21 กรกฎาคม 2547 06:43 น.

อ่านสักนิด..ก่อนคิดฆ่าตัวตาย

พี่ดอกแก้ว

ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องเลวร้าย.......แต่การคิดฆ่าตัวตายนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า ในบรรดาสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย  มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่สุดที่สามารถดำเนินชีวิตไปให้เกิดความสุขและความเจริญได้   ด้วยความรู้ความเพียรที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม  อาศัยความอดทน ( ขันติธรรม ) และการรู้จักประมาณตนในการกินการอยู่  หรือจะให้แจ่มชัดยิ่งขึ้นก็คือ การรู้จักพอ นั่นเองจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่เหนื่อยหนักจนพักไม่ได้  และจบชีวิตลงด้วยความเลวร้ายดั่งที่มีเป็นข่าวกันอยู่เสมอๆ.
  
      
ท่านที่รักทั้งหลาย....โปรดคิดสักนิดชีวิตจะมีพลังใจ.        
อุปสรรคและความพ่ายแพ้.....เป็นบทพิสูจน์ถึงความอดทน   
     
ไม่มีใครไม่เคยชอกช้ำและจะชอกช้ำอยู่ชั่วชีวิต
เตือนตนเองอยู่เสมอ...อุปสรรคนั่นแหละท้าทายความสามารถ
เตือนตนเองอยู่เสมอ...ให้ขยันและมีความหวัง
เตือนตนเองอยู่เสมอ...ยังมีโอกาสสำหรับเราเสมอถ้าเราไม่ยอมแพ้
พลังของชีวิตและการแสวงหา...ปรากฏอยู่ในความไม่หวั่นกลัวอนาคต
ขอเพียงก้าวไปอย่างมั่นคง...และไม่ประมาทขาดสติ.   

   คนเราผิดหวังได้เสมอ...แต่อย่ายอมอยู่อย่างสิ้นหวัง 
 กำลังใจจาก  พี่ดอกแก้วค่ะ.
				
15 กรกฎาคม 2547 15:15 น.

เสียงกระซิบข้างหัวใจ ๕

พี่ดอกแก้ว

บ่อยครั้งที่คนเรารู้สึกผิดกับหลายๆอย่างที่ได้ทำลงไป
บ่อยครั้งที่เราอยากแก้ตัวใหม่  อยากที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต
นั่นก็เพราะตัวของเราเองยังไม่ดีอย่างที่เราคิดนั่นเอง
แล้วเราจะไปหวังให้คนอื่นๆเป็นได้ดังใจของเราได้อย่างไร 

การที่เราคบใครสักคนต้องใช้เวลามหาศาล.... เวลาเช่นนั้น
จึงมาแบ่งชีวิตของเราจากโลกที่เราเคยมีโอกาสทำสิ่งต่างๆตามอำเภอใจออกไป
เฉกเช่นการวาดรูปภาพด้วยสีน้ำมัน  ต้องอาศัยพู่กันหลายขนาด
อาจต้องใช้สีหลายประเภท  ต้องมีการลบ การแก้ไข วาดใหม่อยู่หลายครั้งหลายครา
แม้กระนั้นภาพที่ปรากฎออกมา  อาจไม่เป็นเหมือนที่เราฝันไว้ก็ได้
แต่การวาดรูปดังกล่าวอย่างน้อยก็ควรจะต้องมีอะไรสักอย่างที่ไปในทิศทางเดียวกันบ้าง
เช่นโทนสี  ถึงจะไม่ใช่โทนเดียวกัน  แต่ก็ไม่ควรขัดแย้งกันจนดูผิดไปจากความตั้งใจ
ดังนั้นถ้าจะเปรียบกับการคบหาสมาคมกันแล้วแม้ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันทุกอย่าง
แต่ก็ไม่ควรที่จะต่างกันไปทุกเรื่อง...  

หากแม้คนที่เราคบบางคนไม่ได้เป็นและไม่ใช่อย่างที่เราคิด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก..
เพราะบางทีก็ต้องปล่อยให้ชีวิตมันได้เรียนรู้บ้าง ขึ้นชื่อว่าคน มีทั้งดีบ้าง...เลวบ้าง
...ใช่บ้าง..ไม่ใช่บ้าง   จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เราจะต้องเกิดความปวดร้าวเลย..
เพราะจิตใจนั้นมีกลไกที่สลับซับซ้อนมีความรู้สึกที่ยากหยั่งถึง  
จนแม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถบอกอะไรได้ว่าตนเองเป็นอะไรไป... 
 ด้วยทุกคนรู้ว่า สิ่งที่เข้าใจยากที่สุด คือสิ่งที่ไม่มีวันเข้าใจ 

จิตใจคนเรานั้นอยู่เหนือการควบคุม ...เมื่อสุดความสามารถแล้วก็จงปล่อยมันไป
อย่าเก็บกลุ้มจนเป็นปัญหา....เพราะปัญหานั้นจะจับเราโยนเหวี่ยงเข้าไปขังในห้องมืดทึบอย่างแรง   แต่ทว่าพลาดไปก็ไม่จำเป็นต้องตกใจมากมาย 
จนเสมือนรีบร้อนหาทางออกมา
หยุดนิ่งๆ นั่งปรับใจ...ปรับอารมณ์..เสมือนปรับสายตาให้เคยชินสักพัก
การที่เราปลีกตนเองออกมาเงียบๆไม่มีคนรบกวน ทำให้เรามีเวลาทบทวนอะไรต่างๆมากขึ้นโดยให้กำลังใจตนเองด้วยความจริงว่า.. 

ห้องทุกห้องในโลกนี้ย่อมมีประตู  แต่เพราะความมืดมีมาก
จึงทำให้เราหาประตูนั้นยากสักนิด
จงอย่าท้อถอย...แสงสว่างที่ลอดมาจากช่องประตูอาจเลื่อนรางยิ่งนัก
แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่จะบอกเราได้ว่า...เรายังมีความหวัง
ด้วยเพราะแสงสว่างเพียงเล็กน้อยนั้นนั่นเอง.. 


ความจริงที่เราทุกๆคนไม่อาจโต้แย้งได้นั้น ก็คือ..
เราแต่ละคนมีความรักตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
มีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า....ทรงตรวจดูไปทั่วทิศทั้งปวงแล้ว ก็ทรงพบว่า
ตนเองนี่แหละเป็นที่รักของตน เพราะฉะนั้นเมื่อรักตนและมีความยึดชีวิตยิ่งอย่างนี้   สิ่งที่ต้องกลัวด้วยกันทั้งนั้นก็คือ...กลัวตาย 
เพราะความตายนั้น   เป็นสิ่งที่มาเด็ดเอาสิ่งที่รักยิ่งไป 
คือมาตัดรอนตน...ฆ่าตนนี้เองให้สิ้นไป 

หรือหากจะเปรียบชีวิตของคนเราก็เหมือนใบไม้...
ก็เป็นใบไม้ที่ไม่รู้วันร่วงหล่นของตนเอง
เมื่อถึงเวลาที่ปลิดขั้ว....ก็เพียงปลิดปลิวลงจากกิ่งก้าน
ใบไม้สีน้ำตาลที่ร่วงหล่นตามกาลเวลา ก็ได้ทำหน้าที่ของมันมาแล้วอย่างดี
หน้าที่ที่ได้เคยมอบร่มเงาให้ผู้คนได้พักพิง  เคยให้อากาศยามเช้า และให้ความสดชื่นอวดใบที่สะพรั่งให้ต้นไม้สวยงามและสมบรูณ์ ก่อนที่จะปลิดปลิวลงสู่พื้นดิน
หลากหลายเหตุผลที่ทำให้ใบไม้สีเขียวต้องร่วงหล่น
ด้วยเพราะแรงลม   และบางใบก็โดนเด็ดเล่น
จะเห็นได้ว่าทุกอย่างอยู่เหนือการคาดคิด...และเกินกว่าจะตั้งตัวทัน
เช่นเดียวกับชีวิตของเราทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่..ไม่อาจกำหนดวันสุดท้ายของตนเองได้
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันสุดท้ายด้วยกันทั่วถ้วน..
จึงไม่ควรลังเล ที่จะรอเวลาที่จะทำประโยชน์ให้กับโลก...
เพราะโลกไม่มีเวลาให้ใครมากพอ  



วันนี้เท่านั้น..วันนี้..จงเริ่มต้นเป็นร่มเงา เป็นที่พักพิง
เป็นทุกๆอย่างเท่าที่สามารถเป็นจงเริ่มหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้คนรอบข้าง
 คนทีเรารัก  คนที่เรารู้จัก..และคนแปลกหน้า
เพราะหากถึงเวลาดังเช่นใบไม้ใบนั้น
เราจะได้ไม่ต้องถามว่า....มีอะไรอีกไหมที่เรายังไม่ได้ทำ
เพราะกาลเวลา..ที่นำพาทุกอย่างมาสู่ชีวิต และก็พร้อมที่จะเอากลับคืนทุกวินาที....
จึงควรสะสมคุณค่าแห่งความดีให้มีมากขึ้นในตัวเองเถิด
เพราะขณะที่เราใช้เวลามากขึ้นๆๆ..ชีวิตของเราก็เหลือน้อยลงทุกที
ถ้าเราไม่สร้างประโยชน์ทิ้งไว้...สักวันชีวิตเราก็จะหายไปจากโลก
โดยไม่เหลืออะไรเลย... 

                               
                                                          ด้วยความปรารถนาดีเสมอค่ะ
                                                                         พี่ดอกแก้ว   				
19 มิถุนายน 2547 07:56 น.

มืดมน

พี่ดอกแก้ว

แหละถ้าใจมีอคติ 
ย่อมมองเห็นทุกสิ่งผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง 

ปรับปรุงจิตใจให้คลายทุกข์เถอะ 
เพื่อหนทางข้างหน้าจะได้สดใส 

ด้วยการมองใหม่อย่างใจเป็นธรรม 


ไม่มีใครสามารถจะอยู่บนจุดสูงสุดได้ตลอดไป 

คุณจะต้องตกลงมาอีกครั้ง 

แล้วจะด่วนกังวลไปทำไม 

ในเมื่อผู้อยู่เบื้องบน 
ย่อมรู้ดีว่ามีอะไรอยู่เบื้องล่าง 

แต่ผู้ที่อยู่เบื้องล่างสิ... 
ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องบน				
11 มิถุนายน 2547 22:09 น.

เรื่องวันอัฏฐมีบูชา

พี่ดอกแก้ว

  หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานใต้ต้นสาละในราตรี ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พวกเจ้ามัลลกษัตริย์จัดบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิด ที่มีอยู่ใน เมืองกุสินาราตลอด ๗ วัน แล้วให้เจ้ามัลละระดับหัวหน้า ๘ คน สรงเกล้า นุ่งห่มผ้าใหม่ อัญเชิญพระสรีระไปทางทิศตะวันออก ของพระนคร เพื่อถวาย พระเพลิง 

พวกเจ้ามัลละถามถึงวิธีปฏิบัติพระสรีระกับพระอานนท์เถระ แล้วทำตามคำของพระเถระนั้นคือ ห่อพระสรีระด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญลงในรางเหล็กที่เติมด้วยน้ำมัน แล้วทำจิตกาธานด้วยดอกไม้จันทน์ และของหอมทุกชนิด จากนั้นอัญเชิญ 


พวกเจ้ามัลละระดับหัวหน้า ๔ คน สระสรงเกล้า และนุ่งห่มผ้าใหม่ พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้ จึงสอบถามสาเหตุ พระอนุรุทธะ พระเถระ แจ้งว่า " เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะ และภิกษุหมู่ใหญ่ ๕๐๐ รูป ผู้กำลังเดินทางมาเพื่อถวายบังคมพระบาทเสียก่อน ไฟก็จะลุกไหม้ " 

ก็เทวดา เหล่านั้น เคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อน จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสปะอยู่ในพิธี 

ครั้งนั้นพระมหากัสสปะเถระ และหมู่ภิกษุเดินทางจากเมืองปาวา หมายจะเข้าเฝ้าพระศาสดา ระหว่างทาง ได้พบกับพราหมณ์คนหนึ่ง ถือดอกมณฑารพสวนทางมา พระมหากัสสปะได้เห็นดอกมณฑารพ ก็ทราบว่า... 

มีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น ดอกไม้นี้มีเพียงในทิพย์โลก ไม่มีในเมืองมนุษย์ การที่มีดอกมณฑารพอยู่ แสดงว่าจะต้องมีอะไร เกิดขึ้นกับพระศาสดา 

พระมหากัสสปะถามพราหมณ์นั้นว่า ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพระศาสดาบ้างหรือไม่ พราหมณ์นั้นตอบว่า พระสมณโคดมได้ปรินิพพานไป ล่วงเจ็ดวัน แล้ว 

"พระศาสดาปรินิพพานแล้ว" .....คำนี้เสียดแทงใจของพระภิกษุปุถุชนยิ่งนัก..... พระภิกษุศิษย์ของพระมหากัสสปะบางรูป... ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็กลิ้งเกลือกไปบนพื้น บ้างก็คร่ำครวญร่ำไห้ ว่า 

"พระศาสดาปรินิพพานเสียเร็วนัก" ส่วนพระภิกษุผู้เป็นอรหันต์ สิ้นอาสวะแล้ว ย่อมเกิดธรรมสังเวชว่า "แม้พระศาสดา ผู้เป็นดวงตาของโลก ยังต้องปรินิพพาน สังขารธรรมไม่เที่ยงแท้เสียจริงหนอ" 

....แต่ในหมู่ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนั้น เสียงของสุภัททะ วุฑฒบรรพชิตก็ดังขึ้น "ท่านทั้งหลายอย่าไปเสียใจเลย พระสมณโคดมนิพพานไปซะได้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่มีคนมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช ว่าสิ่งนี้สมควรกับเรา สิ่งนี้ไม่สมควรกับเรา" คำพูดของหลวงตาสุภัททะ เป็นที่สังเวชต่อ พระมหากัสสปะยิ่งนัก ท่านคิดว่า "พระผู้มีพระภาคยังนิพพานไปได้ไม่นาน ก็มีภิกษุบาปชนกล่าวจาบจ้วงพระศาสดา จาบจ้วงพระธรรมวินัยเช่นนี้ ถ้าเวลาผ่านไป ก็คงมีภิกษุบาปชนเช่นนี้ กล่าวจาบจวงพระธรรมวินัยเกิดขึ้นเป็นอันมาก" แต่ท่านก็ยั้งความคิดเช่นนี้ไว้ก่อน เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะกระทำสิ่งใดๆ นอกจากจะต้อง จัดการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเสียก่อน

เมื่อพระมหากัสสปะ และภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางมาถึงสถานที่ถวายพระเพลิงมกุฏพันธนเจดีย์แล้ว ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณ รอบเชิง ตะกอน ๓ รอบ พระมหากัสสปะเปิดผ้าทางพระบาทแล้ว ถวายบังคมพระบาททั้งสองด้วยเศียรเกล้า โดยท่านกำหนดว่าตรงนี้เป็นพระบาทแล้ว เข้าจตุตถฌาน อันเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกจากฌานแล้วอธิษฐานว่า 

ขอพระยุคลบาท ของพระองค์ที่มีลักษณะเป็นจักรอันประกอบด้วยซี่พันซี่ ขอจงชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ พร้อมทั้งสำลี ไม้จันทน์ ออกเป็นช่อง ประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าของข้าพระองค์ด้วยเถิด" 

มหาชนต่างเห็นความอัศจรรย์นั้น... ก็ส่งเสียงแสดงความอัศจรรย์ใจ เมื่อพระเถระและภิกษุ ๕๐๐ รูป ถวายบังคมแล้ว ฝ่าพระยุคลบาทก็เข้าประดิษฐานในที่เดิม 

ครั้นแล้วเปลวเพลิงก็ลุกโพลงท่วมพระสรีระของพระศาสดา ด้วยอำนาจของเทวดา ในการเผาไหม้นี้ ไม่มีควันหรือเขม่าใดๆฟุ้งขึ้นเลย 

เมื่อเพลิงใกล้จะดับ ก็มีท่อน้ำไหลหลั่งลงมาจากอากาศ และมีน้ำพุ่งขึ้นจากกองไม้สาละ ดับไฟที่ยังเหลืออยู่นั้น 

เหล่าเจ้ามัลละ ก็ปะพรมพระบรมสารีริกธาตุ ด้วยของ หอม ๔ ชนิด รอบๆบริเวณ ก็โปรยข้าวตอกเป็นต้น แล้วจัดกองกำลังอารักขา จัดทำสัตติบัญชร (ซี่กรงทำด้วยหอก) เพื่อป้องกันภัย 

แล้วให้ขึงเพดานผ้าไว้เบื้องบน ห้อยพวง ของหอม พวงมาลัย พวงแก้ว ให้ล้อมม่านและเสื่อลำแพนไว้ทั้งสองข้าง ตั้งแต่มกุฏพันธนเจดีย์ จนถึงศาลาด้านล่าง ให้ติดเพดานไว้เบื้องบน ตลอดทางติดธง ๕ สี โดยรอบ ให้ตั้งต้นกล้วย และหม้อน้ำ พร้อมกับตามประทีปมีด้ามไว้ตามถนนทุกสาย 

พวกเจ้ามัลละนำพระธาตุทั้งหลายวางลงในรางทองแล้ว อัญเชิญไว้บนคอช้าง นำพระธาตุเข้าพระนคร ประดิษฐาน ไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วย รัตนะ ๗ อย่าง กั้นเศวตร ฉัตรไว้เบื้องบน แล้วจัดกองกำลังอารักขาอย่างนี้คือ>.... "จัดเหล่าทหารถือหอก ล้อมพระธาตุไว้ จากนั้นจัดเหล่าช้างเรียงลำดับ กระพองต่อกันล้อมไว้ พ้นจากเหล่าช้างก็เป็น เหล่า ม้าเรียงลำดับคอต่อกัน จากนั้นเป็นเหล่ารถ เหล่าราบรอบนอกสุดเป็นทหารธนูล้อมอยู่" 

พวกเจ้ามัลละจะจัดฉลอง พระบรมธาตุ ตลอด ๗ วัน ต้องการความมั่นใจว่า ๗ วันนี้ แม้จะมีการละเล่นก็เป็นการละเล่นที่ไม่ประมาท 

หลังจากนั้น เมื่อข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระสรีระกลายเป็น พระบรมสารีริกธาตุแล้ว 

เหล่ากษัตริย์ในนครต่างๆ เมื่อทราบข่าว ก็ปรารถนา จะได้พระบรมธาตุไปบูชา จึงส่งสาสน์ ส่งฑูตมาขอพระบรมสารีริกธาตุ 

ด้วยเหตุผลว่า "พระผู้มีพระภาคของเรา" "พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น กษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์ เราจึงมีส่วนที่จะได้พระบรมธาตุบ้าง" เหล่ามัลละกษัตริย์ก็ไม่ยอมยกให้ ด้วยเหตุผลว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้า ปรินิพพานในเมืองของเรา" 

ดังนั้น กษัตริย์ในพระนครต่างๆ เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู จอมกษัตริย์แคว้นมคธ และกษัตริย์เหล่าอื่นๆ จึงยกกองทัพมา ด้วยหวังว่า จะแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ 

เมื่อยกกองทัพ มาถึงหน้าประตูเมือง ทำท่าจะเกิดศึกสงครามแย่งชิง พระบรมธาตุ 

ครั้งนั้น พราหมณ์ผู้ใหญ่คนหนึ่ง คือ โทณพราหมณ์ หวั่นเกรงว่าจะเกิดสงครามใหญ่ จึงขึ้นไปยืน บนป้อมประตูเมือง ประกาศว่า 

"พระผู้มีพระภาคเจ้า ของเรา ทรงสรรเสริญขันติ สรรเสริญสามัคคีธรรม การที่เราจะมาประหัตประหารเพราะแย่งชิง พระบรมธาตุ ของพระองค์ผู้ประเสริฐ ย่อมไม่สมควร 

ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย จงยินดีในการที่จะแบ่งกันไปเป็น ๘ ส่วน และนำไปบูชายังบ้านเมืองของท่านทั้งหลายเถิด เพราะ ผู้ศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีมาก" 
  

ในพระไตรปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตรได้กล่าวถึงเหตุการณ์ขณะที่โทณพราหมณ์ แบ่ง พระบรมสารีริกธาตุ ว่า 

[๑๕๙] หมู่คณะเหล่านั้นตอบว่า ข้าแต่พราหมณ์ ถ้าเช่นนั้นขอท่าน นั่นแหละจงแบ่ง พระสรีระพระผู้มีพระภาคออกเป็น ๘ ส่วนเท่าๆ กัน ให้เรียบร้อย เถิด โทณ พราหมณ์ รับคำของ หมู่คณะเหล่านั้นแล้ว แบ่งพระสรีระพระผู้มีพระภาค ออกเป็น ๘ ส่วนเท่ากันเรียบร้อย จึงกล่าว กะหมู่คณะเหล่านั้นว่า ดูกรท่านผู้เจริญ ทั้งหลาย ขอพวกท่าน จงให้ตุมพะนี้แก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้า จักกระทำพระสถูป และกระทำการฉลองตุมพะบ้าง ทูตเหล่านั้นได้ให้ตุมพะแก่โทณพราหมณ์ ฯ 


[๑๖๐] พวกเจ้าโมริยะเมืองปิปผลิวัน ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาค เสด็จปรินิพพาน ในเมืองกุสินารา จึงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์ เราควรจะได้ส่วน พระสรีระ พระผู้มีพระภาคบ้าง จักได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาค พวกเจ้ามัลละ เมือง กุสินาราตอบว่า ส่วนพระสรีระพระผู้มีพระภาคไม่มี เราได้แบ่งกันเสียแล้ว พวกท่านจงนำพระอังคารไป แต่ที่นี่เถิด พวกทูตนั้น นำ พระอังคารไปจากที่นั้นแล้ว ฯ 

ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่า อชาตศัตรู เวเทหิบุตร 

ได้กระทำ พระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาค ในพระนครราชคฤห์ 

พวกกษัตริย์ ลิจฉวีเมืองเวสาลี ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองเวสาลี 

พวกกษัตริย์ ศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ ก็ได้กระทำพระสถูป และการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองกบิลพัสดุ์ 

พวกกษัตริย์ถูลีเมืองอัลกัปปะ ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองอัลกัปปะ 

พวกกษัตริย์โกลิยะเมืองรามคาม ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลอง พระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองรามคาม 

พราหมณ์ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปกะ ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองเวฏฐทีปกะ 

พวกเจ้ามัลละเมืองปาวา ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองปาวา 

พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ก็ได้กระทำ พระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองกุสินารา 

โทณพราหมณ์ ก็ได้กระทำสถูปและการฉลอง ตุมพะ พวกกษัตริย์โมริยะ 

เมืองปิปผลิวัน ก็ได้กระทำพระสถูปและการ ฉลองพระอังคารในเมือง ปิปผลิวัน ฯ 
พระสถูปบรรจุพระสรีระมีแปดแห่ง เป็นเก้าแห่งทั้งสถูปบรรจุตุมพะ เป็นสิบแห่ง 

ทั้งพระสถูปบรรจุพระอังคาร ด้วยประการฉะนี้ 
การแจกพระธาตุและการก่อ พระสถูปเช่นนี้ เป็นแบบอย่างมาแล้ว ฯ 

พระสรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ แปดทะนาน เจ็ดทะนาน บูชากันอยู่ในชมพูทวีป 

ส่วนพระสรีระอีกทะนาน หนึ่งของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุรุษที่ ประเสริฐ อันสูงสุด พวก นาคราชบูชากันอยู่ในรามคาม 

พระเขี้ยวองค์หนึ่งเทวดา ชาวไตรทิพย์บูชาแล้ว ส่วนอีกองค์หนึ่ง บูชากันอยู่ใน คันธารบุรี 

อีกองค์หนึ่งบูชากันอยู่ใน แคว้นของพระเจ้ากาลิงคะ อีก องค์หนึ่ง พระยานาคบูชากันอยู่ ฯ 

ด้วยพระเดชแห่งพระสรีระพระพุทธเจ้า นั้นแหละ แผ่นดินนี้ ชื่อว่า... ทรงไว้ซึ่งแก้วประดับแล้วด้วยนักพรตผู้ ประเสริฐที่สุด 

พระสรีระของพระพุทธเจ้า ผู้มีจักษุนี้ ชื่อว่าอันเขาผู้สักการะๆ สักการะดีแล้ว 

พระพุทธเจ้าพระองค์ใด อันจอมเทพจอมนาคและจอมนระบูชาแล้ว อัน จอมมนุษย์ผู้ประเสริฐสุดบูชา แล้ว เหมือนกัน 

ขอท่านทั้งหลาย จงประนม มือ ถวายบังคมพระสรีระนั้นๆ ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นพระพุทธเจ้า ทั้งหลายหาได้ยากโดยร้อยแห่งกัป ฯ 

พระทนต์ ๔๐ องค์ บริบูรณ์ พระเกศา และ พระโลมาทั้งหมด พวกเทวดานำไปองค์ละองค์ๆ โดยนำต่อๆ กันไปในจักรวาล 



การบำเพ็ญกุศลเนื่องในพิธีวันอัฏฐมีบูชา 



การบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันอัฏฐมีบูชานี้ มีไม่กี่แห่งที่จัด 
เพราะในเมืองไทยมักไม่เป็นที่นิยม 

แม้สมัยก่อนอาจจะมีงานฉลองในพิธีวันอัฏฐมีบูชาบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ก็เลิกราไปมากแล้ว คงมีไม่กี่วัด เฉพาะในกรุงเทพ ที่ยังจัดพิธีเฉลิมฉลองในวันนี้อยู่ 

เช่นวัดราชาธิวาส วัดสุทัศนฯ วัดราชโอรส ฯ 
ส่วนการบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ก็เหมือนกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอื่นๆ มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และมีการเวียนเทียนในตอนค่ำค่ะ

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส 

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส 

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส 

ขอนอบน้อมถวายอภิวาท 
พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
ผู้ห่างไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง 

....เรื่องของวันวันอัฏฐมีบูชา ก็มีเพียงเท่านี้นะคะน้องๆของพี่ดอกแก้ว				
8 มิถุนายน 2547 22:36 น.

เสียงกระซิบข้างหัวใจ ๔

พี่ดอกแก้ว


                                          ในที่สุด...ช่วงเวลาของความร้อน 
                                ก็สิ้นสุดไปพร้อมกับสายฝนแรกที่สาดละออง 
                                              ภาพของฝนที่หลั่งเส้นสาย 
                                           แม้จะยังไม่มากระทบกับผิวกาย 
                                   แต่ก็ทำให้ใจเกิดความชื่นเย็นอย่างประหลาด 
                              แม้ในขณะนั้นจะอยู่ในห้องที่มีอากาศอบอ้าวก็ตาม 

                           ไม่ต่างกันเลยกับเมื่อครั้งที่มองฝ่าเปลวแดดไปในหน้าร้อน 
                                      แม้จะอยู่ในห้องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำ 
                  แต่ใจนั้นก็รู้สึกไม่ชอบที่ได้รับรู้ว่า...แดดแรงและอากาศร้อนจัดในวันนี้
                              การเปิดทวารเพื่อรับสิ่งต่างโดยขาดการพิจารณา 
                                 ทำให้มองข้ามความจริงที่เกิดขึ้นเฉพาะตน 
                 แล้วตัดสินใจเชื่อผิดๆซึ่งนำความทุกข์และความสุขอันจอมปลอมมาให้.... 

                                                ภาพของสายฝนที่ภายนอก 
                                        เพียงทำให้ความร้อนหายไปในช่วงนั้น 
                                     เมื่อฝนหยุดตก .......และตะวันทอแสงฉาย 
                                        ความร้อนก็ยังคงเกิดขึ้นได้ในหน้าฝน 
                                      โดยเฉพาะในช่วงก่อนฝนตกแต่ละคราว 
                                 แต่เพราะเราไม่ใส่ใจ ด้วยมองเป้าหมายที่ไกลกว่า 
                              ...ความร้อนอบอ้าวนั้นจึงดูเหมือนมิใช่อุปสรรคของชีวิต 


ชีวิตของเราก็เช่นกัน.. 
ในคราวที่ประสบปัญหาชีวิตทั้งการงานและครอบครัว
การมองไปให้ไกลจากตัวเอง มองโลกในมุมกว้าง 
มองไปยังสภาพแวดล้อมภายนอกที่สวยงาม 
ดุจเดียวกับการมองสายฝนความทุรนทุรายใจก็จะคลายลง ...

แต่เมื่อใดที่ละสายตา..จากสายฝนมาอยู่กับความเป็นจริง.......
ความรู้สึกของผิวกายที่ได้สัมผัสความร้อนก็จะเด่นชัดยิ่งขึ้นจนทำให้ใจรู้สึกได้ 


การมองชีวิตเช่นนี้..เป็นการแก้ไขปัญหาได้ชั่วคราว 
ไม่ต่างกับการทำสมาธิด้วยวิธีต่างๆ 
ที่สร้างอารมณ์ขึ้นมาใหม่ด้วยคำภาวนาเพื่อให้ใจสงบ 
เป็นการย้ายอารมณ์จากความเร่าร้อนไปสู่ความเยือกเย็นนั่นเอง 

การแก้ไขปัญหาตามความเป็นจริงก็คือ 
เผชิญกับความทุกข์นั้นด้วยการยอมรับเพื่อลดความรุ่มร้อนในใจ 
และแก้ไขด้วยความสามารถเท่าที่มี โดยมีความเข้าใจว่า 
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ย่อมมีขึ้นมาจากสาเหตุ 
และก็มีผลปรากฏอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น 
ดังเช่น ฤดูร้อนที่ผ่านพ้นไปเพราะสายฝนที่พร่างพรำ



การกำหนดรู้ด้วยสติปัญญา..
อย่างเท่าทันสภาพธรรมที่มาปรากฎตามความเป็นจริง 
สภาพการรู้นั้น...จะยุติความฟุ้งซ่านทั้งหมดทั้งมวล 
ให้คงอยู่ ณ จุดแห่งความรู้ที่กำหนดได้ 
สงบและผ่อนคลายจากความยึดมั่นที่เกิดขึ้น 
ใจก็ไม่กระเพื่อมไปในทุกข์และสุข 

เหมือนกับเราได้พบหน้าคนทั่วไปที่มิใช่มิตรและศัตรู 
เส้นทางสายชีวิตที่เดินร่วมทางไปกับความทุกข์ 
ด้วยความรู้จักกันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ 
ทำให้ชีวิตไร้ภาพลวงตาและอารมณ์ลวงใจได้ในที่สุด.


ท่ามกลางเหล่าชนที่มากมากหลากหลายความคิด 
ท่ามกลางกระแสเสียงที่บอกกล่าวออกไป 
ในสิ่งที่ตนยึดมั่นถือมั่น...ความคิดที่ต่างมุ่งหวัง 
เพื่อจะพาชีวิตของตนให้พ้นภัยไปกันถ้วนทั่วนั้น 
ต่างก็นิยมชมชื่นในอุดมการณ์อันเกิดขึ้นจากอุปาทาน 
ความเร้าร้อนจึงรุมเร้าชีวิตของคนเราอย่างไม่มีทางหยุดสนิทลงได้ 


   สำหรับคนจำนวนมาก สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้คับข้องใจเป็นอย่างยิ่งในชีวิตก็คือ 
                                     การไม่สามารถเข้าใจพฤติกรรมของผู้อื่นได้ 
                      เรามักมองพฤติกรรม ที่ขึ้นว่าเป็นความตั้งใจมากกว่าความบริสุทธิ์ ใจ 
                              เรามีแนวโน้มที่จะใสใจ ในพฤติกรรมไร้เหตุผลของคน 
                                              และเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองใจ 
                                    เป็นต้นว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ การกระทำต่างๆ 
                                            ความหยาบคาย ความเห็นแก่ตัว 
                                       ถ้าเราถือสาพฤติกรรมต่างๆ มากเกินไป 
                   เราจะรู้สึกว่าใครต่อใครสามารถทำให้ชีวิตของเรามืดมนได้โดยง่าย 


ด้วยเพราะความมืดบอดแห่งอารมณ์ที่มีอยู่อย่างซ้ำซากเช่นนั้น 
กระไรเลยเรายังมามัวเพิกเฉยต่อแสงสว่างที่ยังอำไพ 
เพื่อสาดทอดทางเดินอันเยือกเย็น สงบอันมีสุดทางที่..อมตะมหานิพพาน 
หยุดความหลงทางที่ถูกอำพร่างด้วยสุขวิปลาสกันเสีย 
แล้วหันกลับเข้ามาสู่เส้นทางอันสงบสุขกันเถิด 


                เพียงลงทุนสร้างเข็มทิศ..คือ..สัมมาทิฎฐิให้มีเกิดขึ้น 
                เพียรอาศัยทางบ่งชี้จากเข็มทิศนั้นไปสู่แสงสว่างกันเถิดคะ 


                         เสียงกระซิบนี้คงจะมีส่วนก้องกังวานในใจของทุกท่าน 
                                      ให้บุกบั่นฟันฝ่าความร้อนแห่งชีวิต 
                                              ได้รับพระธรรมคุ้มครอง 
                 ประดุจสายฝนที่ปะพรมลงบนดวงใจให้ชุ่มเย็นทั่วกันทุกท่านนะคะ 


                                               ด้วยความปรารถนาดีค่ะ  
                                                       พี่ดอกแก้ว.				
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟพี่ดอกแก้ว
Lovings  พี่ดอกแก้ว เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพี่ดอกแก้ว
Lovings  พี่ดอกแก้ว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพี่ดอกแก้ว
Lovings  พี่ดอกแก้ว เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพี่ดอกแก้ว