7 เมษายน 2550 00:04 น.

เพลงแคนเคียงคูน (Flower of the Northeast)

ลำน้ำน่าน

ดูรา..บุหงันถิ่นประทิ่นทอง
แรกรงรองรจิตแคว้นดั่งแดนสรวง
ได้รู้จักรักแล้วแก้วชิงดวง
พบพุ่มพวงพู่กลิ่นแม่มิ่งไม้

ลอยครรไลเคล้าคิมหันต์วันรวี
มนต์ไมตรีต้องกันวันแดดสาย
สัตย์สัมพันธ์นับแต่นี้บ่มิคลาย
เสน่ห์หมายพวงน้ำผึ้งตะลึงตรา

ระบำใบระบัดบุญคุ้มโคตรบูร
เคล้าเคียงคูนแคนครรลองของเดือนห้า
ดั่งรงทองผ่องทิพย์พระศาสดา
โบกพัตร์ผ้าพระแผ้วแคล้วเภทภัย

เครียวกิ่งก้านสลับเหลืองดอกประดับ
ระย้าระยับกลีบกลุ่มพุ่มไสว
เขียวพระแก้วกนกแซมแย้มบ่วงใบ
เรียวรูปไข่รูปป้อมน่าถนอมนัก

ดั่งบุหรงหลงรักป่าเบญจพรรณ
วังเวงวัลย์เริงรำแพนแสนสูงศักดิ์
กฤตยาลมแล้งจำแลงรัก
อยากรู้จักจริงจังเจ้าจอมใจ

แม่มงคลขมิ้นศรีสตรีอีสาน
ยิ่งยลนานทรวงสั่นยิ่งหวั่นไหว
เพราะบุญทำกรรมบรรจบแต่ภพใด
ประเดิมให้ประจงพบประสบกัน

ฤาเทพินนางกษัตริย์มาพลัดถิ่น
โปรยประทิ่นทองร่วงจากสรวงสวรรค์
อาบแว่นแคว้นแดนโกสุมปทุมวัน
อัศจรรย์เหลืองกาไหล่ชัยพฤกษ์

สลัดใบให้ดอกสร้อย...สรมสล้าง
แล้วจากวางดอกร่วงช่อบ่วงสึก
ลมแล้งเอยอย่าเลยร้างจางสำนึก
จากส่วนลึกประทับจิตมิตรไมตรี

กำสรวลแคนครวญคลอขอคำมั่น
วอนสายัณห์โขงยามเย็นเป็นสักขี
หากคนจรหมอนหมิ่นสิ้นภักดี
อเวจีตีตรวนตายหมายจำจอง

โอ้ละหนอดอกไม้ไหวไหว้แผ่นดิน
โปรดยลยินน้ำใจนี้บ่มีสอง
ร้อยมาลัยจำเรียงหวังเคียงครอง
ได้สมปองนางพญาสุมาลี

ดูรา..ดอกไม้ถิ่นประทิ่นทอง
อย่ามัวหมองให้ลมลูบจูบเสียศรี
พรหมจรรย์สุดศักดิ์สิทธิ์อิสตรี
ไว้ผลิพลีเสียสงวนเมื่อควรกาลฯ

-------------------------------------------
คิมหันตฤดูเดือนห้าหอบลมแล้งมาโรยไว้เหนือท้องทุ่ง
ดอกไม้บ้านนาก็บานไสวไปทั้งทิศแล้ว 
ดอกลมแล้ง ดอกคูน ดอกราชพฤกษ์ดอกชัยพฤกษ์
เป็นดอกไม้ในอุดมคติของข้าพเจ้ามาเนิ่นนานนัก
สามัคคีกันบานสะพรั่งประดับที่ราบสูงให้งดงาม
ประหนึ่งสตรีอีสานงามอยู่กลางภูมิประเทศแร้นแค้น

ในยามที่ดอกคูนแต่งหล้า 
สีเหลืองทองสุกปลั่งดังผ้ากาสาวพัตร์
ที่อยู่คู่กับดินแดนที่ราบสูงมาช้านาน 
ทั้งอริยสงฆ์และวัดวาอาราม
อีกทั้งยังเป็นดอกไม้ประจำชาติ 
และสีเหลืองแห่งพระมหากษัตริย์
และเป็นไม้มงคล หนึ่งในเก้าไม้มงคลฯ

หากเปรียบดอกลมแล้งเป็นผู้หญิง 
ก็คงเป็นหญิงพื้นถิ่นผู้งามทั้งกายใจ
รักนวลสงวนตัว ทรนงในเกียรติ 
และศักดิ์ศรีของตัวเอง
และยังความเสน่หาให้บุรุษผู้พบเห็น
อยู่นานนักหนาแล้ว

บทกวีแด่ชาวอีสานทุกๆ ท่าน 
ดินแดนแห่งดอกคูนเสียงแคนอารยธรรม หมอลำ 
และความลาวที่งดงามในหัวในดวงนี้..เสมอมา

-----------------------------------------------------
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
๖ เมษายน ๒๕๕๐

				
28 มีนาคม 2550 00:39 น.

เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว (The King's Rain)

ลำน้ำน่าน

ครวญขลุ่ยทิพย์โหยหอมมาอ้อมข้าว
เจรียงเช้าจรดวันวสันตส์สมัย
เพลงพิรุณปรุงฟ้ามาแต่ไกล
เพราะหัตถ์ทิพย์ผู้ใดโปรยหว่านมา

สายโกสุมฝนละอองกรองเรณู
ราวหยั่งรู้โสมสรวงแลปวงป่า
มาชักนำชโลมชื้นตื่นนิทรา
ปลุกผืนนาป่าไพรให้ยินดี

อัญเชิญธาตุฝนเทวามาสถิต
จักนิมิตกาพย์แก้ววิเศษศรี
บวงสรวงธาตุเมตตาบารมี
สดุดีพระพิรุณเป็นบุญเมือง

ระวางเมฆเวิ้งว้างระวางทิพย์
งามระยิบเกล็ดบุหงารดาเหลือง
ปรุงน้ำค้างเกรียวละอองอยู่นองเนือง
ยามรองเรืองสุริยาจะลาไป

เชิญแมกไม้ระลอกลมห้อมห่มป่า
ไหวประทับเมฆาอย่าหลับใหล
ละลายเมฆเย็นจรุงไปปรุงไพร
ไหวสุนทรีย์นทีทองสู่ร่องรวง

ล้างน้ำตาแผ่นดินคราสิ้นหวัง
คละหลั่งห้วยหนองแควคลองหลวง
เนรมิตรุ้งประดับระยับยวง
วิจิตรแล้วดอกดวงมวลดอกไม้

น่าเสน่หาขวัญหล้าขวัญชีวิต
ได้สถิตใต้ฉัตรฟ้าค่าหลากหลาย
ชุบชีพชื่นมรณาอย่าวางวาย
มุ่งหมายคืนบุญคุณผืนแผ่นดิน

ระลึกซึ้งพระบารมีธนาคารข้าว
ทุกค่ำเช้าฝนหลั่งนิรันดร์ถวิล
หวานน้ำข้าวแคว้นใดได้ดื่มกิน
อาบสายสินธุ์ถิ่นไหนให้ซ่านกาย

อัศจรรย์เขื่อนแก้มลิงชลสิทธิ์
วารชีวิตวิปโยคน่าใจหาย
เพรงพิรุณลิ่วลับมากลับกลาย
แก้แล้งร้ายอุทกภัยอนันตกาล

หอมห้อมแก้วแหล่งหล้าอรัญญิกาลัย
บุปผชาติเบิกไพรทิพย์สถาน
เมตตาธรรมฝนฟ้ามาบันดาล
หวานวิญญาญ์ผะแผ้วแล้วทุกทิศ

เพิงแผ่นผาฝายแม้วเกล็ดแก้วสะท้อน
ฟางฟ่อนลานเทแม่โพสพสถิต
พิรุณหลวงพยับไพรไหวชีวิต
ศักดิ์สิทธิ์ละอองามน้ำพระทัย

แว่วขลุ่ยทิพย์โหยหอมมาอ้อมข้าว
เจรียงเช้าจรดค่ำนิรันดร์สมัย
เพลงพิรุณปรุงฟ้ามาแต่ไกล
ไหวอัสสุชลร่วงหล่นลงบูชา

-----------------------------------------------------------
วันนี้วันว่างข้าพเจ้ามองดูเมฆที่เคลื่อนคล้อยลอยเลื่อนมาไสวทิศ
นำพาฝนหลวงมาตกต้องให้เกษตรกรบนภูภาคเหนือแลอีสาน
ข่าวแว่วมาว่าเจ้าหน้าที่ในโครงการฝนหลวงทำงานอย่างหนัก
ในห้วงเวลาแล้งวิกฤติในคิมหันตฤดูนี้และฤดูไฟป่ากำลังกระพือโหม
เคยเดินตากฝนหลงฤดูในยามคิมหันต์...
ในใจระลึกรู้ว่า นี่คือพระพิรุณในโครงการหลวงของพระองค์ท่าน

คนไทยยังโชคดีที่ยังมีพระบารมีพระองค์ท่าน **ปราชญ์แห่งน้ำ**
ประหนึ่งเทพประทานฝนให้เหล่าพสกนิกรได้หล่อเลี้ยงชีวิต
ในยามหน้าแล้งก็มีฝนหลวงและโครงการชลประทานเขื่อนศักดิ์สิทธิ์
ในยามหน้าน้ำหลากก็มีโครงการแก้มลิง ทดน้ำให้พสกนิกรให้อยู่สุข

บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าน้ำตาเอ่อในยามที่ระลึกถึงพระองค์ท่าน
หากน้ำตานั้นเป็นน้ำตาแห่งความปิติและสำนึกในบุญคุณพระองค์ท่าน
และบุญคุณแห่งแผ่นดินอย่างประมาณค่าบ่มิได้....

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
๒๘ มีนาคม ๒๕๕๐ 


				
26 ตุลาคม 2549 00:40 น.

สองฝั่งคลองสองแผ่นดิน (Two Banks of the River)

ลำน้ำน่าน

เสร็จประสงค์ศึกม่านผ่านเวลา
นวลจันทราทอทิพย์แล้วแก้วเวหน
เดือนสิบสองสายน้ำสนานตำบล
มาหลากล้นเจิ่งนองท้องทุ่งนา

อวลแต่กลิ่นรสสุคนธ์เสียงเพลงยาว
บ่าว-พระยาประเพณีที่ปรารถนา
ประหวัดภาพเพรงพิสุทธิ์อยุธยา
กาลข้าวกล้าแตกรวงรัดบ่วงใบ

ร้อนแต่การรณรงค์แสนลำบาก
แม้นทุกข์ยากมีจนไม่พ้นไพร่
หวังคืนเรือนสักคราวหนาวดวงใจ
เกรงจักให้เสียทาสราชการ

รัตนโกสินทร์สมัยนี้ฤายี่หระ
ไม่เห็นพระเห็นทุกข์สนุกสนาน
สิบห้าค่ำพระจันทร์เพ็ญเป็นตำนาน
ฤาจักมุ่งสืบสานเกียรติกรุงไกร

สองฟากฝั่งแควคลองของกรุงศรีฯ
หลายร้อยปีควรสืบสานสมานสมัย
ศกโกสินทร์สิ้นสำคัญฤาอันใด
สายน้ำใจสองฝั่งคลองจึงหมองมัว

จักมุ่งหมายสิ่งอันใดในยุคนี้
ประเพณีเลิกร้างหนทางสลัว
ดุเหว่าครวญคุ้งสะอื้นดึกดื่นกลัว
โศกถ้วนทั่วจองจำทั้งลำธาร

แสงเทียนทองทิพย์ไต้จากปลายคุ้ง
ธูปจรุงจีบใบตองลาล่องละหาน
เพรียกแต่เสียงขลุ่ยแก้วแผ่วกังวาน
แต่เพรงกาลเคยครวญคู่อยู่คลอเคียง

ประหวัดภพเจ้าพระยาครองนาหมื่น
ฟังบ่าวไพร่สรมสะอื้นแต่โศกเสียง
หรีดหริ่งร้างพระพายลับดับสำเนียง
ริมระเบียงเรือนทรงไทยพลบเวลา

หากมาตรแม้นเพ็งค่ำเดือนสิบสอง
สองฝั่งคลองจักคราคร่ำลำนำบุปผา
เผาเทียนทองประเพณีศรีอโยธยา
ก่อนนิทราหลับใหลใต้นวลจันทร์

สายวารีใหลไปไม่ย้อนคืน
สถิตแต่เสียงสะอื้นจากสรวงสวรรค์
หนาววิญญาญ์บรรพบุรุษอยู่นิรันดร์
ตราบแต่วันมลายกรุงคุ้งดินแดน

สไบบางแพรผ้าไหมใยหมองนัก
ไม่จำหลักดั่งแล่งทองของหวงแหน
ฤานางในห่มตาดมาขาดแคลน
ร้างจารีตแบบแผนโบราณบรรพ์

สองฝั่งคลองสายน้ำอวสานสมัย
กระทงทองแกว่งไกวเทียนโศกศัลย์
น้ำเปี่ยมคลองสนองผู้ใดให้จาบัลย์
สายสัมพันธ์สองแผ่นดินจึงสิ้นลม
----------------------------------------------------

พระจันทร์วันเพ็ญกำลังมาเยือนอีกไม่กี่ค่ำคืนนี้แล้ว
ประสบการณ์เผาเทียนเล่นไฟแห่งกรุงเก่ายังคงงดงามอยู่ในใจดวงนี้
ประหวัดภาพไปในอดีตสมัยกรุงศรีอยุธยากำลังรุ่งโรจน์
ในยามที่เสร็จสรรพการศึกจากการรุกรานของพม่า
ในยามน้ำหลากนั้นข้าศึกที่ล้อมเมืองอยู่ก็มิอาจต้านทานอยู่ได้
จึงได้ยกทัพกลับไปเมืองแม่ชั่วคราว

ชายชาญสกาหากได้มีเวลากลับเรือนลำเนา
ไปร่วมลอยกระทงกับสาวเจ้ายามว่างเว้นจากการศึก
เจ้าพระยานาหมื่นสตรีชาววังจักได้ตัดผ้าใหม่นุ่งห่มสไบแล่งทอง
ร่วมงานบุญประเพณีลอยกระทงเยี่ยงบรรพบุรุษ
บ่าวไพร่ก็มีโอกาสได้เกี้ยวพาราศีกันตามประสา

วัฒนธรรมแผ่นดินจึงก่อเกิด หล่อหลอมด้วยกาลเวลายาวนาน
ข้าวออกรวงแล้ว ตะเพียนปลาแหวกว่าย 
กระทงใบตองลอยล่องในสายนที
ทิพย์ไต้ทอแสงสว่างตราบรุ่งสาง....
ชีวิตและสายสัมพันธ์ของผู้คนสองฝั่งคลองจึงมีเสน่ห์อย่างแบบโบราณ

น่าเสียดายที่ประเพณีลอยกระทงในสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไป
ไม่เหลือร่องรอยแห่งวัฒนธรรมอันรุ่งโรจน์เยี่ยงเพรงเวลา
เหลืออีกกี่ศกสมัยที่ประเพณีนี้จักงดงามและคงอยู่คู่สยามตลอดไป

---------------------------------------------------
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๒
				
2 เมษายน 2549 23:03 น.

ทิพยทฤษฎีใหม่ (Heavenly King’s Theory)

ลำน้ำน่าน

กาลคิมหันต์หงส์ฟ้ามาลับหาย
ผลัดปรายโพธิ์ประดู่ฤดูสมาน
หอมหวนทฤษฎีหล้าฟ้าประทาน
อย่าปลิดปราณดวงชีวาพสกนิกร

อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ผลิผลิตผลเกษตรสรมสลอน
หวานโลกธาตุหมื่นฟ้าวนาดร
พื้นอัมพรสยามสรรเสริญบูชา

มาประกาศกสิกรรมแก้วประคุณปราชญ์
ชาดหรคุณทฤษฎีที่ปรารถนา
ประหนึ่งพระพิรุณรุกขเทวา
จุติมาเหนือแว่นแคว้นแดนดิน

ทฤษฎีใหม่ฝ่าละอองธุลีพระบาท
อย่าแคล้วคลาดชาติหน้าถวายถวิล
หวังวักน้ำพระทัยทิพย์ดื่มกิน
รดไปสิ้นรณเกษตรล้างวัตถุนิยม

พารุณสมัยไขแสงทองต้องบ่อบึง
กระโดดผึงพล่านปลาธาราประสม
ประสานศัพท์ไก่แก้วโก่งขันระงม
อุดมพันธุ์เหนียวจ้าวข้าวเนื้อทิพย์

พริ้มพรายช่อชะพลูตำลึงเรียง
เลื้อยระเบียงเลื้อยร้านดาษดื่นดิบ
ทยอยยอดทยอยปลิวไปลิ่วลิบ
จะเครียวหยิบช่อปาริชาตมาบูชา

ธัญมณฑลทฤษฎีเก่าดั้งเดิม
เติมแต่งใหม่หวานหอมเสน่หา
หนึ่งนิมิตทิพย์บึงบางชโลมนา
สองขุนข้าวกล้าข้าวขวัญละเลงลาน

สามจัดสรรจตุรทิศทรัพยากร
แบ่งบรรจถรณ์หมอนมุ้งผืนเสื่อสาน
สี่หว่านไถไร่พืชผักตระการ
ฝั่งฝายลำธารพล่านปลาทั้งสกล

พฤษภสัตว์กงเกวียนรอยคลองไถ
เทียมแอกเอกเกรียงไกรกี่โกฏิหน
โอบอุ้มชีพอย่าอาสัญบรรพชน
ไว้บนกระดูกสันหลังขนานพสุธา

ข้าวแตกรวงได้ทอดกายปศุสัตว์
วัฒนาการจำเริญวัยเว้นพรรษา
อยู่คู่บ้านคู่เมืองโบราณมา
ธนาคารโคกระบือที่เทพประทาน

ยุ้งฉางยังข้าวเปลือกฟางฟ่อนหอม
ห้อมล้อมรุกขชาติทิพย์ผลาหาร
เปิบข้าวแดงแกงร้อนไม่ดักดาน
ไหววิญญาณแต่พออยู่พอกิน

ทฤษฎีใหม่ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
อย่าแคล้วคลาดชาติหน้าถวายถวิล
กว่าจะชนะวัตถุนิยมกลืนแผ่นดิน
ทนจนสิ้นทุพภิกขันดรกัปนับเทอญฯ

---------------------------------------
ฝนหลงฤดูโปรยปรายมาไสวทิศแล้ว
ยังให้ความร้อนในคิมหันตฤดูจางคลายลงไปบ้าง
ข้าพเจ้าดีใจ เมื่อฝนห่าใหญ่ได้ชุบชีวิตข้าวนาปลัง
และพืชผักทางการเกษตรหลากหลาย
วัวควายในโครงการทฤษฎีใหม่บัดนี้เริงร่า
ด้วยสายพระพิรุณเมตตาหว่านลงในแผ่นดิน

เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำริในหลวง
โดยมุ่งให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่อย่าง 
*พอดีและพอเพียง*

คือไม่รวยมากแต่ก็พอกินไม่อดอยาก
ทั้งนี้ด้วยการบริหารจัดการที่ดินแหล่งน้ำ
เพื่อพัฒนาชีวิตและอาชีพของเกษตรกร
โดยการแบ่งพื้นที่ออกเป็นสัดส่วน 
ขุดบ่อเก็บน้ำ เลี้ยงปลา
ทำนา เพาะปลูกพืชผักไม้ผล และที่อยู่อาศัย

ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดตั้งแต่อดีต
ที่ทรงไม่รักการเกษตร ที่เป็นหัวใจแผ่นดิน
และเป็นหลักของชาติ
เหตุใดเล่า ผู้ที่อุปโลกตัวเองว่าเป็นเจ้าของประเทศ
จึงได้ทอดทิ้งการเกษตร มุ่งหาร้อนร้ายวัตถุนิยม

ในหลวงท่านคิดที่จะช่วยเหลือชาวนาพสกนิกร
ให้อยู่ได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ
ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปร

พ่อว่า *การที่ลูกตักข้าวมาจนล้นจาน 
แล้วก็กินไม่หมดนั้น เป็นการไม่รู้จักคำว่าพอดี
และพอเพียง ข้าวทุกเม็ดมีคุณค่า อย่ากินทิ้งกินขว้าง*

ข้าพเจ้าได้แต่นิ่งอึ้งทุกครั้งที่ได้อ่านบทความ
เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอยู่หัว
เสียใจกับคนไทยสมัยกระแสวัตถุนิยม

				
19 กุมภาพันธ์ 2549 23:35 น.

เรือนไทยริมน้ำ (Thai House by River Side)

ลำน้ำน่าน

ระฆังเหง่งหง่างขานแล้วแก้วกาลบุญ
หอมละมุนดอกลำดวนมาด่วนหอม
ริมเรือนไทยอวลบ่สิ้นกลิ่นพะยอม
โอบล้อมชานพาไลทรายจันทรา

สบวันพรุ่งเดือนแปดแรมหนึ่งค่ำ
งามลึกล้ำคำขานนาคจันทร์เจ้าขา
ข้าวออกรวงไหวว่ายตะเพียนปลา
ข้าแผ่นดินร่มเย็นอยู่นิรันดร์

เรือนริมน้ำแลระเบียงโบสถ์คร่ำคร่า
แว่วเสียงมาซอสามสายคล้ายเสียงฝัน
ท้องร่องสวนเรียงรายลดหลั่นกัน
ลำน้ำนั้นทอดทุ่งสายสู่ปลายนา

ปลูกเรือนใหม่ตามรอยอารยธรรม
หวานน้ำคำไปสู่ขอเสน่หา
สึกบวชเรียนสนองคุณพระศาสดา
ออกพรรษากล้วยอ้อยจักยังงาม

มีเรือนนอนหมอนมุ้งยุ้งฉางข้าว
เรือนบุตรสาวบุตรชายทาสสยาม
มีหอนั่งรับแขกเหรื่อขจรนาม
สะท้อนข้ามเสียงมนต์สวดจากหอไตร

แว่วไก่ขันมาปลอบปลุกพุทธมณฑล
ดอกอุบลบึงบางเบ่งบานไสว
หลังเรือนครัวสลัวบันลอยควันไฟ
เรียวรำไรระแนงขัดแตะอรุณราง

ฤาครุวนาดั่งทิพย์ทองของแสงไต้
ค่าคบไม้งามอบอุ่นตราบรุ่งสาง
เกล็ดน้ำค้างหยาดวนบนใบบาง
สลัวลางเรือนตะเกียงสายมุ้งเลือน

งามแสงทองวันพระลอดฟากฝา
หอมข้าวปลาหวดหุงใหม่มะลิเหมือน
ดุเหว่าหวานแว่วลับกับดาวเดือน
เตือนสัญญาว่าขลุ่ยไม้ยังครวญคราง

หอมพลับพลึงเทียนขาวสาวห่มตาด
เก็บสไบใส่บาตรริมน้ำท่าขวาง
จบขันข้าวเบญจรงค์บรรจงวาง
พรางจวักตักถวายสำรวมใจ

เกินเปรียบเปรยคุณงามความดี
กุลสตรีนุ่งยกห่มผ้าไหม
นั่งเก็บพกชายผ้าบนเรือนไทย
สบกว่างามเยี่ยงนี้ไซร้ไป่มี

หลังเรือนไทยปลูกเรือนทาสคลอเคียง
สรมเสียงขูดมะพร้าวห้าวอึงมี่
ดั่งตะแบงมานพาดพันกายชายชาตรี
บ่าวไพร่มีหล่อพระเครื่องถมทอง

ผันศกโศกเกษมสมัยอยุธยา
สิ้นทาสข้าคหบดีสืบศรีสนอง
นาฏนางในสไบมาลย์ม่านมาครอง
ลอยข้าวของวังสวรรค์พังทะลาย

อนิจจาเรือนริมน้ำแต่โบราณ
ผกผ่านเพรงเวลาน่าใจหาย
เก่าคร่ำคร่าสิ้นวิญญูชนวางวาย
ร้างเรือนตายเสียกรุงศรีหลายปีแล้ว

---------------------------
วันนี้วันว่าง ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มงามนาม เรือนมยุราอ่านอีกคราว
ภาพอดีตเรือนไทยริมน้ำและวัดไชยวัฒนารามในเพรงกาล
กลับมามีชีวิตขึ้นในห้วงสำนึกอีกคราว  แก้วเก้าได้บรรยายฉากหนึ่ง
ได้อย่างงดงามจับจิตใจว่า

แสงจันทร์ข้างขึ้นเกือบเต็มดวงสาดส่องต้องพระปรางค์วัดไชยวัฒนาราม
ดูเปล่งปลั่งละม้ายเคลือบด้วยทองเนื้ออ่อน ทั้งยังแตะแต้มประกายเงิน
ลงบนผิวน้ำอันนิ่งเรียบของแม่น้ำเจ้าพระยายามวิกาล 
ที่บัดนี้รายรอบไปด้วยเรือนไทยโบราณริมน้ำ เงียบงามสมค่าแผ่นดิน

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ช่วยประคองสาวน้อยร่างระหงให้ก้าวขึ้นบรรไดอิฐ
ซึ่งค่อนข้างชันและแคบไปสู่ลานชั้นบนซึ่งเมื่อเคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์ 
บัดนี้ปลาสนาการไปแล้ว

แสงสีเงินเป็นนวลใยสาดจับร่างในสไบและผ้านุ่งสีกลมกลืนกัน
ดูผ่องใสราวกับมีแสงสว่างอยู่ในตัว หลังคากระเบื้องดินเผาหมู่เรือนไทย
สะท้อนแสงจันทร์ดูงามเนียนในแววตา

นานแสนนานในความรู้สึกของชายหนุ่มและหญิงสาว
ตราบกลิ่นธูปเทียนถูกลมเย็นพัดหวนตลบ 
หมุนวนอยู่ตรงหน้าเหมือนสัญญาณการรับรู้จากผู้ที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง
โลกของอดีตกว่าสามร้อยกว่าปีมาแล้ว

ภาพอดีตเรือนไทยริมน้ำ 
และวิหารปรางค์ที่กลับมาฉายวนอยู่ตรงหน้า
ก็ค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อมีลมอ่อนพัดมาวูบหนึ่ง**

ข้าพเจ้าเสียดายนักที่ย้อนเวลากลับไปหาอดีตได้ไม่
ยังเพียงจินตนาการและจิตที่งามสล้างเท่านั้นที่จะไปถึง
แต่กระนั้นเรือนไทยริมน้ำและวังโบราณจะยังงดงามในหัวใจ
ตราบจนแผ่นดินกลบหน้า ไร้บ่วงหลง โซ่ตรวนอวิชชานิรันดร์กาล


จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว
ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส
นับวันแต่จะยับอับไป
ที่ไหนจะคืนคงมา

------------------------------------------------------------
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
แรม ๖ ค่ำเดือนสาม พุทธศักราช ๒๕๔๙ ปีจอ

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน