17 สิงหาคม 2552 19:25 น.

บักอร่อยที่สุดในโลก

ละไมฝน

เขียนโดย  ละไมฝน 

                  ประตูสวรรค์ปลดปล่อยมวลมนุษย์ออกมาว่ายวนในวัฏสงสาร   แล้วมอบสิ่งสราญใจแก่มวลมนุษย์อย่างอเนกคณานา 
                  สวรรค์เสกสีสันหรรษาบันเทิงเริงใจแก่ชีวิตสรรพชน   และประทานเสียงสังคีตแก่ทุกเชื้อชาติศาสนา   
                  ดนตรีเป็นภาษาสากล   ไม่มีศัตรู  ไม่มีพรมแดนกางกั้น   บันดาลใจมนุษย์ผู้สุขุมคัมภีรภาพ   สร้างสรรค์เครื่องดนตรีขึ้นมาตอบสนองสุนทรียอารมณ์ของตนผ่านกาลเวลา    
                   ดนตรีมีคุณวิเศษล้ำ    กล่อมเกลาอารมณ์อันสามานย์ภายในใจคนบางคน   ให้คลายความสาหัสสากรรจ์แห่งอารมณ์   หวนสำนึกอ่อนโยนละเมียดละไมในอารมณ์  ...
                  ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี   นางผีเสื้อสมุทรแสนดุร้าย   เคลิบเคลิ้มหลงใหล    เพลงปี่พระอภัย     ซึ่งมีพลังสร้างสรรค์และพลังทำลายสะเด็ดยาด   ราวกับทุ่นระเบิดใต้น้ำ  ทำลายทรวงอกอันมโหฬารของนางผีเสื้อสมุทรแตกตายในที่สุด

                   แผ่นดินแล้งแร้นแค้นแห่งอีสาน   ก่อเกิดตำนานสังคีตอันบีบใจ     
                   ศิลปินพื้นบ้านสร้างสรรค์เครื่องดีด  สี  ตี  เป่า  หลากสะพรั่งพร้อมจากวัสดุธรรมชาติรายรอบ
                    แก่นแกนไม้ดิบเถื่อนจากพงป่าถูกคัดสรร  มาสลักเสลาเป็นเครื่องดนตรีอีสานแสนมหัศจรรย์
                    ปู่สังกะสาย่าสังกะสีสังเกตเสียงธรรมชาติ    แล้วสำเนาเสียงเสนาะมาดัดแปลงเป็นเสียงดนตรีสะดุดก้นหอยหู 
                    ศิลปินพื้นบ้านสำเนาวิถีชีวิต   สำเนาทรวดทรงแห่งศรัทธา   มาดัดแปลงท่วงทำนองดนตรีสนุกสนานสรวลสันต์ 
                    จินตนาการสดับเสียงลมพัดไผ่    เสียงแมงภู่ตอมดอกไม้  มาดัดแปลงเป็นลายแคน
                    ท่วงท่าอีกาเต้นระบำเพราะร้อนตีนกลางดินแดด      ดัดแปลงเป็นท่วงทำนองกาเต้นก้อนดีดลายพิณ 
                   เสียงเอื้อนเสียงของแม่ฮ้างกล่อมลูกน้อยนอนอู่    
                  เสียงกระพือปีกของนกไซบินข้ามทุ่ง  
                  กิริยาท่าทางยักแย่ยักยันของอีนางน้อย  ถือไม้ไผ่ยาวผูกตะกร้าแหย่ไข่มดแดง   มิละเลยแม้ท่วงท่าดึงครกดึงสากเรียกฝนของบรรพชน  มาตีเคาะไม้เรียงลายโปงลางสุดสะออนหลาย
                   คนอีสานเสกสร้างสันทนาการ     อันสรวลสันต์ขึ้นมากลบเลือนริ้วรอยดินแตกระแหงแร้นแค้นพื้นถิ่นได้อย่างแนบเนียน 
                   คนอีสานได้ยินเสียงพิณ  แคน  ผสานเสียงโปงลาง  กลองยาวลายกระชับกระชั้น  (คีย์เมเจอร์)  ยากจะนิ่งนอนทรวดทรงองค์เอวอยู่ได้  
                   อีไคแม่หม้ายนอนเหงาหงายท้อง  สร้างวิมานบนอากาศธาตุ  พลิกซ้ายพลิกขวากอดหมอนข้าง   สร้านไฟกามลนลามลวกในห้องนอนหนาว    เมื่อได้ยินเสียงกลองยาว      ต่อมสนุกกระตุกเต้น   ลืมคะนึงหาหนุ่มตาบอดหูหนวกปากใบ้ใกล้ละแวกบ้าน
                  แม้แต่สัปเหร่อเฒ่าผู้นั่งง่วงเหงาสัปหงกพิงเสมาหินในอาราม    ยังเกิดอาการสะบัดลุกสะบัดนั่ง   เสมอภาคกับสาโทชนนอกกำแพงวัด     ตาเฒ่าลิ้นดำถลกผ้าข้าวม้านุ่งขึ้นรั้งเอว  ฟ้อนเฉิบโดยไม่มีผู้ใดเสี้ยมสอน
                  หลวงตาแก่พรรษาผู้เสงี่ยมสงบในจีวรผ้าสีกรัก    นั่งสวดมนต์ในวิหารน้อยฟังเสียงนก   สะบัดร้อนสะบัดหนาว  หัวใจเหี่ยวๆ มิวายดีดเต้นอยู่ในซี่โครงกระดูกอันผุกร่อน
                  เสียงดนตรีอีสานสำแดงสนุกสืบทอดมารุ่นต่อรุ่น  ยุคต่อยุค
                  เครื่องเคาะจังหวะสุดแสนเร้าใจที่สุดคือ  กลองทุกประเภท
                  กลองแขก  India  two-headed  drum  ขึงหนังสองหน้า ร้อยโยงด้วยหวายยาว
                  กลองแจ๊ส Jazz  drum  กลองชุดนั่งตีในวงดนตรีแจ๊ส
                  กลองชนะ Victory drum  คล้ายกลองมลายูแต่สั้นและอ้วนกว่า
                  กลองเปิงมาง  two-headed  drum 
                  กลองน้ำ  River drum  กลองประเภทนี้  ตีดังทุ้มกังวานเสมอในแม่น้ำลำคลอง   
                  สมัยเมื่อ 20 ปีก่อน  สาววัยเห็ดเผาะ  อายุ  13  14  15  ยังปล่อยปะเปลือยอก  นมตึงเต้าเท่าหน่วยไข่   นุ่งผ้าซิ่นผืนเดียวลงเล่นน้ำ   แหวกว่ายลอยคอยามตะวันขาลง   สาวเจ้าตวัดมือวักลม     ลมเสียรู้หลงกลเข้าผ้าซิ่นสาวจนโป่งพองปานลูกโป่ง     มืออีกข้างขมวดมุ่นไม่ให้ลมเสียทรง   จากนั้นใช้มืออีกข้างตีผ้าถุง  ดัง ตึง  ตุ้ม ๆ ๆ - ตะ- ตี - เติ่น   ลมดีตีเย็นลึก  เย็นละไมถึงแก้มก้นสาว   สนุกสนานสรวลสันต์    
                   บักใบ้   ต้อนควายเขาเลลงท่าน้ำฝั่งตรงข้าม   ถอดเสื้อแสง  เหลือผ้าขาวม้าผืนเดียว   กระโจนลงเล่นน้ำ   วักลมทำกลองน้ำตีดังอวดสาวๆ   เคราะห์ร้ายมือวักปลาปักเป้าอารมณ์บูดเข้าไปในพองผ้าด้วย   สันดานสัตว์ดุตกใจตับสั่น   ฟันแหลมคมจึงกัดดะ   กัดฟัดทั้งขาอ่อนและพวงขะหลำ   บักใบ้ร้องลั่นเลือดสาด   สนุกสนานแบบแสบสันต์

                   เขาเล่าว่ากลองยาวมอญโบราณ   ยาวเจ็ดชั่วแอก  คนแบกหามนับร้อย  เสียงดังกังวานไกลข้ามเขาเจ็ดภู
                  เขานินทากาเลว่าคณะกลองยาวรัฐบาลกำลังแตก...
                  คุณชายสะอาดไม่ชอบตีกลองยาว   แต่ชอบโยนกลองร้อนฉ่าเหม็นตุๆ              ด้วยกลิ่นอายทุจริตโครงการกินไม่พอเพียง  ให้นักการเมืองระดับรากหญ้ารับกรรม     
                  คุณชายสะอาดชอบลอยตัวตีกลองน้ำ   ป่าวร้องผลงานอันพร่าลางในม่านหมอกเมือง    ประชาชนหนวกหู   ต้องอุดรูหูด้วยผ้าปิดจมูกป้องกันโรคหวัด  2009...    
                  สาโทชนหน่ายเนื่องการบริหารบ้านเมืองแบบ นาโต ( nato )  No action , talk only

                   กลองยาวอีสาน  TomTom   ขึงตึงด้วยหนังวัวหน้าเดียว  ติดข้าวเหนียวตรงกลาง   ตัวกลองยาววา   สะพายตีเร่งจังหวะรำฟ้อนสนุกเถิดเทิง    ท่วงทำนองขึ้นชื่อว่า  เสียงเอร็ดอร่อยหูที่สุดในโลก
                  นานาบุญบ้านไม่เคยขาดเสียงบักอร่อย  
                  แห่ข้าวพันก้อน  บุญผะเหวต    บักอร่อยเถิดเทิงนำขบวนรำฟ้อนรอบบ้าน    ปลุกสาวแม่ลูกอ่อนทิ้งลูกผัว  ลุกไปรำฟ้อนเฉิบๆ สนุกสนานสรวลสันต์   
                  บุญบั้งไฟ (บุญขี้เหล้า)   สาโทชนผู้หมักข้าวเหนียวนึ่ง ใส่แป้งเป็นเหล้าหวาน  ( เย้ยเหล้าสีภาษีแพง )  เมาม่วนเหมือนกัน   สาโทชนชอบรำเซิ้งแกล้มเสียงบักอร่อย  ฮาสะเอิก
                 บุญเข้าพรรษา   บักอร่อยเตาะตีแห่แหน   พ่อนาคลุกฟ้อนบนเสลี่ยงหาม   ม่วนระงม   
                  เดือนสิบสอง  น้ำนองเต็มตลิ่ง  ลมหนาวพัดพรู   ปูหนาวกระดองย่องลงรู   หอยปากกว้างกอดกันจำศีล   ฝูงปลาอิ่มหมีพีมัน   ชวนกันแหวกว่ายลงหนองน้ำลึก   ข้าวใหม่ตั้งท้องเต็มทุ่งกลิ่นข้าวใหม่หอมขวัญรอเคียวเก็บเกี่ยว    ในฤดูกาลที่เหมาะสำหรับหนุ่มสาวชวนกันทำบุญเอว   
                  ขบวนแห่เจ้าบ่าวเข้าหอ   หากขาดบักอร่อยก็ขาดรสชาติสนุกสนานสรวลสันต์
            เฒ่าโต้น  ยายตู้  คู่ผัวเมียผู้ชมชอบเสพสุนทรีย์เสียงกลองยาวเป็นชีวิตจิตใจ   ยอมลดค่าดอง (ค่าสินสอด)  ลูกสาวลงเหลือครึ่งหนึ่ง   หากทิดป้อนำบักอร่อยวงใหญ่มาเสพงัน (ฉลอง) งานแต่งงานตลอด 3 วัน 3 คืน
                 ทิดป้อยิ้มแก้มตุ่ย    แต่ใจมิวายกังวลว่า  ใครจะทำหน้าที่เป่าแคนแทนเขาในคืนส่งตัวเจ้าบ่าว....
...............................				
14 สิงหาคม 2552 08:24 น.

ฟ้าบ่หงาย ( ตอนที่๒ )

ละไมฝน

ตอนที่ ๒ ก่อพระเจดีย์ทราย


ย้อนกล่าวไปเมื่อเดือนออกใหม่ ขึ้น ๒ ค่ำ ลมพัดหยอกยอดไผ่นวยนาย นกการเวกร่ำร้องเสียงหวานเจื้อยแจ้วยามเมื่อฟ้าค่อนแจ้ง พวกนายฮ้อยต้อนวัวควายไปขายเมืองล่างบางกอก หวนกลับคืนสู่เคหา ซื้อสร้อยแหวนเงินทองมาฝากลูกฝากเมีย ซื้อหมกหม่ำมาต้อนแม่ย่า หมู่ช่างฝีมือชาวบ้านพร้อมใจกันสร้างกุฏิหลังใหม่ แทนกุฏิไม้ใบตองตึงหลังเก่าร้าง นับแต่รู้ข่าวว่า เจ้าหัวใหม่จะมาครองวัดแห่งนี้ พ่อจารย์คำหมอพราหมณ์มาทำพิธีโสกกุฏิ (โฉลก) เฒ่าก็นำเส้นด้ายฝ้ายขาวยาวย่อง วัดความยาวกลอนกุฏิ ปากพึมพำมะหล่ำมะเหลื่อว่า

 กลอนกุฏี พระดีแตก แขกมาเฮ้าโฮม โยมมาหาสู่ พ่อครูตาย...

เส้นด้ายฝ้ายขาววัดไปตกโฉลก พ่อครูตาย พ่อเฒ่าใจหาย เหงื่อตกไหลไคลย้อย โบฮานทำนายว่า ตกโสกนี้ ถ้าเจ้าหัวบ่ตาย ก็ต้องลาสิกขาไปนอนซ้อนเมียสาว วัดจะกลับคืนร้างเป็นทางเทียวผีเปรต เป็นดงหมากเขือบ้า เป็นป่าหมากเขือขื่น ...

สาวกระจ้อน สาวคำผอง เอื้อยน้องสองศรี เอื้อยคนหัวปีลูกพ่อเฒ่าจูมสี คนน้องลูกท้ายปีแม่ใหญ่อึ่ง สองสาวเจ้าได้ยินคำพวกผู้เฒ่าเล่าลือว่า เจ้าหัวรูปงามจากบ้านโคกสะอาด จะมาครองวัดบ้านโคกใหญ่ จึงปลุกกันตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นก่อไฟนึ่งข้าวเหนียว นึ่งข้าวสุกแล้วฟายใส่ก่อง ทำของทานของกินใส่ปิ่นโต ไปจังหันจังเพล 

ตะวันสายสาดส่องก้นผู้สาวนอนตื่นสาย สาวกระจ้อนบ่อาบน้ำ ผัดหน้าทาแป้งขาววอก ปากแต้มสีแดงแจ้ดแลด เด็ดดอกไม้สีแสดมาเสียบแซมกล่อมผมนาง เบี่ยงสไบแพรผ้ายาววาลายดอกดาว สะพายก่องข้าวน้อย น้ำเต้าปุ้งใส่น้ำเต็ม พากันย่างหยากย้ายหน้าบานเพ้อเว้อออกมาวัด 

สาวจันดาถือปิ่นโตตามหลังแม่ทุมมา ท่วงทางย่างงามปานช้างเทียมแม่ สาวเจ้าสวมเสื้อไหมคอกลม แขนกระบอก ขับผิวใสขาวนวล ฝาดผ่องเป็นยองใย ผ้าเนื้อดีทอจากเส้นไหมเงิน เบี่ยงสไบบางพร้อม งามผืนผ้าพิลาศลายแพรวาหอม นุ่งซิ่นจกแม่เจ้าทอมือ แม่สอดลายสายเส้นเป็นเครือเป็นดอก ฝูงพญานาคน้อยเล่นน้ำอยู่ตีนนาง...งามหลาย 

หมู่ผู้เฒ่าแต่งพานบาศรี เย็บขันหมากเบ็ง แซมดอกไม้หอมสดสะพรั่ง พากันมาออกมาตุ้มโฮม(รวมกัน)บนหอแจก(ศาลาการเปรียญ) 

เสียงกลองเพลดังตุ้มตึ้ง ขบวนแห่แหนสมภารใหม่มาถึงหมู่บ้านแล้ว เหลียวเห็นแสงวะวับแวววับไหว นั่นคือแสงแดดใสส่องหัวญาครูเฒ่า ผู้นั่งเป็นเจ้านำหน้าขบวนยาว หมู่ผู้บ่าวหามเสลี่ยงพรั่งพร้อม ทั้งเจ้าหัวเฒ่าและเจ้าหัวน้อย พากันม่วนชื่นดีดเต้น เต้นแล้วดีดตามจังหวะเสียงพิณแคน แต๊ะ แลน แตร แลน แต๊ะ แลน แตร ทั้งหามทั้งฟ้อน ย้อนหน้าย้อนหลัง เจ้าหัวเฒ่านั่งบ่เป็นสุข เอียงซ้ายเอียงขวาจนเอวเคล็ดเอวคลอน เจ้าหัวบ่าวนั่งเอนหน้าเอนหลัง ม่วนเพลินเสียงแคนลำเซิ้ง ปานจะกางแขนรำฟ้อน เณรอุ่นน้อย เณรย่องตอด ย่างต้อยต่องตามหลังอยู่บ่ห่าง หมู่อุบาสกอุบาสิกาเหงื่อไหลไคลย้อย ติดตามขบวนแห่แหนผ่านโคกใหญ่ โคกน้อย โคกสูง โคกต่ำ โคกเห็ดสำมะปิ (เห็ดหลากหลายชนิด) ผ่านโคกเห็ดข้าวไคหอม พอขบวนเคลื่อนคล้อยแห่มาถึงวัดแล้ว ก็แยกย้ายย่างขึ้นหอแจกพักผ่อนตามอัธยาศัย .

 หัวซาบุญงามแท้ๆ เนาะ 
สาวกระจ้อนอุทานฮ้อง จับจ้องญาซาหนุ่มรูปงามตาบ่กะพริบ  ตาก็คม ดั้งก็โด่ง ผิวขาวเหลืองปานพระสังข์ทองถอดรูปเงาะก็บ่ปาน 
 ข้อยว่างามปานพระอินทร์แต้มนะ 
สาวคำผองครางเสียงอือๆ ตาเคลิ้มฝันเช่นคนละเมอ
 เฮ็ดจังไดหนอ เจ้าหัวบุญจะได้ฉันของทานปิ่นโตกู 
สาวกระจ้อนหันไปปรึกษาน้องสาวต่างแม่
 เจ้าเฮ็ดของขบฉันอันใด ใส่ปิ่นโตล่ะ 
 แกงอ่อมหอยจูบ (หอยขมสับก้น) กูไปงมมามื้อวานนี้ 
 โอ้ย เอื้อยเอ้ย...เจ้าหัวฮูปงามเพิ่นบ่ฉันของทานเอื้อยดอก เพิ่นอายจูบหอย
 แล้วปิ่นโตมึงล่ะ อีผอง 
สาวกระจ้อนย้อนถามน้องต่างแม่
 ห่อหมกปลาคาบของ (ปลาก้าง) 
 ตายละ ก้างปลาติดคอเจ้าหัวซาตายก่อนหดสรงน้ำแน่ๆ เลย ของทานมึง พระเพิ่นฉันยากกว่าของกูอีก
ผู้ใหญ่เม้า หันมาทำตาดุ เสียงดุ
 อย่าเถียงกันเสียงดังหลาย อายพี่อายน้องบ้านไกลเพิ่นแน 

พอถึงเพลาฉันเพล พระเณรจับสลากเลือกปิ่นโตโยมอุปัฏฐาก ญาครูโต้นจับสลากได้ปิ่นโตยายกองแลน ตาเข แม่ฮ้างเฒ่าบ้านใกล้วัด ญาท่านเปิดฝาปิ่นโตแล้วถึงกับครางโอ้...หน้าเหลืองตาต่ำสลด เมื่อเหลือบเห็นแจ่วบอง คั่วแมงกุดจี่ แลแมงอีนูน เจ้าหัวเฒ่าถอนหายใจ เนื่องจากบ่มีฟันจะขบเคี้ยว

เณรย่องตอด สามเณรรับใช้ญาครูใหญ่ จับสลากได้ปิ่นโตสาวคำผอง ผู้หมกปลาคาบของใส่ปิ่นโตมากินทาน เณรอุ่นน้อย จับสลากได้ปิ่นโตสาวกระจ้อน ผู้แกงอ่อมหอยต่อยก้น ใส่ผักลืมผัวข้าวคั่วหอม เมื่อนั้นเณรอุ่นน้อยนั่งจูบหอยเหงื่อย้อยไหล ทั้งจูบหอยทั้งฮ้องไห้ น้ำตาไหลอาบปิ่นโต

ส่วนญาซาบุญเติมโชคดีเหลือล้น จับสลากได้ปิ่นโตสาวมณฑา ผู้แกงปลาซ่อนตัวใหญ่ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วศาลาหอแจก ปลาซ่อนแม่ไข่ยวงเหลืองอ้อยต้อย เณรน้อยเหลียวมองทำตาม้อยๆ กลืนน้ำลายคอยท่าหัวปลามัน

นับจากนั้นมา เป็นอันว่ายายกองแลนแม่ฮ้างเฒ่า ได้เป็นแม่อุปัฏฐากญาครูโต้น สาวจันดาลูกหล่าแม่ทุมมา ได้เป็นแม่ออกค้ำเจ้าหัวบุญเติม สาวคำผองนั้นเป็นแม่ออกค้ำเณรย่องตอด ส่วนสาวกระจ้อนเป็นแม่ออกค้ำเณรอุ่นน้อยผู้จ่อยเหลือง...
.............................................

ดวงตะวันต่ำคล้อย ยามแลงแสงแดดอ่อน ลมพัดปลายไผ่บ้าน สำราญแท้ไผ่เสียดสี เสียงลม วี...วี๊...วี...ลมพัดตีหมากงิ้วแห้ง ปุยนุ่นขาวแตกเปลือกปลิวกระจายเต็มฟ้า ลมพัดผ้าสบงบางน้อยเณรอุ่น ผู้ยืนอยู่บนหอกลองเพล เป็นเวรเป็นกรรมตาผู้สาว ผู้เหลียวเห็นหมากงิ้วน้อยห้อยต่องต้อน ผ้าซ้อนก็บ่มี พวกหมู่สาวนมตูมตั้ง หาบน้ำผ่านลานวัด เหลือบเห็นหมากงิ้วของเณรน้อยเท่ากิ่งก้อยก็บ่ปาน พาลพาโลหัวเราะร่าหน้าแดงปานตำลึงสุก หาบน้ำแล่นล้มแล้วลุก ลัดผ่านลานวัดเข้าสู่เรือนชาน วางไม้คานหาบน้ำแล้ว เหลือบเบิ่งกระชุน้อยน้ำบ่มี 

ฝ่ายเณรอุ่นน้อยเหิมฮึกคึกคะนอง ตีกลองแลงหยอกสาว เสียงยาวๆ สลับสั้น กระชั้นเร่งเร้าเจ้าหัวพลอยเคืองขุ่น 

 จัวน้อยผีบ้า..ไผพาตีกลองทำนองนี้ บวชมาตั้งหลายปี เฮ็ดดีก็บ่ได้ 
ญาครูบุญเติมยืนเท้าสะเอว หน้าบึ้งบอกบุญบ่รับ 

เณรอุ่นยิ้มเป้ยๆ บ่คิดเคืองขุ่นคำด่า ท่านครูบาบุญเติมนี้ มีเมตตาธรรมมากล้ำคำสอน คำดุด่าป้อยๆ เณรอุ่นน้อยคิดว่าเจ้าหัวฮัก เจ้าหัวแพง เณรเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตายแต่น้อยๆ ญาครูรับเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่กล้าหน้าบาน พออายุครบบวชแล้ว จึงบวชอุ่นน้อยเป็นเณรคำ เณรสำนึกบุญคุณปรนนิบัติญาครูเจ้าบ่ห่างหนี บ่คิดสึกไปเล่นเกเรลักขโมยของคนอื่น จับนมผู้สาวคราวนั้น เพราะสาวขี้ดื้อมาหยอกแหย่ หยอกบ่หยอกเล่นๆ กำพวงขะหลำแล้วแล่นหนี

เกิดมาเป็นเณรน้อย คอยติดตามผู้เป็นปราชญ์ จากวัดบ้านโคกสะอาด ด้วยศรัทธากล้าญาครูเจ้าจึงตามมา ยามปวดเมื่อยอ่อนล้าแข้งขา ได้เณรอุ่นน้อยคอยนวดเฟ้น บีบคลายเส้นคลายเอ็น ทั้งเอ็นใหญ่เอ็นน้อยและเอ็นอ้อยทุกค่ำแลง 

ความซุกซนของเณรอุ่นนั้นก็เหลือหลาย สาธยาย ๓ วัน ๓ คืน ยืดยาวบ่จบสิ้น 

เมื่อได้ยินคำญาครูตำหนิด่า เณรจึงตีกลองช้าๆ...ช้าลงสาละวัน เป็นสัญญาณบอกเตือน ย่างเดือน ๖ ปีนี้ ประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายเวียนมาถึง ให้ชาวบ้านพร้อมใจกันแต่งพานบาศรี ทั้งผู้เฒ่าผู้โอ่ ผู้บ่าวผู้สาว และลูกเล็กเด็กน้อย มาขอขมาโทษเจ้าหัว ที่ล่วงเกินด้วยวจีกรรมกายกรรม เมื่อครั้งสาดน้ำเล่นสงกรานต์ม่วนชื่น ทั้งเณรน้อยทั้งสีกากุมกอดกันอุ้มลุ้มอยู่ลานวัดอาราม

ตึง...ตุ้ม...ตึง ตึง...ตุ้ม...ตึง ตึง...ตุ้ม...ตึง...

เสียงกลองน้อยทิดทองไสท่วงทำนองเร้าใจ ทั้งสาวใหญ่สาวน้อย คว้าไม้คานหาบกระชุ ลุกขึ้นย่างย้ายเป็นทิวแถวลงสู่ฝั่งน้ำชีหลง ยามหน้าฝนน้ำพัดทรายมาเต็มฝั่งยามหน้าแล้ง ได้บุญหลายขนทรายเข้าวัด อ้ายทิดสังข์ดีดพิณน้อย เสียงจ้อยๆ ลำเต้ยหยอกผู้สาว 

สาวกระจ้อนเพิ่นม่วนใจ กระโจนลงจากชานเฮือนทั้งดีดทั้งเต้น ดีดแล้วเต้นแล่นลงท่าทราย สองตีนนางลื่นไถลหงายหลังขาชี้ฟ้า มองเห็นแต่ตีนผ้าซิ่นถลกคลุมหัว กกก้นดำปานก้นหม้อต้มยาฮากไม้ ยาสมุนไพรญาพ่อครูโต้นนั่นแล้ว

แล้งๆ นี้น้ำชีลงลดหลาย เม็ดทรายใสวับวาวขาวเกลี้ยง สาวจันดาเบี่ยงสไบแพรหอมอวลกลิ่น นุ่งซิ่นงามลายนาคน้อยทอเส้นไหมคำ หมู่ผู้บ่าวเหลียวแลนำ ทำตาส้มตาหวาน แย่งกันช่วยนงคราญขนทรายยีย้วย น้อยเณรอุ่น เณรย่องตอดช่วยกันจัดแจงแต่งดินลานไว้ เณรก็ปักธงไท้เรียงรายงามตา เชิญญาติโยมโฮมเฮ้า(ร่วมกัน)มาขนทรายเข้าวัด เก็บดอกไม้มาแจมจัดประดับประดาเจดีย์น้อย ดอกดาวเรือง ดอกชบา ดอกรัก ดอกพุดขาวซ้อนช่อกลีบหนา ดอกมันปลาหอมกว่าดอกเป้า ดอกคัดเค้าหอมยามเช้า ดอกไข่เน่าหอมยามงาย หอมบ่วายหอมกลิ่นผืนผ้าแพรวาสาวจันดา...

 ญาครูครับ เจดีย์ทรายแม่ออกจันดา ตบแต่งดอกไม้ง้ามงาม  
เณรอุ่นแล่นขึ้นมารายงานครูบาบุญเติมบนหอแจก 

สมภารหนุ่มทอดถอนใจยาว ตาคู่คมทอดมองแนวระเบียงศาลา ประดับประดาดอกไม้แห้ง ร้อยอุบะดอกลิ้นฟ้า ดอกสะแบงแสดแดงเดือนห้า หมู่ผู้สาวนำมาร้อยเรียงราย สายลมพัดพลิ้วกระพือบินไหวๆ คือฝูงนกกระจาบใบตาลสานห้อยละลานตา ทั้งสีสันธงทิวประดับดีงามล้วน ทั้งบุญใหญ่บุญน้อย บุญค้ำบุญคูณ อาศัยศาลาหอแจกนี้ สืบสานประเพณีสืบมา 

 งามปานใด ก็เป็นเพียงสิ่งสมมติขึ้นเท่านั้นแหละ จัวน้อยเอ๋ย 
 ค่ำแลงนี้แม่ออกจันดาเพิ่นมาลงวัด ทิดบัวไข ทิดทองสา อ้อมหน้าอ้อมหลังอยู่บ่ห่าง

เณรน้อยเอื้อนเอ่ยถึงสาวงามแม่ออกค้ำผู้งามล้ำ แทงใจผู้นั่งฟังให้ฮ่ำฮอนนำ(คะนึงถึง) หัวใจญาครูพลันไหวหวั่น 

แม้นว่าหน้าตาอาจดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจนั้นเต้นแฮงนักแท้ ปานเณรน้อยรัวกลองเพลยามหิวข้าวเที่ยง ฮ่ำฮอน(คะนึงหา) อยากเห็นหน้าสาวจันดาลูกแม่ทุมมาโยมอุปัฏฐาก ผู้มาจังหัน จังเพลอยู่บ่เว้น สาวจันดาอายุย่าง ๑๙ ปีงามเต็มเทียมแม่ ญาครูสรงน้ำใหม่ พยายามหักห้ามใจบ่คิดนำคำเว้า แต่ใจก็ยังคิดฮอดสาวเจ้าคิดเป็นวรรคเป็นเวร 

ขึ้นชื่อว่าใจพระ หรือใจคน ก็มีเลือดมีเนื้อบ่ต่างกัน มันโลดแล่นไปมาบ่หยุดนิ่งปานลิงขึ้นหมากพร้าว เจ้าหัวหนุ่มผู้หวังจะครองผ้าไปนิพพาน แต่ว่ามารผู้สาว มากางแขน กางขากั้น ยามจำวัดหลับฝัน หมู่คนธรรพ์มาอุ้มสม อุ้มไปดมกลิ่นกายสาว นอนเคียงนางกลางอุ่นจนแจ้งจ่างปาง

ญาครูบุญเติม ผู้บวชเรียนมาแต่น้อยเท่าใหญ่ ครองวัตร ครองศีล ครองธรรมมานาน แต่กายกับจิตยังเกี่ยวกอดกันอยู่ ลางทีกิเลสก็พาใจญาครู ล่องลอยไปนอกกำแพงวัด เห็นดอกไม้งามหอมนัก แม้กระทั่งดอกหญ้าข้างทางก็ดูงามเหลือหลาย อยากเอื้อมเด็ดดอกพะยอมหอมกำหนัด มันใกล้จนมือเอื้อมถึง แต่ว่าใจก็เด็ดดอกไม้หอมมาดอมดมบ่ได้...

ค่ำคืนนี้...เดือนเพ็ญเพ็งเต็มดวง นวลแสงเย็นอาบคืนค่อนแจ้ง หมู่ผู้เฒ่าผู้สาวเด็กน้อย เก็บดอกไม้ดวงมาลาหวงหอม พร้อมธูปเทียนขึ้นมานั่งบนศาลาหอแจก พ่อใหญ่จารย์คำหมอพราหมณ์ นำหมู่ชาวบ้านสวดมนต์ไหว้พระ รับศีลรับพรจากพระเณรแล้วลงสู่ลานวัด จุดธูปเทียนบูชาพระเจดีย์ทราย จนเฮืองฮุ่งไปทั่วลานกว้าง หมู่บ่าวสาวนั่งเคียงกันข้างกองทราย ผู้บ่าวผู้สาวอธิษฐานเป็นคู่นอนฮ่วมห้อง ใจประสงค์ฮักฮ่วมบุญปันแบ่ง มื้อนี้กินข้าวฮ่วมพา มื้อหน้ากินปลาฮ่วมหนอง ใจประสงค์กันแล้วแก้วใสในถ้ำก็จะค้นหา...

ฝ่ายสาวจันดาน้องก่อกองทรายคอยท่า ฮ่ำฮอนหาญาครูบ่าว คอยเจ้าหัวมาจุดเทียนฮ่วมอธิษฐานฮักแพง ดุจดั่งปลาฮักน้ำ จวงจันทร์คำฮักปวงดาว ปรารถนาให้เม็ดทรายนับล้านเป็นดั่งเนื้อดินก้อนเดียวกัน...นั่นแล้ว แต่ว่าญาครูเจ้าดำรงสมณเพศสืบศาสนา คือดั่งมีกำแพงสูงบังตา บุญและ บาปนี้เป็นของคู่กันปานคนกับเงา เงาตามคนไปทุกที่...ทุกวี่ทุกวัน 

 เป็นบ้าป่วงแบบนี้... บ้านสิล่ม วัดสิฮ้าง ญาครูเจ้าบ่ฮุ่งธรรม...บาปหลายแท้หนอเฮา  
สาวจันดาครุ่นนึกตำหนิตนบ่เจียมใจ 

งามแสงเพ็ญนวลกระจ่าง แกมแสงเทียนรุ่งเรืองทั่วลานบุญ หมู่เด็กน้อยเล่นลอดแลดข้าวสาร บักกบบักเขียดประสานนิ้วกัน ทั้งสองข้าง ยกขึ้นเหนือศีรษะ อีติ่งต้อยอยู่แถวหน้าเรียงราย เดินก้มหัวโน้มตัวลอดใต้แขนบักกบบักเขียด พร้อมกับฮ้องว่า...

ลอดแลดข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก
เด็กน้อยน้อย ตาเหลือกตาลาน
เจ้าหัวคลาน อ่อมเอาะอ่อมอ้อย
เด็กน้อยน้อย นำก้นคุบเอา...

บ่ทันจบคำ บักกบบักเขียดก็จับมือกันเอาอีนางแพงกับพิกุลอยู่ข้างหลังไว้ .... 

เด็กน้อยอีกกลุ่มหนึ่ง เล่นจ้ำมู่มี่ บักเขือขื่น เสียงฮ้องเฮแซวๆ ว่า

 จ้ำมู่มี้ จ้ำมู่มน หักคอคนใส่หน้านกกด หน้านกกดหน้าลิงหน้าลาย หน้าผีพรายหน้ากิกหน้าก้อม ย้อมแยะ ผ้าเตาะแตะ กับผ้าต่อกลาง พับมือบางไปต่อไก่ ต่อได้แล้ว มาฟักมาฟัน ลาวเวียงจันทน์ ใส่แหวนข้างซ้าย ย้ายแยะ...

กลุ่มของบักโม่งขี้มูกเขียว ชวนหมู่เล่นมอญซ่อนผ้า อีเขียดจะนาน้อย แก้มป่องเป็นสาวมอญ ถือผ้าข้าวม้าฟั่นจนแข็งปานท่อนไม้ เดินย่องๆ อ้อมข้างหลังหมู่เพื่อน 

 มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ระวังให้ดี จะตีหลังแตก....

อีกเขียดจะนาน้อยลอบวางผ้าไว้ข้างบักโม่งขี้มูกเขียว ย่างย่องอ้อมวงอีกรอบ ย่องวนกลับมาคว้าผ้า ตีหลังบักโม่งขี้มูกเขียวดังตุ๊บ !

บักโม่งเจ็บจุก ลุกขึ้นร้องไห้ไปฟ้องแม่...

เดือนขึ้นสูง แสงเทียนดับ หมู่ผู้เฒ่าจูงแขนลูกน้อยกลับเรือนนอน หมู่ผู้สาวกลับเรือนเข็นฝ้าย ทิดเคนน้อยเป่าแคนตามหลัง เสียงลายแคนสุดสะแนนม่วนหู แต๊ะ แลน แตร แลน แต๊ะ แลน แตร.. สาวกระจ้อนนอนย่างแม่คีงไฟ (เตาไฟ) สาวนางตกตลิ่งทรายขาเคล็ดเอวคลอน นอนครางฮือๆ สาวคำผองเข็นฝ้ายเว้าบ่าว อยู่นอกชานเรือนเย็นลมชมดาว ทิดทองสาสูบยามวนใหญ่ควันปุ้ยๆ ขยับเข้าใกล้ผู้สาวเข็นฝ้าย ....

(โปรดติดตามตอนต่อไป)				
10 สิงหาคม 2552 11:16 น.

ลูกผัวอยู่ที่หัวกะได

ละไมฝน

ลูกผัวอยู่หัวกะได

เขียนโดย ละไมฝน

บรรดาบันไดไต่เดินบรรเจิดบนโลกล้วนหลากหลาย
บันไดลอยฟ้า ( scaling ladder ) อาจเชื่อมต่อโลกมนุษย์กับแดนสวรรค์ในอนาคตอันใกล้
บันไดลิง (ชื่อเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง) บันไดที่ติดตรึงกับวัตถุทรงสูงชะลูด ไต่เดินขึ้นสู่ที่สูงบันโดยบรรดาบรรพบุรุษมนุษย์วานร
ทาร์ซานใช้ชีวิตแบบเบ็ดเสร็จอยู่กับวานรแต่แบเบาะ สามารถโหนบันไดเชือก ( rope ladder ) โห่ร้องก้องไพรโฉบโอบอุ้มลินดา ไปขึ้น บันไดลิง แล้วไต่เต้าสู่บันไดลอยฟ้า ซึ่งเชื่อมต่อโลกมนุษย์กับแดนสวรรค์

ซ้ายสีชมพู
ไอ้แสบ แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ ผู้มีหมัดซ้ายอันหนักหน่วงทะลวงโลก
เขาสร้างตำนาน บันได 3 ขั้น ก้าวสู่แชมป์โลก ด้วยการขึ้นเวทีตะบันคู่ชกเพียง 3 ไฟต์ หมัดซ้ายของเขา คว่ำคู่ชกที่เก่งกว่าเทียบรุ่นต่อรุ่นมานักต่อนัก 
การชกใต้สะดือขาวบัดซบ ทำให้เขาพ่ายแพ้ในที่สุด เขาแยกทางกับอดีตดาราสาวด้วยบันไดวน 2 แนว แบบ helix ที่คิดค้นโดยอัจฉริยะโลก ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี

พรรคการเมืองบางพรรค ก้าวขึ้นสู่อำนาจตามแผน  บันได 4 ขั้น  บันโดยยินยอมอย่างอ่อนระทวยให้เทพอุ้มสม
ทายาทรัฐบาลหวานเย็นผู้เชื่องช้า บริหารประเทศด้วยนโยบายพรางตาอันพร่าเลือน ชูสโลแกน 100 มาตรการ หลายล้านคนระทมทุกข์

ชาวโรมันโบราณ สืบทอดอารยะอหังการ ว่าด้วยตีนขวามีพลังอำนาจกว่าตีนซ้าย 
ยามเดินทัพออกรบต้องก้าวเท้าขวาก่อน นัยว่าจะบำราบข้าศึกไว้แทบอุ้งตีน ทหารหาญที่บัดดลก้าวเท้าซ้ายตีนแรกจะถูกตัดขา
เมื่อขึ้นบันได ต้องก้าวตีนขวาเหยียบลูกนอนบันไดแรก และสิ้นสุดตีนขวาที่ลูกนอนบันไดสุดท้ายเสมอ 
บรรดาขั้นบันไดจึงบันโดยนับจำนวนเลขคี่นับแต่นั้น

ฝรั่งมังฆ้อง เข็ดขยาดลูกนอนบันไดจำนวนเลข 13 บ้านใด บันได 13 ขั้น เจ้าของบ้านนั้นจักบำราศในที่สุด
บ้านเรือนไทยบ้านใดบรรจงสร้างบันไดจำนวนเลขคี่ ถือเป็นมงคลบันเทิง
วิถีชีวิตชาวอีสานโบราณ บรรจงสร้างเฮือน (เรือน) มีนอกชานนั่งกินลมแล้งชมดาวสวย นิยมโสกนับลูกนอนหัวแม่กะไดทำนองเต้ยโสก

โสกหัวแม่กะได คนละความหมายกับคำว่า โสกโดก
โสก (ภาคอีสาน) หมายถึง สัดส่วน ลักษณะ บรรจงใช้ร่วมกับคน สัตว์ และสิ่งของ 
เทียบเคียง โฉลก (ภาคกลาง) หมายถึง โชค โอกาสดี
โสกบันไดดีบันดาลสุขแก่บ้านเรือน

ผญา (ปรัชญา) อีสานว่า
 สุขเพราะมีข้าวกิน
สุขเพราะมีดินอยู่
สุขเพราะมีคู่นอนนำ (นอนด้วยคน)
สุขเพราะมีคำเต็มไท้
สุขเพราะมีเฮือนใหญ่มุงแป้นกระดาน...

พ่อเฒ่าโต้น (สามีแม่เฒ่าตู้) ผู้ไม่ประสงค์นอนหงายตีนตากแดดบั้นเฒ่า สร้างเรือนเสร็จใหม่ ยังไม่มีหัวแม่บันไดไต่ขึ้นเรือนลงล่าง 

พ่อเฒ่าจึงตัดไม้มาบรรจงทำบันได ปากสีกล้วยน้ำหว้าจำบ่มผ่าครึ่งซีกแซมข้าวต้มมัดสุก พึมพำคำโสกนับลูกนอนบันไดว่า
 เดือนดับตัดไม้
ขี้ไฮ้จนตาย (ทำมาหากินลำบากกายใจตลอดชาติ)
งัวควายเต็มถุน
ข้าวของเต็มดูน
ทรัพย์สินมูลนา...

อีเจ้ย ลูกสาวพ่อเฒ่าโต้น อีแม่ตู้ สาววัยขบเผาะ ผู้ตกกระไดพลอยโจนตกโสกกระดีดกระดิ้น บันเทิงก่ายขึ้นก่ายลงบันไดเรือนหลังใหม่

แม่เฒ่าตู้ปากเปียก บรรจุคำพร่ำสอนมารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนลงในขดขมอง (สมอง) ลูกสาวผู้บรรยง
บรรดาคำแม่สอนลูกสาวว่า...

ไต่ทืบตีนขึ้นหัวแม่กะได คะลำ (ข้อห้ามอันอัปมงคล)
นั่งถ่างขาขวางหัวแม่กะได คะลำ
ยืนเหยี่ยวบนหัวแม่กะได คะลำ

อีเจ้ย สาวขบเผาะผู้บรรยงหาบรรลุถึงคำสอนไม่...

ยามงามงายเมฆดอกฝ้ายกระจายเต็มฟ้า บังอรเล่นบทจรไปบังคนที่ส้วมหลุม (พาดไม้ 2 แผ่นเหนือปากหลุม) 

บริบทของคนอีสานไม่บันเทิงใจหากสร้างส้วมหลุมบนเรือน

ยามค่ำคืน บรรยากาศมันมืดบรรลัย อีเจ้ยมักจะแอบเยี่ยวลอดช่องกระดานไม้ปูเรือน บางครั้งก็วิ่งลงไปนั่งจ่อมที่ตีนบันไดบรรเทาทุกข์เบาเป็นที่น่าบัดสี

คืนหนึ่งนั้น เป็นคืนสวรรค์มีตา อีเจ้ยปวดทุกข์เบา วิ่งลงมาจ่อมที่ตีนบันได ถลกผ้าถุงขึ้นเหนือบั้นเอว ปรากฏของขาววับแวมในเงาอันมืดมิด แต่สว่างวาบในแสงตาของทิดป้อ ผู้แอบซุ้มดูอยู่ใต้ถุนเรือนตั้งแต่หัวค่ำ
ทิดป้อตื่นเต้นแทบดิ้นตาย
พลั้งปากร้องตะโกนอย่างศิโรราบว่า
 ยอมแล้ว...ข้อยยอมแล้ว 
ปรากฏการณ์บันเทิง นับเป็นบุญตาของทิดป้อ นับจากนั้นไม่นานก็เป็นบุญบั้นเอว...				
4 สิงหาคม 2552 18:20 น.

อึ่งเป๊าะ... ของฝากแด่คุณชายผู้ผายลมบนเตาผิง

ละไมฝน

อึ่งเป๊าะ...ของฝากแด่คุณชายผู้ผายลมบนเตาผิง
                                                                                                                                                                                  ปรุงรสโดย  ละไมฝน 


                     วันศีลใหญ่ (วันพระ)  เดือน 8 หนที่ 2

                      ยวงเมฆอุ้มท้อง  หยาดเม็ดลงมาเคาะใบไม้ข้างวิหารอย่างรื่นเริง   

                      เสียงแห่งฤดูครางครืนๆ  กลบกลืนเสียงสวดมนต์แลง (ทำวัตรเย็น)   ของหมู่อุบาสก อุบาสิกา  ผู้ถือศีลกินเพลในวิหาร

                      วิหารใหม่  หลังใหญ่โอ่อ่ากว่าบ้านเรือนชาวบ้าน   20 หลัง  ค่าก่ออิฐถือปูน  แพงกว่าเรือนไม้ทั้งหมู่บ้าน  ช่างฝีมือตกแต่งหน้าบัน  ปั้นลายอ่อนช้อย  อรชร  งดงามวิจิตรราวกับวิหารวัดหลวง

                      เป็นสิ่งก่อสร้างจากศรัทธาของชาวบ้านผู้ไม่มีอันจะกิน   ผู้ก้มหน้าก้มตา  ทำนา  ขายข้าว ขายควาย  มาซื้อเสาวิหารต้นละ 5000 บาท   เป็นพาสปอร์ต   เดินทางไปเมืองสวรรค์   

                     วิหารอลังการใช้เวลาสร้างยาวนานกว่า 15 ปี  

                     ทุกวันศีลใหญ่  ญาครูเทศนาชักชวนชาวนาผู้อดอยาก  ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนสร้างวิหารทุก ปี   เพื่อไปผุดไปเกิดเป็นนางฟ้า เทวดา บนสรวงสวรรค์   เสพสุขอยู่ในหอปราสาทราชมนเทียรนั่นเลยทีเดียว 

                      ภพหน้ามีจริงหรือไม่    ชาติหน้าตอนบ่ายแก่ๆ อีแม่ตู้คงออนไลน์มาบอกข่าว   อิอิอิ...

                      อีแม่ตู้ (หญิงชราสูงอายุ)   ผู้ถวิลหวังพานพบท่านนายกรัฐมนตรี   หน้าตาหล่อเหลา  ปากหวานปานพระเอกยี่เกสักครั้งในชีวิต  

                      นางไม่มีแหวนทอง สวมนิ้วมือขาวสะอาดของคุณชายดอก   นอกจากของฝากเมนูเด็ดประจำตระกูล   เนื่องในวาระท่านนายกฯ เดินทางมาเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดอุบลราชธานี  

                      ในคืนวันศีลใหญ่  อีแม่ตู้ไหว้พระรับศีลแล้ว   นางทนเสียงรัญจวนจากอึ่งอ่างไม่ได้  จึงกระซิบชวนอีพ่อโต้น ไปจับอึ่งอ่าง (bull frog)  กลางทุ่งนาฝนพรำ 

                      คืนนั้น  อึ่งอ่างร้องเพลงระงมทุ่ง   ประสานเสียงแห่งฤดูกาลครืนครัน  ดุจคนธรรพ์บรรเลงเพลงทิพย์  กล่อมทุ่งนาหน้าฝนให้ชุ่มฉ่ำครื้นเครง   

                     ฤาสรวงสวรรค์อยู่แค่เอื้อมถึง  มิได้อยู่บนฟากฟ้าไกลลิบลับอย่างที่ได้ยินได้ฟังมานมนาน

              อีแม่ตู้   เหม่อมองหาสวรรค์บนฟากฟ้ามาเกือบ 80  ปีแล้ว    แต่ไม่เคยเห็นสรวงสวรรค์เหมือนดังที่ท่านญาครูเทศนาเลย

                     สวรรค์อยู่ในอก  นรกอยู่ในใจ   
                    แม่ตู้คิดเช่นนี้     
 
                    แต่วิมานสวรรค์ของอึ่งอ่าง   ก็คือทุ่งนาน้ำเจิ่งนอง   ฤดูกาลผสมพันธุ์ของเจ้าสัตว์ 4 เท้ามาถึงแล้ว 

                    ทั่วโลกมีอึ่งหลายสายพันธุ์   ทั้งที่เปิบได้  แลเปิบไม่ได้    
                    ในเมืองไทย  มีชื่อเรียกขานว่า  อึ่งเพ้า   อึ่งยาง  และอึ่งตะหล่าง
                    ประเภทเนื้อหอมหวาน  ไข่ดกต้องยกนิ้วให้ อึ่งเพ้า...
                    ตัวมันพองโต  คางเรียวเล็ก   จุ๋มจิ๋มน่ารัก   เวลาพวกมันเปล่งเสียงร้อง    ดังกระหึ่มไปทั่วท้องนา 
 
                    ท่านกูรูจากสถาบันเถียงนาน้อย  ได้แบ่งเพศอึ่งจากเสียงร้องครวญครางหาคู่   เสียงอึ่งตัวผู้ จะร้องเสียงดัง  อึ่ง ๆๆ...หรือ  หงึ่งๆ ๆ 

                     อึ่งตัวเมีย จะร้องเสียงดัง อ่างๆๆ ...  ผู้คนจึงเรียกมันว่า  อ่าง  (ไม่ใช่นางอ่างติดเบอร์นะครับ)  จากเสียงร้องหาคู่ของมัน

                     หากสดับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจแล้ว   เสียงจะดัง   หง่าง...หง่าง...หง่าง...เป็นท่วงทำนองโหยหวนหาอึ่งตัวผู้  

                     อึ่งตัวผู้จะอั้นน้ำตาปิติสุขยามเสพสังวาส  เวลาปล่อยน้ำเชื้อออกมาปฏิสนธิกับไข่อ่างตัวเมีย   ที่เบ่งไข่เป็นยวงออกมาจากท้อง

                     เขาว่ากันว่า ไข่อ่าง  เอร็ดอร่อยปานไข่ปลาคาเวียร์  แกล้มไวน์ขาวนั่นเลยทีเดียว  อีพ่อโต้น (สามีแม่ตู้) ไม่เคยรู้จักและได้ลิ้มรสไข่ปลาคาเวียร์เลยสักครั้งในชีวิต       แต่แกชอบละเลียดยวงไข่อ่าง  แกล้มเหล้าขาว  40  ดีกรี

              พ่อครัวหัวนา  จากภัตตาคารเถียงนาน้อย   เปิดเผยว่า  เมนูอึ่งอ่างต้มใบมะขามอ่อน ใส่พริกขี้หนูสวนทุบพอบุบ  หอมหัวแดง  ใบกะเพรา  ข่า  ตะไคร้ ต้มจนหนังเหนียว เปื่อยยุ่ย  ควักไส้พุงขี้ทิ้ง  เลือกกินแต่ยวงไข่  อันอุดมด้วยสารอาหาร  บำรุงกำลังทางเพศดีนักแล

                     เพราะความเหนียวหนึบของหนังอึ่งอ่างนี้เอง    อีแม่ตู้จึงค้นคิดสูตรอาหารจานเด็ด   นำอึ่งมาแปรรูปเป็น อึ่งเป๊าะ (ไส้กรอกอึ่งทรงเครื่อง )   

              เวลาบ่ายแดดร่ม  ลมเพลมพัด   ฟ้าแจ่มจัดเป็นสีฟ้า   เสียงกอไผ่แซมซ้อนกอเสียดสี  เสียงดังแอดอาด แอดอาดมาจากท้ายบ้าน     เสียงแสบสันต์เสียดแทงเยื่อแก้วหูพ่อเฒ่าโต้น  ผู้นั่งมวนยาสูบใบตองกล้วยแห้งมวนโต  

               แววตามิบ่งบอกว่าวิตกทุกข์ร้อนกับภาษียาสูบที่ถีบตัวสูงขึ้นทุกวัน   เหมือนบั้งไฟแสนบั้งไฟล้านเมืองยศ  (เมืองยโสธร)

              มือหยาบหนาของผู้ชำนาญการจับอึ่ง   คว้ากับไฟจ้าด (ไม้ขีดไฟ)  จุดยาสูบพ่นควันโขมง ปานเผาป่าไผ่เบตง    มืออีกข้างดึงเขียงไม้มะขาม  ที่เล่าลือว่าเป็นเขียงชั้นยอด   ขยับมาวางตรงหน้า 

              พ่อเฒ่าโต้น    ดูดควันบุหรี่เผาปอดอีกเฮือกใหญ่อย่างใจเย็น   ก่อนล้วงมือลงรูข้อง   กำอึ่งเพ้าตัวพองโตขึ้นมาวางบนเขียง     เงื้อมีดสับหัวอึ่งขาดด้วยคมมีดอีโต้เดียว      ขาอึ่งดีดดี้นเตะอากาศกะแด่วๆ ก่อนโยนลงอ่าง (อ่างน้ำที่ไม่ใช่อึ่ง)    พ่อเฒ่าโต้นสับหัวอึ่งจนได้อึ่งกองโต

                     ดูดควันเผาปอดอีกเฮือกใหญ่อย่างใจเย็น   พ่นควันโขมงปานเผาป่าไผ่เบตง

                     ก่อนลงมือถลกลอกหนังอึ่งในอ่าง อย่างพิถีพิถัน   ควักตับไตไส้พุง  เลาะเอาเนื้อทิ้งกระดูก  กลเม็ดเลาะเนื้ออึ่งออกจากหนัง   อย่าให้หนังอึ่งขาดเป็นอันขาด    
 
              ชายชราวัยต้น 70 ครวญเพลงฝนเดือนหกของรุ่งเพชร  แหลมสิงห์จบแล้ว  นำเนื้ออึ่งมาสับบนเขียงไม้มะขาม

             อีพ่อเฒ่าโต้นผู้เชี่ยวชาญการทำนา   และชำนาญการพิเศษในการถลกลอกหนังอึ่งอ่าง   ดูดควันยามวนโตเผาปอดอีกเฮือกใหญ่อย่างใจเย็น  พ่นควันโขมงปานเผาป่าไผ่เบตง  

                    ยาเส้นมวนใบตองกล้วยแห้ง   ไม่ได้ช่วยส่งเสริมภาษียาสูบของรัฐบาล   ผู้ปากว่าตาขยิบ  ให้เก็บภาษีได้ตามเป้าหมายสักน้อย   เก็บภาษีมรดกจากคนรวยได้เมื่อไหร่   แกจะสูบยาซอง

                   นี่แหละ   ความยุติธรรมของของชาวนาจนๆ

                    ทิ้งมวนยาซะเด้อ...บักเฒ่า   ขี้ยามันสิตกใส่อึ่งสับ  นายกฯ กินแล้วเพิ่นสิขี้ไหล 

                    งั้น  เอาเหล้าขาวมาแก้คาวแน...    

                   พ่อเฒ่าโต้นจุ๊ยปากดังจิ๊กจั๊ก 

                    พอใส่เครื่อง    มันก็หายคาวแล้ว         

                   อีแม่ตู้พูดพลาง   ตะบันสากโขลกเครื่องปรุงในครกดัง ก๊กๆ ๆ....
  
             เครื่องปรุงอันเป็นสมุนไพรไทย หมักเนื้ออึ่งนี้  ครั้งหนึ่ง....รัฐมนตรีบรมห่วยกระทรวงหนึ่ง   ตะโพนข่าวว่าเป็นสารพิษมีอันตราย  หากใครมีไว้ครอบครองเกินจำเป็น   จะต้องแจ้งกับทางการ  สารอันตรายเหล่านี้   มีอยู่ในหัวสิงไค (ตะไคร่)  ใบบักกรูด  พริกไทย  กระเทียม   ข่าอ่อน เป็นต้น  

                   อีแม่ตู้โขลกเครื่องปรุงละเอียดแล้ว    นำมาผสมกับเนื้ออึ่งสับ   เติมเกลือแกงเล็กน้อย    คลุกเคล้าให้เข้ากัน   ยัดลงในตัวอึ่ง  จนหนังอึ่งพองเต่งตึงได้ที่   ขนาดเท่ากำปั้น   จึงใช้เอ็นรัดหัวท้าย  นำไปแขวนเรียงรายไว้บนราว  ในยามก้อนเมฆหุบร่มกันแดด 

             อึ่งเป๊าะผึ่งได้สัก 3 แดด  ก็นำมารับประทานได้  ด้วยการ ปิ้ง ย่าง หรืออบในเตาไมโครเวป  ยิ่งอร่อยสะดวกสบาย

                   หญิงชราครึ้มอกครึ้มใจอยู่หลายวัน   เฝ้ารอคอยวันที่คุณชายสะอาดจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนประชาชนที่จังหวัดอุบลราชธานี   วันนั้น   นางจะใช้ความกล้าหาญ  แหวกฝูงชนเข้าไปมอบอึ่งเป๊าะเป็นของฝากแก่ท่านนายกรัฐมนตรี     
เพราะถึงอย่างไร   ราคาค่างวดของอึ่งเป๊าะ ชะลอมใหญ่  ไม่น่าจะเกิน 3,000 บา
ท  

                   คงไม่ทำให้คุณชายสะอาดลำบากใจ   เหมือนตอนที่ ฯพณฯ ท่านรับของกำนัล  งาช้างคู่งาม  จากบุรีรัมย์นั้นเป็นแน่แท้...  

.........................................				
26 กรกฎาคม 2552 11:52 น.

ฟ้าบ่หงาย (ตอนที่๑)

ละไมฝน

ตอนที่ ๑ บุญสรงน้ำ 


สงกรานต์บ้านโคกสะอาด ปี พ.ศ. ๒๕๐๔...

หมู่ผู้บ่าวผู้สาวเล่นสาดน้ำเต็มลานวัด น้ำอบน้ำหอม หอมฟุ้งทั่วอาราม เจ้าหัวน้อยกลัวเปียกน้ำ ๓ วันบ่เปิดห้อง ๓ วันบ่ออกมาฉันข้าว สาวลำพอง สาวโพระดก และสาวกระจ้อน แล่นลัดต้อนจับเณรอุ่นดึงสบงบางสรงน้ำ ผ้าสบงเณรน้อยหลุดโลดเต้นกระโจนขึ้นกุฏิ สามสาวนมตั้งพานแล่นตามขึ้นไปสรงน้ำ เจ้าหัวเฒ่าคว้าไม้เท้าฟาดตีผู้สาว สาวลำพองหลบไม้เท้าทัน สาวโพระดกกระโจนหนีตกกุฏิ สาวกระจ้อนแล่นไปฟ้องญาซาบุญเติมว่า อ้ายเณรอุ่นดื้อมือไวจับนมผู้สาว จึงพากันไล่ต้อนจับเณรน้อยแก้ผ้าเหลือง 

ญาซาหนุ่มยิ้มเป้ยๆ บอกแม่ออกสาวให้พาพ่อแม่แต่งขันธ์ ๕ มาขอขมาเณรอุ่น...

ค่ำแลงลง เณรอุ่นน้อยเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ ปานเป็นจับไข้สั่น คลานต้อยๆ เข้าสิมกลางน้ำสวดมนต์ปลงอาบัติ พอทำวัตรแลงแล้ว พวกหมู่ผู้เฒ่าก็เก็บดอกพุดหอมใส่พาน พาลูกสาวมาขอขมาลาโทษเณรอุ่น พร้อมนำฝ้ายเส้นขาวมาผูกแขนเณรน้อย 

เจ้าหัวซาบุญเติมปรารภขึ้นว่า  ถ้าสองฝ่ายสองจิตบ่คิดอกุศลต่อกัน อาบัติกรรมนั้นแม่นบ่มี อาทิกรรมที่ทำนั้นจึงขอยกไว้ 

จากนั้นเรื่องบาดหมางใจระหว่างเณรน้อยกับแม่ออกสาว ก็คลี่คลายไปด้วยดีจากการชำระคดีของเจ้าหัวซาหนุ่ม ผู้เป็นดวงแก้วดวงธรรม เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านสืบมา นับแต่ญาซาบุญเติมมาครองวัดบ้านโคกใหญ่หลายพรรษา ญาท่านได้สืบสานฮีตคองประเพณี สืบต่อก่อสร้างวัดจนฮุ่งเฮือง เมืองบ้านสุขสงบร่มเย็นตลอดมา ภิกษุหนุ่มนี้ผ่านพิธีสรงน้ำมาแล้วสองครั้งสองครา ปีนี้อเนกนำค้ำจุนบุญมหาสงกรานต์ ญาซาผู้มีภูมิธรรม จะได้เข้าพิธีสรงน้ำอีกครั้ง เพื่อเลื่อนสมณศักดิ์เป็นญาครู 

ปะรำพิธีสรงน้ำ ที่ชาวบ้านตกแต่งขึ้นด้านหน้าบันไดทางขึ้นหอแจกนั้น งามตานัก ผู้เฒ่าผู้แก่ได้ตระเตรียมดอกไม้ห่วงหอม เครื่องบริขาร เช่น ผ้าไตรจีวร ๑ ตาลปัตร ๑ ไม้เท้า ๑ รองเท้าแตะ ๑ คู่ แล้วตั้งแต่งโฮงไม้พญานาค ซึ่งทำจากไม้จันทน์หอมแกะสลักเสลา แต้มสีเป็นฮูปพญานาคางามวิจิตร ประดับประดาดอกไม้เก้าสี ตรงกลางเป็นร่องฮางยาวจากหางถึงอกคอนาค เจาะเป็นฮูน้อยๆ เพื่อให้น้ำอบน้ำหอมไหลย้อยอาบร่างภิกษุที่จะเข้าพิธีสรง

เปิดเปิ๊ง...เปิดเปิ๊ง...เปิ๊ง...เปิ๊ง...เปิ๊ง

เสียงกลองยาวแห่แหนญาซาหนุ่มรอบหมู่บ้าน ดังไกลมาแต่ตีนบ้าน บนถนนหนทางชาวบ้านนำเสื่อสาดมาปูเป็นทางยาว ให้ขบวนแหนแห่เหยียบย่างผ่านไปยังปะรำพิธีสรงน้ำ ... 

เมื่อขบวนแห่มาถึงบริเวณปะรำพิธี พ่อจารย์คำหมอพราหมณ์ใหญ่ ถือพานสลาธูปเทียนดอกไม้ มาอาราธนานิมนต์ญาซาบุญเติมจากเสลี่ยงไม้ไผ่ ลงมานั่งอยู่ใต้เศียรพญานาค ผินหน้าไปทางบูรพาทิศ 

ญาครูโซ้นนำใบลานทองมาจารจารึกคำประกาศแต่งตั้งญาซาบุญเติมเป็นญาครู จากนั้นเจ้าหัวเฒ่าก็นำใบลานจารชื่อ ไปวัดรอบท้ายทอยพระผู้พรรษาน้อยกว่า วางไว้บนพานบายศรี แล้วพ่อใหญ่จารย์คำ ก็เริ่มเอื้อนโอมเอิ้นขวัญด้วยคำร่ายแก้วว่า... 

 ศรีๆ ศรีวันนี้เป็นวันดี งานสรงศรีสรงสา ญาครูผู้เพียรธรรมสืบสร้าง แม่ฮ้างเอ้ย อย่าได้มาแกมผู้สาว นางขาวเอ้ย อย่าได้มาแกมเจ้าหัว ขอญาครูเจ้า มีชื่อเสียงโด่งดัง ปานพลุปานตะไล บั้งไฟแสนบั้งไฟล้าน ขวัญเจ้าท่องทางไกลบ่ทันมาฮอด ลางทีขวัญเจ้ากอดลูกน้อยให้กินนมเมีย ลางทีเจ้าชมนมเมียบ่ทันแล้ว ลางทีเจ้าย้อมผมแล้วบ่ทันดำ ลางทีเจ้าทาน้ำมันจันทน์อยู่ลูบไล้ ลางทีเจ้ายังทัดดอกไม้สวยสะ ไปไหว้พระเจดีย์ใหญ่ชัยมงคล ขวัญเอ้ย ขวัญเจ้าอยู่ไส ขอให้มามื้อนี้วันนี้ ให้มาอยู่เฝ้าวัดสอนธรรม ให้มาน้อมนำจิตนำใจชาวบ้านโคกใหญ่ อย่าได้หลงโลกโลกีย์... 

น้ำอบน้ำหอมที่เจ้าหัวโซ้น และญาติโยมชาวบ้าน สรงผ่านหางนาคน้อยไหลไปตามร่องรางผ่านฮูน้อยๆ ที่อกคอนาค ย้อยหยาดอาบสรงร่างญาครูหนุ่ม ผู้นั่งพนมมือ สวมกระโจมหัวงาม รับการสรงน้ำอย่างสงบงาม น้ำอบน้ำหอมชื่นเย็นนัก ดับไฟกามร้อนรุ่ม ที่เผารุมอยู่ในเนื้อใจพระหนุ่ม ผู้อุดมด้วยเลือดเนื้อวิญญาณ ลามลวกด้วยแรงปรารถนา เฉกเช่นลูกชายชาวบ้านทุกคืนค่ำ...ให้ฉ่ำเย็นลงประหลาดล้ำ 

น้ำอบน้ำหอมที่ญาติโยมนำมาหดครั้งสรงนี้ ครอบญาครูบุญเติมไว้ปานฟ้าครอบเดือนแลดาว ฟ้าบ่มีวันหงาย ร่ำๆว่าให้รำลึกถึงคุณแกงฮ้อนแลข้าวขาว ที่ชาวบ้านได้มาจากการไถนาหว่านกล้า ปักดำนาหลังคดหลังโก่ง กว่าจะได้เก็บเกี่ยว หนักเหนื่อยกันตลอดทั้งปี 

ยามเช้าพวกผู้เฒ่านึ่งข้าวเหนียวใหม่ ปิ้งปลามันมาใส่บาตร แม่จังหัน แม่จังเพลหิ้วปิ่นโตมาวัดบ่เคยขาด ญาครูหนุ่มหวนนึกถึงกลิ่นสไบผืนผ้าสาวจันดา ลูกสาวหล่าแม่ทุมมาแม่ออกค้ำ ยังร่ำรอมหอมจับจิตอยู่บ่จาง แม้นว่ายามออกบิณฑบาต สายตาพระเสเลี่ยงหลบตานาง สงบเสงี่ยมหลุบตาต่ำแทบใต้ตีนซิ่นนาง ซิ่นไหมงามแม่ทุมมามัดหมี่ยาวกรอมเท้า สายตาญาครูเจ้าก็อดเหลือบแลมือแม่งามน้อยบ่ได้ ใจจดจ่อจดจำปั้นข้าวเหนียวใหม่ใส่บาตรปั้นนั้นบ่ปลงวาง

มันเป็นเพรงกรรมแต่ปางใดหนอ มากวนธรรมใสให้ข้นขุ่น หรือเป็นเพราะว่าบุพเพสันนิวาส ดึงสายมิ่งสายแนนมาแนบเหนี่ยวเกี่ยวพันกันไว้

อันว่าเนื้อนาบุญนั้น พระบุญเติมเคยสืบสร้างสืบมาครอบอยู่ เนื่องจากชาวบ้านโคกสะอาด ชาวบ้านโคกใหญ่เลื่อมใสศรัทธา เทิดทูนให้ครองวัดวาอารามยืนยาวสืบไปในภายภาคหน้า นึกจะหนีจากวัดไปปลดปลงจีวรห่มตอไม้ ก็หวนเห็นภาพเก่าคราวหลังที่พวกผู้เฒ่าแลชาวบ้าน พากันเดินลัดขึ้นโคกสูง ลงโคกต่ำ ผ่านโคกผีตาหลอก โคกผีปูย่า ไปอาราธนานิมนต์มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้ 

ปางก่อนนั้น บริเวณท้ายบ้านโคกใหญ่ อุดมด้วยแมกไม้หลายหลากหนาแน่น มีทั้งต้นจิก ต้นกุง ต้นเต็ง ต้นรัง ต้นคัดเค้าเป็นตุ่มเป็นหนามแหลม เติบโตแผ่ผายกิ่งก้านปกป้องป่า ยามเมื่อฟ้าย่ำเย็นน้ำค้างพรม คัดเค้าผลิดอกขาวเต็มต้น ส่งกลิ่นหอมไกลถึงหัวบ้าน แลยังมีเถากระเช้าสีดาเลื้อยเลาะเกาะก่ายต้นรัง ปานว่าผูกสมัครรักต้นรังมานับร้อยนับพันปี กระเช้าสีดาออกฝักรักเถาเป็นกระเช้าน้อยๆ ยามเมื่อฝักแก่จัดก้านบนผลปริแตก กางก้านแยกเป็นสาแหรกหิ้วกลีบน้อยนั้น แสงแดดแลสายลมบ่มฝักจนแห้งกรังคาก้าน ยามเมื่อสายลมพานพัดมา เมล็ดพันธุ์เล็กๆ ในกระเช้าน้อยๆ กระทบฝักเสียงดังกราวๆ ปานว่าเพลงป่าไพรขับลำนำผสานเสียงลำไผ่เสียดสีออดอ้อนดังกังวานหวาน กอไผ่บงป่งแซมซ้อน แตกกิ่งเกี่ยวกอ แขนงหนามแหลมทิ่มแทงน่องสาวน้อยนมตั้งเต้า ในยามเช้าหมู่สาวขึ้นใหม่ มักจะหลบไปนั่งยองๆ อยู่หลังกอไผ่สีสุก เพื่อถ่ายทุกข์บนขอนไม้ผุเก่า พอฝนลงสองฝนสามฝน ก็เกิดเป็นเห็ดขอนขาว ขาวปานกกขาสาวผู้ถ่ายทุกข์ เมื่อนั้นชาวบ้านจึงได้เก็บไปแกงใส่ผักหวานไข่มดแดง

ผู้ใหญ่เม้าผู้นำชุมชน ผู้แปลงป่าเป็นบ้าน มีความประสงค์สร้างวัดน้อย ไว้คอยเจ้าหัวผู้มีบุญกว้างแผ่ผาย เป็นร่มโพธิ์ร่มธรรมของหมู่ลูกหลานสืบไป เฒ่าจึงนำชาวบ้านหักร้างถางพง ปรับผืนป่าเป็นลานดินกว่ากว้าง สร้างศาลาหอแจก ยกพื้นสูงลมโกรก ต้นเสาสองคนโอบจำนวนสิบสองต้น พร้อมกุฏิหลังน้อยมุงใบตองตึง แล้วนำพาผู้เฒ่าผู้แก่ไปนิมนต์ญาครูอิน วัดบ้านดินดำ มาเป็นเจ้าวัดบ้านโคกใหญ่ ญาครูอินยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ขยันขันแข็ง บ่นิ่งนอนดูดายตายเปล่า พอว่างจากท่องพระคัมภีร์ ท่านก็จับจอบถางไม้ขุดหัวตอ ปลูกกล้วยอ้อยหมากพลู ปลูกขนุน หมากพร้าว แลปลูกตาลอ้อมอาณาเขตวัด ลานดินกว้างด้านหลัง ญาครูอินขุดดินพอร่วน โรยเมล็ดฝ้ายเป็นแถวเป็นแนว จนกระทั่งฤดูฝนก็แทงหน่อผลิใบ ฤดูแล้งร้อนสองปีถัดไป ต้นฝ้ายก็ผลิดอกลานตา ดอกฝ้ายแก่แตกเปลือกปุยหนา สำลีขาวแตกปุยขาวเกลี้ยง ก่อนเพลาฉันเพล ญาครูอินแบกกระทอออกไปเก็บฝ้ายทุกวัน จนได้สัก ๒๐ กระทอฝ้าย ขนใส่เกวียนพ่อเฒ่าจูมสี นำไปขายที่ตลาดเก่าเมืองแวง ได้เงินมาใส่ไหขุดหลุมฝังใต้กุฏิ เก็บออมเงินไว้หวังสึกไปแต่งเมีย

เฒ่าจูมสีได้เงินค่าขนฝ้าย ๕๐ สตางค์ เฒ่าก็ซื้อเหล้าโรงไปนั่งกินที่ชานเฮือน พอเหล้าเข้าปากความทุกข์ยากก็บ่มี ความลับต่างๆ พรั่งพรูออกจากปากดำๆ เหม็นๆ ของเฒ่าขี้เมา เมื่อความล่วงถึงผู้ใหญ่เม้า เคยเลื่อมใสศรัทธาเจ้าวัดจึงเสื่อมสิ้น สมภารอินผู้ทะเยอทะยานสะสมทรัพย์ บ่ควรคู่วัดคู่บ้าน ลูกหลานบ่ควรกราบไหว้ 

ผู้ใหญ่เม้าตีกลองร้องป่าวประชุมชาวบ้าน ร่วมกันขับไล่สมภารโลภไปจากวัดบ้านโคกใหญ่ 

สมภารอินฮ้อนฮนหลาย คันก้นขี้กลากกิน รีบหอบไหเงินแลห่อผ้าไตรกระโจนจากกุฏิ แล่นหนีไปจากวัดบ้านโคกใหญ่แต่บัดนั้น

หลังจากญาครูอินจากไปแล้ว วัดบ้านโคกใหญ่ก็รกร้างว่างเปล่า ฝูงหมาขาว กาดำ แลอีแฮ้งบินเวินอ้อมตอมกุฏิ ยามค่ำเงียบเชียบ ลมเหงา หมาบ้านเห่านกเค้าแมวบินมาจับขื่อคา เสียงมันฮ้องดังแจๆ ฮุ๊กๆ กุ๊กๆ แจๆ บางคืนหมาจอกลักลอบเข้าหมู่บ้าน ตะกุยกินเศษซากรกเน่า ที่พ่อลูกอ่อนนำไปฝังกลบไว้ใต้พงหนามเล็บแมว หลายคืนมาแล้วผีปอบยายสา เข้าสิงร่างกินตับไตยายเป้งยามตะวันตกดิน หมู่ชาวบ้านบ่กล้าออกไปจับกบจับเขียด เพราะกลัวผีโพงผีเป้าล้วงก้นกินตับ ผีโพงผีเป้าเหล่านั้นจึงจับกบจับเขียดกินอยู่ตามทุ่งนา มันเลือกกินแต่ขาแลตัว เสียบหัวกบหัวเขียดประจานไว้ตามหนามไหน่ไผ่แห้ง 

แลงหนึ่งแดดดับ แม่เฒ่ากองแลนตาเข หาบขนมจีนน้ำยาปลาซ่อนข้ามโคกไปขายที่ตลาดเก่าเมืองแวง เนื่องจากมีงานฉลองไหว้ศาลเจ้าปู่ ตกดึกกลับบ้านลัดผ่านลานวัด แม่เฒ่าตาบ่สามัคคีกัน พลันเหลือบเห็นผีเปรตสูงขายาวเก้งก้าง แขนยาวห้อยต่องแต่ง แม่เฒ่ากองแลนตกใจกลัวตาเหลือกลาน ทิ้งตะกร้าขนมจีนวิ่งเข้าหมู่บ้านนอนจับไข้หนาวสั่น ขี้เยี่ยวใส่ซิ่นเหม็นคลุ้งทั่วเฮือน 

เดือดฮ้อนถึงผู้ใหญ่เม้า ผู้เฝ้าดูแลทุกข์สุขชาวบ้าน เฒ่าเกรงว่าลูกบ้านจะเป็นบ้าเสียสติตายเพราะผีหลอกผีหลอน วัดจะฮ้างฮ้ายกลายเป็นวัดผี จึงนำความทุกข์ใจไปปรึกษาพ่อใหญ่จารย์คำ เชิญพ่อเฒ่าอาวุโสไปอาราธนานิมนต์เจ้าหัวซา เจ้าหัวเล็กหัวน้อยจากบ้านอื่น มาจำวัดจำวาบ้านโคกใหญ่ เป็นที่พึ่งทางใจแก่ชาวบ้าน 

เฒ่าจารย์คำหมอพราหมณ์ใหญ่ แต่งดอกไม้ขันธ์ ๕ ใส่พานไม้งามตั้งแต่ยามฟ้าสางตะวันแดง พอฟ้างายผู้ใหญ่เม้าจึงนำผู้เฒ่าผู้แก่ ย่างไปอาราธนานิมนต์ญาซาบุญเติมวัดบ้านโคกสะอาด ยายหนูนามาจ๊ะ แม่เฒ่าปากหวานจ้วยๆ หาบตะกร้าข้าวปลาอาหาร ปิ่นโต บั้งน้ำเต้าปากกว้างใส่น้ำกิน อ้ายทิดเคนน้อยเป่าแคนนำทางขึ้นโคกป่ากุง ลิ้นแดดเลียดอกคัดเค้าโชยกลิ่นหอมมาตามสายลมอ่อน ยายกองแลนหายไข้วายป่วง เคี้ยวหมากหยับๆปากแดง ได้ยินเสียงแคน แลนแตร๋ แลนแต แตะแลนแตร... แม่เฒ่านึกสนุกถลกผ้าถุงเหน็บพุงล้อนจ้อน รำฟ้อนแอ่นหน้าแอ่นหลัง พ่อใหญ่จารย์คำเหลียวมองแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก แม่เฒ่าได้ใจเลิกชายซิ่นพันเอว ฟ้อนรำเฉิบๆ เด็กน้อยตาเปียกแล่นตามเป็นพรวน บักโม่งขี้มูกเขียวชี้นิ้วท้วงก้นดำด่างของแม่เฒ่า

 ขี้ไก่ดำติดก้นผู้เฒ่า ขี้ไก่ขาวติดนมผู้สาว 

บักโม่งฮ้องยั่วหยอกแม่เฒ่า จ้องมองก้นเหี่ยวแม่เฒ่าตาบ่วาง ยายกองแลนหน้าลาย ตาเข หันมาแยกเขี้ยว ถลึงตาใส่หมู่เด็กน้อย

 บักห่ากินหัวมึงเอ้ย...เป็นเด็กเล็กเด็กน้อย มาท้วงก้นผู้เฒ่า  ยายกองแลนด่าตวาด 

พวกเด็กๆ พากันแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง 

แตะ...แลนแต... แลนแตร๋...แลนแต แตะแลนแต ....แลนแตร๋...แลนแต 

เสียงแคนอ้ายทิดเคนน้อย เป่าทำนองแมงภู่ตอมดอกไม้ นำพาหมู่ผู้เฒ่าผู้แก่ เดินขึ้นโคกสูง ลงโคกต่ำ พอพ้นโคกป่าจิก ก็เห็นโคกป่าฮังมาบังอยู่เบื้องหน้า พวกผู้เฒ่าลัดเลาะโคกป่าติ้ว โคกดอกกระเจียว โคกเห็ดไค โคกผีตาหลอก โคกผีปู่ตา จนล่วงสู่วัดบ้านโคกสะอาด ยามเณรน้อยตีกลองเพลพอดิบพอดี 

 ญาติโยมพากันมาธุระอีหยังกันหนอ มากัน มากมายหลายหน้า  

เจ้าหัวเฒ่าปรารภถาม หลังจากฉันภัตตาหารเพลเสร็จแล้ว

 บ่ได้มาขอข้าวขอแกงดอก ญาท่าน พ่อจารย์คำยกพานขันธ์๕ เหนือศีรษะ  พวกข้าน้อย มานิมนต์ญาซาบุญเติมไปสืบสร้างศาสนาทางบ้านโคกใหญ่พู้น

 ญาครูอินไปจำวัดอยู่ไสแล้วล่ะ 

 เพิ่นญาครูหอบไหเงิน หอบผ้าไตรหนีกลับบ้านไปแล้ว ตอนนี้วัดบ้านโคกใหญ่บ่มีพระ บ่มีเณร มีแต่ผีเฝ้าวัด หมาเฝ้ากุฏิ 

ดวงหน้าอิ่มบุญของท่านเจ้าหัวเฒ่า สงบเย็น ตาเล็กๆ เปล่งประกายแจ่มใสมีเมตตาน่าศรัทนานัก ท่านดึงเซี่ยน หมากมาวางตรงหน้า มือเหี่ยวย่นหยิบใบพลูขึ้นมาเด็ดหางเต่า แต้มปูนแดง หยิบหมากสดหั่นเป็นแว่นๆ แก่นคูนสับละเอียดและยาเส้นวางบนใบพลู ม้วนเป็นมวนกลมๆ เหมือนเหมือนมวนบุหรี่ แล้วยัดใส่ปากเคี้ยวหยับๆ อยู่นาน ญาครูเฒ่าถ่มน้ำหมากแดงเถือกลงกระโถน

แล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเมตตาว่า

 ซาบุญเติมเพิ่งสรงน้ำเป็นซาเมื่อปีก่อน พรรษายังบ่แก่กล้าหน้าบานเท่าใด บ่ฮู้ว่าสิเป็นสมภารเพ็งได้บ่ อาตมาสิลองถามความสมัครใจเพิ่นเบิ่งก่อนเด้อ ถ้าประสงค์ไปอยู่สืบสร้างศาสนาทางบ้านโคกใหญ่ อาตมาก็บ่ขัดศรัทธาดอก ญาติโยมเอ้ย 


............................................................
(โปรดติดตามตอนต่อไป)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงละไมฝน