้เชื่อในเหตุในผล ข้าพเจ้าตอบ  ทุกอย่างที่โรงเรียนสอนน่ะมีตำราอ้างอิง เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ พิสูจน์ได้   รู้หรือเปล่าว่าทุกวันนี้โลกเขาก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว คนรุ่นใหม่เขาเชื่อวิทยาศาสตร์ คิดแบบวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครมัวมางมงายกับความเชื่อที่ไร้เหตุไร้ผลหรอก
ชายชรานิ่งเงียบ ข้าพเจ้าจึงเหมือนยิ่งได้ใจ
ตอนเด็กที่หายป่วยได้นั่นน่ะ ไม่คิดหรือว่าเป็นเพราะยาที่หมอเขาให้มา ไม่ได้เกิดจากปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติอะไรอย่างที่เข้าใจกัน ถ้าไม่ได้ยาหมอตั้งแต่แรกป่านนี้อาจจะตายไปแล้วก็ได้   เรื่องข้าวปลานั่นก็เหมือนกัน  เมื่อไหร่จะเลิกเชื่อว่าผีไร่ผีนาเป็นคนคอยช่วยให้ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์กันซะที  ข้าวจะดีไม่ดีมันขึ้นอยู่กับดินกับปุ๋ย กับฤดูกาล ลองถ้าฝนแล้งดูสิ ผีไร่ผีนาหน้าไหนจะมาช่วยได้
หยุดเถอะ! ชายชรารีบปรามและพูดต่อเสียงสลด  อย่าพูดต่อไปอีกเลย ข้าผิดเองแหละที่ยอมให้พ่อแม่เอ็งขายที่นาส่งให้เรียนต่อตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นเอ็งคงไม่กลายเป็นแบบนี้
ดูเหมือนเขากำลังสะอื้นไห้  ข้าพเจ้าพลอยรู้สึกสลดตาม นึกอยากจะกล่าวคำขอโทษ แต่แล้วทันใดนั้นหมอกควันสีขาวก็ก่อตัวขึ้นหนาทึบจนกลืนร่างชายชราหายไป  ชั่วอึดใจถัดมาหมอกควันเหล่านั้นก็เริ่มจางหายปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอย่างสงบบนเตียงนอนเก่าคร่ำ ข้าพเจ้าค่อยๆ หยั่งเท้าเดินเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้ จนเมื่อใกล้มากพอเห็นใบหน้าเจ้าของร่างได้ชัดเจน ข้าพเจ้าถึงกับตัวแข็งทื่อ
ร่างที่นอนนิ่งอยู่นั้น คือ ตาที่ตายจากไปหลายปีแล้ว!!
ทันใด ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นจากฝัน เหงื่อกาฬซึมเปียกโชกแต่กลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งตัว วินาทีนั้นความโศกเศร้าอันไร้สาเหตุแผ่ซ่านชำแรกเข้าไปยังความรู้สึกอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้านอนสะอื้นร่ำไห้กับภาพฝันอันแจ่มชัดราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นจริงนั้น


ข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก!
ไม่เคยมีเช้าไหนเลยที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตื่นอย่างเต็มตื่น  ความอิดโรยแสดงออกมาชัดเจนทางดวงตา  แขนขาอ่อนแรงราวแบกอาการเจ็บป่วยมาแรมเดือน สภาพของข้าพเจ้าในทุกเช้าเหมือนกับร่างอันเปล่ากลวงไร้ซึ่งชีวิต เพียงแต่ไม่มีใครจะใส่ใจสังเกตเท่านั้นคนทั่วไปจึงไม่เห็นถึงความผิดปกติที่กำลังดำเนินอยู่อย่างเงียบเชียบ หรือไม่ผู้คนรอบข้างข้าพเจ้าก็อาจจะกำลังตกอยู่ในสภาพอย่างเดียวกันจึงไม่ปรากฏความแตกต่างให้เห็น
เช้าของวันอันวุ่นวายนี้ก็เช่นกัน ข้าพเจ้าตะกายลุกขึ้นจากที่นอนด้วยแรงกายอันอิดโรยราวกับไม่ได้หลับมานานนับเดือน ความเหนื่อยหน่ายนั้นพลานุภาพรุนแรงแต่ก็ยังนับว่าอ่อนหัดเมื่อเทียบกับความหิวโหย ปากท้องเร่งเร้าให้ข้าพเจ้าลุกจากเตียงเพื่อออกไปสู่การงาน สิ่งที่ข้าพเจ้าทำเป็นเสมือนเรื่องชวนขันอันขมขื่น มันคือการนั่งจมปรักอยู่หน้ากล่องไฟฟ้าทรงสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้าจรดเย็นหรือถึงดึกดื่นในบ่อยครั้งเพื่อที่สุดท้ายจะได้มาซึ่งเงินที่จะถูกนำไปแลกเปลี่ยนเป็นข้าวกินประทังความหิว แทนที่จะเป็นการลงแรงหว่านไถปลูกข้าวกินตามแบบฉบับเลือดเนื้อชาวนาที่บรรพบุรุษสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
ข้าพเจ้าเองที่มีความเชื่อว่า อาชีพชาวนาเป็นภาระอันหนักอึ้ง เป็นการงานอันน่าเบื่อหน่าย ต้องทนอาบเหงื่อต่างน้ำ อิดโรยท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุและไอดินอันคุกรุ่น เป็นการใช้แรงกายอย่างโง่เขลา ก็มีใครทำนาแล้วร่ำรวยเป็นเศรษฐีบ้างเล่า มีแต่ย่ำอยู่กับที่ไม่ก็ยิ่งยากจนลง อย่างตาของข้าพเจ้านั่นเป็นชาวนานับแต่วันที่เกิดกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตไม่เคยเห็นว่าจะมีเงินทองหรือร่ำรวยอะไรขึ้นมาได้ บ้านก็ยังเป็นเรือนไม้เก่าๆ จวนเจียนล้มครืนเมื่อฤดูฝนฟ้ามาเยือน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องอำนวยความสะดวก ยังคงเป็นคนที่ถูกเรียกรวมว่าคนจนอย่างไม่มีท่าทีว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเก่าก่อน ทั้งที่ท่านทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายลงไปในผืนดินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนแทบจะเรียกได้ว่า ลมหายใจของท่านแทรกซึมอยู่ในทุกอณูเนื้อดิน จิตวิญญาณของท่านกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับที่นาผืนนี้ก็ว่าได้ แต่สิ่งตอบแทนที่ท่านได้รับนั้นน้อยนิดยิ่งนักในความรู้สึกของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าพาตัวเองออกจากห้องเช่าคับแคบเดินเท้าเลื่อนลอยไปยังปากซอยเพื่อขึ้นรถเมล์ไปที่ทำงาน มันกินเวลาประมาณ 45 นาที ทั้งที่ระยะทางไม่น่าจะเกิน 5 กิโลเมตร ความติดขัดบนถนนเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นชินและยอมจำนน ไม่ว่าจะปลีกตัวอยู่ในรถยนต์หรูหราราคาหลายล้าน หรือเบียดเสียดกันบนรถเมล์โดยสารสาธารณะ เวลาอันสูญเปล่าชวนอึดอัดเหล่านี้หลายคนพยายามหาอะไรทำเพื่อกลบเกลื่อนความเร่งรีบ หลายคนปิดกั้นโลกภายนอกด้วยเปลือกตาอันหนักอึ้ง เพื่อจะไม่ต้องรับรู้ถึงความเรื้อรังพังเพของสิ่งต่างๆ รอบตัว
นี่คือชีวิตที่ข้าพเจ้าเลือก ชีวิตที่จะไม่ต้องสืบทอดเอาความเป็นชาวนามาแบกรับไว้เป็นภาระบนบ่าทั้งสองข้าง ชีวิตที่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าจะเป็นการปลดแอกให้แก่ตัวเองในเบื้องแรกเมื่อครั้งเริ่มทำความรู้จักกับความศิวิไลซ์ ก่อนจะมายืนกระสับกระส่ายอยู่บนทางแยกแห่งความลังเลและสิ้นหวัง
การตัดสินใจของข้าพเจ้าเกิดขึ้นอย่างง่ายดายบนความฝักไฝ่ชีวิตสุขสบายรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นานา ตามครรลองแห่งกระแสทุนนิยม รูปแบบชีวิตสำเร็จรูปเชื้อชวนผู้คนให้หลงใหลผ่านจอทีวีทุกเมื่อเชื่อวัน โดยไม่มีใครแคลงใจถึงความฟุ้งเฟ้อที่แฝงเร้นอยู่ในนั้น ข้าพเจ้ามีทีวีจอแบนขนาด 29 นิ้ว มีเครื่องเล่น   ดีวีดี ตู้เย็น แอร์คอนดิชั่น โทรศัพท์มือถือ สารพัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่คนหนุ่มสาวร่วมยุคสมัยใฝ่หา  แต่มันล้วนแลกมาด้วยการเป็นหนี้ระบบผ่อนจ่ายรายเดือนที่ต้องแบกรับไปพร้อมกับความบันเทิงอันฉาบฉวย ข้าพเจ้าใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ พูดคุยพบปะกับวัตถุไร้ชีวิตปราศจากจิตวิญญาณ
วิทยุบนรถเมล์โดยสารฉุดข้าพเจ้าจากปรักแห่งความคิดด้วยรายงานข่าวเกี่ยวกับจันทรุปราคาที่จะเกิดขึ้นในค่ำวันนี้ เราจะสามารถมองเห็นเงามืดบนดวงจันทร์ได้อย่างชัดเจนเนื่องจากท้องฟ้าจะปลอดโปร่งไม่มีกลุ่มเมฆฝนบดบัง  จบรายงานข่าวสั้นผู้จัดรายการเปิดเพลง เดือนเพ็ญ คล้ายจงใจให้เข้ากับสถานการณ์  ข้าพเจ้าหัวเราะเบาๆ บนความรู้สึกอันบอกไม่ถูก  เหมือนความขัดแย้งบางอย่างกำลังโหมกระพืออยู่ภายใน  ผู้คนบนรถเมล์ไม่มีใครแสดงท่าทีสนใจต่อข่าวที่เพิ่งผ่านหูไป ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้ยินมันหรือเปล่า แม้แต่บทเพลงขับขานถึงจิตวิญญาณแห่งท้องทุ่งที่กำลังบรรเลงอยู่นี้ พวกเขาก็อาจไม่ใส่ใจจะสดับรับฟัง  ความเหนื่อยหน่ายง่วงเหงาจึงยิ้มร่าขณะอุ้งเท้าของมันกดหัวพวกเขาให้จมลึกลงไปในวังวนแห่งชีวิตประจำวัน
ความคิดของข้าพเจ้าหวนกลับสู่อดีตกาลอีกครั้งหนึ่งในร่องลึกรอยเกวียนแห่งปฐมวัย คืนที่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นท่ามกลางการโอบล้อมของเงื้อมเงาแห่งขุนเขา  ข้าพเจ้าถูกปลุกจากที่นอนโดยยายและตาซึ่งใบหน้าเปื้อนอาการตื่นตระหนก อุ้งมืออันสากแข็งฉุดข้าพเจ้าออกมายืนงงงวยบนลานดินหน้าบ้าน
เสียงปืนดังขึ้นฟ้า ต่อกันไกลออกไปเป็นทอดๆ
เอ้า! ยายยัดท่อนไม้ขนาดเท่าลำอ้อยใส่มือข้าพเจ้า ไปช่วยกันเคาะต้นไม้มันจะได้ออกลูกดกๆ จะได้มีกินกันไม่อด
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันเอ่ยปากถามอะไร ยายก็วิ่งลอดใต้ถุนไปทางสวนหลังบ้าน  เสียงเคาะโป้กๆ ดังระงมมาจากรอบทิศทางทั้งใกล้ไกล ข้าพเจ้ารีบวิ่งตามหลังยายไปด้วยนึกสนุก  ไล่เคาะไปหมดทุกต้นไม่ว่ามะพร้าว มะกรูด มะนาว น้อยหน่า จนหวิดโดนลูกมะตูมหล่นใส่หัว เคาะต้นอะไรก็จะตะโกนบอกมันด้วยว่า กบกินเดือนอย่าตื่น ตกใจ  ขอให้ออกลูกดกๆ
กว่าจะวิ่งเคาะกันครบทุกต้นเล่นเอาทุกคนเหนื่อยหอบกันไปเลย เสร็จแล้วยายกับตาพากันมายืนดูดวงจันทร์ที่ลานบ้าน
เริ่มคายแล้ว ตาว่า ขณะแหงนหน้ามองค้างอยู่
อือ คงกินอิ่มแล้ว ยายอมยิ้ม
เกิดอะไรขึ้น? ข้าพเจ้ารีบถาม
นั่นล่ะ กบกินเดือน ยายชี้มือไปที่ดวงจันทร์ซึ่งมีเงามืดทาบทับอยู่เกือบมิดทั้งดวง มันกินอิ่มแล้ว ตอนนี้กำลังค่อยๆ คายออกมา
ยายบอกว่า ที่ดวงจันทร์แหว่งไปก็เพราะโดนกบมันกิน  กบมันอยู่บนท้องฟ้านั่นตั้งแต่ครั้งที่น้ำท่วมฟ้าเมื่อนานมาแล้ว และที่เราต้องเคาะต้นไม้ก็เพื่อไม่ให้พวกมันตกอกตกใจจนพากันไม่ออกดอกออกผล ข้าพเจ้าได้คำอธิบายเพียงเท่านั้น มันเป็นคำอธิบายซึ่งตกทอดมาจากปากของยายทวดมาอยู่ที่ปากของยาย รอวันถ่ายทอดไปยังปากของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน
ตากับยายไม่รู้หรอกว่าความเชื่อนี้จะตายไปพร้อมกับอายุขัยของท่าน  เพราะลูกหลานได้ถูกโรงเรียนสอนให้เชื่ออีกอย่างหนึ่ง เป็นความเชื่อใหม่ที่เดินทางมาไกลจากโลกฟากตะวันตก  เป็นความเชื่อที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนรุ่นหลังให้เป็นไปในแบบที่ท่านไม่อาจจะคิดฝันถึงได้  ข้าพเจ้าเองก็ละทิ้งความเชื่อของตายายเพื่อพันธนาการตัวเองไว้กับตำราของตะวันตก  แม้ว่าทั้งสองความเชื่อนี้จะยังคงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็นความจริงด้วยตาตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพลงเดือนเพ็ญจบลงพร้อมๆ กับรถเมล์ได้สัญญาณไฟเขียวให้ขยับเคลื่อนที่ไปข้างหน้า  บางคนบนรถยกหน้าขึ้นมามองแว่บหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่ารถขยับได้แล้ว  ก่อนจะซุกซ่อนตัวเองลงสู่หลืบลับส่วนตัวอีกครั้ง  บางคนยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงอาศัยเปลือกตาอันหนักอึ้งเป็นม่านกำบัง  ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกเพียงว่ากำลังมองดูคนผู้เหนื่อยหน่ายแต่กลับรู้สึกลึกลงไปในความเจ็บป่วยของจิตวิญญาณแห่งพวกเขา โดยเฉพาะของข้าพเจ้าเองนั้นหากมีปีกมันคงโบยบินไปสู่ขอบฟ้าอันแสนไกลและไม่ย้อนกลับมาอีกเลย
ข้าพเจ้าพาร่างกายอันทรุดโทรมมาถึงที่ทำงานในเวลาที่สายกว่าเวลาเข้างานปกติเล็กน้อย  ตะเกียกตะกายเดินขึ้นบันไดตรงไปยังโต๊ะทำงาน  มันอ้าแขนต้อนรับด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัยแห่งการเยาะหยัน ราวต้องการจะบอกว่ามันกับข้าพเจ้าไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลย เราทั้งคู่ต่างก็เป็นเครื่องมือของทุนนิยม เป็นเครื่องมือสร้างรายได้แก่นายทุนผู้บูชาอำนาจแห่งเงินตราและวัตถุ  ที่ๆ เราอยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากก้นบึ้งของหลุม    พรางที่ปกปิดปากหลุมเอาไว้ด้วยค่าตอบแทนอันเย้ายวน
ข้าพเจ้าทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะทำงาน เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และลงมือเคาะแป้นพิมพ์...

รถยนต์โดยสารปรับอากาศขยับหลุดพ้นจากเขตเมืองหลวงทะยานไปบนถนนโล่งกว้างที่ทอดยาวสู่จุดหมายแสนไกลเบื้องหน้า  จุดหมายปลายทางอันเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นสำหรับข้าพเจ้า  มันคือ บ้าน
บ้านที่ไม่ได้มีความหมายเพียงเป็นที่อยู่อาศัย แต่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต  เป็นที่พำนักอันแท้จริงของจิตวิญญาณที่ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของคนรุ่นปู่ย่าตายาย  แม้การกลับบ้านครั้งนี้จะเป็นการกลับไปแบบชั่วคราว  แต่ข้าพเจ้าก็ยังหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะได้กลับไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่นอย่างถาวร
ข้าพเจ้าปิดเปลือกตาลงสูดหายใจลึกยาว...แทบจะได้กลิ่นดิน กลิ่นหญ้าแทรกซึมเข้ามากับไอเย็นของเครื่องปรับอากาศ				
22 พฤศจิกายน 2549 19:56 น.

สมบัติของสมบัติ

พีรเดช นวลสาย

เมื่อม่านสีดำโรยตัวเข้ามาแทนที่แสงสุดท้ายบนโค้งขอบฟ้า ดวงดาวใหญ่น้อยทะยอยออกมากระพริบแสงประปราย คือสัญญาณเริ่มต้นการทำงานประจำวันของเขา
     สมบัติ บุญรักษา  ชายหนุ่มวัยต้นสามสิบที่ครั้งหนึ่งตัดสินใจเดินทางด้วยรถไฟชำรุดจากดินแดนที่ราบสูงอันแร้นแค้นมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เมืองที่คนการศึกษาน้อยอย่างเขาปักใจเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของความเจริญ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการอัดแน่นอยู่ในมหานครที่ไม่เคยหลับไหลแห่งนี้  ด้วยความหวังเปี่ยมล้นว่าจะสามารถแบ่งปันส่วนเสี้ยวศิวิไลซ์เล็กๆ น้อยๆ มาปรนเปรอแก่ตัวเองได้บ้าง
      แต่ความรู้แค่ ป. 6 ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก สมบัติเริ่มต้นชีวิตในกรุงด้วยการเป็นลูกจ้างรายวันในแค้มป์รับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่ง รายได้สุทธิวันละร้อยยี่สิบบาท ไม่มากไม่น้อยสำหรับคนปากเดียวท้องเดียวอย่างเขา ตกเย็นก็รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ คนงานด้วยกันนั่งก๊งเหล้าขาวแก้ปวดแก้เมื่อย ตอนนั้นยังหนุ่มแน่นความคึกคะนองมันมากโขอยู่ พอกรึ่มได้ที่ก็ส่งเสียงดังเอะอะจนไปเตะหูเตะตาจิ๊กโก๋เจ้าถิ่นเข้า กูก็เจ๋งมึงก็แจ๋วตกลงกันไม่ได้ก็ต้องใช้มือ-ตีนเป็นเครื่องตัดสิน สมบัติไม่ใช่คนใจเล็กเหมือนตัว  เขาคนเดียวอัดพวกนั้นหมอบไปสาม โดยที่เพื่อนได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน โตมาเดินได้ก็ช่วยพ่อแม่แบกมัดกล้า แบกคราดแบกไถ ทำนากลางแดดร้อนเปรี้ยง ครั้นเข้ากรุงก็ไม่พ้นแบกปูนแบกทรายจนร่างกายกำยำอย่างกับนักมวยอาชีพ  แต่บทสรุปไม่ค่อยสวยหรูนักสมบัติถูกจับเข้าห้องขังฐานทะเลาะวิวาทนอนตบยุงเล่นอยู่ถึง 2 คืนเต็มๆ
      พอออกมาโฟร์แมนเขาก็บอกไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว เขาไม่ชอบเลี้ยงนักเลง ชอบชกต่อยก็ต้องไปอยู่ที่อื่น สมบัติไม่ปริปากเถียงแม้แต่คำเดียว ผิดก็คือผิดแก้ตัวไปก็เท่านั้น  ความจริงเขาไม่ใช่คนช่างพูด ที่มีเรื่องกันวันนั้นก็เกิดจากเพื่อนร่วมวงเหล้าที่ปากไม่อยู่สุข ไปเที่ยวแซวเมียชาวบ้านจนเกิดเรื่องขึ้น สมบัติเป็นคนเอาเพื่อนเอาฝูงมีหรือที่เกิดเรื่องแล้วเขาจะไม่ช่วยเพื่อน แต่การณ์กลับเป็นว่าเขาเป็นคนก่อเรื่องซะเอง
      ไม่ทำงานก่อสร้างแล้วจะไปทำอะไรกิน เขาไปสมัครแค้มป์อื่นซึ่งอยู่กันคนละฟากมุมเมือง ทุกอย่างทำท่าจะไปได้สวยแต่แล้วก็ไม่วายเกิดเรื่องขึ้นอีกจนได้
แต่คราวนี้เรื่องไม่ได้เกิดที่ตัวเขาเองหรอก มันเกิดกับเถ้าแก่ผู้รับเหมา อยู่ๆ เขาก็หยุดการก่อสร้างไปเฉยๆ ปลดลูกจ้างทุกคน ไม่ว่าจะเป็นโฟร์แมน ช่าง แม่บ้าน รวมทั้งคนงานอย่างพวกเขา ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างกระทันหันเหลือเกิน กระทันหันจนเขาไม่ทันได้รับเงินค่าแรงงวดสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าสาเหตุจริงๆ เกิดจากอะไร เขาได้ยินมาคร่าวๆ แค่ว่าเพราะ ฟองสบู่แตก
เอ?...ว่าแต่ไอ้ฟองสบู่แตกเนี่ย มันมาเกี่ยวกับค่าแรงวันละร้อยยี่สิบบาทของเขาได้ยังไง?

     สมบัติไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดอะไรมากมาย เขาต้องหางานใหม่ให้ได้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นมีหวังอดตายแน่ๆ ครั้นจะบ่ายหน้ากลับบ้านนอกก็ไม่รู้จะไปทำอะไรดี ไร่นาที่เคยมีก็ถูกนายทุนยึดเอาไปครอบครองหมดแล้ว นับแต่พ่อเอาฉโนดไปจำนองเอาเงินออกมาเพื่อเดินเรื่องวิ่งเต้นส่งเขาไปขายแรงเมืองนอก เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกันที่ไปก่อนหน้าแค่ปีเดียวมันก็ใช้หนี้คืนเขาหมด แถมยังมีเงินสร้างบ้านใหม่หลังใหญ่กว่าเก่าเป็นกอง บางคนถอยรถกระบะใหม่เอี่ยมมาขับ มีตู้เย็น มีเครื่องเสียงสเตอริโอเปิดเพลง   หมอลำงัน(ฉลอง)กันเสียงดังจนน่าอิจฉา
พ่อไม่ได้เห่อของพวกนั้นอย่างชาวบ้านคนอื่นหรอก เหตุผลของแกออกจะเข้าท่าด้วยซ้ำ แกบอกอยากวางอนาคตให้ลูกชาย แต่เพราะไม่มีทรัพย์สมบัติที่ไหนจะให้มัน หนังสือหนังหาก็คงส่งเสียให้เรียนไม่ได้มากไปกว่านี้  และมันก็โตขึ้นทุกวันเกิดวันหนึ่งไปรักไปชอบผู้หญิงอยากมีเมียขึ้นมาจะเอาเงินที่ไหนไปตบแต่งเขา ถ้าได้ไปนอกมันยังจะพอมีทุนสักก้อน เหลือค่าสินสอดก็เก็บไว้ใช้เป็นทุนเป็นรอนกันได้
     แต่ตั้งตารอจนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะได้ขึ้นเครื่องบินไปขายแรงยังต่างแดนอย่างที่หวัง เงินรึก็วางไปหมดแล้ว สรุปง่ายๆ ว่าถูกหลอก เงินตั้งหลายหมื่นจะเอาที่ไหนไปใช้ พ่อนอนเอามือก่ายหน้าผากทุกวัน นี่ถ้าแม่ยังอยู่คงไม่วายกินไม่ได้นอนไม่หลับไปด้วยกันอีกคนแน่ๆ
ที่นา ที่บ้านโดนยึดได้แค่ปีกว่าๆ พ่อก็ล้มเจ็บและสิ้นใจในกระท่อมเล็กๆ ที่ไปขออาศัยปลูกบนที่ดินของญาติ เสร็จงานศพที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย สมบัติตั้งใจแน่วแน่ที่จะทิ้งอดีตอันขมขื่นไว้เบื้องหลัง เขาจะเข้ากรุงมาหางานทำและจะไม่หันหลังกลับเด็ดขาดหากยังไม่สามารถเก็บเงินได้มากพอที่จะไปขอซื้อที่ดินที่เคยเป็นของพ่อคืนมาจากเงื้อมมือนายทุน มันจะแพงกว่าเดิมสิบเท่าร้อยเท่าก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น  ญาติๆ พากันทัดทานและชักชวนให้อยู่ทำนาด้วยกัน ยังพอมีข้าวให้กินมีบ้านให้อยู่หลบแดดหลบฝน แต่สมบัติตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

     เร่ทำงานก่อสร้างทั่วกรุงอยู่พักใหญ่ สมบัติก็คิดว่าถึงเวลาต้องหางานอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งทำได้แล้ว ถึงเวลานี้เขาไม่ใช่คนปากเดียวท้องเดียวอีกต่อไป เขามีอีกหนึ่งปากที่ต้องดูแล เธอชื่อ ฝาง เป็นเด็กสาวตาคมจากภาคเหนือ เจอกันในแค้มป์ก่อสร้างแทบทุกวัน  แจกขนมจีบอยู่พักใหญ่จนความรักสุกงอมได้ที่ทั้งคู่ก็หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กินด้วยกัน  เงินเก็บเล็กน้อยติดตัวเพียงพอให้หาห้องเช่าเล็กๆ ถูกๆ อยู่ไปก่อนได้ จากนั้นจะขยับขยายยังไงก็ค่อยว่ากันทีหลัง
งานใหม่ของเขาใช้แรงน้อยลง แต่ต้องอาศัยความอดทนมากขึ้น เพราะต้องถ่างตาตื่นเวลาที่คนอื่นเขานอนหลับพักผ่อนกัน ไม่ผิดหรอกเขาเป็น ยาม หรือจะกระแดะเรียกให้รื่นรูหูว่า รปภ. ก็ได้ความหมายไม่ต่างกัน บริษัทที่รับเขาเข้าทำงานเป็นบริษัทขนาดกลาง ทำอะไรก็ไม่รู้มีคนเข้าออกทั้งวันตกกลางคืนก็เห็นอยู่กันจนดึกดื่น แต่อะไรก็ไม่สำคัญหรอกขอให้จ่ายเงินเดือน 4,500 บาทของเขาให้ตรงเวลาทุกๆ เดือนก็พอแล้ว เพราะมันคือรายได้ทางเดียวที่ต้องเอาไปจัดสรรปันส่วนจับจ่ายให้ใครต่อใครอีกหลายคน ไหนจะเจ้าของห้องเช่าที่จะเจอหน้ากันแค่เดือนละครั้ง ไหนจะเถ้าแก่ร้านของชำใจดีที่ให้เซ็นข้าวของจนบัญชียาวเฟื้อยยิ่งกว่าหางว่าว แล้วไหนจะเมียสุดที่รักที่เป็นเหมือนธนาคารส่วนตัวบังคับให้ฝากทุกเดือนโดยห้ามถอนเด็ดขาด
     แล้วความสุขของสมบัติจะอยู่ตรงไหน  หมายถึงเรื่องสนุกซุกซนแบบที่ผู้ชายอกสามศอกทุกคนชอบกัน  ในเมื่อเขาพกเงินติดตัวไปทำงานแค่วันละ 30 บาท ไม่ขาดไม่เกินแถมตอนกลับบ้านยังถูกซักละเอียดยิบว่าจับจ่ายอะไรไปบ้าง  ไม่หรอก...ต่อให้พกเงินวันละพันสมบัติก็ไม่มีวันเอาเงินไปผลาญเล่นกับเรื่องพรรค์นั้น   เพื่อน รปภ. ด้วยกันเคยถูกหวยได้เงินเป็นหมื่นอาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงฟรีไม่อั้น  สมบัติยังปฏิเสธอย่างไม่ใยดีบอกเพียงสั้นๆ ว่าไม่อยากนอนกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รัก แม้จะโดนหัวเราะเยาะแต่ประโยคนี้ก็ทำให้ไม่มีใครกล้าชวนเขาไปทำเรื่องอย่างว่าอีกเลย
     ชีวิตการงานของสมบัติทำท่าจะไปได้สวย แต่คนอย่างเขาเหมือนพวกต้องคำสาป เหมือนมีใครสักคนแอบอิจฉาเส้นชีวิตอันราบเรียบของเขาเลยต้องคอยโยนก้อนกรวด ก้อนหินเข้าไปสร้างความขรุขระเป็นอุปสรรคให้ได้ล้มลุกคลุกคลานอยู่เนืองๆ  สมบัติถูกบอกเลิกจ้างกระทันหันแม้จะได้เงินเดือนในเดือนสุดท้ายแต่ก็ไม่มีค่าชดเชยใดๆ จากนายจ้าง  เขาไม่เพียงไม่มีโอกาศอ้าปากถามถึงความชอบธรรมกลับถูกเตือนให้รีบๆ พาตัวเองออกจากบริษัทแห่งนั้นให้เร็วที่สุด ไม่งั้นอาจจะพลอยซวยติดร่างแหไปด้วยอีกคน  เป็นอีกครั้งที่เขาจำใจต้องออกจากงานโดยไม่ค่อยเข้าใจถึงสาเหตุ  ได้ยินมาแว่วๆ แค่ว่าบริษัทแห่งนี้มีปัญหาเรื่อง ฟอกเงิน อะไรนี่แหละ
     เงินมันสกปรกมากขนาดที่เขาต้องเอามันมาฟอกมาขัดเลยเชียวหรือ?
     แล้วไอ้ฟอกเงินให้สะอาดขึ้นแค่เนี้ยถึงกับต้องมีคนมาสั่งปิดบริษัทด้วย?? ...ยิ่งคิดก็ยิ่งงง

     สมบัติต้องก้มหน้ารับชะตากรรมบนความไม่กระจ่างอีกเช่นเคย นี่ถ้าเขาได้เรียนสูงกว่านี้อาจจะพอเข้าใจเรื่องพวกนี้มากกว่าที่เป็นอยู่  อย่างน้อยๆ เขาก็พอจะบอกเมียรักให้เข้าใจได้ว่าตกงานเพราะอะไร  หรือวันหนึ่งข้างหน้าจะได้ตักเตือนลูกหลานให้ระมัดระวังตัว

     ท้องถนนคืนนี้รถราไม่ค่อยพลุกพล่าน ไม่รู้จะเป็นเพราะมีการเปิดปราศรัยใหญ่ของพรรคการเมืองแกนนำจากทั้งสองฝ่ายที่กำลังเป็นไปอย่างเข้มข้น หรือจะเป็นแค่เหตุบังเอิญที่วันนี้คนไม่ค่อยสัญจรไปมาบนถนนสายนี้ก็ไม่รู้
สมบัติ บุญรักษา ถีบซาเล้งคู่กาย ผิวปากเป็นทำนองเพลงเดือนเพ็ญไปบนถนนอย่างสบายใจ แม้จะไม่ใช่คืนข้างขึ้น ไม่เห็นแม้แต่ซีกเสี้ยวดวงเดือน เขาก็รู้ดีว่ามันต้องหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งบนท้องฟ้านั่นแหละ  
     พ่อ...คืนนี้ ไม่มีเดือนหงายหรือ? ลูกชายตัวน้อยผิวคล้ำได้พ่อ เอ่ยปากถามพลางแหงนหน้ามองหาอย่างไม่ลดละ
     มีสิ เขาตอบ
     ไหนล่ะ? เด็กน้อยขมวดคิ้วสงสัย  ทำไมหนูมองไม่เห็นเลย?
      ลองมองดูดีๆ สิ ...อยู่บนฟ้านั่นแหละ
     พ่อรู้ได้ไง?
     พ่อไม่เคยเห็นมันไปอยู่ที่อื่น
     พ่อ!! นั่นๆ เด็กน้อยเบนความสนใจไปยังถังพลาสติกสีเขียวใบเขื่องบนทางเท้าอย่างกระทันหัน  ท่าทางตื่นเต้นเหมือนมันเป็นถังใบแรกในชีวิตที่ได้เห็น  สมบัติอมยิ้มกับความเดียงสาของลูกชาย  เขาผ่อนแรงถีบค่อยๆ บังคับซาเล้งเข้าไปจอดเทียบข้างถังอย่างชำนาญ
     เอาล่ะ ไหนดูซิ  คืนนี้มีอะไรบ้าง เขาป้ายขาลงจากซาเล้ง เดินตรงไปเปิดฝาถัง
     มีอะไรรึเปล่าพ่อ? เด็กน้อยลุกขึ้นยืนชะเง้อด้วยความอยากรู้ จนซาเล้งโยกโคลงเคลง
     มีสิ สมบัติยกถุงสีดำในถังออกมาวางเรียงรายที่พื้นทางเท้า แกะมัดปากถุงทั้งหมดออกและลงมือคุ้ย
     นี่ไงล่ะ เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมขวดพลาสติก 2  3 ขวดในมือ
     เด็กชายยิ้มร่า ตบมือดีใจเหมือนพ่อค้นเจอสมบัติล้ำค่า
     โยนมาเลย โยนมาเลย
     รับให้ดี อย่าให้หล่นล่ะ เอ้า!
     มีแต่ขวดอย่างเดียวเองเหรอ?
     ใจเย็นๆ สิ ยังหาไม่ทั่วเลย
     เอาเยอะๆ ให้เต็มรถเลยนะพ่อ
     ถ้างั้นต้องเดินกลับนะ เพราะไม่มีที่นั่ง
     ไม่เป็นไร หนูเดินได้
     แน่ใจนะ
     แน่สิ

     หลังจากคุ้ยค้นจนแน่ใจว่าไม่เหลือสิ่งที่ต้องการอีกแล้ว สมบัติก็จัดแจงเก็บกวาดมัดปากถุงแน่นหนา แล้วหย่อนมันคืนกลับลงถัง เขาไม่รู้ว่าเศษขยะในถุงสีดำพวกนี้จะถูกพาไปที่ไหนอีกต่อจากนี้  รู้แต่ส่วนที่เขาคัดเลือกมามันจะถูกเอาไปเปลี่ยนเป็นเงินรายได้สำหรับจุนเจือครอบครัวเล็กๆ ให้มีกินกันโดยไม่ต้องคอยพะวงว่าเมื่อไหร่จะมีปัญหาอะไรที่เขาฟังไม่ค่อยเข้าใจมาขับไล่เขาออกไปจากการงานสุจริตที่ทำอยู่นี้อีก
     พ่อ-ทางนู้นเค้าทำอะไรกันเอะอะเสียงดังเหมือนคนทะเลาะกันเลย เด็กน้อยชี้มือไปยังทิศที่มีแสงไฟสว่างเจิดจ้าข้างหน้า
     เจ้าไม่รู้เรื่องหรอก มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา 
     งั้นพ่อก็ต้องรู้เรื่องสิ เพราะพ่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว
     อือ สมบัติครางในลำคอ ไม่รู้จะบอกลูกชายยังไงว่าความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่คนพวกนั้นทำไปเสียทั้งหมด
     ผู้ใหญ่พวกนั้น มักจะพูดผ่านจอทีวีเสมอว่าทำเพื่อประชาชนเดินดินอย่างพวกเขา การทะเลาะกันนี่ก็คงเป็นด้วยเหตุผลนั้นกระมัง ไม่อย่างนั้นใครกันจะมาทนเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียดด้วยเรื่องอันไม่เป็นเรื่อง แถมยังมีคนไปรวมกลุ่มกันฟังเป็นพันเป็นหมื่น ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ ไม่ต้องเหมาว่าบ้าทั้งคนพูดทั้งคนฟังหรอกหรือ
      สมบัติเคยคิดจะไปนั่งฟังกับเขาอยู่หลายหนเหมือนกัน แต่ก็ได้แค่คิดเพราะปากท้องไม่เคยให้เวลาเขา มันคอยตามติดประชิดทุกฝีก้าว เขาหยุดเดินเมื่อไหร่มันก็ล้ำหน้าไปเมื่อนั้น  สงสัยอยู่เหมือนกันว่าคนเป็นพันเป็นหมื่นพวกนั้นเขาเอาไหนกินไหนใช้เพราะบางทีเห็นมาอยู่กันได้เป็นเดือนๆ
     พ่อๆ นั่นไงๆ ลูกชายตัวน้อยผุดลุกขึ้นยืนชี้มือไปที่ถังใบใหญ่ข้างทาง  มันรับของเหลือทิ้งไว้เต็มจนล้นเกลื่อนออกมากองที่พื้นรอบๆ  หมาโซ 2-3 ตัวจุ่มหัวคุ้ยเขี่ยอยู่ข้างถังอีกด้าน  มันรีบผละหนีไปโดยมีข้าวของติดปากไปคนละชิ้นสองชิ้น เมื่อเห็นซาเล้งแถเข้าไปจอดเทียบข้างๆ
     สมบัติลงไปสำรวจถัง โดยมีสายตาลูกชายคอยจ้องไม่ยอมกระพริบ
     มีอะไรไหมพ่อ? เด็กน้อยร้อนใจ
     เดี๋ยวสิ...เพิ่งเริ่มดูเอง สมบัติคุ้ยลึกลงไปในถัง
     ว่าไงพ่อ ได้อะไรไหม?
     นี่ไง! เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมขวดน้ำพลาสติกเล็กๆ ในมือ
     มีแค่นี้เองเหรอ? ลูกชายทำท่าผิดหวัง
     แค่นี้แหละ นอกนั้นมีแต่กล่องโฟมกับเศษข้าวเหลือทิ้ง เขายื่นขวดพลาสติกให้ลูกชาย
     แล้วที่พื้นนั่นล่ะ
     นั่นก็กล่องโฟม เป็นร้อยๆ เลยมั้ง...สงสัยพวกนั้นเอามาทิ้ง สมบัติมองไปทางแสงไฟเจิดจ้า
     ถ้ามันขายได้ก็คงดีเนาะ
     ไม่มีใครเขารับซื้อกล่องโฟมหรอก มันเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เขาลูบหัวลูกชาย
     พ่อว่าเราขี่ย้อนกลับไปฝั่งโน้นดีกว่า ข้างหน้ายิ่งใกล้พวกนั้นเข้าไปยิ่งจะมีแต่กล่องโฟม เผลอๆ อาจจะเยอะกว่าตรงนี้อีก
เด็กน้อยพยักหน้าฟังคำโดยดี  ซาเล้งเลี้ยวหันหลังกลับบ่ายหน้าข้ามไปยังถนนฟากตรงข้าม

      สมบัติตระเวณคุ้ยถังอีกนับสิบใบในคืนนั้น เขากับลูกชายวัยเดียงสาได้ของเกือบเต็มคันรถ มีทั้งเศษกระดาษ  ขวดพลาสติก กระป๋องเบียร์ หนังสือเก่า เศษเหล็ก ของเล็กๆ น้อยๆ อื่นอีกนับไม่ถ้วนชิ้น  คะเนราคาคร่าวๆ บนความเคยชินแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 200 บาท ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่าจะมีคนเอาเงินใส่ถุงมาโยนทิ้งลงถังให้เขาคุ้ยได้ทุกวัน  คนทั่วไปอาจจะเห็นว่ามันเป็นแค่เศษขยะชวนสะเอียน แต่สำหรับสมบัติกองขยะเหล่านี้เป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดสิ้น เพราะมันจะถูกเติมเต็มทุกๆ วัน
     ช่วงแรกที่เริ่มคุ้ยเขาเองก็ยอมรับว่าแย่เอาการอยู่เหมือนกัน บางถุงเหม็นเน่าด้วยเศษอาหาร อาจมปนเปรอะจนแยกแยะไม่ออก โดนเศษแก้วแตกขวดแตกบาดนิ้วมือเข้าก็มี  ไหนจะสายตาเหยียดหยันของผู้คนผ่านไปผ่านมาซึ่งมองประหนึ่งว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองขยะเน่าเสียนั้นเสียเอง มันทำให้เขาเกือบหันหลังกลับอยู่หลายครั้ง  แต่คนอย่างสมบัติไม่ใช่คนที่มีทางเลือกมากนัก เขาแทบไม่มีทางให้ถอยกลับ ความเป็นพลเมืองชั้นล่างสุดมันกำลังไล่ต้อนเขาเข้ามุมอับ  เสี้ยวศิวิไลซ์ที่เคยถวิลหาดูเหมือนจะโบกมือลาไปนานแสนนานแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่เคยฝันถึงมันเขาจำไม่ได้แน่ชัด อาจจะเป็นตอนทำงานเป็นยามในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งกินเงินเดือนประจำเดือนละเกือบห้าพันบาท  เขากับภรรยาเคยคุยกันว่าจะผ่อนโทรทัศน์จอใหญ่ๆ ไว้ดูละครหลังข่าว  แล้วเอาตู้เย็นขนาดกลางๆ อีกสักเครื่อง เท่านั้นก่อนเอาแค่พอผ่อนกันไหว ฝันกำลังจะกลายเป็นรูปเป็นร่างอยู่รอมร่อ แต่ฟ้าดันผ่าเปรี้ยงลงมากลางวันแสกๆ เขาถูกเลิกจ้างกระทันหัน 
     สมบัติยังไม่ท้อเขาออกตระเวณสมัครงานในตำแหน่งเดิมนี้และได้ทำอีก 2-3 ที่เป็นระยะเวลาสั้นๆ สุดท้ายก็ต้องออกอีก คราวนี้ด้วยเหตุผลใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน นั่นก็คือเพราะเขาเป็นยามที่ไม่มีสังกัด  แรกทีเดียวสมบัติไม่เข้าใจคำนี้เลย ตอนหลังจึงได้รู้ว่า พวกบริษัทต่างๆ หันไปจ้างยามที่มาจากบริษัทรักษาความปลอดภัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นของตำรวจหรือทหารนอกราชการแทนยามไร้หัวนอนปลายตีนอย่างเขา พวกนั้นมีสังกัดแน่นอน มีการรับประกันความเสียหาย มีอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างที่คนหัวเดียวอย่างเขาไม่มี
     น้ำไหลเชี่ยวป่วยการจะยืนขวาง สมบัติรีบแก้ทางตันด้วยการไปสมัครเข้าสังกัดกับบริษัทรักษาความปลอดภัยพวกนั้นซะเลย  และมันก็ส่งผลให้เขาได้งานแทบจะทันที ทำอยู่พักหนึ่งเขาก็ทนต่อไปไม่ได้จนคราวนี้ต้องเป็นฝ่ายลาออกเอง
     เงินเดือนเจ็ดพัน โดนเขาหักค่านายหน้าไปซะสามพันกว่า ทำไปก็เหมือนทำนากินฟางข้าว สมบัติบอกเมียในวันที่เขาตัดสินใจจะไม่ตกเป็นฝ่ายก้มหน้าทนทำอีกต่อไป
     ไม่ทำแล้วพี่จะไปทำอะไร? ฟังเหมือนคำตัดพ้อมากกว่าคำถาม
     มันต้องมีทางสิ ขอคิดก่อนรับรองไม่พาอดตายหรอก ตอนนั้นเขาก็ทำเป็นพูดดีไปอย่างนั้นเอง เพราะยังมืดแปดด้านอยู่เหมือนกัน ก็ใครจะไปคิดว่าอาชีพยามซึ่งเป็นอาชีพของคนระดับล่างอย่างเขา จะถูกคนที่อยู่ในระดับสูงกว่ามาเบียดแย่งเอาไปทำเงินกันเป็นล่ำเป็นสันเสียอย่างนั้น  อีกหน่อยคนอย่างเขาคงไม่มีกระทั่งที่ให้ซุกหัวนอนเป็นแน่  ใครบอกว่าประเทศนี้เป็นของพวกเราทุกคน  ประเทศนี้น่ะเป็นของคนบางคนเท่านั้นแหละ 

     ถนนยังคงว่างโล่ง มีรถราแล่นผ่านมาบ้างประปราย บางช่วงทิ้งระยะจนดูเงียบชวนใจหาย
     สมบัติ ถีบซาเล้งพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปบนถนนสายเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางกลับบ้าน ลูกชายตัวเล็กผล็อยหลับด้วยความอ่อนเพลียได้พักใหญ่ ความเงียบชวนให้ไพล่คิดถึงคืนแรกที่เขาเริ่มงานนี้ มันเป็นไปอย่างทุลักทุเลบนความกระดากอาย ถังขยะใบใหญ่เหมือนจ้องจะเยาะหยันเขา แสงไฟนีออนบนเสาไฟฟ้าก็คอยประจานอีกแรง แต่สุดท้ายเขาก็ผ่านมันมาได้ เพียงแค่นึกถึงประโยคสั้นๆ ที่พ่อเคยสอนไว้เสมอว่า มึงจะอายไปทำไมในเมื่อไม่ได้ปล้นจี้ขโมยของใครเขา ปล่อยให้ตัวเองอดตายนั่นน่าอายกว่าเป็นไหนๆ 
     จากนั้นมาเขากับถังขยะพวกนี้ก็แทบจะกลายเป็นเพื่อนกัน บางคืนนึกครึ้มใจเขายังแอบพูดกับพวกมันด้วยซ้ำ กลิ่นเหม็นชวนสะเอียนค่อยๆ จางหายไปจนในที่สุดก็แทบไม่ได้กลิ่นอะไรอีก

     แสงจากไฟนีออนบนเสาไฟฟ้าข้างทางไกลออกไป 2-3 ช่วงตึก  ส่องให้เห็นรถซาเล้งเก่าๆ คันหนึ่งจอดแช่อยู่ริมฟุตบาท เจ้าของรถกำลังง่วนอยู่ในปากถังขยะใบใหญ่  สมบัติลั่นกระดิ่งเบาๆ เมื่อแล่นผ่านไปใกล้ ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากถังเผยยิ้มเห็นฟันเหลือง  สมบัติยิ้มพลางพยักหน้าให้
     ตามสบายเลย เขานึกในใจ คืนนี้ถือว่าได้มากพอแล้วถึงเวลาพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปส่งคืนตักแม่เสียที พรุ่งนี้ค่อยเริ่มกันใหม่ ขยะมันไม่หนีไปไหนหรอก ยังไงมันก็ต้องเป็นของพวกเราอยู่วันยังค่ำ
     ขออย่างเดียว! ขออย่าได้มีใครมามองว่ามันเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทำเงิน  แล้วกระโจนลงมาแสวงหาความร่ำรวยด้วยการทำตัวเป็นผู้ผูกขาดกองขยะเหล่านี้แต่เพียงผู้เดียวอีกเลย
      มันไม่มีวันเป็นจริงหรอกน่า
     สมบัติหัวเราะขื่นๆ ในลำคอ กับความคิดพิสดารของตัวเอง.				
20 พฤศจิกายน 2549 23:19 น.

โทรศัพท์มือถือ!

พีรเดช นวลสาย

(1)
.......................................................
(เสียง Ringtone เรียกเข้า เพลงฮิตล่าสุด)
เออ! ว่าไง? เงียบฟังครู่หนึ่ง ก่อนจะป้องปากพูดต่อ
เปล่า! ไม่ได้อยู่โรงเรียน ออกมาข้างนอก....เดินเล่นกับเพื่อน จะตามมารึเปล่าล่ะ? .....อะไรน๊ะ ติดเรียน เด่อ ไม่แน่จริงนี่ แล้วจะเลิกกี่โมง.........อีกสองคาบเลยเหรอ โอ้ย! ไม่รอแล้ว จะไปร้านเน็ต.......ก้อแช็ตเล่นๆ แก้เซ็ง...........ไม่ได้โดด จารย์ไม่สอน เห็นเค้าว่าไปเดินขบวนอะไรนี่แหละ......ไม่รู้! ไม่ได้สนใจแป็บนึงนะ
หันไปสะกิดเพื่อนที่ยืนรวมกลุ่มอยู่ข้างๆ
เฮ้ย! ไอ้เก๋ บุหรี่ตัวดิ  หมดเหรอ ไรว้า ขอทีไรหมดทุกทีเลยนะมึง  ไอ้อ๋อยล่ะ มีป้ะ? ....เออน่ะ! เอามาก่อน เดี๋ยวกูซื้อคืนให้ จะงกไปไหนวะพวกมึง เร็วๆ!
คว้าบุหรี่จากมือเพื่อนมาสูบ พ่นควันออกจมูกอย่างสบายใจ
เออ...โทษที ต่อเลยถึงไหนแล้วเมื่อกี๊? .....อ้า ใช่ๆ .........เสร็จแล้วไปไหนต่อเหรอ อือ ไม่รู้ดิ ไปเดินห้างมั๊ง เห็นไอ้พวกนี้มันบ่นอยากกินพิชช่ากัน พอดีจะไปดูมือถือด้วย เพิ่งเห็นโฆษณาในทีวี เก๋ดี.......เปล่า! ไม่ได้เสีย แต่อยากเปลี่ยนเครื่องใหม่ มี ไรป้ะ? .........ก้อต้องรุ่นใหม่ล่าสุดดิ ถาม ไม จะซื้อให้เหรอ?.........โด่เอ้ย! ไม่แน่จริงนี่ (หัวเราะหยันๆ) ........จะเจอกันรึเปล่าเหรอ?   อือ ไม่แน่ เจอแล้วทำ ไร อ่ะ ...........(ป้องปากแน่นขึ้น หน้าแดงนิดหน่อย) เสียใจย่ะ ไฟแดง ไอ้บ้า!
เสียงเพื่อนในกลุ่มดังแข่งขึ้นเรื่อยๆ จนคุยไม่ค่อยถนัด เลยหันไปตวาด
เฮ้ย! พวกมึงคุยกันเบาๆ หน่อยดิ กูจะคุยกับผัว!

(2)
ได้สิคะ กะอีแค่มือถือเครื่องเดียวทำไมจะให้ไม่ได้ล่ะ ใบเฟิร์นอยากได้อะไรพี่ศักดิ์หาให้ได้ทุกอย่างแหละ ขอให้บอกมาเหอะ จริ๊ง! จะโกหกทำไม ที่ผ่านมาพี่เคยโกหกอะไรหนูรึเปล่าล่ะ?
ครูดปากกาลูกลื่นไปมาบนโต๊ะทำงานอย่างลืมตัว
เอางี้! เย็นนี้เราไปเดินดูกันดีไหมล่ะ ถ้าถูกใจเดี๋ยวพี่ศักดิ์รูดการ์ดให้เลย แต่ มีข้อแม้นะ........ต้องโทรหาพี่
คนเดียวเท่านั้น ห้ามโทรหาคนอื่น..........พูดเล่น แหม ใครจะกล้าไปว่าน้องใบเฟิร์นหยั่งงั้นล่ะ..........แล้ว.....
เปลี่ยนจากครูดมาเป็นเคาะถี่ๆ แทน
...แล้วเมื่อไหร่ จะให้พี่ศักดิ์ไปหาที่ห้องได้อีกล่ะจ้ะ นานเป็นอาทิตย์แล้วน๊า..........วันนี้ไม่ว่างอีกแล้วเหรอน้ำเสียงสลดลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ละความพยายาม
แล้ว พรุ่งนี้ล่ะ ว่างไหม๊?..............เหรอ.............อือ มะรืนเลยเหรอ  แย่จัง...ปละ-เปล่า ไม่มีอะไร เมื่อไหร่ก็รอได้
เหลือบไปเห็นเพื่อนร่วมงานกำลังทยอยเดินออกจากออฟฟิศ รีบโบกไม้โบกมือบอกให้กลับกันก่อน ทำท่าทางเหมือนกำลังเร่งเคลียร์งาน
อ้อ! เปล่าๆ  พอดีเพื่อนมันจะกลับกันแล้วน่ะ มันเลยแวะมาชวน........อือ คงไปกินเหล้ากันต่อล่ะมั้ง ไอ้พวกนี้มันไม่เคยกลับบ้านก่อนตะวันตกดินหรอก มันกลัว........อะไรนะ? มีสายเข้าเหรอ?......อ๋อ ได้สิคะ
ถือสายรออย่างกระวนกระวาย
.....ไม่นานจ้ะ แหม นานกว่าเนี้ยยังรอมาแล้วเลย........เพื่อนโทรมาชวนไปเที่ยว อืม ก็ไปสิ ไปกับเพื่อนกับฝูงจะเป็นไรไป หรือจะให้พี่ศักดิ์ไปด้วย ไปเป็นบอดี้การ์ดให้ไงล่ะ.........เพื่อนพี่น่ะเหรอ? โอ้ย! ไอ้พวกนั้นน่ะ แค่เหล้าเข้าปากมันก็ลืมพี่แล้วล่ะ เชื่อดิ..............ไว้คราวหน้าเหรอ  อือ งั้นก็ตามใจ เที่ยวให้สนุกละกัน บายจ้ะ
รีบกดวางหู แล้วรีบกดโทรออกอีกครั้ง
ไอ้ปิ๊กเหรอ...เออ! กูเอง ถึงไหนกันแล้ววะ.....ไม่ได้เล่นตัว ก้อน้องใบเฟิร์นแม่-งเพิ่งเบี้ยวกูเมื่อตะเกี๊ยะ จะให้ไปไหนล่ะ.....ที่เดิมใช่ไหม๊ เดี๋ยวกูรีบตามไป มึงอย่าเพิ่งเมากันก่อนล่ะ เออๆ แค่เนี้ยะ มีสายแทรก
กดรับสายแทรก ท่าทางหงุดหงิด
ฮัลโหล .อือ วันนี้พี่คงกลับดึกน่ะ มีประชุมงานด่วน เจ้านายเพิ่งบอกเมื่อกี๊นี่เอง.......เออๆ กินก่อนเลยไม่ต้องรอ ....... (น้ำเสียงหงุดหงิด) ก้อดึกแหละไม่ต้องรอหรอกนอนก่อนเลย แค่นี้นะ จะทำงานแล้ว
รีบกดวางหูตัดบท  หันไปจัดโต๊ะลวกๆ แล้วดีดตัวจากเก้าอี้ไปอย่างรีบร้อน

(3)
โหล เชิดชัย! ว่าไงซื้อให้อั้วทันรึเปล่า ว่าไงน๊ะ ทัน-แต่ได้แค่ครึ่งเดียว! นี่ลื้อมัวไปทำอะไรอยู่วะ คิดว่าโอกาสงามๆ อย่างงี้จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ รึไง......เสี่ยงเกินไป! เสียงบ้าเสี่ยงบออะไร นี่เพื่อนอั้วเป็นคนส่งสัญญาณมาเองเลยนะ ลื๊อก็รู้นี่ว่าหมอนี่มันมือหนึ่ง คลุกคลีในวงการมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ....บ้าเอ๊ย! เงินตั้งหลายสิบล้านนะนั่น
ขบซิการ์ด้วยความฉุนเฉียว
.ไม่ต้องมัวมาขอโทษขอโพย ลื้อไปหาทางซื้อส่วนที่เหลือมาให้ได้ แพงเท่าไหร่ก็สู้ ยิ่งไอ้พวกแมงเม่ารายเล็กรายย่อยน่ะกว้านซื้อมันมาให้หมด ให้มันระเริงกับกำไรนิดๆ หน่อยๆ กันไปก่อน เพราะหุ้นตัวนี้ราคามันจะถีบตัวขึ้นไปได้อีกจนคาดไม่ถึงเลยล่ะ
เสียงโทรศัพท์อีกเครื่องดังแทรกการสนทนาขึ้น เขารีบหยิบมากดรับสาย
เออ อั้วเอง ว่าไง? ......มันพูดหยั่งงั้นเลยรึ ไอ้คนเนรคุณเอ๊ย! มันลืมแล้วรึไงว่าที่มีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ทุกวันเนี้ย ก็เพราะอั้วเป็นคนช่วยวิ่งเต้นให้ ไม่งั้นไอ้บ้านนอกอย่างมันไม่มีทางได้ไปเดินชูคออยู่ในนั้นหรอก พอจะให้ช่วยเข้าหน่อยทำเป็นปัญหาเยอะ--เอางี้ ลื้อใส่ซองให้มันเลยสิบล้าน ถ้ามันยังอิดออดเล่นตัวอีกล่ะก้อ อั้วจะไปคุยกับมันเอง ดูซิว่ามันจะกล้าอิดออดอีกไหม๊...............เออ! รีบไปจัดการให้เรียบร้อย  ขืนพลาดโครงการนี้อั้วเสียหน้า   ชิบหายเลย
เสียงโทรศัพท์อีกเครื่องดังแทรกการสนทนาขึ้น เขารีบหยิบมากดรับสาย
อือ...ว่าไง? อะไรน๊ะ!
ตกใจจนทำมือถือหลุดมือ
เมื่อกี๊ลื้อว่าอะไรนะ!.........ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด..................ชิบหายแล้ว--ตอนนี้อีอยู่ไหน! อาการเป็นไงบ้าง!เออๆ อั้วจะรีบไปเดี๋ยวนี้
หันไปสั่งคนขับรถเสียงสั่นเครือ รู้สึกเสียดแน่นหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก
เฮ้ย! กลับรถ!
ไปไหนครับนาย?
ไปโรง บาล  ลูกสาวอั้วกินยาฆ่าตัวตาย!!!

(4)
อยู่ตลาดสิถามได้ จะให้กูไปอยู่ไหนล่ะ...........เออ ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก คนแม่-งไม่รู้หายหัวไปไหนกันหมด เซ็งตายชัก!.........เออๆ กูก็ได้ยินมาเหมือนกัน  มันลือกันทั้งตลาดเลยว่าท่านให้ตรงเป๋งมา 2-3 งวดแล้ว คนงี้แห่กันไปรอคิวเต็มวัดเลย..........ก้อ กะว่าเก็บร้านแล้วจะลองแวะไปเหมือนกัน เผื่อจะได้ตัวเด็ดๆ มาแทงมั่ง มึงจะไปกับกูรึเปล่า?..................โอ๊ย ไม่ต้องห่วง ถ้ากูถูกขึ้นมาจริงๆ อย่าว่าแต่ค่ายกครูเลย กุฏิท่านกูก็จะสร้างให้ใหม่ แต่ต้องรางวัลที่ 1 เท่านั้นนะ
หัวเราะกรอกหูโทรศัพท์เสียงดังลั่น
นั่นดิ ปวดหัวอยู่เหมือนกัน(หน้าเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด) หะ--ค่าเทอมอะไรของมันก็ไม่รู้ แพงบรรลัยเลย ส่งให้เท่าไหร่ เท่าไหร่ ก็ไม่พอ เดี๋ยวมีค่านั่น ค่านี่งอกมาหยั่งกะดอกเห็ด นี่เห็นว่าอีกแค่ปีเดียวมันจะจบแล้วหรอกนะถึงก้มหน้าก้มตาทน ไม่งั้นให้ออกมาช่วยขายของแล้ว ปริญญาห่-เหวอะไรก็ไม่รู้แพงชิบหาย
หันไปคว้าที่ปัดตวัดไล่แมงวัน--ฉุนเฉียว
ไอ้แมงวันบ้านี่ก็ตอมอยู่ได้ ของยิ่งขายไม่ค่อยดี-ไป๊ ไปตอมที่อื่น............เออ! แล้วลูกชายมึงเป็นไงมั่ง หายดีรึยัง? ............เออๆ ดีแล้วล่ะ ทีหลังก็อย่าลืมกำชับมันให้ดีล่ะ จะได้ไม่ก่อเรื่องก่อราวอีก เป็นนักเรียนดีๆ ไม่ชอบ   ริจะเป็นนักเลง นี่ยังดีนะที่ฝ่ายโน้นน่ะเค้าไม่เอาเรื่องเอาราว   เฮ้อ!..ไม่รู้ใครนะมันเสี้ยมมันสอนให้รักสถาบันกันแบบนี้  ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ใครจะรับผิดชอบ
ดีนะที่ลูกกูมันเป็นผู้หญิงซะได้  ถ้าเป็นผู้ชายล่ะกูคงอกแตกตายไปแล้ว...........เออๆ แล้วเย็นนี้อย่าลืมล่ะ เผื่อท่านให้แม่นจริงอย่างเค้าว่า  จะได้รวยๆ กันซะที เออ...ไว้เจอกัน

(5)
ฮัลโหล! ฮัลโหล!
สายหลุด รีบกดต่อสายใหม่อย่างร้อนรน
ฮัลโหล! อีเจนเหรอ เออ..กูเอง โทรศัพท์มึงเป็นเชี่-ยไรวะ โทรติดยากชิบเป๋ง....................อยู่สยาม! มึงไปแร่ดอะไรที่สยาม?.................เออ ก็มีเรื่องน่ะสิ ไม่มีจะโทรหามึงเหรอ มาหากูที่ห้องได้ไหม๊อยากให้ช่วยอะไรหน่อย...........ด่วนสิ!.........ไม่ได้ล้อเล่นกูจะล้อเล่นทำไม นี่กูเดือดร้อนจริงๆ..................เออะ...กู.....สงสัยว่า....กูจะท้องว่ะ...........ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้พูดเล่น....................กูลองซื้อมาตรวจดูแล้ว
หยิบแผ่นตรวจตั้งครรภ์ขึ้นมาดูอีกรอบ
มันขึ้นมาสองขีด........ชัวร์สิ--กูถึงได้นั่งบ้าอยู่นี่ไง.ไม่รู้ กูไม่แน่ใจ ......พี่กอล์ฟเหรอ? ไม่มีทางหรอก ขานั้นป้องกันทุกครั้ง.........ยุ่งกับใครบ้าง? ก็....หลายคน.....กูถึงบอกไม่แน่ใจนี่ไง............จะให้ทำไงก็ของมันพลาดไปแล้วนี่..............โอ้ย! ไม่มีอารตมณ์ไปหรอก กูว่าจะหยุดเรียนสัก 2-3 วัน เอาไว้ให้จัดการให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไป กูไม่อยากให้พวกที่มหาลัยมันรู้...............เออ ก็เหมือนคราวก่อนนั่นแหละ มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ นะๆๆ น้า..ไว้เดี๋ยวมึงจะกินอะไร-ที่ไหน-กูเลี้ยงเอง ไม่อั้น!............มีดิ ถามได้ กูโทรไปขอค่าเรียนคอมพิวเตอร์กับแม่มาก่อนแล้ว............โอ้ย ซักอะไรล่ะ แม่กูไม่สนใจหรอก ขอให้เรียนจบเป็นพอเออ น่า ถึงตอนต้องจ่ายจริงๆ ไว้ค่อยหามาจ่ายใหม่แล้วกัน หาไม่ยากหรอก มึงก็รู้นี่ว่าจะหาเงินได้จากไหน....?
โยนแผ่นตรวจตั้งครรภ์ทิ้งลงถังขยะ
..ว่าแต่ มึงจะมาหากูได้ยัง? กูอยากไปวันนี้เลย ไม่อยากเก็บไว้เป็นกังวลนานๆ อีกอย่างถ้าพี่กอล์ฟรู้มีหวังเอากูตาย.......เออๆ รีบมาละกัน จะรอ

(6)
โหล..เฮียสมปองเหรอ? ผมศักดิ์ชัยนะ ใช่ๆ ศักดิ์ชัยทอสอท่านอำนาจนั่นแหละ.........อ๋อ มีเรื่องอยากรบกวนเฮียนิดหน่อยน่ะ คืองี้ วันมะรืนท่านมีแขกผู้ใหญ่ที่จะต้องรับรอง ก็เลยอยากให้เฮียจัดเด็กมาให้ซัก 4-5 คน เอาแบบพิเศษๆ หน่อยนะ คราวนี้..เน้นเลยว่าเป็นนักศึกษา เพราะผู้ใหญ่ท่านชอบ ยิ่งสถาบันดังๆ ยิ่งดี เรื่องค่าตัวไม่ต้องห่วง ถ้าดีจริงเท่าไหร่ก็ไม่อั้น
อัดบุหรี่แรงๆ 2-3 ที ก่อนดีดทิ้ง
.............อ๋อ พามาส่งที่เดิมเลย เดี๋ยวผมจะสั่งเด็กเปิดห้องไว้รอคงไม่ต้องค้างคืนหรอก เพราะผู้ใหญ่ท่านมีธุระต้องไปประชุมสัญจรต่างจังหวัดต่อ งานนี้สำคัญนะ ท่านกำชับมาว่าให้เฮียช่วยคัดเป็นพิเศษหน่อย .............เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ขอให้สดจริงเถอะ อย่าย้อมแมวมาแล้วกัน.................ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แหม เราติดต่อกันมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ผมแค่อยากให้แน่ใจว่าเฮียลงมือคัดเลือกด้วยตัวเองก็เท่านั้น บอกตรงๆ งานนี้ผมไม่เชื่อใจคนอื่น นอกจากเฮียคนเดียว...ถ้าเฮียรู้ว่าผลตอบแทนมันมหาศาลขนาดไหน ผมว่าเฮียก็คงต้องเครียดเหมือนผมนี่แหละ
จุดบุหรี่สูบอีกมวน
อ้อ แล้วอย่าลืมจัดขาประจำของท่านมาด้วยนะ...........ว่าไงนะ? ติดต่อไม่ได้ หมายความว่าไง?..........ไม่รู้ล่ะ ยังไงๆ เฮียก็ต้องตามมาให้ได้...............ไม่ ท่านไม่เอาคนอื่น เฮียก็รู้นิสัยท่านดีนี่.เอาเป็นว่านั่นเป็นปัญหาของเฮียที่ต้องไปแก้มาให้ได้..............ไม่รู้ ก็ผมบอกแล้วไงว่ามันเป็นปัญหาของเฮีย ไม่ใช่ปัญหาของผม ยังไงๆ ก็ต้องเอาตัวมาให้ได้..น่า  ผมว่าเฮียรู้ดีกว่าผมว่าควรจะทำยังไง โอเคนะ ผมยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการให้เสร็จ หวัดดีครับเฮีย
กดโทรศัพท์โทรออกอีกครั้ง
เรียบร้อยแล้วครับนาย.ครับๆ ได้ตามนั้นครับ.สดแน่นอนครับ เฮียสมปองการันตีด้วยตัวเองเลย



(7)
ฮา โหล........จากใครครับนี่คุณอีกแล้วเหรอ!! ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่สะดวก เจ้าตัวเค้าก็ประกาศไปแล้วว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว ยังจะมาตามตื๊อเอาอะไรอีก ถามหน่อยเหอะ สนุกรึไงที่เที่ยวเอาเรื่องส่วนตัวของคนอื่นไปเขียนใส่ไข่ใส่ความให้เค้าเสียหายเนี่ย ถ้าคุณยังไม่เลิกตามราวีอีก  ผมจะให้ทนายฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท..........ไม่ได้ขู่ผมเอาจริงแน่ ผมจะฟ้องหนังสือคุณด้วยที่เที่ยวลงบทความทำลายชื่อเสียงของคนอื่นเค้าไปทั่วหยั่งงี้  ถามหน่อยเถอะ  เราเคยไปทำอะไรให้คุณเดือดร้อนรึไง? ..........หน้าที่! หน้าที่บ้าบออะไรกัน ขุดคุ้ย เรื่องส่วนตัวของชาวบ้านมาประจานให้เจ้าตัวเค้าเสียหายเนี่ยเหรอ มันงานประเภทไหนกันแน่ คุณภูมิใจกับมันนักเหรอ? ...........ใช่! เค้าเป็นคนสาธารณะ แล้วไง? เค้าไม่มีเลือดมีเนื้อรึไง? เค้าไม่มีสิทธิ์มีความเป็นส่วนตัวบ้างรึไง? ถ้ามีใครมาทำกับลูกคุณ หรือญาติๆ คุณอย่างนี้บ้าง จะรู้สึกยังไง คุณจะรับได้ไหม๊? ..................พอที ผมทนฟังคุณพล่ามมามากพอแล้ว คุณมันก็มีแต่เหตุผลที่เข้าข้างตัวเอง คิดเองเออเองทั้งนั้น เอาเป็นว่าถ้าคุณเข้าใจคำว่าจรรยาบรรณในหน้าที่ของตัวเองเมื่อไหร่ ค่อยมาคุยใหม่ก็แล้วกัน............ว่าไงนะ! จะฟ้องกลับผมฐานหมิ่นประมาทเหรอ? เอาเลย เชิญคุณไปฟ้องเลย ผมก็กะจะฟ้องคุณอยู่เหมือนกัน ดูซิว่าศาลจะรับฟังใคร แล้วก็เชิญใช้สื่อของคุณเล่นงานเราอย่างที่คุณเคยทำต่อไปนั่นแหละ ผมไม่กลัวหรอก แต่จะขอเตือนไว้อย่างนะ ว่าอย่าประเมินผู้อ่านต่ำเกินไป เพราะทุกวันเนี้ยเค้าฉลาดกว่าที่คุณคิดเยอะ
กดวางหูอย่างฉุนเฉียว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก
นี่คุณ! ยังพูดไม่รู้เรื่องอีกรึไง!?.................อ๊ะ! เอ็ม เอ็ม จี มิวสิค เหรอครับ  ขอโทษฮ่ะ (น้ำเสียงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง).............ไม่มีอะไรฮ่ะ เข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะฮ่ะ(หัวเราะกลบเกลื่อน).คิวซ้อมร้องเพลง? วันนี้เลยเหรอ?  อ๋อ เดี๋ยวนะ แป๊-บนึงนะ
เอามือป้องโทรศัพท์ หันไปถามชายหนุ่มหน้าตาดีที่ยังนอนคุดคู้บนเตียงนอน
นี่ พ่อตัวดี เอ็ม เอ็ม จี เค้าโทรมาตามคิวซ้อมร้องเพลงอีกแล้วนะ จะเอาไง?
ชายหนุ่มโบกมือเป็นสัญญาณปฏิเสธ
เอาอีกละ.....นี่ทีหลังจะไปหัวหกก้นขวิดที่ไหนน่ะ ไม่ว่าหรอกนะ แต่อย่าให้มันมากจนทำงานไม่ไหวอย่างนี้ แล้วไอ้เรื่องผู้หยง-ผู้หญิงน่ะเพลาๆ หน่อย ชั้นตามล้างตามเช็ดให้ไม่ไหวแล้ว เป็นผู้จัดการเธอเนี่ย เหนื่อยยิ่งกว่าเป็นจับกังซะอีก
หันไปพูดโทรศัพท์ต่อ
เอ่อ...ต้องขอโทษจริงๆ ฮ่ะ เราไม่ได้ลืมนะฮะ แต่น้องต่อเค้าไม่สบายจริงๆ นอนซมลุกไม่ขึ้นเลย กำลังจะโทรมาบอกอยู่พอดี........ก็คงต้องเลื่อนไปก่อนน่ะฮ่ะ ขอโทษจริงๆ

(8)
เออ! ไอ้ต๊อดเหรอ ราคามายังวะ?.............เฮ้ย! ทำไมช้าจัง บอลจะเริ่มเขี่ยอยู่แล้ว..............เออดิ! ไม่ใจร้อนได้ไง เมื่อคืนโดนไปตั้ง 5 คู่ เซ็งชิบ! ไม่น่าไปเชื่อใจผีกับปืนเล๊ย อุตส่าห์กินหงส์มาเต็มใบแล้วแท้ๆ เนี่ยถ้ามันขยันวิ่ง ขยันยิงกันมากกว่านี้หน่อยนะ รวยไม่รู้เรื่องไปแล้ว พูดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย  แล้วกัลโช่ล่ะราคามายัง? ...มาแล้วเหรอ!
หันไปหยิบกระดาษปากกามาเตรียมจด
อ่ะ  ว่าไปเลย.....ยูเว่ครึ่งลูกลบสิบ........มิลานป.ขาว.........อินเตอร์ครึ่งควบลูก......โรม่าลูกควบลูกครึ่ง เฮ๊ย! ทำไมคู่นี้มันต่อแพงจังวะ บอกราคาผิดรึเปล่า ตัวจริงมันทั้งเจ็บทั้งแบนเกือบค่อนทีมเลยนะ...........ไม่ผิดเหรอ มันออกราคาหลอกให้คนรองรึเปล่าเนี่ย เจ้าเล่ห์ชิบหายเลยไอ้โต๊ะบ้านี่!........แล้วคู่อื่นล่ะ?........เออๆ อือๆ.............โอเค เรียบร้อย! ขอเวลาวิเคราะห์แป๊บนึง เดี๋ยวโทรกลับ..........เออ! ไม่ช้าหรอกน่า แค่นี้นะ!
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก แทบจะทันทีที่กดวางสาย
อะไรอีกวะ! ก็บอกแล้วไงว่าขอวิเคราะห์แป๊บนึงอ้าว! เฮียแดงเองเหรอครับ เปล่าครับเปล่า พอดีเมื่อกี๊เพิ่งคุยกับเพื่อน....................อ๋อ  เรื่องนั้นไม่ลืมแน่นอนครับ พรุ่งนี้รับรองผมจะรีบเอาเงินไปใช้หนี้เฮียแน่นอน  ชัวร์ครับเฮีย ครับ-ครับ
กระแทกโทรศัพท์กับโต๊ะอย่างฉุนเฉียว
แม่-ง ทวงจังเลย กะอีแค่เงินไม่กี่หมื่นแค่เนี้ย  ขอวัดคืนนี้ก่อนเถอะมึง ถ้าเข้าตามเป้าล่ะก็ พรุ่งนี้จะหอบเงินไปทุ่มใส่หน้าแม่-งเลย คอยดู!

(9)
ไม่ได้.......ยังไงก็ไม่ได้  จะให้ทำงั้นได้ไง!
หันไปกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวี
 .........ก็ทางโน้นเค้าโทรมาจองคิวก่อนก็ต้องให้เค้าก่อนสิ ทางเนี้ยมาทีหลังจะมาแซงคิวเค้าเดี๋ยวก็มีปัญหากันอีก.............อะไรนะ! จะให้โกหกว่าทางนี้โทรมาจองคิวไว้ก่อนงั้นหรือ...........ไม่ได้หรอกทำอย่างนั้นมันผิดนะ อีกอย่างตอนที่เค้าโทรมาก็บอกไปแล้วด้วยว่าว่างอยู่ รับปากกันไปเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว งานเค้าก็ไม่ใช่งานเล็กๆ  ได้ยินว่าเชิญนายกเทศมนตรีมาเป็นประธานด้วย.........................ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ลองถ้าเค้าระบุมาขนาดนี้ก็แสดงว่าเค้าอยากให้ไปงานเค้าจริงๆ ขืนให้คนอื่นไปแทน มีหวัง...ได้ตามมาต่อว่ากันถึงนี่แน่ๆ เอางี้ไหมล่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็ลองเลื่อนงานออกไปก่อน วันไหนก็ได้ที่ไม่ใช่วันที่หนึ่งน่ะ จะได้ไม่ชนกัน...................เตรียมงานไว้พร้อมหมดแล้วหรือ  อือ...ก็อยากช่วยนะ จริงๆ...แต่ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน จะรับปากทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ อีกอย่าง มันก็เป็นงานบุญกุศลทั้งสองงาน ไม่อยากให้ต้องมาขุ่นข้องหมองใจกัน มันจะเสียความตั้งใจเปล่าๆ ชาวบ้านที่เค้าตั้งใจจะมาร่วมทำบุญด้วยก็จะพากันติฉินนินทาเอาได้
กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปมาอย่างไม่สนใจจะดูจริงจัง
โยมก็รู้ว่าอาตมาน่ะลำบากใจที่จะปฏิเสธขนาดไหน ฝ่ายนั้นก็บริจาคเงินบำรุงวัดเราเป็นประจำด้วยดีเสมอมา ส่วนฝ่ายโยมก็น้อยกว่ากันซะเมื่อไหร่ เป็นไปได้อาตมาก็อยากจะไปให้ได้ทั้งสองงาน แต่ทางโน้นเค้าติดต่อมาก่อน แถมรับปากจะบริจาครถตู้ด้วยนะงานนี้........................โยมจะให้มากกว่านั้นอีกหรือ  อือ จะให้พูดยังไงดีล่ะ มันก็ค่อนข้างลำบากใจอยู่นะ

(10)
ฮัลโหล...ว่าไงเพื่อน ไม่ได้คุยกันซะนานเลยนะ.คุยได้ๆ ไม่ได้ยุ่งอะไรมาก มีอะไรเหรอ?...............จะมากรุงเทพฯ เหรอ เมื่อไหร่? มาธุระหรือมาเที่ยว?..................อื๋อ อือๆ.............อยู่กี่วันล่ะคราวนี้...........ว่-า-ง!  แหม...เพื่อนมาทั้งทีไม่ว่างได้ไงล่ะ อยากไปไหนบัญชามาได้เลยเดี๋ยวจัดให้ (ป้องปาก)หรือจะไปอย่างว่าอีก...............ด้-า-ย!  เรื่องเล็กขอให้มาจริงเถอะ ว่าแต่...แฟนมาด้วยรึเปล่า?.............อือ ก็สบายดีน่ะสิ ไม่ใช่พวกขี้โรคนี่ ว่าแต่นายเถอะยังไหวอยู่รึเปล่า หรือว่าหมดไฟซะแล้ว(หัวเราะชอบใจ).นี่นานแค่ไหนแล้วเนี่ยที่นายไม่ได้กลับมาเมืองไทยเลย........สองปีแล้วเหรอ อื้อหือ นานเหมือนกันนะ.....................ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ที่นี่เคยเปลี่ยนแปลงกะเค้าซะที่ไหนล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ต่อให้นายอยู่ที่โน่นอีกสักสิบปีหรือยี่สิบปีค่อยกลับมามันก็ไม่มีอะไรต่างจากเดิมหรอก เชื่อสิ....................เออๆ ไว้เจอกัน มาจริงๆ ก็โทรหาเราละกัน โอเค-บาย
หันไปพูดกับแฟนสาวที่นั่งอยู่ติดกัน
เพื่อนน่ะ รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูล ตอนนี้ไปทำงานอยู่เมืองนอก ไม่คิดว่าจะโทรมาตอนนี้นะเนี่ย  แกะขนมให้ซองดิ หิว บอกให้กินข้าวกันก่อนก็ไม่เชื่อ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก
ไอ้เอกเหรอ! มีอะไรวะ!.............จะชวนไปไดรฟ์กอล์ฟ กี่โมง?..................เอาเป็นซักห้าโมงเย็นได้ไหมล่ะ ตอนนี้ไปไม่ได้จริงๆ..................อะไรนะ! ก็บอกว่าไปไม่ได้จริงๆ ตอนเนี้ย เพราะกูกำลังดูหนังกับแฟนอยู่				
20 พฤศจิกายน 2549 23:09 น.

แมลงวันหัวเขียว 2

พีรเดช นวลสาย

แมลงวันหัวเขียวตัวอ้วนกลมตัวหนึ่ง บินฉวัดเฉวียนลอยตัวอย่างเริงร่ากลางอากาศ ในเช้าที่แสงแดดอุ่นฉายลงมาปะทะกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดพามาอย่างสม่ำเสมอ  มันไม่ได้สนใจรถยนต์สีแดงเพลิงคันเขื่องที่พุ่งผ่านมาบนถนนเบื้องล่างด้วยความเร็วสูง จนกระทั่ง...
     รถยนต์สีแดงคันนั้น พุ่งตรงเข้าประสานงากับรถยนต์สีดำอีกคันซึ่งแล่นสวนทางมา ความเร็ว-แรงของการปะทะทำให้ส่วนหน้าของรถยนต์ทั้งสองคันยุบย่นจนเกือบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกัน กระจกแตกเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยพุ่งกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง แรงอัดอากาศรุนแรงแผดเสียงดังกึกก้องสะเทือนไปทั่วบริเวณ
     เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบ เจ้าแมลงวันหัวเขียวบินตรงไปยังกองซากเศษเหล็กอย่างอยากรู้ มันบินฝ่าม่านควันบางๆ เข้าไปจนสามารถมองเห็นร่างชุ่มเลือดในรถสีแดงเพลิงได้ถนัดตา ร่างหนึ่งเป็นชายหนุ่มผิวขาวมีอาการสั่นกระตุกอย่างแรง 2-3 ครั้ง ก่อนจะพับแน่นิ่งไปกับที่นั่งคนขับ ส่วนข้างๆ กันเป็นร่างโชกเลือดของหญิงสาวแรกรุ่น ซึ่งเริ่มหายใจแผ่วแรงลงทุกขณะ
     เจ้าแมลงหัวเขียวมันไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาทีทั้งคู่เพิ่งจะทะเลาะกันใหญ่โต เมื่อหญิงสาวเป็นฝ่ายบุกมาที่คอนโดของฝ่ายชายด้วยน้ำตานองหน้า เพื่อจะบอกเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งกับเขา แต่กลับต้องพบว่าชายหนุ่มหน้าซื่อ ของเธอพาผู้หญิงอื่นมานอนค้าง เธอหวีดร้องสุดกำลังเสียง ทุกอย่างรอบตัวพลันสับสนอลหม่านไปหมด ราวกับว่าเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องอัดตัวกันเข้ามาและหมุนคว้างอยู่ในหัวของเธอ ไม่กี่วินาทีถัดจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบลง
     เป็นยังไงบ้าง? เสียงเขาถามสั่นเครือ เมื่อเธอค่อยๆ ฝืนลืมตาขึ้น
     อยู่ๆ หนูก็เป็นลมล้มพับไป ..พี่เป็นห่วงแทบแย่ ใบหน้าเขายังพร่ามัว บิดเบี้ยวเหยเก จนหญิงสาวต้องกระพริบตาถี่ๆ และหรี่ตาเพื่อปรับระยะชัด
     ทำไม..ทำกับหนูอย่างนี้? เธอพยายามเค้นเสียงแหบปร่าผ่านลำคอ
เขาก้มหน้าลงจูบบนหน้าผากของเธอ มันเป็นเหตุสุดวิสัย!
     พาผู้หญิงอื่นกลับมานอนที่ห้องเนี่ยนะ..?
     พี่ขอโทษ... ชายหนุ่มอึกอัก เมื่อคืนพวกไอ้อ๊อดมันชวนไปเที่ยว เมากันหนักไปหน่อย ไม่รู้ตัวเลยว่ากลับมาถึงห้องได้ยังไง?
     แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ?
     พี่ไม่รู้ชื่อด้วยซ้ำ สงสัยพวกนั้นมันแกล้ง
     แล้ว...มีอะไรกันรึเปล่า?
     ชายหนุ่มบ่ายหน้าหนีแทนคำตอบ  หญิงสาวถึงกับปล่อยโฮออกมาอีกรอบ เธอทุบหน้าอกของเขาเท่าที่จะเค้นแรงออกมาได้
     ทำไมทำกับกูอย่างนี้ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!
     ใจเย็นๆ ได้ไหม พี่บอกไปแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ เขารั้งข้อมือเธอไว้ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า
     ไม่ได้ตั้งใจ-ไม่ได้ตั้งใจ! มึงพูดเป็นกันแค่นี้ใช่ไหม๊? แล้วไอ้ที่อยู่ในท้องกูเนี่ยมึงก็จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจทำเหมือนกันใช่ไหม? หญิงสาวตบหน้าท้องตัวเองอย่างโกรธเกรี้ยว
     ตกลงหมอบอกว่า...
     กูท้อง! ท้องมาสองเดือนแล้ว ฮือๆ.. เธอตะโกนมาได้เท่านั้น น้ำเสียงก็แหบปร่าขาดห้วงไป
     ชายหนุ่มเองก็แทบหมดเรี่ยวแรงกับความจริงที่ได้ยินจากปากหญิงคนรัก เธอกำลังตั้งครรภ์ และแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเด็กในท้องนั้นคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เธอไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนอื่นเลยนอกจากเขา และเป็นไปไม่ได้ด้วยที่เธอจะทำอย่างนั้น เธอรักเขามากเกินกว่าจะกล้าทำอะไรนอกลู่นอกทาง    แต่...
     ทั้งเธอและเขายังเรียนหนังสืออยู่ เขาอยู่ปีสี่เทอมหน้าก็จะจบได้ใบปริญญาการันตีความสำเร็จ ส่วนเธอเพิ่งจะขึ้นปีสอง ที่สำคัญกว่านั้นพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายไม่เคยรู้เรื่องความสัมพันธ์ลับๆ นี้เลย เขาจึงนึกไม่ออกว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปชะตากรรมแบบไหนกันที่จะถาโถมเข้ามาหา
     น้ำตาชายหนุ่มเริ่มไหลซึมออกมาบ้าง ริมฝีปากของเขาสั่นเทา และรู้สึกเย็นสะท้านสันหลังราวกับยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ
     เราจะทำยังไงกันดี!  ตัวเขาเริ่มสั่นเทาตามแรงสะอื้น
      แม้จะโกรธ แต่แล้วหญิงสาวก็ใจอ่อนลง  เพราะเท่าที่คบกันมา นี่เป็นการครั้งแรกที่เธอเห็นเขาร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่ปิดบัง
     เธอรั้งร่างเขาเข้ามากอดรัด แนบใบหน้าต่อใบหน้าเข้าด้วยกัน ไออุ่นจากร่างกายอ่อนนุ่มถ่ายเทไปยังกายกำยำของเขา ฉับพลันความรู้สึกอย่างหนึ่งซึ่งเร้นตัวอยู่อย่างตื้นเขินในตัวของทั้งคู่ก็ถูกจุดประทุขึ้นมา และมันร้อนแรงจนแทบหลอมเธอกับเขาเข้าเป็นเนื้อเดียว

      ......................................................

     เจ้าแมลงวันหัวเขียวบินวนหย่อนตัวลงเกาะบนหน้าท้องของหญิงสาวที่กำลังหายใจแผ่วเบาขาดห้วง มันไม่มีทางรู้เลยว่าหลังจากกามกำหนัดรวบรัดนั้นจบลง หญิงสาวกับชายหนุ่มได้ตัดสินใจกันอย่างไร และมันไม่มีทางรู้เลยว่าใต้ชั้นผิวหนังบอบบางนั้น มีอีกหนึ่งชีวิตกำลังดิ้นรนต่อสู้กับจุดจบที่คืบคลานใกล้เข้ามาก่อนที่จุดเริ่มต้นจะทันได้เกิดขึ้น
     ในห้วงรู้สึกอันเบาบางเต็มทีหญิงสาวไม่รู้เลยว่ามีแมลงวันหัวเขียวอ้วนกลมตัวหนึ่งกำลังไต่ไปมาบนตัวเธออย่างน่าฉงน  เธอแว่วได้ยินเพียงเสียงบทสนทนาซึ่งแผ่วเบาราวกระซิบกระซาบมาจากปลายอีกด้านของอุโมงค์อันมืดมิด
     เราจะทำยังไงกันดี...เรายังไม่พร้อม
     ใช่! เรามีลูกกันตอนนี้ไม่ได้
      เราจะไปพึ่งใครได้ พ่อแม่รึ-พวกเขาไม่ฟังหรอก
     ขืนปล่อยเอาไว้เราสองคนมีหวังตายแน่
     มีทางเดียว!
     ใช่! มีทางเดียว!
     ...เราต้องเอาเด็กออก!
     .......................................................

     แค้กๆ อ่อก!
     เสียงไอสำลักของเหลวที่เล็ดลอดออกมาจากซากรถยนต์สีดำฝั่งตรงข้าม ทำให้แมลงวันหัวเขียวตกใจ มันรีบบินขึ้นจากร่างปวกเปียกของหญิงสาว และลอบสังเกตการณ์อยู่ในระยะปลอดภัย
     เจ้าของเสียงไอเป็นชายมีอายุแต่งตัวภูมิฐาน ซึ่งบัดนี้สูทไหมสีทองกับเสื้อเชิ้ตสีขาวใหม่เอี่ยมของเขากลับชุ่มโชกไปด้วยเลือด เขายังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น แค่เสี้ยววินาทีที่มองเห็นรถยนต์สีแดงเพลิงคันนั้นพุ่งตรงเข้ามา เสียงระเบิดก็แผดกึกก้องกัมปนาทขึ้น ฉับพลันทุกสิ่งรอบตัวเหมือนหมุนคว้าง แม้แต่ในหัวของเขาก็เหมือนอวัยวะทุกๆ ชิ้นถูกปั่นรวมเข้าด้วยกันอย่างรุนแรงก่อนจะดับวูบลงกระทันหัน
     เขารู้สึกง่วงและกำลังจะหลับเต็มทน เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บ้าชิบ! อีกแค่สองแยกก็จะถึงที่หมายแล้ว  ที่นั่น...ทุกๆ คนกำลังรอคอยอยู่ เพื่อแสดงความยินดีกับความยอดเยี่ยมของนักบริหารมือหนึ่งอย่างเขา รางวัลที่กำลังจะเดินทางไปรับเป็นเครื่องการันตีความสามารถของเขาได้เป็นอย่างดี มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะมายืนยังจุดที่เขาเดินทางมาถึงนี้ได้ แต่...
ดูเหมือนเขาจะมาได้ไกล้ที่สุดเท่านี้ โอกาสที่จะรับรางวัลนั้นด้วยมือตนเองเลือนลางเต็มทน เขาไม่สามารถขยับร่างกายส่วนไหนได้เลย นอกจากปล่อยให้มันกระตุกตามแรงสำลัก
     แมลงวันหัวเขียวบินโฉบเข้ามาสำรวจใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเป็นอันตรายสำหรับมัน  มันโฉบลงเกาะและไต่วนไปมาบนเน็คไทสีทองสุกใสบนคอของยอดนักบริหาร แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจมันแม้สักนิด ประสาทสัมผัสอันเลือนลางของเขากลับเห็นภาพหลอน เป็นภาพโล่ห์รางวัลนักบริหารแห่งปีกำลังลอยละล่องในอากาศ เขาพยายามเอื้อมมือคว้า แต่ไม่สำเร็จ มันลอยไกลออกไป ไกลออกไป...
     นอกจากนั้นเขายังได้ยินเสียงหัวเราะกังวานสดใสดังอยู่รอบทิศทาง เขาจำได้ว่ามันเป็นเสียงของเด็กสาวแรกรุ่นคนหนี่ง-เด็กสาวที่เขาแอบมีความสัมพันธ์และเลี้ยงดูไว้อย่างลับๆ เบื้องหลังประตูอันแน่นหนาซึ่งภรรยาของเขาไม่มีทางรู้เห็น ความจริงยังมีอีกหลายคนทีเดียวที่ต้องปิด ไม่อย่างนั้นแล้วมันอาจจะกระทบกับเส้นทางแห่งเกียรติยศที่เขากำลังเดินอยู่โดยตรง
     เขารักเด็กสาวคนนั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นเธอ นอกจากความเคว้งคว้างว่างเปล่าและเสียงหัวเราะก้องกังวาน
     เดี๋ยวก่อน!...ดูเหมือนจะมีเสียงดังหึ่งๆ แทรกเข้ามาด้วย!!
     เสียงนี้เสียดเข้าในโสตประสาทหญิงกลางคนผิวขาวผู้พันธนาการตัวเองด้วยเครื่องประดับราคาแพงลิบลิ่ว เธอเป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของยอดนักบริหาร อยู่กินร่วมชายคากันมาร่วมยี่สิบปี เขาทำเพื่อเธอและครอบครัวมาตลอด ชื่อเสียงเงินทองความสะดวกสบาย ชนชั้นทางสังคมล้วนมาจากเขา แต่กาลเวลาไม่เคยปราณีกับใคร มันเฝ้าดูและทดสอบทุกๆ สิ่ง มันค่อยๆ พรากเอาสิ่งที่เขาต้องการไปจากตัวเธอวันละนิดวันละน้อย จนที่สุดเธอกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่จืดชืดไร้ชีวิตชีวาที่สุดสำหรับเขา
     ไม่ใช่เขาไม่รักเธอ-แต่มันได้กลายเป็นความรักในอีกสถานะหนึ่งไปเสียแล้ว เป็นสถานะที่เธอจำต้องก้มหน้ายอมรับ
ไม่ใช่เธอไม่รู้ว่าเขาแอบมีคนอื่น-แต่เธอจำต้องทนเก็บเงียบเพื่อปกป้องสายใยอันเปราะบางของครอบครัวซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นเดียวที่เธอหวงแหนมากที่สุดเอาไว้ เธอไม่อยากทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของเขา  พอๆ กับไม่อยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนต้องกลายเป็นเด็กมีปัญหา  แม้แต่เน็คไทสีทองสุกใสบาดตาบาดใจเส้นนั้นก็ไม่อาจทะลายทำนบแห่งการอดกลั้นของเธอลงได้ ถึงจะรู้เต็มอกว่าเด็กสาวคนนั้นเป็นคนซื้อให้เขา
     ช่างเถอะ! ถ้าเหลืออดจริงๆ ก็ยังมีคลับชั้นสูงมากมายที่พร้อมจะปลดปล่อยความอัดอั้นของเธอได้ เธอเจอเพื่อนใหม่มากหน้าหลายตาที่นั่น!
เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน เขาหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อรู้จากเธอว่าลูกชายติดธุระ ไม่สามารถมาร่วมยินดีกับวาระสำคัญของพ่อได้ เขาไม่เห็นว่าอะไรมันจะสำคัญไปกว่านี้-มันเป็นแค่ข้ออ้าง ลูกชายมีหญิงสาวมาติดพันเป็นเรื่องที่พ่อกับแม่พอจะระแคะระคายอยู่บ้าง แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อพวกเขามีลูกแค่คนเดียว อะไรที่ลูกต้องการก็พร้อมจะประเคนให้อยู่แล้ว แต่ก็ดูเหมือนยิ่งให้ลูกก็ยิ่งห่างไกลออกไป
     ทั้งหลายเหล่านี้เป็นความลับของครอบครัว เป็นเรื่องที่ถูกปิดผนึกไว้อย่างมิดชิดยังส่วนที่ลึกที่สุด เพราะหากถูกแพร่งพรายออกไป เครดิตนักบริหารมือหนึ่งของสามีคงมีอันสั่นคลอน เขาผ่านงานบริหารคนมานับร้อยนับพันชีวิต แต่กลับต้องมาตกม้าตายเรื่องการบริหารครอบครัวตัวเองซึ่งมีสมาชิกหลักๆ อยู่แค่สามคน
.......................................................

     เธอรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน มันไม่ใช่ความเหนื่อยหน่ายอย่างที่เคยเกาะกินจิตใจของเธอมาตลอดหลายปีให้หลัง มันเป็นความเหนื่อยอ่อนอันแปลกประหลาดราวกับทุกลมหายใจเข้าออกในห้วงเวลานั้นจะเป็นลมหายใจสุดท้าย ตัวเธอกำลังจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด และดูเหมือนในโสตสัมผัสสุดท้ายจะมีเสียงดังหึ่งๆ เสียดแทรกเข้ามา
     เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวอ้วนกลมกระพือปีกลอยตัวขึ้น บินวนส่งเสียงดังหึ่งๆ รอบๆ กองซากเศษเหล็ก มันมีทีท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจบินโฉบสูงขึ้นไปในอากาศเพราะตกใจกับเสียงเอะอะแตกตื่นจากรอบทิศที่กำลังพุ่งตรงเข้ามายังจุดเกิดเหตุ
     มันไม่รู้หรอกว่า ความวุ่นวายที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพีรเดช นวลสาย