24 กรกฎาคม 2552 22:38 น.

นายหิ่งห้อยสะดุดรักเจ้าหญิงขนมปัง ตอนที่ ๒

ละไมฝน

ตอนที่ ๒


สองหนุ่มสาวกลับไปแล้ว 
ความเงียบเหงาครอบงำร้านขนมปังอีกครั้ง 
ฝนยังพรูพรำลงมาไม่ขาดสาย 
ข้าฯ เหน็บหนาวจนไม่อาจโบยบินไปแห่งหนใด ช่วงชีวิตหิ่งห้อยแสนสั้นนัก 
ข้าฯ ฝันจะได้รับไออุ่นจากเจ้าหญิงแสนสวย 
แล้วในที่สุดข้าฯ ก็เล็ดลอดเข้าไปทางหน้าต่างได้สำเร็จ 
ร้านขนมปังของเจ้าหญิง หอมอบอวลและน่าอบอุ่นนัก

ไม่มัวรีรอเลย ข้าฯ กระพือบินไปยังโต๊ะทรงกลมสีขาวนั้น
ไต่วนบนสมุดบันทึก พลางแอบอ่านบันทึกของเจ้าหญิง...

หิ่งห้อยตัวน้อย บินวนไปมา
แสงโคมน้อยวิบวับ อ่อนอ่อน
หิ่งห้อยน้อยใจในแสงของตัวเองหรือเปล่า
แสงวิบวับวิิบวับ จะส่งส่องแสงกระทบถึงดวงดาวไหมนะ

เจ้าหิ่งห้อย
ได้แต่บินวนไปมา ด้วยหวังว่าสักวัน
ดาวดวงนั้นจะรู้ตัว ว่ามีใครหลงรักดาวอยู่...
ในยามนี้...
หิ่งห้อยได้แต่แบกรับความรักไว้ในดวงใจเพียงลำพัง


เจ้าหญิงขนมปัง

ข้าฯ เขียนหนังสือไม่เป็น แต่ข้าฯ โต้ตอบเจ้าหญิงขนมปังทางสายตาว่า...

วิบวิบ วับบวับ
หิ่งห้อย ช่างอ่อนล้า 
เหน็บหนาวจัง...

ได้แต่ชะเง้อมองดาว
หิ่งห้อยเฉกเช่นข้าฯ ต้องจมน้ำตาตายแน่ๆ
หากวันใดดวงดาวที่ข้าฯรัก อับแสงลง

แสงดาวหลังม่านฝัน แจ่มใส แต่เปราะบางเหมือนแก้ว
ข้าฯไม่อยากเห็นแสงดาวใยแก้วแตกสลายตรงหน้า
สิ่งที่ข้าฯ ปรารถนาเพียงแค่
มีชีวิตอยู่นิรันดร์เพื่อเฝ้าชมดาวในคืนฟ้าใส...........หิ่งห้อย


ดูเหมือนเจ้าหญิงรู้ความนัยในใจข้าฯ อมยิ้มแก้มตุย ชำเลืองมองข้าฯ บินร่ายรำไปมา ดวงตากลมโตแจ่มกระจ่าง ฉายแววสดใสประหลาดล้ำ 
เจ้าหญิงเอื้อมมือเปิดหน้าต่าง แหงนมองฟ้ากระจ่างหลังฝน รำพันกับดวงดาวว่า...

แสงวิบวับวิบวับนั่น
คงเป็นดาวขี้เหงาอมยิ้ม
แสงอ่อนอ่อนของหิ่งห้อย
แม้เพียงวับวิบ
แต่ก็ช่วยยืนยันลมหายใจที่ยังเหลืออยู่
ลมหายใจแสนสั้นของหิ่งห้อย

ดาวดวงน้อยคงแอบน้อยใจ
รำพึงกับตัวเองว่า...
ใยฉันเป็นเพียงหินที่รอเพียงแสงตะวัน
ส่องเลยผ่าน เพื่อทอประกายแสงสว่างเจิดจ้า

ดาวขี้เหงาหลบอยู่หลังดวงจันทร์
สักคืน ดาวน้อยฝันจะส่องแสงวิบวับบ้างก็ยังมิกล้า

ได้แค่เพียงส่องแสงเล็กเล็กจากมุมไกลๆ แห่งจักรวาล
ดาวขี้เหงา...
วาดหวังเพียงทุกวันหิ่งห้อยไม่หมดแรง
บินวนวับวิบต่อไป
สักคืนดาวขี้อาย อาจเลิกเล่นซ่อนหากับจันทร์สีเขียว
ทอแสงกะพริบพรายถึงเจ้าหิ่งห้อย...

(โปรดติดตามตอนต่อไป)				
24 กรกฎาคม 2552 22:18 น.

แม่ฮวงข้าว

ละไมฝน

แม่ฮวงข้าว


เขียนโดย ละไมฝน

ตะวันตกค่ำคล้อย เณรน้อยแล่นขึ้นหอกลอง สองมือกำด้ามไม้ตีกลองแลงดังตุ้มๆ ตึงๆ ตุ้ม เสียงทุ้มกังวานไกลไปฮอดโคกดอนมดแดง แสงค่ำย่ำแลงเป็นสีหมากเขือขื่นสุก หว่านแสงทองส้มห่มทุ่งแม่ข้าวอุ้มท้อง ช่อดอกข้าวเหลืองงามลออตา ช่อใดเม็ดข้าวเต็มเต่งฮวงหน่วงหนัก คอต้นข้าวก็หักพับลงกับดิน ช่อใดเม็ดข้าวลีบน้ำนมน้อย ก็เอนลู่ล้อเล่นลม ยามลมโบยพัดเปลี่ยนทิศทาง จากตะวันตกไปสู่ตะวันออก 
ลมฝนเปลี่ยนเป็นลมหนาว หอบอุ้มอากาศหนาวแสน มาแทนที่ลมฝนโอบกอดทุ่งข้าวอยู่ ฝนเม็ดสุดท้ายกระซิบบอกหมู่ต้นข้าวในนาว่า...

 ลูกหลานแม่โพสพเอย...หมู่เมฆฝนต้องจากลาทุ่งข้าวเหลืองไปแล้วเน้อ ลมหนาวทางทิศตะวันเวินอ้อมข้าว จะพัดมาห่มคลุมทุ่งข้าวแทนเม็ดฝน หมู่แม่ข้าวตั้งท้องเอย...เจ้าจงเร่งออกเม็ดเต็มเต่งไวๆ ลมหนาวแล้งกับแสงแดดจ้า จะบ่มลูกข้าวให้สุกงอมเหลืองอร่าม ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้านเหนือบ้านใต้ แล้วทอดฮวงให้หมู่ชาวนาเก็บเกี่ยวเม็ดข้าวไปใส่ยุ้งฉาง...

หากสดับรับฟังเสียงสายลมได้ นางคงได้ยินสรรพสำเนียงเหงาเศร้า จากเมฆเก่าสั่งลาทุ่งข้าวบ้างดอกนะ 

ยามแลงนี้หนาวนัก ลมหนาวโบกพัดหยอกเย้าฮวงข้าวอ่อนย้อย กลิ่นดอกข้าวหอมละมุน มาตามลม ปานกลิ่นแก้มก้นเด็กทารกในอ้อมอกแม่พวงแพง กลิ่นดอกข้าวได้บอกเตือนหมู่ชาวนาว่า ฤดูกาลเก็บเกี่ยวใกล้มาฮอดแล้ว...หลังออกพรรษาลาพระเจ้า หมู่ชาวนาจะเริ่มจับเคียวเกี่ยวฮวงข้าว เก็บใส่ยุ้งฉางไว้กินไว้ทาน

หมอกลงลมนิ่งหนาว ตีนฟ้าตะวันตกเป็นสีแสดแดงแกมสีหมากสุก ปุยเมฆทาบทาเป็นแนวยาวพาดผ่านไปถึงครึ่งฟ้า แสงฟ้าจางลางเลือนในเงามืดฟ้าซีกตรงข้าม ฟ้าหม่นมัวด้วยม่านหมอกขาวห่มคลุมท้องทุ่ง ปานยักษ์กุมภัณฑ์ฤทธิ์ลือเดช อ้าปากกลืนกินทุ่งข้าวอย่างกระหายหิว...

นางแหงนเบิ่งฟ้า เห็นลมบนพัดปุยเมฆสีหมากสุกล่องลอยกระจัดกระจาย กลายเป็นผ้าอ้อมน้อยหมู่ผีฟ้าผีแถน แขวนอยู่ฮาวฟ้า ฮูปงามประหลาดตานัก

บ่นานฟ้าก็มืดอึ้ง คลี่ม่านหม่นห่มทุ่งข้าว นางหวาดกลัวขึ้นมาทันใด เมื่อหวนนึกถึงคำเตือนของยาย... 
ยายเฒ่าเล่าว่า...  ยามแลงหมู่ผีสินำผ้าอ้อมลูกน้อยเหยี่ยวใส่ มาตากอยู่เทิงตีนฟ้าตอนค่ำแลง พวกมันสิเก็บผ้าอ้อมยามตะวันจมดินนอนหลับ แล้วออกมาจับกินตับกินไตเด็กน้อย นางอย่าเพลินเบิ่งผีตากผ้าอ้อมจนค่ำมืดเด้อ อีหล่า

นางเป็นลูกชาวนา.. .แต่ว่านางบ่มีไฮ่นาเฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน เจ้าหนี้ยึดที่นาไปหลายปีแล้ว เงินที่ได้จากการกู้หนี้ยืมสิน ก็นำมาเยียวยารักษายายเฒ่าจนหมดสิ้น พ่อแม่จึงฝากนางไว้กับยายเฒ่า แล้วเดินทางไปทำงานก่อสร้างที่เมืองล่าง ยายสาอายุเจ็ดสิบห้าปีแล้ว หัวหงอกขาว หูหนวกหนัก ฟังเสียงระฆังบ่ม่วนคือเก่า เรี่ยวแรงอ่อนล้าลงทุกวัน กินบ่ได้ นอนบ่หลับสนิท ค่ำคืนฮ่ำฮ้องละเมอเฟ้อพก ยามดึกฝันเห็นแต่ญาติผีที่ตายจาก แห่มาขอส่วนบุญ 

แต่ว่าความห่วงใยหลานสาวนั้น ต่อลมหายใจให้เฒ่ามีชีวิตอยู่สืบไป แม่เฒ่ายังตายบ่ได้ ไปเมืองผีบ่ถูก ตราบใดที่นางยังน้อยอ่อนอยู่... 

นานก่อนแลงแล้ว นางเฝ้ารอผู้บ่าวอยู่เถียงนาน้อย ตั้งแต่ตะวันบ่ายก็บ่เห็นมา อีนางหล่ากลัดกลุ้มใจนัก ด้วยอยากบอกเล่าถึงความผิดปกติในร่างกาย ให้ผู้บ่าวฟัง... 

ยามนี้ค่ำมืดแล้ว นางคงจะรอคอยอ้ายหำน้อยบ่ไหว...
นางย่างไปบนคันนาที่รกเรื้อด้วยหญ้าหอม อวดกลีบดอก กระจิดริดสีม่วง ยามฝ่าเท้าย่ำเหยียบผ่านไป ต้นหญ้าหอมโชยกลิ่นเย็นชื่น หอมต่างกลิ่นอันละมุนของดอกข้าวใหม่ในแปลงนา ที่ทอดฮวงหนักโน้มลงดิน บ้างก็เอนลู่เป็นระลอกคลื่นตามแฮงลมพัด ข้าวใบคมบาง บางไหวพลิ้วลม เชื้อเชิญสาวน้อยนำฮวงข้าวงาม ไปบูชาพระแม่โพสพที่หอประทีป 

มือน้อยๆ ของนางเลือกต้นข้าวกำลังตั้งท้อง แล้วบรรจงตัดฮวงข้าวด้วยมีดเล่มน้อย ได้ฮวงข้าวอวบงามสามต้น เดินกลับบ้าน

ปีนี้พ่อใหญ่มิ่ง ผู้ใหญ่บ้านเลือกคำนางเป็นเทพธิดากวนข้าวทิพย์อีกปีแล้วเน้อ...
นางใจเต้นแฮง เมื่อได้รับเลือกเป็นเทพธิดาน้อย ถือไม้พายแฮกกวนข้าวทิพย์ ทุกวันนี้มีผู้สาวในหมู่บ้านบ่กี่คนดอก ที่หมู่ผู้เฒ่าชื่นชม และเชื่อมั่นในความเป็นสาวพรหมจารี นางเปรียบเหมือนช้างน้อยย่างงามเทียมยาย ยายสาเข้าวัดฟังธรรมนำฮีตนำคองอยู่บ่ขาด คำเว้านางก็อ่อนหวานจ้อยๆ นางน้อยนี้อยู่กับบ้านกับเฮือนว่านอนสอนง่าย ดุจม้อนไหมมีใยหุ้มห่อตัวนั่นแล้ว 

ค่ำมืดนัก แมงอีฮ้องเอิ้นอีเกิ้งเดือนหนาว ลอยเด่นเหนือช่อฟ้าใบระกา แสงนวลอ่อนหวานอาบลานวัด ดาดาวสกาวสุกฟ้าใส หมู่เด็กน้อยแล่นเล่นหยอกล้อกันม่วนซื่น หมู่ผู้บ่าวนมแตกพาน ผู้สาวนมน้อยแข็งเป็นไต นั่งจับคู่คุยกันใต้ฮ่มไม้เงาครื้ม 

เสียงลำสรภัญญะเอื้อนสำเนียงหวานปนเศร้า ดังแว่วมาจากลำโพงเครื่องกระจายเสียงข้างศาลาหอแจก(ศาลาการเปรียญ) ด้วยบทกลอนบูชาพระคุณข้าว... 
 มาลาดวงดอกไม้ มาลาดวงดอกไม้
นำมาถวายเพื่อบูชา....
บูชาแม่โพสพ บูชาแม่โพสพ
ที่เคารพและศรัทธา...

ขณะนั้นคนเฒ่าคนแก่ได้จูงลูกจูงหลาน ถือฮวงข้าวธูปเทียนออกมาจุดบูชาพระแม่โพสพ ที่หอประทีปด้านหน้าสิม(พระอุโบสถ)หลังเก่า ซึ่งมัคนายกวัดได้นำต้นกล้วยใบตองงาม ๔ ต้นมาทำเป็นเสา ยกพื้นสูง ปูลาดด้วยกาบกล้วยสด ตัดแต่งหัวแลท้ายรายรอบเป็นฮูปเรือหงส์งามวิจิตร เพื่อให้ชาวบ้านนำฮวงข้าวตั้งท้อง ธูป เทียน มาจุดบูชาบนหอประทีปแห่งนี้ในตอนค่ำคืน
นางแต่งกายชุดเสื้อแขนกระบอก สวมผ้าซิ่น พาดสไบผ้าผ้ายขาวสะอาด นั่งคุกเข่าอยู่ข้างยาย มือเล็กๆ กำฮวงข้าว ดอกไม้ ธูปเทียนจนชื้นเหงื่อ... 
ยายเฒ่าหันมาสะกิดแขนเตือนหลานสาว ให้จุดธูปเทียนบูชา 
 ปีก่อน ข้อยอธิษฐานขอแม่โพสพ บ่เห็นได้ดังใจเลย 
สาวอายุสิบหกเอ่ยขึ้น 
 นางอธิษฐานขอหยังล่ะ อีหล่า
 ขอโทรศัพท์มือถือ หมู่เพื่อนมีกันทุกคนแล้ว
 ก็อธิษฐานขอในสิ่งที่บ่จำเป็นนี่  
 แล้วอีหยังล่ะ ที่จำเป็นสำหรับเฮา อีแม่โต้น 
 ข้าวนั่นเด้ ขอให้เฮามีข้าวกิน มีข้าวใส่บาตรทุกมื้อ... อีนางหล่าช่วยยายอธิษฐานแน่เด้อ คำอธิษฐานของเฮาสองคน สิเฮ็ดให้ได้ในสิ่งที่หวังตั้งใจ

ดวงหน้างามงอง้ำ ปานไม้คันขอตักน้ำส่าง แต่แล้วนางก็จำใจพนมมือและหลับตาพริ้มตามยายเฒ่า 
อันว่าโลกนี้ ดีงามเพราะคนสืบสร้าง ชั่วฮ้ายเพราะคนทำลายล้าง เมืองบ้านล่มจม เพราะคนมักมากมักได้ พวกหมู่คนโกงกินหอบทองเต็มสองบ่า บ่มีความเพียงพอ มีกระทอใส่ก็เต็มล้น... หากว่านางอธิษฐานขอข้าวขอปลาจากแม่โพสพ ก็คงบ่ได้ตามคำขอ แม้นว่าพระแม่โพสพจะแบ่งปันเม็ดข้าวเต็มนาเป็นแสนส่วน แต่ว่าข้าวจะเต็มยุ้งฉางได้จั๋งได ในเมื่อยายบ่มีที่นาเฮ็ดกินสักแปลง 

เมื่อปักธูปหอม เทียนสว่าง วางต้นแม่ข้าวเหนียวตั้งท้องบูชาบนหอประทีปอันวิจิตรแล้ว ยายเฒ่าฟันบ่มีก็หันมายิ้มแต้ 
 อธิษฐานขออิหยังล่ะ อีหล่า
 ขอให้อีแม่ซื้อมือถือ แบบถ่ายฮูปได้ให้ซักเครื่อง... บักสี อีสา อีแพงมา มันมีกันทุกคนแล้ว ข้อยอายหมู่เพื่อนหลาย 

นางยังบ่เลิกล้มความมุ่งหวังตั้งใจนั้น

ยายเฒ่าได้แต่ยิ้มเหงาๆ สองตาหม่นมัวชื้นน้ำตา ด้วยสงสารเห็นใจหลานสาว เฒ่าโอบไหล่น้อย ๆ ปลอบประโลม แล้วจูงมือนางหล่าไปยังหอแจก พ่อเฒ่าคำน้อย พราหมณ์ประจำหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่กำลังช่วยกันจัดเตรียมข้าวของ ในพิธีกวนข้าวทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์อย่างคร่ำเคร่ง ส่วนประสมสำคัญในการกวนข้าวทิพย์ ได้แก่ ข้าวเม่า น้ำนมข้าว น้ำกะทิ นม เนย น้ำผึ้ง น้ำตาลอ้อย ถั่ว และงา เป็นต้น

นางนั่งพับเพียบข้างยายเฒ่า ฟังญาครูสุขเล่าถึงมูลเหตุการกวนข้าวทิพย์ว่า 

 เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลนานมา นางสุชาดาจอมศรี บุตรีคหบดีเศรษฐี ได้บนบานรุกขเทวดา ที่ปกปักฮักษาต้นไทรใหญ่ ขอให้นางแก้วได้สามีเป็นผู้สูงศักดิ์ มีชาติตระกูลเสมอดั่งกัน และได้บุตรธิดามีบุญญาธิการ ... เมื่อได้ตามสมประสงค์แล้ว นางแก้วจึงหุงข้าวมธุปายาสหอมสุกใหม่ ใส่ถาดทองนำไปถวายรุกขเทวดา พอนางสุชาดามาถึงต้นไทรใหญ่ ก็แลเห็นพระมหาบุรุษร่างสง่างาม ประทับอยู่ที่โคนต้นไทร นางคิดว่าพระองค์เป็นรุกขเทวดา จึงถวายข้าวมธุปายาส พร้อมทั้งถาดทองนั้น.... 
พอนางสุชาดาลากลับไปแล้ว พระมหาบุรุษก็เสด็จจากอาสนะ ถือถาดทองข้าวมธุปายาสไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงปั้นข้าวมธุปายาสรวมได้เป็น ๘๙ ปั้น เสวยจนหมด แล้วทรงลอยถาดทอง อธิษฐานว่า ถ้าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ถาดทองลอยทวนกระแสน้ำ.... พอพระองค์ทรงปล่อยพระหัตถ์ ถาดทองนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำไปไกลถึง ๘๐ ศอก... 

ถ้าหากถอดความตามธรรมาธิษฐานแล้ว ถาดทองนั้นก็คือศาสนาของพระพุทธองค์ แม่น้ำก็คือมนุษย์บนโลก คำสอนของพระศาสดา จะนำพาผู้คนไหลทวนกระแสโลกไปสู่พระนิพพาน คือความพ้นทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.

การกวนข้าวทิพย์เป็นบุญประเพณีบ้านเฮา ที่เฮ็ดสืบทอดกันมาตั้งแต่ปู่สังกะสาย่าสังกะสี ในวันดีขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ด ตรงกับบุญออกพรรษา พวกเฮาชาวบ้านหนองหิ่งหาย ได้ฮ่วมแฮงฮ่วมใจกันเฮ็ดกินเฮ็ดทาน ถวายผ้าจีวร จุดประทีปโคมไฟ และกวนข้าวทิพย์เป็นสิริมงคล ให้ญาติโยมมีอายุมั่นขวัญยืน ปราศจากโรคภัย ให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล ข้าวออกฮวงบริบูรณ์พูนผลทุกสิ่งทุกประการ....

บรรยายธรรมจบลง ญาครูใหญ่ก็นำพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เพื่อเป็นศิริมงคล หลังจากนั้นพ่อพราหมณ์ก็สวดสัคเค กาเม จะ รูเป... อัญเชิญเทวดามาชุมนุมร่วมพิธี นางเทพธิดาพรหมจารีทั้ง๔ ก็เข้าประจำกระทะกวนข้าวทิพย์ทั้ง ๔ ทิศ ถือไม้พาย ดอกไม้ธูปเทียน แห่รอบประรำพิธี ๓ รอบ ก่อนเริ่มกวนข้าวทิพย์

สาวน้อยทั้งสี่ในชุดผ้าขาวพิสุทธิ์ ห่มสไบเฉียงบ่า ท่าทีสงบสำรวมดูงดงามบริสุทธิ์...และใสสว่าง ท่ามกลางพระสงฆ์ และผู้เฒ่าผู้แก่ที่เฝ้ามองดูในพิธีอันศักดิ์ของหมู่บ้าน ด้วยสายตาชื่นชม... 

แต่ยามนี้ ใจของนางกลับหม่นหมอง ฮุ่มฮ้อน ผิดบาปในใจหลาย ที่บ่ได้บอกความจริงกับยายว่า นางประพฤติตัวเสียหาย...และน่าอายปานใด ในการชิงสุกก่อนห่าม แม้นว่าชาวบ้านบ่มีวันล่วงฮู้ถึงฮอยมลทินเปรอะเปื้อนกายใจนาง แต่นางหล่าก็ฮู้แก่ใจดีว่า เยื่อพรมจารีนางขาดแล้ว นางได้เสียสาวให้กับอ้ายหำน้อยที่กระท่อมน้อยปลายนา... 

และตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว คือดังฮวงข้าวตั้งท้องที่นางนำมาบูชาพระแม่โพสพในคืนนี้....				
28 มิถุนายน 2552 06:42 น.

ผีเสื้อละเมอ เพ้อหา ลดามาลย์

ละไมฝน

ผีเสื้อละเมอ  เพ้อหา  ลดามาลย์

แดดอุ่นอาบป่า ลำแสงอ่อนโยน ลอดกิ่งใบแมกไม้ลงมาจูบดวงหน้าชื้นน้ำค้าง นุ่มนวลราวกับมือหญิงสาวลูบไล้ สายลมยามเช้าล่องรินมาปลุกผมตื่นขึ้นมาอย่างเดียวดาย มันเป็นเช้าวันใหม่ที่สดใสทีเดียว ผมเหลียวมองภาพที่บรรจงวาดเมื่อคืน พลันใจหาย ... เมื่อเห็นความว่างเปล่าของเฟรมผ้าใบบนขาหยั่ง พู่กันหมาดหมาดสีน้ำมันวางบนถาดสี มีดอกกล้วยไม้ป่าสีขาวนวลช่อหนึ่งวางอยู่ตรงนั้นด้วย ผมจำได้ว่าหญิงสาวคนหนึ่งนำดอกกล้วยไม้มาฝากผมเมื่อคืนนี้ ผมพลิกกายจากเปลยวน หยิบช่อกล้วยไม้ที่พราวด้วยน้ำค้างขึ้นมาพิศดู กลีบดอกยังใหม่สด กลิ่นหอมเย็นจางๆ ชวนให้นึกถึงกลิ่นแก้มหญิงสาว ซึ่งมานั่งเป็นแบบให้ผมวาดรูปเธอเมื่อคืนนี้

ผมรู้สึกเงียบเหงา ... คิดถึงเธออย่างบอกไม่ถูก

หญิงสาวแปลกหน้า จากผมไปเมื่อดาวรุ่งแต้มขอบฟ้า ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ไม่มีโอกาสถามเธอด้วยซ้ำว่า ทำไมเธอจึงจากไปก่อนอรุณรุ่ง

สำเนียกแรกในเช้านี้ แทนที่จะเป็นเสียงกราวๆของของกระเช้าสีดายามต้องลมพัด กลับเป็นเสียงนกกระจิบคู่หนึ่ง ซุบซิบกันบนกิ่งไม้ใกล้ๆ กระต๊อบใบตองตึงที่ผมอาศัยอยู่ คล้ายกับว่าพวกมันกำลังนินทาชายผู้โดดเดี่ยวว่า .....

" ดูเจ้าคนขี้เกียจสันหลังยาวนั่นซิ เอาแต่นอนตื่นสาย เขาไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสหวานๆ ของหนอนตัวอ้วนๆ อย่างพวกเราหรอก "

" นั่นซินะ วันๆ เอาแต่นั่งอ่านหนังสือ วาดรูป แล้วก็เขียนบทกวีเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ไม่รู้จักทำมาหากิน ผมเผ้าหนวดเคราก็ยาวรุงรังยังกะฤาษีชีไพร "

คู่ของมันเสริมขึ้นบ้าง

" ฉันว่าเขาเหมือนคนบ้ามากกว่านะ"
นกกระจิบตัวแรกแย้งขึ้น แล้วพวกมันหัวเราะ และส่งเสียงร้องเพลงขับกล่อมผมบนกิ่งไม้นั่น

อันที่จริง มิใช่มีเพียงนกกระจิบคู่นั้นดอกที่เฝ้ามองผม ยังมีพวกสัตว์ป่าตัวเล็กๆ เช่น กระรอก กระแต หนูพุก หรือแม้แต่งูเขียว ที่ออกหากินอยู่รอบๆ บริเวณกระต๊อบตอง ยังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกมาสังเกตการณ์ชายร่างผอมบาง ท่าทางพิกล ผู้มาปลูกกระต๊อบ ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวเดียวดายที่ชายป่า ซึ่งเป็นอาณาจักรของพวกมัน อาณาจักรแห่งความสงบสุข โอบอ้อมด้วยอ้อมกอดขุนเขาเขียวทะมึน สัตว์ป่าบางชนิด ซึ่งผมมองไม่เห็นว่าเป็นตัวอะไร ทักทายผมด้วยเสียงร้องชวนขนลุก บางชนิดก็หลบๆ ซ่อนๆ ผลุบๆโผล่ๆ ดูกล้าๆ กลัวๆ นกบางชนิด ก็แสดงท่าทีก้าวร้าว ข่มขู่ผู้รุกล้ำอาณาเขตของพวกมัน

ในยามพลบค่ำ อันเป็นห้วงเวลาที่หิ่งห้อยป่าบินออกหาคู่ แสงของมันเปล่งประกายวูบวาบ ตรงโน้น ตรงนี้ ตามแนวป่าอันมืดมิด ราวกับดวงตาภูตผีปิศาจนับร้อยนับพันดวงที่จ้องมองผมอยู่เงียบๆ บางคืนผมก็ตกใจกลัวเสียงนกกระปูด ที่ร้องปูดๆ ดังมาจากเงาไม้มืดมิด ขณะสายลมพัดหวีดหวิว

คนเรา ... เวลาอยู่คนเดียวในความมืด บรรยากาศเยือกเย็นเงียบสงัด มักสร้างภาพจินตนาการหลอกหลอนตัวเองได้อย่างน่ากลัวเสมอละ

รู้มั้ย...กลิ่นกล้วยไม้ป่าหอมจางข้างกาย ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดเมื่อคืน 

มันเป็นเวลาดึกมากแล้ว ขณะนั่งเขียนบทกวีเกี่ยวกับป่าฤดูวสันต์ ผมรู้สึกง่วงเป็นบ้าเป็นหลัง พอเอนกายนอนบนเปลผ้าใต้ร่มไม้ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมหลังคากระต๊อบตอง ครู่เดียวก็ผล็อยหลับไป ในห้วงฝันครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น มีดวงหน้าซีดเซียวของชายหญิงนับสิบ ผุดพรายอยู่รายรอบกายผม จ้องมองมายังผมอย่างเงียบงัน

ตาหม่นเศร้าไร้แวว บนดวงหน้าหมองคล้ำ ซูบโรยโหยหิว ร่างกายผ่ายผอมสวมเสื้อม่อฮ่อมเก่าๆ ขาดหวิ่น ร่างเหล่านั้นราวล่องลอยอยู่ ...

ผมพยายามพลิกกายลุกขึ้น แต่ก็ขยับไม่ได้ ร่างถูกตรึงอยู่กับเปลผ้า ทรวงอกเหมือนถูกกดทับด้วยภูเขาหนักอึ้ง ครั้นจะเอ่ยปากทักถาม ก็คล้ายมีก้อนอะไรบางอย่างจุกที่ลำคอ แล้วมือเหี่ยวๆ เล็บแหลมคมเขียวคล้ำ นับสิบคู่ ก็ยื่นมาหยิกทึ้งร่างผมเป็นพัลวัน ประหนึ่งโกรธแค้นมานานปี

เมื่อมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ร่างผอมโซที่รุมหยิกทิ้งอย่างโกรธแค้นค่อยๆ ถอยห่าง และหายไปในราวป่า

ร่างที่ปรากฏขึ้นมานั้น เป็นหญิงสาวหน้าตางามอ่อนหวาน ดวงตาสงบเย็น ผิวพรรณขาวนวลราวกลีบดอกกล้วยไม้ป่าที่เธอถือมา ร่างอรชรห่มสไบสีตองอ่อน เปลือยไหล่อวบอิ่มกลมกลึงนัก 

หญิงสาวแปลกหน้า แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร เธอเหลียวมองเฟรมผ้าใบบนขาหยั่ง แล้วขอร้องให้ผมวาดรูปเธอ ... ผมไม่ลังเลเลยที่จะบันทึกความงามของเธอบนผืนผ้าใบ ด้วยปลายพู่กันอันพริ้วไหว ...

ดวงหน้าเรียวได้รูปงามอ่อนหวาน ในกรอบผมสีดำสนิทยาวสยายถึงกลางหลัง คิ้วโค้ง รับกับนัยน์ตากลมโต ดำขลับดูลึกลับ จมูกเล็กๆ โด่งพองาม ปลายเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากรูปกระจับเต็มอิ่มเฉดสีชาดสด มุมปากเย้ายวนชวนเคลิ้มฝัน 

ผมบรรจงวาดรูปเธอด้วยความรู้สึกดื่มด่ำ เปรมสุขจากสัมผัสทางสายตา เมื่อวาดแก้มก็คล้ายได้กลิ่นแก้มสาวอวลมา ยามระบายเรียวปาก ก็รู้สึกเหมือนว่าได้จุมพิตปากเธอ ครั้นวาดเรือนกาย ก็พลันรู้สึกประหนึ่งได้ลูบไล้เรือนร่างงามดุจนางในวรรณคดีนั้น ...

เมื่อวาดรูปเธอเสร็จเรียบร้อย เธอก็มอบช่อกล้วยไม้ป่าสีขาวให้ผม และล่ำลาจากไปเมื่อฟ้าใกล้สาง

กลิ่นน้ำค้างชื้นใบไม้ใบหญ้า เจือกลิ่นดอกกล้วยไม้ป่า หอมอวลอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ผมนั่งมองผืนผ้าใบว่างเปล่า ใจหายที่ไม่เห็นผลงานของตนเอง พู่กันเปื้อนสี วางบนถาดสีที่เปรอะเปื้อนนั้น บ่งบอกถึงร่องรอยของการวาดรูปเมื่อคืน รูปที่ผมวาดเลือนหายไปได้อย่างไรกัน ผมเอื้อมมือหยิบกล้วยไม้ช่อนั้นแนบแก้ม กลิ่นหอมอ่อนจาง เย้ายวนชวนให้คิดถึงกลิ่นแก้มหญิงสาวแปลกหน้ามิสร่างซา

ในห้วงภวังค์ที่กรุ่นอวลหอมหวานนั้น ช่างคลับคล้ายละม้ายความฝัน แต่มิใช่ภาพฝัน รู้สึกว่าหญิงสาวคนนั้นมีตัวตนจริงๆ ความงามของเธอยังตราตรึงในความทรงจำ ช่อกล้วยไม้ป่าคือหลักฐานแห่งความจริง

ภาพเธอกลับเลือนหายไปจากเฟรมผ้าใบบนขาหยั่งได้อย่างไร ผมไม่อาจวาดรูปเหมือนเธอได้ดังใจนึกอีกแล้ว 

หลังจากคืนนั้น เธอก็ไม่ย่างกรายมาที่กระต๊อบตองอีกเลย คงมีเพียงกล้วยไม้ป่าช่อนั้นทดแทนตัวเธอ ผมเก็บไว้อย่างทะนุถนอม แม้นว่ากล้วยไม้ช่อนั้นจะร่วงโรยเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาก็ตาม

บางทีจิตใจผมคงไม่บริสุทธิ์ สะอาดพอ ที่เธอจะหวนกลับมาพบกับผมอีกก็ได้ ...

.....................................................
ละไมฝน				
28 มิถุนายน 2552 06:25 น.

นายหิ่งห้อยสะดุดรักเจ้าหญิงขนมปัง ตอนที่ ๑

ละไมฝน

ตอนที่ ๑ หิ่งห้อยหลงรักดวงดาว



หิ่งห้อยคืนหนาว      ถามดาวหนาวไหม
ห่มฟ้าอำไพ     อุ่นไหมดวงดาว
ดาวหยาดวาดช่วง      ดาดวงเด่นหาว
ดวงตาดวงดาว      วิบวาววับแวม


หิ่งห้อยด้อยศักดิ์      หลงรักดาวแจ่ม
หมอกชื้นคืนแรม      อวลแก้มดาวรุ่ง
หิ่งห้อยเพ้อฝัน      รำพันกล่อมทุ่ง
อาจเอื้อมปรนปรุง      ดาวรุ่งทอฟ้า
โบยบินร่ายรำ      ระบำเริงร่า
ยั่วยวนดารา      ร่วงมายาใจ


หิ่งห้อยคืนหนาว      ถามดาวหนาวไหม
ครวญคร่ำร่ำไร      ห่วงใยดวงดาว
...........
นายหิ่งห้อย

ดวงดาวตอบหิ่งห้อย

ดาราล้าแสน     กลางแผ่นฟ้ากว้าง
เหงาเงียบอ้างว้าง      อาดูรเดียวดาย
ร่ำหามิ่งมิตร      เคยชิดไยหาย
กะพริบอวดพราย      แล้วกรายหลบจร

เคยเคียงคู่ข้าง      กลับร้างซมซ่อน
หิ่งห้อยน้อยซอน      ลิดรอนสายใย
แตกต่างนั่นหรือ      ที่ถือกั้นไกล
เพียรหลบพบไย      ห่วงไหมดาวราน
วอนอ้อนหวนคืน      พร่างคืนรื่นหวาน
หิ่งห้อยทวนกาล      เคียงขานราตรี

ดาวหมองครองฟ้า      ค้นหาคนดี
หิ่งห้อยอย่าหนี      หลบลี้ดารา
.......................
ดาวฟ้าคะเดีย      

หิ่งห้อยตอบดวงดาว

ใช่หลบหนีหน้า      ฟากฟ้าคืนฝัน
ใช่ท้อรำพัน      เพราะฝันฝ่ายเดียว

หมายมาดวาดหวัง     พลังเด็ดเดี่ยว
โบยบินดายเดียว      หลงฟ้าลืมกาล

เผลอหลับห่มหาว      ดวงดาวขับขาน
เพลงดาวร้าวราน      เยือกหวานจับใจ

แค่อาจเอื้อมแฝง      ชมแสงดาวใส
โอบดาวแนบใจ      กอดไว้นิรันตร์
...........
หิ่งห้อย

ข้าฯ คือหิ่งห้อยป่า ที่เพิ่งแทงปีกออกจากฝักดักแด้อันอึดอัดใต้พื้นดิน โบยบินสู่โลกใหม่ อันสดใสเสรี

มันเป็นเวลาพลบค่ำ ตะวันลับเส้นขอบฟ้าแล้ว คืนนี้ฟ้าพร่างพราว ดาวนับล้านดวงส่องแสงระยิบระยับ ยั่วเย้าหิ่งห้อยน้อยเฉกเช่นข้าฯ ใฝ่ฝันอยากบินขึ้นไปจุมพิตดาวฟ้าสักครั้งในชีวิตอันแสนสั้น ข้าฯ จึงไม่ลังเลเลยที่จะทะยานขึ้นสู่โค้งฟ้าเวิ้งว้างมืดมิด 

ณ ฟากฟ้าทางทิศตะวันตกนั้น ปรากฏดวงดาวสุกสกาวดวงหนึ่งส่องแสงนำทางแก่ข้าฯ และดูเหมือนว่า ดาวสาวพันปีดวงนั้นส่งยิ้มหวานมาถึงหิ่งห้อยหนุ่มด้วยเช่นกัน

 ดาวสาวจ๋า...เธอช่างงามสุกใสจัง ข้า ฯ ร้องทักทายอย่างชื่นชม
ดาวประจำเมืองยิ้มเอียงอาย
 ฉันงามเลิศปานนั้นเชียวหรือจ๊ะ เจ้าหิ่งห้อย
ข้าฯ พยักหน้ายืนยัน แล้วถามว่า

 เธอส่งยิ้มให้ใครๆ อยู่ตรงขอบฟ้าทุกค่ำคืนจนรุ่งเช้าเลยเหรอ
 เปล่าดอกจ้ะ...เจ้าหิ่งห้อย อีกหน่อยฉันก็จะหลบไปนอนพักเอาแรงแล้ว เพื่อว่าก่อนรุ่งเช้าฉันจะไปส่องแสงทางทิศตะวันขึ้นอีกครั้ง ถ้าเธอเห็นฉันตอนค่อนรุ่ง เธอยิ่งจะประจักษ์ใจว่า แสงของฉันสุกสว่างเพียงไหน 

 ส่องแสงเย็นตอนเช้ามืด ไม่หนาวบ้างหรือไรดวงดาว 

 ไม่หนาว ไม่เหงา เพราะฉันมีเพื่อนเยอะแยะเต็มฟ้า
 ข้าฯ ชักอิจฉาเธอแล้วสิ 
 แล้วเพื่อนๆ ของเจ้าหายไปไหนกันหมดล่ะ หิ่งห้อยหนุ่ม ดาวสาวร้องถาม 
 ยังหัวค่ำอยู่... พวกเขายังไม่ตื่นนอน

ปีกสีส้มอมเหลืองของข้าฯ กระพือบินสูงขึ้น พร้อมกับกะพริบแสงวิบวับเรืองรอง พลางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด รำพึงว่า  อากาศสดชื่นดีจัง บนฟ้ากว้างมีดวงตาดวงดาว วิบวาววับแวมเต็มไปหมด ข้าฯ ชักหลงรักดาวแจ่มเข้าแล้วละ

สายลมเย็นโชยมาวูบหนึ่ง พัดพาข้าฯ ถลาลงสู่ยอดลำพู ข้าฯ ตีลังกา 3 ตลบ แล้วทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งอย่างไม่ย่อท้อ 

ขณะนั้นเอง มีแสงดาวหยาดวาดช่วง วูบผ่านข้าฯไป พร้อมกับเสียงร้องเตือนด้วยอาทรห่วงใย

 เจ้าหิ่งห้อยจ๋า... ปีกเจ้ายังอ่อนหัด อย่าบินสูงนัก

ข้าฯ เหลียวขวับ เห็นแสงวาววูบผ่านลงสู่เบื้องล่าง ข้าฯ เอี้ยวตัวบินติดตามไป ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวดวงนั้น

 เธอตามหาใครอยู่เหรอ 

 ชีวิตฉัน ถึงคราวแตกดับแล้ว  

ดาวชราครางแผ่วมาจากพงพุ่มลำพู 

เสียงครวญของดวงดาวช่างร้าวราน เยือกหวานจับใจนัก

 เอ๊ะ! นั่นแสงเธอหายไปจริงๆด้วย... ข้าฯ อุทานประหลาดใจ  เจ้าทำผิดอะไรเหรอ ถึงถูกเฉดหัวจากฟากฟ้าลงมานี้ได้

 ดาวนอกรีตอย่างฉันชมชอบอิสรเสรี เลยแยกตัวจากกลุ่มเพื่อน ล่องลอยโดดเดี่ยวไปทั่วจักรวาล บังเอิญฉันพลัดหลงเข้าสู่วงโคจรของโลก เลยถูกดึงดูดลงมา

 ว้า...แย่จัง ข้าฯ ถอนใจอย่างหดหู่เห็นใจ
 ตอนนี้ถึงฉันจะอับแสง แต่ฉันก็มีความดีอยู่บ้างหรอกนะ รู้มั้ย...ฉันได้ช่วยมวลมนุษย์สมหวังในคำอธิษฐานมามากต่อมากแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นแสงดาวตกวาบลงมาจากฟากฟ้า

 พวกมนุษย์ได้ในสิ่งที่เขาหวังทุกคนมั้ย  เอ่ยถามด้วยความสงสัย

บางคนก็สมหวัง บางคนก็ไม่สมหวัง เพราะอธิษฐานไม่ทันช่วงเวลาแสนสั้น ที่แสงของฉันวาบผ่านม่านมืดมิด เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น 
 เธอช่างวิเศษจริงๆ... ยอมอุทิศตนเพื่อให้คนทั้งโลกสมปรารถนา

ข้าฯ พลันรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินดาวอับแสงสะอื้นร่ำไห้ใต้พุ่มลำพู ที่เหล่าหิ่งห้อยขี้เซาทั้งหลาย กำลังตื่นขึ้นมากะพริบแสงวิบวับ

 นับจากนี้ไป ฉันคงไม่มีโอกาสขึ้นไปกะพริบแสงบนท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อีกแล้ว 

 อย่าคร่ำครวญเศร้าโศกเสียใจไปเลย แม้ว่าเจ้าจะกลายเป็นเศษหินไร้ค่าจมอยู่ใต้พื้นดิน แต่เจ้าก็ยังมีหิ่งห้อยเป็นเพื่อน ข้าฯมีน้องๆ หิ่งห้อยนับร้อยนับพันกำลังฟักตัวอยู่ในดักแด้รอบๆ ต้นลำพูนั่น ดาวตกจ๋า...เธอทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุดแล้ว จงหลับพักผ่อนอย่างเป็นสุขเถิดนะ 

ข้าฯ ปลอบประโลม พลางบินไว้อาลัยไปรอบๆ ดาวดับ ขณะที่เหล่าจิ้งหรีดโหมโรงบรรเลงเพลงใสแสบแก้วหู 

ยามนี้ยังหัวค่ำนัก ดาวฟ้าร่วงลงมาดับหนึ่งดวงแล้ว แต่ยังเหลือดวงดาวระยิบระยับอีกนับล้านๆ ดวง ประดับห้วงเวหา ข้าฯ มิอาจทิ้งความฝันของหิ่งห้อยหนุ่ม ที่จะทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อบอกรักดวงดาวทุกดวง ก่อนจะลาลับโลกนี้ไป เนื่องจากข้าฯ มีช่วงชีวิตแสนสั้นเพียง ๒๖ วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ข้าฯ ยังมีความหวังอยู่ทุกลมหายใจ... และเชื่อมั่นว่าแสงดาวอันสุกใสบนฟ้า จักส่องสว่างนำทางท่ามกลางความมืดมิด คอยชี้นำทางคนสิ้นหวัง หลงทาง ให้ก้าวไปข้างหน้า ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิต โดยมีความมุ่งมั่นเป็นสะพานทอดนำไปสู่ฝันอันเจิดจรัส 

ช่างน่าแปลกนะใครๆ ก็ใฝ่ฝันอยากไขว่คว้าดาว...อยากเป็นดาวกันทั้งนั้น 

ข้าฯ กะพริบพรายแสงน้อยอวดดวงดาวรายระยับกลางเวหาอย่างร่าเริง 
ทันใดนั้นเอง ข้าฯก็ได้ยินเสียงร้อง เจี๊ยบๆ... แว่วดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ไกลแสนไกล

อ้อ...นั่นไง กลุ่มดาวลูกไก่ทั้งเจ็ดเป็นกระจุกบนท้องฟ้า ร้องเรียกหาแม่ดังระงม ฟังจับใจความว่า ดาวลูกไก่ทั้งเจ็ด ออดอ้อนอยากกินนมแม่ไก่

แม่ไก่บนสวรรค์...น้ำตาไหลพราก ระทมใจเพราะไม่มีนมให้ลูกกิน
 ลูกเอ๋ย...ถ้าหากแม่มีนมเหมือนดาววัวก็คงดีซินะ แม่จะให้พวกเจ้ากินนมตลอดทั้งคืน

ดาวลูกไก่ทั้งเจ็ดยังคงร้องเจี๊ยบๆ บนท้องฟ้าต่อไป

ขณะแม่ไก่ร้องกุ๊กๆ เรียกลูกๆ ไปซุกอกอุ่น 
 ลูกไก่ทั้งเจ็ด ทำไมพวกเธอถึงมาเป็นดาวอยู่บนฟ้าได้ล่ะ ข้าฯ ร้องถามดาวลูกไก่

 เพราะพวกเรากตัญญูรู้คุณ... ดาวลูกไก่ดวงหนึ่งตอบ ท่าทางคงจะเป็นพี่คนโต เพราะดวงใหญ่กว่าดวงอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่  อยากฟังเรื่องราวของเราหรือเปล่า

 อืมม์ น่าสนใจนะ
 เมื่อก่อนพวกเราอาศัยอยู่กับตายายบนโลกมนุษย์อย่างมีความสุข วันหนึ่งมีพระธุดงค์เดินทางมาปักกลดที่ชายป่า สองตายายจึงได้ปรึกษากันว่าจะฆ่าแม่ไก่ทำอาหารไปถวายพระในตอนเช้า พอแม่ไก่ในเล้าได้ยินเข้าก็ร้องไห้ พร่ำสอนลูกไก่ทั้งเจ็ดให้รักใคร่กลมเกลียวกัน... ตอนเช้าแม่ก็ถูกตาเชือดจริงๆ พวกเราทั้งเจ็ดจึงกระโดดเข้ากองไฟ ตายตามแม่ไก่ อานิสงค์ที่เราสละชีวิตเป็นอาหารแด่ผู้ทรงศีล ทำให้พวกเราขึ้นมาจุติเป็นดาวบนฟ้า

 พวกเธอช่างน่าศรัทธาจริงๆ 
มอ...มอ...มอ 

เสียงดาววัวร้องอยู่ใกล้ๆ ดาวลูกไก่นี่เอง

ข้าฯ หลบตาสีแดงแจ้ดของดาววัว ซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ชูเขาโค้งเหนือกลุ่มดาวนายพราน ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า เขาโค้งของดาววัวทำให้เกิดจันทร์เสี้ยวในคืนแรม แต่ตำนานกรีกกลับเล่าว่า หญิงสาวโฉมงามคนหนึ่งชื่อ ไอโอ แม้ว่าจะนางซ่อนร่างอยู่ในรูปวัว ทว่าเทพเจ้าซีอุสก็สามารถมองเห็นนาง และเกิดหลงรักเป็นบ้าเป็นหลัง จึงบัญชาให้ยูโรปา ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มรูปงามขึ้นขี่หลัง พานางข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาหาเทพเจ้าซีอุสที่กรีก ข้าฯไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมดาววัวจึงไม่ยอมใส่ยกทรง ปล่อยให้เต้านมยานโตงเตง เพราะดาววัวมัวแต่ให้นมลูกกินตลอดทั้งคืนนี่เอง...เสียงดูดนมจุ๊บๆ จั๊บๆ ดูน่ารักน่าชัง น่าอิ่มอุ่นดีจัง 

ขณะบินเพลินชมดาวบนท้องฟ้า ข้าฯ ก็พลันเหลือบเห็นเงาเมฆชุ่มอุ้มน้ำฉ่ำฝน ก่อเค้าทะมึนขึ้นมาแต่ไกล ดูดำหม่นมองหลากเป็นฉากเป็นชั้น ไหลเลื่อนเคลื่อนคว้าง กลบกลืนท้องฟ้าจนมืดมิด เมฆดำทะมึนบดบังท้องฟ้าดูราวกับอสูรร้ายกลืนกินดวงดาวบนฟ้าอย่างกักขฬะ 

วาบประกายแสงฟ้าพาดผ่านเมฆา แล้วกรีดเสียงก้องกังวาน ปานว่าฟ้าจะถล่มทลาย พายุฝนกรรโชกมาวูบหนึ่ง พัดร่างของข้าฯ ปลิวว่อนเสียการทรงตัว ข้าฯรีบหุบปีก ตีลังกาดิ่งพสุธาสู่พื้นโลกทันที

ร่างของข้าฯ ตกลงมาเกือบใจกลางเมืองเล็กๆ ในอ้อมโอบของขุนเขา ตรงหัวมุมถนน มีร้านเบเกอรี่สวยน่ารักร้านหนึ่ง ที่ออกแบบตกแต่งกลมกลืนกับธรรมชาติ สวยสะพรั่งด้วยไม้ประดับสีเขียวสด แต่งเติมเพิ่มเสน่ห์ด้วยน้ำพุ อ่างบัว และประติมากรรมรูปปั้นต่างๆ ตรงนี้ตรงนั้น ดูกลมกลืนงดงาม ด้านหลังร้านเล่นชานระเบียงลดหลั่น ตามเชิงลาดของชายเนิน ลงไปจนจรดลำธารใส 

กลิ่นดิน กลิ่นใบไม้ต้องฝน แกมกลิ่นน้ำลำธาร หอมซ่านเย็นเข้ามาในลมหายใจ ราวกับว่าลำธารสายนี้ไหลมาจากทางช้างเผือก 

ฟากฝั่งตรงข้ามด้านโน้น รายเรียงด้วยแมกไม้อันพร่างฉ่ำด้วยหยาดน้ำค้าง...

ฝนโปรยสายลงมาแล้ว ข้าฯ รีบบินไปหลบฝนใต้ชายคาร้านเบเกอรี่อันเงียบเหงา

สายตาข้าฯ มองลอดผ่านกระจกใสเข้าไปในร้านที่ตกแต่งสวยหวาน โทนสีขาวอบอุ่น ที่มีแซนด์วิซ เพสตรี้เค้ก คุกกี้ และขนมปังสไตล์ยุโรปมากมายบนชั้นวาง หากข้าฯ บินเข้าไปวนเวียนอยู่ภายในนั้น คงได้กลิ่นขนมปังหอมอบอวลไปหมด ข้าฯ เหลือบเห็นหญิงสาว ผมยาวประบ่าคนหนึ่ง รูปร่างทรวดทรงงามยังกับนาฬิกาทรายแน่ะ หล่อนแต่งกายด้วยเสื้อแขนล้ำสีครีม กางเกงขาลีบสีเทา สวมกำไลเงินเก๋ไก๋ เสียงกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง หล่อนเดินมาทรุดกายนั่งที่โต๊ะกลมสีขาวริมหน้าต่าง ซึ่งวางถ้วยชารสราสเบอรี่หอมกรุ่น เคียงด้วยขนมปังสโคนเนื้อนุ่มในถาดหวายเล็กๆน่ารัก กลิ่นชารสราสเบอรี่ล่องลอยลอดออกมาทางหน้าต่างที่แง้มปิดไม่สนิทนัก 

สีหน้า ท่าทางหล่อน บ่งบอกว่าเบื่อหน่ายสายฝน ที่โปรยปรายลงมา ทำให้ร้านร้างลูกค้าในค่ำคืนวันหยุดอันเงียบเหงา 

และแล้วแสงวิบวับนอกหน้าต่าง ก็เรียกความสนใจจากหล่อน ดวงตากลมโต สีน้ำตาลจางคู่นั้น จ้องมองแป๋วมายังข้าฯ ฉายแววรื่นรมย์ 
อากัปกิริยาที่หล่อนแสดงท่าทีสนใจ ยิ่งทำให้ข้าฯ ได้ใจ กะพริบแสงถี่ขึ้น วาววามขึ้น ข้าฯกระพือปีกบินวนร่ายรำอวดแสงสวยอยู่นอกร้าน ท่านกลางละอองฝนปรนปราย

สาวน้อยอมยิ้มแก้มตุ่ย ยกถ้วยชาขึ้นจิบ แล้วหยิบปากและไดอารี่สีชมพู บนโต๊ะมาเขียนบันทึกอะไรสักอย่าง ข้าฯชะเง้อมอง แต่ก็ไม่เห็นว่าหล่อนกำลังเขียนอะไร และ คิดอะไรอยู่ ทำไมหล่อนจึงชำเลืองมองมาที่ข้าฯ บ่อยๆนะ หรือว่าหล่อนสนใจหิ่งห้อยน้อยเข้าแล้ว 

ใจเย็นสักหน่อยเถอะ...ช่วงที่หล่อนเผลอ ข้าฯ จะหาทางแอบเข้าไปอ่านข้อความในสมุดไดอารี่เล่มนั้นให้จงได้

ใกล้สองทุ่ม ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆ ... 

 เข้าไปหลบฝนในร้านเจ้าหญิงขนมปังก่อนดีกว่านะ เมย์
ชายหนุ่มคนหนึ่ง ดึงแขนสาวน้อยเข้ามาในร้าน ผมเผ้าเสื้อผ้าเปียกฝนทั้งคู่ ข้าฯ ได้ยินแว่วๆ ว่า เข้ามาหลบฝนในร้านเจ้าหญิงขนมปัง อ้อ...ร้านเบเกอรี่แห่งนี้ ชื่อ ร้านเจ้าหญิงขนมปังนี่เอง 

 เอ...ทำไมเจ้าหญิงถึงแก้มยุ้ยจังนะ ข้าฯ คิด พลางไต่ไปหลบฝน อยู่ที่บานหน้าต่างกระจกใสที่ปิดกันฝน แต่ไม่สนิทนัก ผ้าม่านสีชมลายลูกไม้พรางร่างข้าฯ ไว้ 

บังเอิญเหลือเกิน หนุ่มสาวคู่นั้นเดินมานั่งโต๊ะริมหน้าต่างถัดจากโต๊ะที่เจ้าของร้านนั่งอยู่ ชายหนุ่มหยิบเมนูส่งให้หญิงสาว ข้าฯ ชักสงสัยว่า ทำไมมนุษย์ถึงเลือกนั่งโต๊ะริมหน้าต่างในร้านกาแฟหรือร้านไหนๆ

 ขอชาวานิลลา กับ แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล แล้วป๋องล่ะ 
ฝ่ายหญิงเอ่ยขึ้น
 กาแฟร้อนแล้วกัน 

เขาหันไปบอกกับเจ้าของร้านสาวสวย
เจ้าหญิงขนมปัง ชำเลืองมองหาแสงวิบวับนอกหน้าต่าง ประหนึ่งกลัวว่าข้าฯ จะบินจากหล่อนไปอย่างนั้นแหละ เมื่อหล่อนมองเห็นข้าฯ หล่อนจึงหมุนกายกลับไปยังเคาน์เตอร์บาร์ 

แต่สองหนุ่มสาวไม่รู้ตัวหรอกว่า มีหิ่งห้อยหนุ่มเฝ้ามอง และแอบฟังคำสนทนาของพวกเขาอยู่ริมหน้าต่าง ข้าฯ อยากเรียนรู้ว่า หนุ่มสาวเขาใช้ภาษาดอกไม้จีบกันอย่างไร เผื่อว่าข้าฯ จะได้ลักจำไปจีบดาวสาวบนท้องฟ้าบ้างเท่านั้นเอง

.........................................
(โปรดติดตามตอนต่อไป)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงละไมฝน