10 ตุลาคม 2548 22:37 น.

เล่ห์หญิง

ร้อยฝัน

       เขาก้าวลงจากรถ  รู้สึกแปลกใจอยู่ครามครัน  บ้านเงียบและมืดสนิท  ไม่มีแสงไฟส่องจากตัวบ้าน  เหมือนไม่มีคนอยู่ ... เมื่อตอนกลางวัน  หล่อนยังโทรศัพท์ไปหาเขา  บอกเขาว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ให้เขากลับบ้านเร็วขึ้น.. แต่ทำไมบ้านเงียบอย่างนี้  หรือหล่อนออกไปข้างนอก  ก็ไม่น่าใช่ ...เพราะกุญแจบ้านไม่ได้คล้องเอาไว้  หรือว่าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น
             เร็วเท่าความคิด  เขากระโจนลงจากรถ  รีบตรงไปที่ประตูบ้าน  กระชากประตูเปิดออกอย่างคนใจร้อน  ทันทีที่ประตูเปิดออก  เขาได้กลิ่นบุหรี่โชยออกมา
.... ใครสูบบุหรี่ ... เมียเขาน่ะหรือ  ไม่นะ  หล่อนไม่เคยสูบบุหรี่  ต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ..... นึกห่วงเมียขึ้นครามครัน  เข้าใช้มือลูปไปตามผนังห้องสะดุดเข้ากับสวิทซ์ไฟ  เขากดสวิตซ์ไฟ  ...  รออยู่ .. แต่ภายในบ้านยังมืดสนิท...ไฟดับ
              แก้ว แก้ว แก้ว  เขาร้องเรียกเมียอย่างเสียขวัญ  แต่ไม่มีเสียงตอบรับ  เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปในบ้าน  มองผ่านความมืดอย่างระแวดระวัง  เขามีไฟแช็กอยู่ในกระเป๋า  ... จึงรีบจุดมันอย่างลนลาน ...ไฟติดพอมีแสงสว่างให้มองเห็นอะไรบ้าง  เขาเดินจากประตูหน้าบ้านเข้าไปในห้องรับแขก ...  ไม่มีใคร  จึงเดินผ่านไปยังห้องนั่งเล่น  รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง  เมื่อเห็นร่องรอยของหนังสืออ่านเล่นหลายเล่มวางอยู่... เมียเขาคงอยู่ในห้องนี้.... หล่อนชอบห้องนี้มาก  หล่อนชอบหนังสือ  ทุกครั้งที่ไม่เจอหล่อน  เขามักจะหาหล่อนพบในห้องนี้...และเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้มุมหนังสือ ...  รู้สีกได้ว่ากลิ่นบุหรี่ฉุนจัดเหลือเกิน  เกิดอะไรขึ้น ... หรือหล่อนถูกทำร้าย   ด้วยความร้อนใจเขาชูไฟแช็กสูงขึ้นแล้วมองสำรวจไปรอบ  ๆ
             ร่าง ๆ  หนึ่งฟุบอยู่บนพื้น  ซบหน้าลงกับโซฟา  ใกล้ ๆ กันนั้น มีขวดเหล้า และที่เขียบุหรี่วางอยู่ข้าง ๆ  เขาเพ่งมองอย่างพินิจ  เมียเขานั่นเอง  วันนี้หล่อนสวมชุดนอนสีดำ  ปกติหล่อนไม่ชอบสีดำ วันนี้ดูแปลก
             เขาต้องแปลกใจมากยิ่งขึ้น  เมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้น  ดวงหน้าขาวดูซีดเซียว  ดวงตารื้นน้ำตา  หล่อนมองมาที่เขาด้วยแววตาที่ตัดพ้อ  แต่ไม่มีคำพูดสักคำหลุดออกมาจากปากหล่อน
             หล่อนพยายามประคองตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล  มองดูเขาด้วย
หางตา  ... แล้วเดินออกไป
              " แก้ว  แก้ว  เป็นอะไร  ทำไมร้องไห้"   เขาถามเมียอย่างเป็นห่วง  แต่ไม่ได้รับคำตอบจากหล่อน  หล่อนยังคงเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ  เขายกมือขึ้นเกาหัวอย่างงง  ๆ  แล้วเดินตามหล่อนไป  หล่อนเดินเข้าไปในห้องนอนปิดประตูเงียบ
             เขาเคาะประตู  ร้องเรียกให้เมียเปิดประตูให้  แต่ทุกอย่างยังคงอยู่ในความเงียบ ..  ไม่มีเสียงตอบรับ  ประตูไม่เปิด  เมียเขาเป็นคนโกรธแรง  หรือจะทำร้ายตัวเอง  เขานึกถึงการฆ่าตัวตาย  รับลนลานหากุญแจ  ไขเข้าไป
ในห้องอย่างร้อนรน  ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาสะท้อนใจ  ภาพที่เมียเขาร่ำไห้ ..กอดสมุดบันทึกสีน้ำเงินเข้มแน่น  มองมาที่เขาอย่างเฉยเมยเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ  ไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น ....  หล่อนคงโกรธเขาที่เขาไม่มาตามสัญญาที่ให้ไว้กับหล่อน  เขาก้าวเข้าไปยืนอยู่ใกล้  ๆ ดึงตัวหล่อนมากอด  แต่หล่อนนิ่งแข็งขืน  ลุกเดินออกไปจากอ้อมกอด  เขาดึงมือหล่อนไว้รู้ถึงพายุอารมณ์ลูกใหญ่ที่กำลังก่อตัว   ...  วูบหนึ่งเขารู้สึกโกรธ   ทำไมหล่อนทำเหมือนว่าเขาไม่เคยผิดนัด  ไม่เคยกลับดึก  วันนี้เขาถือว่าเขากลับเร็วเสียด้วยซ้ำไป  หล่อนเป็นบ้าหรืออย่างไร  ปกติแล้วเขากลับดึกทุกคืน  แต่หล่อนไม่เคยสนใจ  ไม่ว่าเขาจะกลับดึกอย่างไร  หล่อนยังยินดีทุกครั้งที่เขากลับถึงบ้าน  มิหนำซ้ำยังปรนนิบัติ จน  เหมือนกับว่าสิ่งที่เขาทำ  เป็นปกติสำหรับหล่อน  แต่วันนี้หล่อนกลับมีทีท่าไม่พอใจ  กินเหล้าจนเมามาย  สูบบุหรี่จนเหม็นคลุ้ง  แล้วยังเฉยชากับเขาอีก  เขารู้ว่าหล่อนรักเขามาก  มากเสียจนยอมทนทุกอย่าง  ขอให้เขาพอใจเท่านั้น  ตัวเขาเสียอีกที่ไม่เคยแสดงความรักอะไรต่อหล่อนเลย  และไม่เคยแน่ใจเลยว่าเขารักหล่อนหรือเปล่า  แต่ยังไงหล่อนก็เป็นเมีย  ง้อเสียหน่อย  ยังไงเขาก็ต้องอยู่กับหล่อนอีกนาน  แต่หล่อนกลับทำสะบัดสะบิ้ง  แกะมือเขาออก  หอบหมอน  หอบผ้าห่มเดินออกไปจากห้องนอนอย่างไม่สนใจ ใยดี
             เขามองร่างที่เพิ่งผละออกไป  บอกกับตัวเองว่าที่เขากลับบ้านช้า  ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป  มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องแก้ไขด่วน   เขาตรงเข้าไปขวางหล่อนไว้  แล้วกอดหล่อนแน่น  หล่อนสะบัดตัวออกแต่เขากลับกอดแน่นกว่าเดิม  หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา  เขาจูบที่หัวตารื้นน้ำตาเบา ๆ  ร่างกายที่แข็งขืนของหล่อนสั่นตามแรงสะอื้น  หล่อนสะบัดตัวให้หลุดจากอ้อมกอดเขา บอกเขาว่าพรุ่งนี้มีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเขา  แล้วเดินจากไป
                เขายืนงงอยู่พักใหญ่ จึงก้าวเข้าไปในห้องนอน  หล่อนจุดเทียนเอาไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือ  สมุดบันทึกสีน้ำเงินเข้มของหล่อนกางอยู่  หล่อนคงลืมไว้ตรงนั้น  เขาจึงเปิดอ่านดู
                    ถึง ลูกรักของแม่
                  วันนี้เป็นวันที่แม่มีความสุขที่สุด  แม่รู้ว่าหนูอยู่กับแม่  อยู่ในท้องแม่  วันนี้เป็นวันครบรอบวันแต่งงานของพ่อกับแม่ด้วย  หนูเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดของพ่อและแม่  ลูกรัก วันนี้แม่โทรศัพท์ถึงพ่อ  ให้พ่อหนูกลับบ้านเร็วขึ้น  พ่อรับปากแม่  วันนี้เราจะฉลองความสุขกัน  3  คน  แม่จะจัดโต๊ะสวย  ๆ มีดอกไม้  แสงเทียนที่อบอุ่น  บทเพลงเพราะ ๆ  เราจะเต้นรำกัน   ลูกกับพ่อคงชอบ  แม่จะไม่ลืมกุ้งแช่น้ำปลาของโปรดของพ่อหนู  แม่จะทำให้สุดฝีมือเชียว  รอพ่อกันนะลูก
                 ลูกจ๋าตอนนี้ก็ค่ำแล้ว พ่อของลูกก็ยังไม่กลับมา เราออกไปตามกันนะ  ให้พ่อแปลกใจเล่น
                 ลูกจ๋าลูกเห็นแล้วใช่ไหม  พ่อเขาลืมแม่  เขาอยู่กับคนรักเก่าของเขา  ท่าทางเขามีความสุขมากกว่าอยู่กับแม่  ให้แม่ร้องไห้เถิดนะ  แม่ร้องไห้กับหนูลูกรักของแม่
                 ลูกจ๋า  แม่ต้องขอโทษหนูมาก ๆ  แม่อยากจะทำอะไรก็ได้ให้มันสาแก่ใจ  ให้มันสมกับที่แม่โง่   พ่อของหนูไม่เคยรักแม่  ไม่เคย  ...  ลูกจ๋า ... สิ่งที่แม่ทำตอนนี้  แม่รู้ว่ามันไม่ดีต่อหนู  ต่อแม่  แต่แม่เสียใจ  ขอให้แม่กินเหล้าให้เมา  ให้ลืมทุกอย่าง  แม่ขอเป็นแม่ชั่ว ๆ  วันหนึ่ง  แล้ววันต่อ ๆ ไป  แม่จะไม่ทำร้ายลูกอีก  ทูนหัวของแม่  
                ลูกจ๋า  ลูกพอจะรับฟังแม่ได้ไหม   แม่อยากให้หนูรับรู้เหลือเกินว่า ตอนนี้แม่เจ็บปวดเพียงใด  แม่รักพ่อของหนูมาก  มากพอที่แม่จะยอมทุกอย่างที่ทำให้พ่อหนูมีความสุข  เรื่องของพ่อกับผู้หญิงคนนั้น  แม่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาเป็นคู่รักกันมานาน  แต่ต้องเลิกรากันเพราะพ่อมีแม่อีกคน  ลูกจ๋านานเท่าไหร่แล้วที่พ่อหนูกลับบ้านดึกทุกคืน  นานเท่าไหร่แล้วที่แม่เฝ้ารอ  วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่แม่จะทำอย่างนั้น  พ่อกับแม่คงต้องแยกทางกันจริง ๆ แต่แม่ก็ดีใจที่แม่ยังมีลูก  เราสองคนต้องทำเพื่อความสุขของพ่อ  พ่อจะไม่รู้เรื่องนี้ ไม่รู้ว่ามีหนูอยู่กับแม่
                ลูกจ๋า  ลูกเป็นดวงใจของแม่  แม่สัญญาว่าจะดูแลลูกให้ดีที่สุดจ๊ะ  แม่สัญญา  แล้วแม่จะเขียนถึงหนูทุกวัน นะ ลูกรักของแม่
                                                                       รักลูกที่สุด
                                                                             แม่   

               ทันทีที่อ่านบันทึกจบ   เขารู้สึกว่าสมองหนักอึ้งเหมือนมีหินถ่วง  เมียของเขารักเขามากขนาดนั้นเจียวหรือ  ทุกคืนที่เขากลับดึกดื่น  หล่อนรอเขาอยู่  หล่อนเป็นเมียที่ประเสริฐที่สุด  หล่อนกำลังจะไปจากเขา  เขาดีใจงั้นหรือ  เขาไม่แน่ใจว่าไม่มีหล่อนแล้วเขาจะมีความสุข  เขาคงยอมไม่ได้ เขาจะยอมให้หล่อนไปจากเขาไม่ได้
              ไวเท่าความคิด  เขาก้าวดุ่ม ๆ ออกจากห้องนอน เดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น  หล่อนอยู่ตรงนั้น  บนโซฟา  แสงเทียนที่ส่องมองเห็นร่างนั้นคุดคู้  ซบหน้านิ่งแนบเข่า  ตัวสั่นด้วยแรงสะอื้น  เขาเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ โอบร่างที่สั่นนั้นไว้ ซบหน้าลงบนแผ่นหลังหล่อน  น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอย่างเงียบ ๆ 
                "ผมขอโทษคนดี  ผมจะไม่ปล่อยคุณไปไหน  ผมจะไม่เจ้าชู้กับใคร  ผมรักคุณ  คนดี ... พูดกับผมสิ  ... พูดว่ายกโทษให้ผม"  เขาออดอ้อน
               หล่อนขยับตัว  เขาคลายแขนออก  หล่อนหันหน้ามองเขาน้ำตาไหลพราก  แทนคำตอบ  หล่อนซบหน้ากับอกเขา  เขากระชับวงแขนให้มั่นคงขึ้น  ให้สัญญากับตัวเอง  ต่อไปนี้เขาจะเป็นพ่อที่ดี  เป็นสามีที่ดีของหล่อน  จะรักหล่อนสมกับที่หล่อนรักเขา  พร้อมกับดึงหล่อนเข้ามากอดแน่นขึ้นอีก
                 หล่อนรู้ว่าน้ำตาของตัวเองแห้งแล้ว  เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา  หล่อนรู้ว่าแท้จริงแล้วสามีของหล่อนก็รักหล่อนเหมือนกัน  หล่อนยิ้มให้กับตัวเองในอ้อมกอดเขา  รำพึงกับตัวเอง  ... โถมิเสียแรงที่ลงทุนเปลืองเงิน  เปลืองน้ำตา  แค่ซื้อสมุดบันทึก  ซื้อเหล้า  ซื้อบุหรี่  ลงทุนเขียนนิยายรักหวานเลี่ยน  ลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกนิดหน่อย   แลกกับการได้สามีกลับคืนมา  มันก็คุ้มกันแล้วมิใช่หรือ 				
30 มิถุนายน 2548 18:14 น.

ฉัน..........เกลียด.......กรุงเทพ ฯ

ร้อยฝัน

         ฉันมาจากบ้านนอก  เมื่อ 2  วันก่อน  เพื่อเข้ามาสัมมนา ....พัฒนาตัวเองในเมืองฟ้า  เมืองอมร
           
           เริ่มต้น... จากการขับรถเข้ามา... พับผ่าสิ ... รถติดบนทางด่วน ... เป็นเหตุให้ ฉันกลับรถไปอีกเลน .... ผลก็คือ ...หลง ทาง  เสียเวลาไปเกือบ 2  ชั่วโมง
ด้วยเหตุที่ว่า....ฉันมาจากบ้านนอก  ..... ขับรถมีมารยาทเกินไป ........
            
           พ้นจากการจราจรอันติดขัดมาได้  ฉันก็ขับรถตรงดิ่งไปที่สัมมนา ....ขับลงไปชั้นใต้ดินเพื่อหาที่จอดรถ......โชคดีมีที่ว่าง.... ฉันตีไฟเลี้ยวเข้า....มีเก๋งราคาแพงปาดหน้า  เลี้ยวเข้าไปจอด .....ไอ้ เ.....ห.............(ฉันสบถ)
 
           ขับรถต่อด้วยความหัวเสีย.... ผ่านไปอีกหลายชั้น ... โชคดีมีที่จอด ...ไม่มีใครปาดหน้าอีก.... จอดรถแล้วขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 6 เพื่อสัมมนา  ผ่าเถอะ ช้าไป เกือบ  3  ชั่วโมง

          หลังจากสัมมนา  .... ฉันให้เพื่อนขับรถกลับ ... ตกลงกันว่าถ้ามีปัญหา..จ้างแท๊กซี่นำทาง... ค่าแท๊กซี่  กับค่าโทรศัพท์สอบถาม จส.100  แพงพอ ๆ กัน......(ฮา)
         
          ฉันไม่กลับไปด้วย .... มีธุระต้องทำต่อ....ชั่งใจระหว่างให้เพื่อนไปส่ง...กับนั่งรถเมล์  ....ฉันตัดสินใจนั่งรถเมล์.....

          ฉันได้ข้อคิดอีกอย่าง .....  จะนั่งรถเมล์ในกรุงเทพ ฯ ต้องฝึกวิ่ง 100  เมตร
พร้อม ๆ กับ ฝึกเล่นเก้าอี้ดนตรี 

         โชคดี ... ฉันได้ที่นั่ง ... แต่เหลือบไปเห็นสาวสวยนางหนึ่ง ...ตาข้างซ้ายปิดด้วยสำลี ...คงเจ็บตา...แต่ไม่มีของรุงรัง ยืนโหนรถเมล์ ...อือ  ...ฉันยังต้องไปอีกไกล ....เค้าไม่เป็นไรหรอก ...(เห็นแก่ตัว)

        ถึงที่หมาย....ฉันก้าวลงรถเมล์  หน้าเกือบคะมำ ... คงไม่มีใครเค้าถีบหรอก
เราช้าเอง  .... ก็เป้หนักออกอย่างนั้น(แก้ตัว)

        ฉันต้องนั่งมอเตอร์ไซด์เข้าไปในซอย  .... เอาวะเสี่ยงชีวิตกันหน่อย...ปาดซ้าย  แซงขวา  หัวใจอยู่ที่ตาตุ่ม ...เออถึงเร็วดี...ถ้านั่งรถเมล์  1  กิโลเมตร ต่อ 1 ชั่วโมง ยอมแลกด้วยชีวิต .....เอาก็เอา ....

        เอาข้าวของไปเก็บ  มีนัดกับเพื่อนต่อ (สาวสวย หนุ่มหล่อ)  ไม่นั่งแล้วมอเตอร์ไซด์  แค่ กิโลเดียวเอง .... ที่บ้านนอก เดินที่  7 - 8 กิโล  ไม่เห็นเป็นไร....เดิน.....

         ถึงจุดนัดพบเป็นห้างใหญ่  เหงื่อซ่ก  ทั้งร้อน ทั้งเหนียวตัว  เข้าไปตากแอร์  หาน้ำกินสักแก้ว....ในร้าน....ฟาสต์ฟู๊ด ....อือ...ลบคราบ....บ้านนอก

         กาแฟ แก้วนึง  60  บาท ที่บ้านกาแฟสด  คั่วใหม่  แถมแก้วใหญ่กว่า 
ราคาไม่เกิน 40  บาท  .... เกินไป ....กรุงเทพ ฯ

         เจอเพื่อน  คุย  กินข้าว  ....อือ.... กรุงเทพ ฯ  มีดีตรงนี้ .. ตรงที่ ...มีเพื่อนอยู่บ้าง...
         คุยกันไม่ดึกเท่าไร  .... แยกย้ายกันกลับ ... ใช้บริการมอเตอร์ไซด์อีกครั้ง... ไม่กล้าเดินกลับแล้ว ...กลัว... บ้านลึกในซอยเปลี่ยว....และที่นี่....กรุงเทพ ฯ

          กลับถึงที่พักอย่างปลอดภัย....หลับไม่สบาย ทั้งร้อน  ทั้งเหนียวตัว .....ในวันที่เมฆกล่ำฝนอย่างนี้  .... ที่บ้านนอก  อากาศเย็นสบาย  หลับได้สนิท... ไม่อยากตื่น .... แต่ที่นี่...ยังไม่ตีสี่ ชีวิตเริ่มต้น  เร่งรีบ ..ยิ่งวันที่ฝนจะตกอย่างนี้...
ทุกคนรีบมากเป็นพิเศษ....

          ฉันอาสาเดินไปซื้อกับข้าว....ด้วยอยากออกกำลังกาย... เป็นการออกกำลังกายที่เหนื่อยทั้งกาย ... ทั้งใจทีเดียว ...เดินหลบรถ หลบคน ...มากกว่านั้นหลบน้ำที่แฉะตลอดทาง.....

            ที่ปากซอยมีตลาด....คิดถึงบ้าน อยากกินข้าวเหนียวหมูปิ้ง....ด้วยคุ้นเคย...อือ ...ตัดใจไม่ซื้อ ... เตาปิ้งหมูอยู่ติดกับถังขยะใบใหญ่  มีแมลงวันไต่ตอม
กลิ่นขยะ  กลิ่นหมูปิ้ง แยกไม่ออก  พื้นข้าง ๆ แฉะ ๆ ด้วยน้ำ มีเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ วางกะละมังหมูหมัก  ....  มีหมาไร้ขนนอนหมอบสูดกลิ่นหมูปิ้งอยู่ข้าง ๆ  .... อื้อ ... ทำใจไม่ได้ ....ไม่กิน....

            เลยซื้อของสด  มาทำกินที่บ้าน  อย่างน้อยคงจะปลอดภัยมากกว่า
กลับถึงบ้าน....ทุกคนบอกว่าไม่รอกิน....กาแฟคนละแก้ว..ขนมปัง...กินไปวิ่งไป....พิลึก....คนกรุงเทพ ฯ

            สาย ๆ ทำกับข้าวกินคนเดียว...เหงา....จะออกไปเที่ยว....ชั่งใจอีกครั้ง
ร้อนอย่างนี้  นั่งดูทีวีที่บ้านดีกว่า...........

            รอจนเย็น ....จะกลับบ้านนอก .... ยังไม่มีใครกลับมา ...เก็บกระเป๋า ...อาบน้ำ  แต่งตัว.....นั่งรถมอเตอร์ไซด์(อีกครั้ง)  ออกมาจากบ้าน ......
มากรุงเทพ ฯ ทั้งที ไม่มีใครมาส่ง.....เฮ้อ....กรุงเทพ ฯ

            จากปากซอยต้องต่อรถตู้มาหมอชิต .....ที่บ้านนอก รถตู้  1 คัน นั่ง 12  คน อย่างมาก แต่ที่นี่  รถตู้  1  คัน นั่ง 20 คน พอดี (รวมคนขับ) ....  ใกล้ชิด...
อบอุ่น .........

            นั่งรถไม่ทันไร  ฝนตก  โอยชั่วโมงเร่งรีบของคนกรุงเทพ ฯ ......ตาย
ตั๋วยังไม่จอง ....เฮ้ย ...ไม่อยากอยู่กรุงเทพ ฯ ต่อ...กรรม

            ถึงหมอชิต  รีบกระเสือกกระสนไปซื้อตั๋ว ...ยิ้มแก้มแทบปริ...ไม่ใช่หน้าเทศกาล  ....ซื้อ 1  ที่นั่ง แถม 1 ที่นั่งฟรี  นั่งสบาย .....โอ  บ้านนอกของฉัน

            ถึงบ้านตอนเช้า  รีบตะลีตะลาน  แต่งตัวไปทำงาน ....เหนื่อยแทบคลาน
แต่ก็มีชีวิตรอดจนถึงบัดนี้ ......สวัสดีบ้านนอก

				
4 พฤษภาคม 2548 08:39 น.

ระเห็จ เตร็ดเตร่ เร่ร่อน รอนแรม

ร้อยฝัน

ระเห็จ  เตร็ดเตร่  เร่ร่อน  รอนแรม  โหอ่านแต่ชื่อ  ก็เสียวสะดือวาบ  อะไรมันจะไร้รัง  บ้านผุพัง จะพักพิง คงไม่มี  ละเหี่ยใจ (ว่าเข้านั่น)
         จะเริ่มยังไงดีล่ะ  ก็เราชอบเรียกตัวเองว่านักเดินทาง หายที่นั่น โผล่ที่นี่  ผลุบ ๆ  โผล่  เป็นผีไม่มีหลุม  อะฮ้า  ถึงคราวนี้  ก็ต้องจรลี  มีคำสั่งให้ระเห็จจากที่ทำงาน  ไปโผล่แถว  เมืองภูเก็ตโน่น  ไปทำงานสามวัน  แต่อะฮั้นลาพักร้อนต่อ  1 อาทิตย์  ที่ทำงานเค้าก็ให้ค่าเดินทาง  ค่าที่พัก  เบี้ยเลี้ยง  อิอิ  แต่ไม่ยักกะให้เงินเที่ยวแฮะ  (เจ้านาย  โค - ตะ - ระ - งก )  แรกเริ่มเดิมที  ตั้งใจจะไปรถไฟ   แฮะ  ๆ  ความเป็นคนดั้งน้อย  จะเข้าเมือง ก็สอบ  ก็ถาม  ถึงรู้ว่ารถไฟ  บ่ไปถึงภูเก็ตดอกเด้อ   เปลี่ยนแผน จะไปรถทัวร์  เข้ากรุงเทพ ฯ  แล้วล่องลงใต้  ไอ้เจ้าเพื่อนที่ไม่ได้รู้ใจ  แต่ดันนัดกันไว้  บอกอย่างเร็วไว  เฮ้ย นั่งรถไฟมาถึงบ้านข้า  ที่ลพบุรี  แล้วค่อยไปกันต่อ  ด้วยความเชื่อเพื่อนก็จะไปจองตั๋วรถไฟ  แต่ลืมคิดไป เป็นช่วงที่ฉันทนาจะกลับมากรุงเทพ ฯ  เต็มขอรับ  เต็ม  เลยนั่งรถจากชัยภูมิ  ลงที่  โคราช  แล้ว ก็โคราช ไปลพบุรี  เฮ้อ  (ถอนหายใจ  ไม่ใช่โล่งอก แต่เป็นปลง ขอรับปลง)  รถแน่นมาก  ร่างอันบาง(น้อย)  ถูกเบียด  ถูกอัด  กระดูกแทบป่น  แต่ก็ทนไป  เด็กรถก็สั่งชิดในหน่อยเพ่  ชิดในหน่อย  ห่างกันแค่ 4 - 5 เซ็น ยังบอกว่ามีที่ว่าง  เฮ้อ   เอากลับเค้าซี่
          การอัดแน่นกว่าปลากระป๋อง  ผู้ใหญ่อย่างเรายังพอทนไหว แต่เด็กเล็ก ๆ อย่างนั้นน่าเป็นห่วง ในรถคันนั้นน่าจะมีเด็กเล็กราว ๆ  2 - 3 คน  ส่งเสียงร้องกันจ้า  คนนั้นร้อง  คนนี้ร้องมั่ง  ทั้งรถระงมไปด้วยเสียงเด็กร้องไห้  และเสียงบ่น
          แต่ที่น่าสงสาร ที่สุดน่าจะเป็นเด็กที่อยู่ข้าง ๆ เราน่ะเอง  ถามแม่เด็กจึงได้รู้ว่าเด็กเพิ่งไปผ่าตัด ตกแต่งเพดานโหว่มา   ด้วยความสงสัย  อันเป็นนิสัยตั้งเดิมอยู่แล้ว  จึงถามถึงสาเหตุที่ต้องผ่าตัด  แม่เด็กเล่าให้ฟังด้วยความหดหู่ว่าน้องน้ำหวาน(ชื่อเด็กจริง ๆ) มีเพดานโหว่ตั้งแต่เกิด  ถามไถ่ไปเรื่อยจึงทราบว่า  ในช่วงท้อง แม่น้ำหวานเครียด  น้ำหวานจึงมีเหตุอันไม่ครบสมบูรณ์  แต่ยังไม่ปักใจเชื่อนัก  เลยโทรถามเจ้าคุณหมอเพื่อนยา  บอกว่าเป็นไปได้จริง  เฮ้อ เพิ่งรู้นะเนี่ย  ความเครียดร้ายกาจขนาดนี้  โชคดีเราเกิดมา มีเวลาเครียดน้อยจริงๆ
           นั่งปลงไป  กับความเมื่อยล้า จนถึงลพบุรี  เจ้าเพื่อนตัวดี เอารถตู้มารับ
พร้อมกับลากเราล่องลงไปกรุงเทพ ฯ ยังไม่หายเมื่อย มันก็บอกว่า จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว  พร้อมโดยสาร ไปกับการบินไทย  โห  มันเป็นความตื่นเต้นสุด ๆ 
เกิดมาจากท้องนา  เพิ่งจะก้าวขาไปขึ้นเครื่องบิน พยายามทำตัวให้กร่าง  ไอ้เพื่อนที่น่ารัก  มันก็บอกว่า  อย่าทำตัวบ้านนอก  เราก็เลยบอกไปนอกเทศบาล แต่ในเขาโว้ย   มันหัวเราะ  ไม่ทิ้งถิ่นเก่า เลย
           ก่อนจะขึ้นเครื่องบิน  เพื่อนมันลากไปไหนบ้างไม่รู้  แต่มีการตรวจอาวุธแฮะ  พอเราเดินผ่าน เครื่องมันร้อง ติ๊ด  ๆ  เค้าก็บอกมีคัตเตอร์  เฮ้ยรู้ได้ไง ขนาดเรายังไม่รู้เลย  เราก็เทมันหมดกระเป๋า  มีจริงแฮะ  คัตเตอร์เก่า  ๆ มันอยู่ได้ไงไม่รู้  เค้าก็ขออนุญาตอย่างนอบน้อมให้เราถอดใบคัตเตอร์  ด้วยความเป็นคนดี(ยังไม่หมด)  เราก็ยื่นให้  แต่ไงเจ้าหน้าที่อมยิ้ม  เราเหลือบไปดู  ต๊าย  อาย
คัตเตอร์ที่เราพกนอกจากจะเก่าแล้ว ใบยังสั้นกุด เหลือ สัก 2 เซ็นได้มั๊ง แถมขึ้นสนิมด้วย  เราเลยพูดเบา ๆ  ถ้าเอาไปจี้ใคร เค้าคงไม่กลัว แต่ที่จะกลัวน่าจะเป็นเค้ากลัวติดเชื้อบาดทะยักจากมีดมากกว่านะ   เจ้าหน้าที่สุดหล่อ(ลืมบอกตะแรก)
ยิ้มให้  โอ้ย บาดใจ คมยิ่งกว่าคัตเตอร์  อีกให้ตาย

           
                                                 (วันนี้พอก่อนไว้ตอนหน้าเน้อ จาเล่าให้ฟัง)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟร้อยฝัน
Lovings  ร้อยฝัน เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟร้อยฝัน
Lovings  ร้อยฝัน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟร้อยฝัน
Lovings  ร้อยฝัน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงร้อยฝัน