29 มีนาคม 2548 23:35 น.

กระท่อมแสงทอง (The Twilight Cottage)

ลำน้ำน่าน

สนธยาม่านวิโยคทอโศกแสง 
มาทิ้งฝันเริงแรงแหล่งสมัย 
ธาตุวิหคผกจรสู่ขอนไพร 
รำไรแล้วลิ่วลอยทยอยเลือน 

เหนื่อยเหน็ดเหน็บหนาวจากเช้าตรู่ 
ยึดฤดูอันเปลี่ยนผันทุกวันเหมือน 
ดั่งฉากภาพนิมิตดลจิตเตือน 
ความแชเชือนแห่งเวลาหาฤาพบ 

ล่วงไป..ล่วงไปในสกลจักรวาล 
ปิดตำนานเมืองยุ่งมุ่งสงบ 
เมื่อตะวันยอแสงแหล่งพิภพ 
คือจุดจบธาตุฝันอันวิเมลือง 

ดับลงแล้วรังสีอันวิภาส
น้ำค้างหยาดดิ่งดงตรงฟ้าเหลือง 
นกชุมรังสั่งลาฟ้ารองเรือง 
รอฟันเฟืองล้อสุรีย์คลี่คืนมา 

กระท่อมเงียบโดดเดี่ยวในเปลี่ยวไพร 
ขออาศัยค้างแรมรอ..ลอออุษา 
สดับเสียงครวญคู่สกุณา 
กล่อมนิทราม่อนเขาวังเถาวัลย์ 

เมื่อน้ำค้างพรมหล้าดาราชื่น 
ตื่นเถิดตื่นจิตมนุษย์หยุดใฝ่ฝัน 
แสวงหาความหมายใดให้ชาติพันธุ์ 
เพียงกำนัลสกนธ์จนเหนื่อยแรง 

น้ำหนาวร่วงตกผลึกยามดึกดิ่ง 
มโนจริงยิ่งสล้างสว่างแสง 
เพลงสันโดษโลดลิ่วพลิ้วแสดง 
หยาดลงแข่งแสงดาวอนัตตา 

ขอละเมอเพ้อพร่ำกลางค่ำไพร 
สูดกลิ่นไอเสรีภาพปรารถนา 
ยามเสียงฝนร่วงเผาะเคาะหลังคา 
พรมวิญญาญ์ไหวไหวในใจนั้น 

กระท่อมไพรค่อนรุ่งกลางมุ้งหมอก 
กลางอ้อมกอดวิญญาณวิมานสวรรค์
โอยวิเวกภาวนาป่าไกวัล 
สู่สามัญพุทธสงฆ์ธุดงควัตร 

เมื่อผ้าเหลืองต้องแสงเช้าจากราวฟ้า 
ชโลมหล้าหญ้าใบสงบสงัด 
แสงสีทองส่องสว่างทางวิวัฏ 
กาสาวพัตร์จึงอร่ามนิยามชีวิต 

อยู่งดงามเรียบง่ายจนบ่ายคล้อย 
อายุขัยล่วงลอยคอยเคลื่อนติด 
พัสถานโลกธรรมย้ำนิมิต 
ฤาลิขิตสุขใจให้สุขจริง 

รุ่งรางแล้วแก้ววิเศษนิเวศน์ป่า
อาทิตย์ทองส่องหล้าอุษาผิง
สุกสว่างกระท่อมทับห้องหับอิง 
ธรรมประวิงเร่งเร้าเฝ้าตริตรอง

นิศาชลจุมพิตจิตประพุทธ
บริสุทธิ์แผ่วเบาไร้เศร้าหมอง
เพลงดุเหว่าขานกล่อมกระท่อมทอง
สุขครรลองชโลมหล้าป่านิพพาน

---------------------------------
ดาราจักรวาลหมุนเวียนอยู่ไม่รู้เว้นว่าง
การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้แห่งพุทธสาวก
ยังคงดำเนิน

ณ กระท่อมสันโดษกลางป่าเขาลำเนาสวรรค์
กระท่อมน้อยได้อาทรนักเดินป่า
ให้ค้างแรมมานานปี  เรียบง่าย งดงาม 
โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางพฤกษาลดาชาติ

ข้าพเจ้าชอบกระท่อมหลังคามุงจาก
หรือหญ้าคาในยามวสันตฤดู 
หยาดฝนหล่นร่วงมากระทบหลังคานั้น
ราวดนตรีสายฝนที่พริ้งเพราะให้อารมณ์ที่สงบ
ฟากไม้ไผ่อีกเล่าถึงไม่อ่อนนุ่มเหมือนฟูก 
หากแต่เย็นเยียบ ด้วยลมแรงแฝงเร้นลัดเลาะ
ขึ้นมาให้ร้อนคลายได้

ด้วยประสบการณ์อรุณรุ่ง
ณ กระท่อมแสงทองนั้นฝังใจ
ในยามที่แสงเงินแสงทองส่องหล้า 
หมู่มวลสกุณาเริ่มโผผิน
ภิกษุธุดงค์ออกจากกระท่อมวนา 
แสงธรรมฉ่ำหล้าในวินาทีนั้น

มนุษย์ที่แท้หนีธรรมชาติไม่พ้น 
บ้านใหญ่อลังการณ์ไม่บ่ง
ความสุขสงบทุกครั้งไป 
ความสุขที่แท้อยู่ที่การพอเพียงและเข้าใจวิถีชีวิต 
อ่อนน้อมต่อธรรมชาติรายรอบตัว
ดุจดั่งกระท่อมแรมทางที่สันโดษ เรียบง่าย 
รอการมาเยือนของนักเดินป่า 
ผู้เดินทางไกลโหยหาธรรมชาติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
และบางคราวกระท่อมแสงทอง
จะมีบุญได้เอื้ออาทรแด่ภิกษุสงฆ์
ผู้ธุดงค์รอนแรมแสวงหานิรพาน..

ลองหาเวลาว่างสักครั้งในชีวิตนิดหนึ่งนี้
ทอดชีวิตไปกับธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไม้
พักแรมกระท่อมต่ำต้อย วิเวก แต่สงบ
ปราศจากโทรศัพท์มือถือและเทคโนโลยี
เราอาจมองเห็นมิติที่ลึกล้ำ เป็นอนันตมิติที่ลุ่มลึก
อาจก่อเกิดความสุขสงบอันเป็นนิรันดร์.......



				
15 มีนาคม 2548 02:08 น.

ข้าวรวงสุดท้ายเมื่อปลายหนาว (The Last Life of Season)

ลำน้ำน่าน

แด่ฤดูเก็บข้าวหลงฝัดข้าวลาน
อุทิศแด่คุณยายชราแห่งบ้านดอนดอกพะยอม

มองฟ้าครามยามบ่ายช่วงปลายฝน
ช่อมะม่วงดอกหม่นหล่นเป็นสาย
เหนือตำบลข้าวหลวงรวงเรียงราย
กระจัดกระจายห่มหล้าท้องนานั้น

ลมฤดูบอกข่าวหนาวจะล่วง
ดอกจานจวงบานสะพรั่งทั้งบัวผัน
ตื่นมารับแสงสรรค์รังสิมันตุ์
เก็บไออุ่นแห่งวันต่อฝันไป

ฟ้าเดือนสามครามไกลในลิบลิ่ว
เมฆหม่นเอยจะปรอยปลิวสู่แหล่งไหน
สู่ปลายยุ้งทุ่งข้าวของสาวไพร
ฝากทายทักข้าวใหม่ใครหุงคอย

เดี๋ยวแล้งร้อนเดี๋ยวหนาวเคล้าดอกฝน
แต่ความจนไม่เปลี่ยนเต็มเกวียนหงอย
หากทุ่งฝันบิดเบือนและเลื่อยลอย
อาทิตย์เอยอย่าเพิ่งคล้อยซบอกดิน

ฝนสั่งฟ้าลาดินใครสิ้นหวัง
เมื่อนกนาทิ้งรวงรังหวังไม่สิ้น
ไปรวดร้าวข่าวว่าไม่พอกิน
ขายนาน้อยให้เหลือบริ้นถิ่นกรุงไกร

ให้คนเมืองหว่านไถในไร่สาว
ฝนเม็ดร้าวตกพรูสู่เนินไศล
สิ้นฝนหมองผ่องนวลจวนสิ้นใจ
ปวดระบมตรมในไร่นาทาม

ใบกระถินแห้งเหี่ยวร่วงเกรียวกราว
ริ้วลมว่าวไล่ลอดยอดมะขาม
เห็นเมฆลอยคล้อยเกลียวใจเปลี่ยวตาม
คล้ายนิยามบ้านป่านาวิชน

ฝนหลงฤดูลาสายปลายเดือนแล้ว
ท้องนาแนวเหลืองสุกทุกแห่งหน
ลูกข้าวหลงเหลืองไสวในตำบล
หญิงชราครองตนเก็บขึ้นลาน

ไกลแสนไกลลิบลิ่วทิวฟ้าสูง
ลูกยางยูงร่วงลู่สู่ห้วยละหาน
กระโดนทุ่งแต่งช่อจะรอบาน
นกเขารอกู่ขานย่ำสนธยา

หญิงชราถือเคียวเกี่ยวลูกข้าว
ครืนลมหนาวสุดท้ายพัดพรายผ้า
ลึกในใจฝนหล่นปนน้ำตา
ตกต้องฟ้าต้องดินสิ้นแรงรวง

ฝังความฝันคำนึงถึงใครหนึ่ง
ให้ลึกซึ้งจมดินถิ่นแหนหวง
เก็บรวงข้าวสุดท้ายไว้เสี่ยงดวง
เผื่อบวงสรวงขวัญค่าพาใครคืน

เมฆกระจายไม้ใบเริ่มไหวว่อน
นกคืนคอนเถิดหนาอย่าทนฝืน
สิ้นยุคทองชาวนาชะตาครืน
จะหยิบยื่นภูมิปัญญาทายาทใด

โอ้ฟ้าครามยามบ่ายปราดสายฝน
ทุกตำบลไร้รวงข้าวพราวไสว
จิตสำนึกตายถมสังคมไทย
หญิงชรากล้าสุดท้ายสิ้นใจแล้ว!

------------------------------------------
ฝนหลงฤดูหล่นมาปราดหนึ่ง ในยามที่ฟ้าปรวนแปร
ประเดี่ยวก็หนาว ประเดี่ยวก็ร้อน ประเดี่ยวก็ฝน 
ไม่มีความแน่นอนทุกสิ่ง  หลังฤดูเก็บเกี่ยวยามนี้ 
ทำให้นึกไปถึงการเก็บรวงข้าวหลง และฝัดข้าวลาน
ของหญิงชราผู้แข็งแกร่งแห่งบ้านดอนดอกพะยอม

ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มงาม นาม *นกเขาไฟ* 
ของนักเขียนในดวงใจ ไพฑูรย์ ธัญญา 
หนึ่งในเรื่องสั้นชุด*ก่อกองทราย* บรรยายไว้ว่า

*แดงดอกทองกวาวสาดบานไปทั้งทุ่ง 
ลมหนาวยังไม่ร้างลาจากหมู่บ้าน
มะม่วงพุ่มหนาเริ่มแตกช่อดอกสีขาวหม่นขึ้นคลุมต้น 
ฟ้าต้นเดือนสามผ่องแผ้วเขยิบสูงเป็นสีคราม 
ทุกสิ่งทุกอย่างช่างสวยงามและดูดีไปหมด*

บทบรรยายบ่งให้เห็นถึงความงามแห่งธรรมชาติ
ในยามลมหนาวจะผ่อนลาฟ้าธรรมชาติยังคงงาม
และซื่อตรงเป็นวัฏจักรที่แน่นอน

และหนึ่งในเรื่องสั้นชุด *ลูกพ่อคนหนึ่ง* 
วัฒน์ วรรลยางกูร บรรยายภาพเมื่อเริ่มเข้าสู่
คิมหันตฤดู กับการต่อสู่ของหญิงชราชาวนา 
ไว้อย่างน่าเศร้าและชวนหลั่งน้ำตาว่า

*ดูราวโลกนี้มีแต่ยามแล้ง โล่งลิ่ว ไร้ร่มเงา 
ชายร่างผอมแกร่งโรยล้าจากภูเขาสู่พื้นราบ
ร้อนอบผิวผ้าและร้อนลวกไหล่ขวาที่เสื้อเปื่อยขาด 
สองข้างทางเต็มไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อยสีเทา
และสีน้ำตาลซึ่งบัดนี้ดูคล้ายกับถ่านไฟในเตา
กำลังส่งเปลวระยิบ เขาเอียงแก้มเช็ดเหงื่อ
กับไหล่ซ้าย เงยมองฟ้า มีแต่แดดจ้าจนต้องหยีตา

เขาพูดกับหญิงชราว่า 
*ร้อนนะแม่เฒ่าเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น*
หญิงชรามองไปในแดดอันกราดเกรี้ยว 
รู้ว่าชายหนุ่มและหญิงสาวสมัยนี้
ต่างก็ต้องเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน 
นางก็ได้แต่บ่นพึมพำว่า *เวรกรรม*

ทั้งสองเรื่องชวนให้ข้าพเจ้าประหวัด
ไปถึงชะตากรรมเกษตรกร 
และท้องไร่ท้องนาแห่งยุคนี้ 
ที่นับว่าหาทายาทมาสืบทอดยากขึ้นทุกที
หนุ่มสาวทิ้งถิ่นไปทำงานในเมือง ขายที่ขายไร่นา 
หลายชีวิตไปตกระกำลำบาก
หลายชีวิตต้องไปเป็นกุหลาบแดงในโถขาว 

ชะตากรรมของเขาเหล่านี้คงเป็นอุทาหรณ์
ได้ดีกระมังว่า คนสิ้นผืนแผ่นดินทำกินนั้น
น่าเศร้าสักเพียงใด และคงยังไม่สาย 
ที่จะหันกลับมาอุ้มชูผืนนาสมบัติสุดท้าย
ที่บรรพบุรุษให้ไว้เป็นที่ฝังร่าง
ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป..

--------------------
รักร้าวหนาวลม (ขับร้องโดย สันติ ดวงสว่าง)

เมฆลอยกระจายอยู่ในในฟ้าสูงแลลิบลิว
ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อฟ้าสิ้นฝน
ฝนสิ้นเหมือนพี่สิ้นใจน้องจากพี่ไปไปพร้อมหยาดฝน
คิดถึงหน้ามลหม่นหมอง
เห็นบัวดอกงามเบ่งบานกลางบึงแลสะพรั่ง
ฝนลาฟ้าสั่งสั่งฟ้าลาดินสิ้นคลอง
ฝนลา ลาหนาวข้าวแตกรวงแต่รักลาทรวงสิ้นน้อง
โอ้ทุ่งรวงทองเหมือนทุ่งระทม
เจ้าทิ้งให้พี่นอนหนาว หนาวจนใจเหน็บ
เจ็บดั่งหนาวระกำ ตำทรวงให้ระบม 
เริ่มฝนเจ้าบอกว่ารักพี่อกหักตอนเริ่มหนาวลม 
ให้ชมแล้วน้องก็ชัง

เมฆลอยกระจายดั่งเหมือนหัวใจลอยละลิ่ว
ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อรักสิ้นมนต์ขลัง
ทิ้งทุ่งลืมไถลืมไอ้ทุย ลืมเพื่อนเคยคุยที่อยู่หลัง
สิ้นฝนรักจางเมื่อลมเหนือล่อง



				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน