23 ตุลาคม 2556 16:41 น.

มิสู้เป็นชาติภมรผึ้ง

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

มิสู้เป็นชาติภมรผึ้ง

 

หยดน้ำค้างกลั่นเกล็ดวางเม็ดนี้

ราวมณีร่วงหล่นจากบนสรวง

เร้าผกาเบ่งช่อลออพวง

รึงรัดหน่วงดวงใจไล้ภมร

 

คราภิรมย์สมสุขรุกมาเสพ กามเทพง้างกลิ่นประทินศร

จ่อฤดีหอมฟุ้งจรุงขจร

ผูกภมรไซ้กลีบบีบหัวใจ

 

สุดโศกเศร้าเคล้ากลัดประหวัดข้า

แสนใจเจ็บเหน็บระอาจะหาไหน

สันนิวาสสิเหน่หาภัทราใจ

ฤาบุญไซร้หน่ายน้อยจึ่งคอยครวญ

 

มิสู้เกิดเป็นชาติภมรผึ้ง

จักได้ถึงมาลาบุหงาสวน

หมายจะมอบรักแรกทุกแมกมวล

ทุกช่อล้วนบินพรอดกอดภิรมย์

 

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ

12 มิถุนายน 2556 19:35 น.

แสงไต้บ่ใช้น้ำมัน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

แสงไต้บ่ใช้น้ำมัน
ริ้วแสงค่ำถามทางย่างก้าวกลับ
ประคองจบไต้ตะเกียงไฟเอียงไหว
เหนื่อยหรือเปล่าแม่บักน้อย*ยอดกลอยใจ
จูงไอ้ทุยลุยลายในค่ำแลง
สองฝั่งข้างทางเทียวก็เปลี่ยวแล้ว
มีแต่แก้วแมงค่ำร่ำเล่นแสง
กับหรีดหริ่งจักจั่นขานสำแดง
ด้วยเรี่ยวแรงจากน้ำค้างวางยอดใบ
หอมลำด่วนครวญคร่ำจำจากทุ่ง
กดกลิ่งคลุ้งสาบตมโคลนหล่มไหน
หอมเย็นเรื่อยเอื่อยอ้อยลอยรำไร
ปลุกแรงใจให้แกร่งมีแรงเดิน
อ้ายแบกไถเดินตามเจ้างามนัก
สุดที่รักเดินช้าช้าอย่าห่างเหิน
ไม้คานโค้งแอ่นนักคงหนักเกิน
ทุกท่าเดินราวย่องทำนองลำ
ลมหัวนาซาหลังประดังไล่
ลอดโลมไล้ซอกคอยังฉ่อฉ่ำ
หอมกลิ่นไอหมาดฝนปนลำนำ
เริงระบำกับลมที่โถมมา
นี่หากเช้าเนาว์ท้องผองทุ่งไร่
เราคงได้มองเห็นลมเล่นกล้า
ทุกซอกใบสายสั่นทั้งงานนา
เสียงซู่ซ่าคงเสนาะเพราะดังพิณ
"แม่บักหำ*เร่งจ้าวเข้าบ้านสา
ฟังเสียงฟ้าฮ้องขู่บ่ฮู้สิ้น
อีกจักหน่อยเบิ่งถ่อนฝนฮอนฮิน
สิได้กินน้ำเย็นเป็นแซบแฮง
สักหลังฝนคืนนี้ปลาคงขึ้น
มันสิบืนใส่กันมาขันแข่ง
ข่อยสิเอาไฟฉายไปไต้แงง
จับมาแกงสักต้มสู่บักน้อย*"
ความเหนื่อยล้าหักหายไปในค่ำ
ด้วยรักร่ำห่วงหาไม่ล้าถอย
สานสองแรงสองพักจักทยอย
ไม่รั้งคอยวาสนามาคอยชู
ใช่ชาวนาต่ำต้อยด้อยคุณค่า
ตราบใบกล้าอวดขจีสีเขียวอยู่
หนังและขนยังชุ่มขุมอนู
ข้าวก็อยู่เลี้ยงท้องของผู้คน
ลึกลึกแล้วชีวิตของชาวนา
ใช่เติบโตได้มาด้วยหยาดฝน
แต่เติบโตนั่นได้ด้วยเหงือตน
ที่ไหลหล่นรดข้าวเนาว์ท้องนา
ริ้วแสงค่ำถามทางย่างก้าวกลับ
ไฟตะเกียงบ่ดับลับดอกหนา
เพราะน้ำมันเติมไต้แต่ไรมา
ใช้น้ำใจชาวนา....เป็นน้ำมัน...
..............
*แม่บักหำ คือชื่อที่สามีชอบใช้เรียกภรรยา
บักน้อย คือชื่อที่พ่อแม่ชอบใช้เรียกลูกชาย
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
4 เมษายน 2556 16:32 น.

ดับลับ

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

รายกำแพงเสมาบุราณคร่ำ
ล้วนงดงามด้วยแสงตะเกียงไต้
พรรณพฤษาลดามาลย์ขรจขจาย
ทั้งเกษแก้วผกากรายดาษดา
เสกาเก่าคราวแม่แผ่กิ่งก้าน
ไทรโบราณระย้าย้อยห้อยสาขา
ดูอึมครึมทรนงทรงผกา
งดงามตาในสวนแก้วอุทยาน
ภัสมธุลีปนเกลือกกราย
แซมหินทรายรายเรียงระเบียงวิหาร
ดอกมะม่วงพลัดกิ่งทิ้งโรยบาน
โรยร่วงรานพรายหล่นปนลงมา
มองแหล่งฟ้าสุดขอบระยิบยับ
ดาราวับวามวาวเคล้าเวหา
ยางยวงเมฆรายห้อยย้อยลงมา
กับดาราราวมณีศรีแผ่นดิน
หลังตำหนักพรายฟ้าว่ายิบยับ
โคมอัจกลับเผยร่างต่างนกผิน
มโหรีหลั่นขนัดด้วยพายท์พิณ
วาทศิลป์พร้องกรับตีขับทรง
อุทยานสวนแก้วทางฟากนั้น
ลดามาลย์เอกผกามหาหงส์
ถัดไปอีกโถงห้องท้องพระโรง
ล้วนตระกานทรนงด้วยทรงไทร
ม่านอดีตปางเก่าเรียงเล่าเรื่อง
ผังแปลงเมืองโถงท้องตำหนักใหญ่
ศักดินาขุนนั่งทั้งนางใน
บัดนี้กลายเป็นซากศิลานั้น
กาลเวลาเลยล่วงไม่หยุดนิ่ง
สรรพสิ่งล้วนแต่เปลี่ยนแปรผัน
ซากศิลารายเกลื่อนเลือนปีวัน
มิแก่นมั่นจารีตอดีตกาล
แม้นวัดวาอารามงดงามแล้ว
ปรับเปลี่ยนแนวโครงสร้างวางรากฐาน
เพียงยืดความตั้งอยู่ให้อยู่นาน
สุดท้ายคลานสู่ดับลาลับไป
เพียงชิวิตมีความไม่แน่นอน
หวังอาวรณ์ยึดมั่นประการไหน
รอเวลาร้างลับดับครรไล
แก่นสารใดจักมั่นในวันลา
ไต้ตะเกียงส่องโรจน์กว่าโชติช่วง
จักค่อยหน่วงเปลวไต้หรี่ไฟหนา
แม้นไม่ต้องสายลมปมวายา
ก็ลับลาร้างลับกับเกลียวกาล
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
21 กุมภาพันธ์ 2556 21:03 น.

คึดฮอดนำคองหลัง

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

คึดฮอดนำคองหลัง

โอ่ยเด้...นอ...ควมเก่าบ้านเฮานั้น
เหลือแต่ฝันอ่ำคะนิงจิงแท้หนอ
ฮอยฮีตเก่าคองหลังคั้งเหง่ากอ
บัดมาพ้ออ่ำหล่ำในคำเว้า

เคยตื่นมาหอมหมกมันในควันไฟ
ใจสิขาดเอาหลายไหง่ขี้เถ่า
เหลียวบักเซียงเสี่ยงมันคันหลอยเอา
มันกะเว้าตาซังคั้งนั้นมา

เวลาหนาวเฒ่าเพิ่นพาเอิ้นฮ้อง
มาเปิดป่องเฮียนให้จ่ายผญา
*คันสูได้กั้งห่มเป็นพยา
*อย่าลืมคนคอนกล้าอยู่นาดอน

ข่อยเคยขี่เกียนฮ้างบุน้ำหมอก
งัวเคยหยอกเทียมเกียนไปซุบ่อน
ซังข้าวเขียวสุดตามาออนซอน
ผูกงัวนอนบัดสายสวยงายมา

แคนอีพ่อหล่อยฟังแต่ยังน้อย
ข่อยเคยหล่อยมาเป่าเลาถามหา
บักหำน้อยเป่าได้แต่ไดมา
กูสิหาให้มันจักอันดวง

เคยเป่าเลาะเลียบบ้านแถวย่านนั้น
เป่าทางสั้นทางยาวจนสาวหวง
อ้ายเซียงเอ๊ยม่วนหลายคักในซวง
นางอยากควงไปซ้อนออนซอนเด

แม้นม้อนไหมได้ฟังคั้งอ้ายเป่า
คือสิสาวมันได้ง่ายแถะเด๋
นางมีหวีมีแว่นสิแอ่นเซ
นางสิเอ้ใส่อ้ายไปนำแคน

บัดเอาบุญกฐินทานเฮาเนาะอ้าย
นุ่งซิ้นไหมสะโหร่งไหมไปฟ้อนแอ่น
บัดอ้ายเป่าดังดังฟังแล่นแตน
พ่อพระแถนคือสิมักคักแท้นอ

แสนคิดฮอดฮอยเก่าบ่าวนั่งเหงา
แววต่าเศร้าสุดแสนต่อแคนพ่อ
ห่างมากรำงานหนัก กทม.
บ่รู้โดนบ่หนอสิต่าวเมือ

คิดฮอดสาวหล่าคำของอ๋วนอ้าย
บ่าวพี่ซายฮักแพงแฮงเอาเหลือ
คันฮักเฮาจางเจิงบ่เกิ่งเกือ
ให้ตื่มเกือแหน่เด้อเจ้าผู้สาว

คิดฮอดเสียงคกมองบัดเหยียบทื้น
คึดอยากยืนตีถู่สะนูข้าว
ออนซอนป่นแพวผักฮักบ้านเฮา
ออนซอนเหล้าไหหมักฮักห่วมกิน

เคยเป่าแคนเลาะบ้านเสร็จงานนา
ลอยลมมาลอมแดดสุกลูกรังหิน
แจ่นแล่นแจสูเอ๊ยเคยได้ยิน
เหลือแต่กลิ่นมนต์หลังส่างเหลือใจ

เป็นบักหำส่ำน้อยขี่คอพ่อ
ตีนข่อหล่อพ่อเลี้ยงจนได้ใหญ่
เหลียวเบิ่งฟ้าอีเกิ้งเถิงหม่องใด
ฮักแฮงหลายอยากเมือคืนบ้านตน

สั่งอีกแม่บุญข้าวจี่สิเมือบ้าน
สิไปทานไปวัดขัดกุศล
แม่นแท้แท้สิไปเฝ้าผู้ลางคน
สิเป่าแคนจ้นจ้นจนม่วนใจ

...................
ข่อยนั่งฟังลายแคน"เลาะบ้านยามลมหนาว"
ของอาจารย์สมบัติ สิมหล้า 
เฮ็ดให้คิดเห็นคำเว้าคนเฒ่าในลายผลิต
ฟังเบิ่งเด้อท่านม่วนหลาย
http://www.youtube.com/watch?v=gAemqlQjKRI

....................
จากผญา
*คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งห่มเป็นพญา
อย่าสิลืมพ่อนาผู้ขี่ควายคอนกล้า*

ยามบัดนั่งฟังพนักงานเพิ่นเล่าควมหลัง
ข่อยเลยคิดฮอดบ้าน คิดฮอดแคนดวงเก่า
อีพ่อเลาสอนจนเป็นเป่าได้ คิดอำลำนำผู้สาว
ผู้อยู่บ้าน ป่านนี้สิเป็นจั่งได๋ ยังสิจำอ้ายได้บ่
คิดฮอดอีแม่เลาเคยเฮ็ดป่นปลาแซบหลายหลาย

กะจั่งว่าหละเนาะ คกมอง เกียนฮ้าง
ตอกไผ่ ดอกแห งัวเขาบักเล
บุญฮีตคองหลัง เคยเล่นเคยเอ้นำกัน
ย้านแต่สิมิดจ้อยบ่เหลือฮอย
แต่กะอดเสียดายบ่ได้ อดสายดายแนวเก่า
บัดสิได้ยินได้เห็นแต่ในคำเว้าของผู้เฒ่า
คิดเบิ่งแล้วกะคือเพินเว้า
"สุมื้อนี้...บ่ม่วนคือแต่เก่าเนาะคำ"

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
วันคิดอำลำนำบ้านเฮา				
6 มกราคม 2556 10:55 น.

คอยข่าวคราวคืน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

คอยข่าวคราวคืน

ริ้วลมหนาวตื่นสัญญาซานาน้อย
ลอมฟางคอยหยัดยืนคนคืนถิ่น
นกดอกซาดสะแบงหล่นลงปนดิน
หอมอวลกลิ่นเช้าตรู่อยู่ข้างปราง

หนาวน้ำหมอกเกาะเปื้อนเรือนใบหญ้า
ควายเสี่ยวนายังเพ้อละเมอสาง
ตื่นจากฝันขวัญนาหว่างฟ้าราง
แนบเนาว์ร่างพรมดอกน้ำหมอกนั้น

เผยเหมันต์วันหนาวเช้าใหม่เยือน
ซาหมอกเปื้อนชายแฝกชายคาขวัญ
แว่วกระดิ่งกริ่งอ่อนจากดอนตาล
คือควายขานไต่ถามการกลับมา

คุ้งควันไฟไรฟืนขึ้นยอดพร้าว
หนีลมหนาวหยอกย้ายส่ายเซหา
ควันข้าวจี่สีไหม้หอมกรายมา
กรุ่นไข่ทาปนน้ำอ้อยค่อยรวยริน

คนถึงคนใจร้ายหนีไกลบ้าน
สาวดอกจานหนีหน่ายไปไกลถิ่น
ลืมแล้วทิ้งสัญญาหล่ายุพิน
เจ้าดอกดินหมายฟ้าป่าดงปูน

หนอแพรวาสไบไหมลายมันเก่า
หูกไนเศร้าข้าวกล้าปลาร้าสูญ
น้อยกระดิ่งควายหาไห้อาดูร
น้ำเต้าปูนเหือดแห้งจะแล้งลา

บ่าวชาวนาร้องไห้ไม่ให้เห็น
สะอื้นเร้นหลบเศร้าเหงาหนักนา
บิดลอมฟางแค้นคั่งหลั่งน้ำตา
วาสนาบ่าวนั้นด้วยมันจน

หนาวลมเหนือเจือมาน้ำตาร่วง
เหน็บในทรวงมาร้าวหนาวอีกหน
ครั้นเอื้อมแขนทวยทอดกอดกายตน
ว้าเหว่จนลืมหนาวคราวเดียวดาย

ทิ้งรอยต่อกาลฤดูอยู่อ้างว้าง
ร้างรอยทางหว่างฝันจะพลันหาย
ซับน้ำตาพร่าพรางรดร่างกาย
ทิ้งสัญญาคาตายไว้ริมทาง

ห้ามหักให้ห่างเหินเกินห้ามนัก
ห้ามใจรักเหลือเกินต้องเมินหมาง
หนาวน้ำตาหน่วงหนักฤารักจาก
หวั่นรักร้างจำตรุอยู่ก้นใจ

รอยังรอรอคอยสาวน้อยกลับ
รับคอยรับบ่เลือนเดือนปีไหน
มองเหม่อมองสองฝั่งฟากทางไกล
ฤดูใดคอยข่าวสาวคอนคืน...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฟ้าฟื้า ธรรมชาติ