19 กุมภาพันธ์ 2549 23:35 น.

เรือนไทยริมน้ำ (Thai House by River Side)

ลำน้ำน่าน

ระฆังเหง่งหง่างขานแล้วแก้วกาลบุญ
หอมละมุนดอกลำดวนมาด่วนหอม
ริมเรือนไทยอวลบ่สิ้นกลิ่นพะยอม
โอบล้อมชานพาไลทรายจันทรา

สบวันพรุ่งเดือนแปดแรมหนึ่งค่ำ
งามลึกล้ำคำขานนาคจันทร์เจ้าขา
ข้าวออกรวงไหวว่ายตะเพียนปลา
ข้าแผ่นดินร่มเย็นอยู่นิรันดร์

เรือนริมน้ำแลระเบียงโบสถ์คร่ำคร่า
แว่วเสียงมาซอสามสายคล้ายเสียงฝัน
ท้องร่องสวนเรียงรายลดหลั่นกัน
ลำน้ำนั้นทอดทุ่งสายสู่ปลายนา

ปลูกเรือนใหม่ตามรอยอารยธรรม
หวานน้ำคำไปสู่ขอเสน่หา
สึกบวชเรียนสนองคุณพระศาสดา
ออกพรรษากล้วยอ้อยจักยังงาม

มีเรือนนอนหมอนมุ้งยุ้งฉางข้าว
เรือนบุตรสาวบุตรชายทาสสยาม
มีหอนั่งรับแขกเหรื่อขจรนาม
สะท้อนข้ามเสียงมนต์สวดจากหอไตร

แว่วไก่ขันมาปลอบปลุกพุทธมณฑล
ดอกอุบลบึงบางเบ่งบานไสว
หลังเรือนครัวสลัวบันลอยควันไฟ
เรียวรำไรระแนงขัดแตะอรุณราง

ฤาครุวนาดั่งทิพย์ทองของแสงไต้
ค่าคบไม้งามอบอุ่นตราบรุ่งสาง
เกล็ดน้ำค้างหยาดวนบนใบบาง
สลัวลางเรือนตะเกียงสายมุ้งเลือน

งามแสงทองวันพระลอดฟากฝา
หอมข้าวปลาหวดหุงใหม่มะลิเหมือน
ดุเหว่าหวานแว่วลับกับดาวเดือน
เตือนสัญญาว่าขลุ่ยไม้ยังครวญคราง

หอมพลับพลึงเทียนขาวสาวห่มตาด
เก็บสไบใส่บาตรริมน้ำท่าขวาง
จบขันข้าวเบญจรงค์บรรจงวาง
พรางจวักตักถวายสำรวมใจ

เกินเปรียบเปรยคุณงามความดี
กุลสตรีนุ่งยกห่มผ้าไหม
นั่งเก็บพกชายผ้าบนเรือนไทย
สบกว่างามเยี่ยงนี้ไซร้ไป่มี

หลังเรือนไทยปลูกเรือนทาสคลอเคียง
สรมเสียงขูดมะพร้าวห้าวอึงมี่
ดั่งตะแบงมานพาดพันกายชายชาตรี
บ่าวไพร่มีหล่อพระเครื่องถมทอง

ผันศกโศกเกษมสมัยอยุธยา
สิ้นทาสข้าคหบดีสืบศรีสนอง
นาฏนางในสไบมาลย์ม่านมาครอง
ลอยข้าวของวังสวรรค์พังทะลาย

อนิจจาเรือนริมน้ำแต่โบราณ
ผกผ่านเพรงเวลาน่าใจหาย
เก่าคร่ำคร่าสิ้นวิญญูชนวางวาย
ร้างเรือนตายเสียกรุงศรีหลายปีแล้ว

---------------------------
วันนี้วันว่าง ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มงามนาม เรือนมยุราอ่านอีกคราว
ภาพอดีตเรือนไทยริมน้ำและวัดไชยวัฒนารามในเพรงกาล
กลับมามีชีวิตขึ้นในห้วงสำนึกอีกคราว  แก้วเก้าได้บรรยายฉากหนึ่ง
ได้อย่างงดงามจับจิตใจว่า

แสงจันทร์ข้างขึ้นเกือบเต็มดวงสาดส่องต้องพระปรางค์วัดไชยวัฒนาราม
ดูเปล่งปลั่งละม้ายเคลือบด้วยทองเนื้ออ่อน ทั้งยังแตะแต้มประกายเงิน
ลงบนผิวน้ำอันนิ่งเรียบของแม่น้ำเจ้าพระยายามวิกาล 
ที่บัดนี้รายรอบไปด้วยเรือนไทยโบราณริมน้ำ เงียบงามสมค่าแผ่นดิน

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ช่วยประคองสาวน้อยร่างระหงให้ก้าวขึ้นบรรไดอิฐ
ซึ่งค่อนข้างชันและแคบไปสู่ลานชั้นบนซึ่งเมื่อเคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์ 
บัดนี้ปลาสนาการไปแล้ว

แสงสีเงินเป็นนวลใยสาดจับร่างในสไบและผ้านุ่งสีกลมกลืนกัน
ดูผ่องใสราวกับมีแสงสว่างอยู่ในตัว หลังคากระเบื้องดินเผาหมู่เรือนไทย
สะท้อนแสงจันทร์ดูงามเนียนในแววตา

นานแสนนานในความรู้สึกของชายหนุ่มและหญิงสาว
ตราบกลิ่นธูปเทียนถูกลมเย็นพัดหวนตลบ 
หมุนวนอยู่ตรงหน้าเหมือนสัญญาณการรับรู้จากผู้ที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง
โลกของอดีตกว่าสามร้อยกว่าปีมาแล้ว

ภาพอดีตเรือนไทยริมน้ำ 
และวิหารปรางค์ที่กลับมาฉายวนอยู่ตรงหน้า
ก็ค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อมีลมอ่อนพัดมาวูบหนึ่ง**

ข้าพเจ้าเสียดายนักที่ย้อนเวลากลับไปหาอดีตได้ไม่
ยังเพียงจินตนาการและจิตที่งามสล้างเท่านั้นที่จะไปถึง
แต่กระนั้นเรือนไทยริมน้ำและวังโบราณจะยังงดงามในหัวใจ
ตราบจนแผ่นดินกลบหน้า ไร้บ่วงหลง โซ่ตรวนอวิชชานิรันดร์กาล


จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว
ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส
นับวันแต่จะยับอับไป
ที่ไหนจะคืนคงมา

------------------------------------------------------------
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
แรม ๖ ค่ำเดือนสาม พุทธศักราช ๒๕๔๙ ปีจอ

				
4 กุมภาพันธ์ 2549 02:32 น.

ลำนำพืชผลตระการ (Everlasting Penteousness)

ลำน้ำน่าน

เขียวดอกจอกลอยลายพรายผิวน้ำ
หากไต่ถามถึงจุดหมายใช่ยิ่งใหญ่
ดุษณีกฎอาสัญแห่งวันวัย
อยู่ภายใต้เงาอาทิตยมณฑล

เขียวเลื่อมเขียวใบตองคล้องร่องกล้า
งามบุหงาดอกแคเคล้าสายฝน
โอนอ่อนตำลึงไพรเกี่ยวใจคน
ผักพืชผลสารพันนั้นแสนงาม

เดียวดายพุ่มกระถินกลิ่นชนบท
น้อมประณตสายลมทุ่งสยาม
ดอกโสนแย้มคอยคู่อยู่ทุกยาม
รอดอกขจรหอมข้ามความยากจน

สวยสายบัวบังใบกลางหนองบึง
งามลึกซึ้งพระเณรทุกแห่งหน
กระชอมดอกเหลืองไพลในตำบล
อวลระคนหอมข้าวใหม่มะลิลา

หอมกระเทียมยามเทียมเกวียนเมื่อรุ่งราง
กรุ่นควันไฟลอยพร่างกลางพรรษา
หอมศีลงามน้ำปรุงอุบาสิกา
อบผวยผ้าซิ่นฝ้ายลายน้ำไหล

ถั่วฝักยาวรู้ชีพนี้มิยืนยาว
เหน็บหนาวผิงเตาถ่านข้าวหุงใหม่
รุ่งอรุณแล้วสว่างมาสว่างไป
กระทงตองเขียวไสวมีโรยรา

ยอดผักบุ้งมุ่งทอดสู่ธาราธรรม
ระงมงำลำนำท้องทุ่งคุ้งภูผา
ปลีดอกกล้วยสลายหวีมรณา
ต่างปุจฉาธรรมชาติบนแผ่นดิน

พรวนพรายมะเขือพวงพรรลาย
มิมุ่งหมายยศศักดิ์รักท้องถิ่น
ไหววิญญาณช่อสล้างร้างมลทิน
กรุ่นกลิ่นดอกไม้ละเอียดอุ่นไอ

ยอดสะเดาใครเขาว่าขี้ข้าผัก
ดูน่ารักหนักหนาหาใช่ไม่
ขิงก็ราข่าก็แรงแก่งแย่งสิ่งใด
ต่างมุ่งไปสุดทิศจิตกาธาน

พลิกแปรโลกผืนหล้าอรัญญิกาลัย
อายตนะไหนฤาศรัทธากว่าเขียวขาน
เครียวกิ่งใบกสิกรรมอันตระการ
อภิบาลกษัตริย์เจ้าอัมรินทร์

สิ้นพืชผลธัญญาหารวิมานข้าว
บางลำเนาเหน็บหนาวธัญศิลป์
หมดหนทางปัญญาทำมาหากิน
ขอดขุดแผ่นดินขายทุนนิยมระยำ

เร่งรำลึกคุณแผ่นดินพันธุ์ไม้เลื้อย
ก่อนเน่าเปื่อยอสุภซากจมดินถลำ
อิ่มข้าวปลาแก่นผักเขียวทุกเคี้ยวคำ
เริงลำนำมนต์อาตมันสุวรรณภูมิ

--------------------------------
ท่ามกลางวิมานกสิกรรมเขียวไสวแห่งตำบลชนบทนั้น
บัดนี้การกสิกรรมในพระราชดำริแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทิพยทฤษฏี  บิดาแห่งการเกษตรแบบทฤษฏีใหม่ นำน้ำตาแห่งปิติมาสู่
พืชผักงอกงาม พลิ้วไสวอยู่ในตำบลชนบท เรียบง่าย สันโดษ 
หากทว่าน่าภาคภูมิ.

ด้วยศรัทธาและมุ่งเห็นประโยชน์แห่งการเกษตรแต่ปางบรรพ์
พระเจ้าอยู่หัวแห่งสยามจึงได้ทุ่มเทพระวรกายพัฒนาการเกษตรยั่งยืน
ทรงประทานฝนหลวงที่เสมือนฝนเดือนหกที่โปรยรดไร่นาเกษตรกร
ให้บรรดาพืชผักใหญ่น้อยได้ผลิดอกออกผล ผลิคุณค่าให้แผ่นดิน
ให้ฝรั่งมังค่าอิจฉาตาลุกเป็นไฟ บังอาจเอาเงินงามมาล่อ 
บ้างยอมเป็นเขยชาวนาแม้มิใช่เพราะรัก

ชาวสยามสมัยนี้ถือว่ามีโชค มีข้าวกิน มีที่ดินมีผืนนามีแผ่นดินเกษตร
ถึงยากจนอย่างไรก็พอเลี้ยงชีพได้ มิหวังให้กระแสทุนนิยมย่ำยีระยำ

พ่อบอกว่า  การเกษตรกรรมคืออาหารแห่งอารยะ 
เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงอารยะธรรมมนุษย์...
แล้วเหตุใดเล่า ชาวไทยทุกวันนี้จึงหนีรากเหง้าแห่งอารยะธรรมตัวเอง

นึกไปแล้วก็น่าเสียดายที่ไทยเราสูญเสียจิตวิญญาณดีงามแห่งสุวรรณภูมิ
ให้กับกระแสทุนนิยมนิรันดร์กาล.


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน